Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พระสกุลาเถรี (ภิกษุณี-เอตทัคคะ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 03 ต.ค.2006, 10:14 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

พระสกุลาเถรี
เอตทัคคะในทางผู้มีทิพยจักษุ


พระสกุลาเถรีผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุณีทั้งหลายผู้มีทิพยจักษุ ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน และไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้


๐ ตั้งความปรารถนาไว้ในอดีต

ครั้งนั้น นางเกิดในเมืองหงสวดีมีนามว่าขัตติยนันทนา มีรูปสวยงดงามอย่างยิ่งเป็นที่พึงใจ เป็นพระธิดาของพระราชาผู้ใหญ่ พระนามว่าอานันทะ เป็นพระภคินีต่างพระมารดาแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ห้อมล้อมด้วยราชกัญญาทั้งหลาย ประดับด้วยสรรพาภรณ์ เข้าไปเฝ้าพระวีรเจ้า แล้วได้ฟังธรรมเทศนา

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่งใน ตำแหน่งอันเลิศแห่งภิกษุณีผู้มีทิพยจักษุ ในท่ามกลางบริษัทสี่ พระนางได้ฟังพระพุทธพจน์นั้นแล้ว มีความร่าเริง ถวายทานและบูชาพระสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ปรารถนาในตำแหน่งนั้นบ้าง

พระบรมศาสดาได้ตรัสกะพระนางว่า ดูกรขัตติยนันทนา เธอจักได้ตำแหน่งที่ตนปรารถนา ตำแหน่งที่เธอ ปรารถนานี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดม มีสมภพในวงศ์พระเจ้า โอกกากราชจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จักเป็นพระสาวิกา ของพระศาสดามีนามว่าสกุลา

เธอกระทำกุศลกรรมอย่างยิ่งตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตลง ก็เวียนว่ายอยู่ใน ภพภูมิเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป


๐ ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า

ในภัทรกัปนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามกัสสปะ ครั้งนั้นนางได้บวชปริพาชิกา ถือลัทธิเที่ยวไปผู้เดียว เที่ยวไปเพื่อภิกษา ก็ได้น้ำมันมาหน่อยหนึ่ง บังเกิดมีใจผ่องใส เอาน้ำมันนั้นมาตามประทีปบูชาพระเจดีย์ชื่อสัพพสังวร แห่งพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ

ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้นและด้วยการตั้งเจต์จำนง ไว้ เมื่อนางละร่างกายมนุษย์นั้นแล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้วยอำนาจบุญกรรมนั้นเ เมื่อนางไปเกิดในที่ใดๆ ประทีปเป็นอันมาก ก็สว่างไสวแก่นางในที่นั้นๆ เมื่อนางปรารถนาจะได้สิ่งที่อยู่นอกฝา หรือสิ่งที่อยู่นอกภูเขาศิลา ก็เห็นได้ทะลุปรุโปร่ง นี้เป็นผลแห่ง การถวายประทีป นางมีนัยน์ตาแจ่มใส รุ่งเรืองด้วยยศ มีศรัทธา มีปัญญา นี้ก็เป็นผลแห่งการถวายประทีป

นางจุติจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นผู้มีทิพยจักษุบริสุทธิ์ดี ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกเท่านั้นตลอดพุทธันดรหนึ่ง


๐ ในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

ในพุทธุปปาทกาลนี้ นางมาเกิดในตระกูลพราหมณ์ อันมีทรัพย์มากมาย แห่งกรุงสาวัตถี เมื่อเติบใหญ่ก็ได้แต่งงานมีบุตรและธิดา ในครั้งนั้น เมื่อนางวิสาขามหาอุบาสิกาได้ลืมเครื่องประดับมหาลดาประสาธน์ซึ่งมีราคา ๙ โกฏิไว้ในพระอาราม และพระอานนท์ได้เก็บรักษาไว้ เมื่อนางวิสาขาทราบว่าพระเถระเก็บรักษาไว้จึงไม่รับคืนแต่ได้ให้นำออกขายและนำทรัพย์ที่ได้มาซื้อที่ดิน และออกเงินส่วนตัวอีก ๙ โกฏิเพื่อสร้างพระอาราม ครั้นเมื่อสร้างพระอารามเสร็จ จึงได้ใช้ทรัพย์อีก ๙ โกฏิเพื่อฉลองพระอาราม

ในวันงานถวายพระอารามแต่พระผู้มีพระภาคนั้นเอง นางสกุลาก็มีโอกาสได้ฟังธรรมบังเกิดความเลื่อมใสประกาศตนเป็นอุบาสิกาในคราวนั้น

ต่อมาก็ได้มีโอกาสฟังธรรมในสำนักของพระภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพรูปหนึ่ง บังเกิดดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้วจึงได้สละบ้านเรือน บุตรและธิดา ออกบวช แต่เนื่องจากอายุยังไม่ครบบวช จึงเป็นได้เพียงนางสิกขมานา และนางก็บำเพ็ญเพียร ทำมรรคเบื้องบนให้เกิดขึ้นโดยการปฏิบัติมัชฌิมาปฏิปทา ได้ตัดขาดซึ่งอาสวะทั้งหลาย ซึ่งจะต้องทำลายด้วยอนาคามิมรรค บรรลุอนาคามิผล และเมื่ออายุครบ ก็ได้บวชเป็นภิกษุณี บวชแล้วเริ่มเจริญวิปัสสนา เพียรพยายามอยู่ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต มีความชำนาญใน ฤทธิ์และทิพโสตธาตุ รู้วาระจิตของผู้อื่น


๐ ทรงแต่งตั้งเป็นเอตทัคคะผู้มีทิพยจักษุ

ภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนาพวก ภิกษุณีไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาพระสกุลาเถรีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้เลิศกว่า ภิกษุณีทั้งหลายผู้มีทิพยจักษุ



.............................................................

คัดลอกมาจาก ::
http://www.dharma-gateway.com/
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง