Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 บ่วงสำนึก (หลวงตาแพรเยื่อไม้) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 20 ต.ค.2004, 8:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



บ่วงสำนึก .jpg


บ่วงสำนึก
โดย หลวงตาแพรเยื่อไม้


จัดพิมพ์โดย ธรรมสภา


บ่ายมากแล้ว หลวงตาเดินผ่านประตูวัดเข้ามาจากกิจทางไกลแห่งหนึ่ง เจ้าป้อม ซึ่งวิ่งเล่นอยู่กับเพื่อนเด็กวัด เหลือบเห็นก่อนก็ตะโกนบอกเพื่อน “หลวงตามาแล้ว” พร้อมกับวิ่งโขยกโลดเข้าไปหา คว้าย่ามเหนี่ยวออกจากช่วงแขนหลวงตาแล้วเดินนำหน้าไปกุฏิ

หลวงตามองตาม หลังเจ้าป้อม ใจเผลอไปตู่เจ้าป้อมว่าไม่ใช่ลูก พ.ต.อนุศาสนาจารย์ แต่เป็นลูกของตนเอง หลวงตาเคยเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง จากไปไหนหลายๆ วัน เมื่อกลับมาเข้าหมาตัวนั้นมันวิ่งกระโดดหน้ากระโดดหลังดีใจ ครั้งหนึ่งถึงกับตะกายเอาจีวรขาด หลวงตายังชื่นใจกับเจ้าหมาตัวนั้น แต่นี่เจ้าป้อมมันเป็นคน เป็นลูกชายของนายทหาร แต่หลวงตาก็ไม่เคยเลี้ยงเจ้าป้อมอย่างพิเศษไปกว่าเด็กอื่นๆ เลย คราวหนึ่งนายพันตรีกับภรรยามาเยี่ยมลูกชาย คุณนายเห็นสภาพเจ้าป้อมก็หน้าเปลี่ยนสีไป

วันนั้นตลอดวันคุณนายเก็บ เสื้อกางเกงเจ้าป้อมไปซัก เอาที่นอนหมอนมุ้งออกตากแดด เสื้อกางเกงแห้งแล้ว ก็มานั่งรีดอยู่หน้ากุฏิหลวงตา เสื้อผ้ากองพะเนิน เพราะมันไม่ใช่ของเจ้าป้อมรายเดียว ของเจ้าจ๋อย เจ้าดอกรัก เจ้าเบิ้ม คุณนายจัดการหมด ตลอดเวลาที่คุณนายทำงานซักรีด หลวงตาหลบซ่อนหน้าอยู่ในกุฏิ เมื่อนายพันตรีนำน้ำอัดลมเข้าไปถวาย หลวงตาก็แอบบ่นกระซิบว่า

“แหม อายคุณนายจัง อาจารย์” หลวงตาเรียกนายพันตรีว่าอาจารย์ด้วยความชิน

“อายเขาทำไมล่ะขอรับ ?” นายพันตรีถาม

“ปล่อยให้ลูกชายเขาสกปรก น่ะซี ! นี่จะมินึกตำหนิหลวงตาไอ้ป้อมเข้าพะเรอแล้วรึ ?”

“ไม่เป็นไรหรอกท่าน ถ้าเขารังเกียจความสกปรก เขาคงไม่ยอมให้ผมเป็นผัวเขาหรอก”

“เอ๊ะ ! ทำไมยังงั้นล่ะ ?” หลวงตาอุทานตาใส

“ก็พ่อของเจ้าป้อมมันก็ไปจากวัด เคยสกปรกมาแล้ว จะให้ลูกมันวิเศษยังไงอีกล่ะ”

หลวงตาหัวร่อก้ากๆ ชอบใจ จนคุณนายต้องร้องถามเข้าไปว่า ชอบใจอะไรนักคะท่าน แต่หลวงตาไม่ตอบคงก้ากๆ ต่อไป หลังจากนายพันตรีกับภรรยาลากลับไปแล้วหลวงตาก็เริ่ม เอาใจใส่ลูกศิษย์มากขึ้น แต่ก็เป็นอยู่ได้พักเดียวเท่านั้น ไม่นานลูกศิษย์ก็ตกอยู่สภาพเดิม เช่นขณะนี้เจ้าป้อมเดินสะพายย่ามนำไปกุฏิ ก็นุ่งกางเกงตูดขาดรอยเบ่อเร้อ จวนจะถึงกุฏิเจ้าป้อมหันมารายงานว่า

“มีคนมารอ หลวงตาอยู่สองคนครับ มาตั้งแต่เมื่อวาน”

“ใครวะ รู้ไหม ?”

“ไม่ทราบครับเป็นคนบ้านนอก” เจ้าป้อมว่า

พอขึ้นกุฏิยังไม่ทันจะนั่ง หลวงตาก็ต้องตกใจ แขกตามที่เข้าป้อมรายงาน พอเห็นหน้าหลวงตาเท่านั้นก็ร้องไห้ แม่หวานบ้านทุ่งคำหยาด โพธิ์ทองกับลูกชาย “อะไรกันโยมหวานเอาน้ำมูกเข้ามาหา เอาน้ำตาเข้ามาให้เรื่องอะไรต้องร้องไห้ ?” หลวงตาปราศรัย

แม่หวานยังไม่ตอบ เอามือคลำชายพก แล้วก็นำซองจดหมายซึ่งยับยู่ยี่วางลงตรงหน้า หลวงตาหยิบมาคลี่อ่าน “แม่ ขอโทษบ้านโน้นเขาด้วย ข้าวของที่เขาลงทุนไปแม่ช่วยใช้เขาด้วย มันจะเสียเท่าไหร่ก็นึกว่าให้ฉันก็แล้วกันนะแม่ ฉันทนที่จะอยู่ต่อไปไม่ได้จริงๆ งานฉันนิมนต์หลวงตามาเทศน์หากว่าแม่จะจัดให้มี ฉันไม่อาจจะอยู่เลี้ยงดูแม่เหมือนคิดตั้งใจไว้ได้ บุญของฉันมันแค่นี้จริงๆ ช่วยระวังอย่าให้การจากไปของฉันต้องเดือดร้อนถึงคนอื่นนะแม่”

“ของใคร ?” หลวงตาเงยจากจดหมายงงๆ จับต้นชนปลายอะไรไม่ได้เลย

“ของเจ้าวิทย์จ้ะ” แม่หวานบอก

“แล้วมันไปไหน ?”

“มันตาย มันกินยาตาย” แม่หวานกล่าวพลางหลั่งน้ำตา สะอื้นไห้ออกมาอีก

“เล่าให้ฉันฟังซิ! เรื่องมันเป็นยังไง ถึงต้องกินยาตาย” หลวงตาถามเสียงลั่น

แม่หวานเริ่มเล่าให้ฟัง อาการระบายด้วยเสียงร้องไห้ว่าเจ้าประวิทย์เมื่อสึกจากพระแล้ว ก็ได้ช่วยเกี่ยวข้าวทำงานอยู่บ้านตามปกติ แม่หวานเห็นว่าโตเป็นหนุ่มและบวชเรียนแล้ว ก็ไปทำการสู่ขอผู้หญิงแถวบ้านเดียวกัน คิดจะแต่งงานให้เป็นหลักเป็นฐาน ซึ่งก็ยินดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ไปหาฤกษ์กะวันงานไว้ในเดือนหกก่อนลงทุ่งทำนา ดูเจ้าประวิทย์ก็เห็นว่ายินดีอยู่ ใกล้กำหนดเข้ามาก็ไปทำการทำงานจัดเตรียมรับงานอยู่บ้านเจ้าสาวและพาเจ้าสาวไปจัดซื้อข้าวของด้วยตนเอง อย่างที่ไม่เคยมีทีท่าอะไรว่าจะทำให้เจ้าประวิทย์ตัดสินใจง่ายๆ ถึงกับกินยาตาย

ทั้งทุ่งคำหยาดพากันงงไปหมด แม่หวานและญาติสนิทก็ไม่มีใครเข้าใจเหตุผล ของเจ้าประวิทย์ ถึงจดหมายที่มันเขียนลาไว้ก็บอกแต่ว่ามันอยู่ต่อไปไม่ได้ มันทนอะไรของมัน จะว่าฝ่ายหญิงเขาไม่ดีก็คิดไม่ออกว่าเขามีอะไรเสียหาย รูปร่างหน้าตาเขาก็ดี ฐานะเขาก็ไม่ต่ำ ความประพฤติก็ไม่ปรากฏว่ามีอะไรด่างพร้อย ตกลงหาเหตุไม่ได้ แต่ก็ต้องทำศพและจัดการชำระหนี้สินให้ตามที่มันขอร้องเอาไว้ มันจะได้ไม่มีเวรมีกรรมในชาติหน้า และนี่ก็จะงานศพมันแล้ว จึงมานิมนต์หลวงตามที่มันบอกไว้ หลวงตาฟังแล้วก็ถอนใจ นึกเห็นภาพเจ้าประวิทย์

“เขาทำมาแค่นี้ นะโยมนะ !” หลวงตาพูดเมื่อฟังเรื่องจบ ไม่รู้จะพูดอะไรให้มันฉลาดกว่านั้น

“ฉันไม่นึกเลยจ้ะ ท่าน ! ว่าจะต้องเผาลูก เคยนึกแต่ว่าจะตายอย่างไร จึงจะให้ลูกเขายุ่งน้อยที่สุด ไม่ต้องให้เขาพูดว่า คนตายขายคนเป็น เหมือนเคยได้ยินมา” แม่หวานยังสะอื้น

“เอาแน่อะไรกะความตาย ผู้ใหญ่ตายก่อนหรือเด็กตายทีหลัง เอาเป็นเกณฑ์ไม่ได้ มันสุดแต่บุญกรรมของใคร หมดก่อนก็ไปก่อน บุญกรรมทำมาไม่เท่ากัน หักอกหักใจเสียบ้างโยม” หลวงตาปลอบ

“ก็จริงละจ้ะ ! เมื่อยังไม่เจอกับตัว ก็พอคิดปลงไปได้ แต่พอมาเจอเข้า มันตั้งสติไม่อยู่ โธ่ลูกแท้ๆ ต้องมาถูกแม่เผา” แม่หวานไม่วายครวญ

“เผาอย่างนี้น่ะ ! ไม่เสียหาย อะไรหรอกโยม มันเป็นประเพณี เป็นหน้าที่ ตายแล้วก็เผากัน แต่ไอ้เผาอีกอย่างน่ะซี ! ไม่ดีเลย ระวัง !”

“เผายังไงเจ้าคะ ! ท่าน ?”

“เผาก่อนตายน่ะซี ! หาความเดือดร้อนมาให้ลูกด้วยความชั่วต่างๆ อย่างนี้แย่ ลูกที่ต้องเผาพ่อแม่ก็เหมือนกันไม่เสียหายอะไร เป็นความดี แต่ลูกที่สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้พ่อแม่ เขาเรียกว่าเผาพ่อเผาแม่เหมือนกัน อย่างนี้ไม่ดี แต่นี่เราเผากันเวลาตายผีมันไม่ร้อนหรอก แต่ระวังเผาผีอย่าให้ตัวเองร้อนก็แล้วกัน”

“เผายังไงเจ้าคะ ! เผาผีแล้วตัวเองร้อนน่ะ !”


(มีต่อ ๑)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 20 ต.ค.2004, 9:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ก็ประเภทหน้าใหญ่ใจโต น่ะซี ! ตัวเท่าเสาเงาเท่าพ้อม ทำงานเสียเกินฐานะ ไม่มีก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เข้าทำนองว่าคนตายขายคนเป็นอย่างที่โยมว่านั่นแหละ แต่ฉันว่าคนเป็นมันขายตัวเองต่างหาก ไปโทษผีไม่ถูกหรอก”

เมื่อตกลงเรื่องงานกันแล้ว หลวงตาก็รู้ว่าจะต้องไปทุ่งคำหยาดอีกวาระหนึ่ง เคยเห็นฤทธิ์ความกันดารมาแล้วเมื่อไปคราวก่อน ท่านเจ้าคุณพระเทพญาณสุธี (ปัจจุบันเป็นพระธรรมราชานุวัตร์) ซึ่งไปเทศน์ด้วยกันเรียกบ้านทุ่งคำหยาดว่า บ้านขยาด มันเป็นชื่อใหม่ที่เหมาะจริงๆ เพราะลงไปกลับมาแล้วเป็นต้องขยาดทุกราย แต่คราวนี้หลวงตาต้องไปจะขยาดไม่ได้ เพราะเป็นงานเจ้าประวิทย์ ซึ่งเคยมากินข้าวก้นบาตรของหลวงตาอยู่ระยะหนึ่ง

แม่หวานกับหลานชาย แม้จะพูดธุระกับหลวงตาเรียบร้อยแล้ว ก็ยังกลับทุ่งคำหยาดไม่ได้ ต้องค้างอีกคืนหนึ่ง ขณะที่พูดคุยกันตอนค่ำ หลวงตานึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง ก็เลยถามแม่หวานว่า

“แถวทุ่งคำหยาดเคยมี คนกินยาตายบ้างไหม ?”

แม่หวานทำหน้างงๆ แล้วก็หันไปถามหลานชาย “มีบ้างไหมไอ้หนู ?”

“เคยมี พี่น้ำค้างลูกสาวกำนันคนหนึ่งไงล่ะป้า ลืมเสียแล้วหรือ ?” เจ้าหลานชายบอก

“โฮ่ย ! นั่นมันนาน ๔-๕ ปีมาแล้ว ข้าไม่ลืมหรอกแต่นึกว่าท่านถามเร็วๆ นี้”

“ชื่อน้ำค้างหรือ ?” หลวงตาถามทวนชื่อ

แม่หวานกับหลานชาย แม้จะพูดธุระกับหลวงตาเรียบร้อยแล้ว ก็ยังกลับทุ่งคำหยาดไม่ได้ ต้องค้างอีกคืนหนึ่ง ขณะที่พูดคุยกันตอนค่ำ หลวงตานึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง ก็เลยถามแม่หวานว่า

“แถวทุ่งคำหยาดเคยมี คนกินยาตายบ้างไหม ?”

แม่หวานทำหน้างงๆ แล้วก็หันไปถามหลานชาย “มีบ้างไหมไอ้หนู ?”

“เคยมี พี่น้ำค้างลูกสาวกำนันคนหนึ่งไงล่ะป้า ลืมเสียแล้วหรือ ?” เจ้าหลานชายบอก

“โฮ่ย ! นั่นมันนาน ๔-๕ ปีมาแล้ว ข้าไม่ลืมหรอกแต่นึกว่าท่านถามเร็วๆ นี้”

“ชื่อน้ำค้างหรือ ?” หลวงตาถามทวนชื่อ

“มันเคยยุ่งกับเจ้าประวิทย์บ้างไหม ?”

“เอ ! ก็ไม่เห็นเขายุ่งกันนี่เจ้าคะ ! มันคนละชั้น เขามันรวย แต่เราจน เข้าไม่ถึงหรอก เออ นึกได้อีกอย่างแล้ว น้ำค้างมันก็กินยาตาย ก่อนหน้ามันจะแต่งงานไม่กี่วันเหมือนกัน เป็นยาอย่างเดียวกันเสียด้วย” แล้วแม่หวานก็ออกชื่อยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่ง

หลวงตาฟังแล้วพยักหน้าอย่าง ครุ่นคิดพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแล้วอวดว่ารู้หัวอกหัวใจลูกตัว ทุกอย่างน่ะไม่จริงเลย เช่น แม่หวานนี่เป็นต้น และเห็นเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง

เจ้าประวิทย์นี่เข้าลักษณะว่าน้ำนิ่งไหลลึก ภายนอกนั้นดูสงบดีหรอก แต่ในหัวอกของมันเต็มไปด้วยละลอก นับแต่แม่หวานกับหลานชายลากลับโพธิ์ทองแล้ว หลวงตาก็ครุ่นคิดถึงเจ้าประวิทย์ตลอดเวลา คิดไม่ตกว่าจะเอาธรรมะอะไร ไปเทศน์ให้เข้ากับเหตุการณ์ในชีวิตของมัน

ปกตินั้นหลวงตาไปเทศน์ที่ไหน มักจะขอรู้เสียก่อนว่าท้องถิ่นที่จะไปนั้นศีลธรรมข้อไหนที่คนละเลยจนเป็นเหตุให้เดือดร้อนกัน แล้วก็คิดค้นหาแง่หาโวหารข้ออุปาไปแก้ในเรื่องนั้น และก็รู้สึกว่าพอจะได้ผลดีกว่าเหวี่ยงแหดาดไป ตามกรมตามกองทหาร เช่นที่ลพบุรี โคราช เป็นต้น

ก่อนจะรับนิมนต์ หลวงตาจะต้องไต่ถาม ตัวแทนของทางราชการเสียก่อน ถึงความพิรุธบกพร่อง ในกรมกองนั้นๆ ท่านให้เหตุผลว่า พระพุทธเจ้าก่อนจะไปโปรดผู้ใด ท่านยังต้อง กำหนดรู้จริตนิสัยของผู้นั้นเสียก่อน สำรวจดูด้วยสัพพัญญุตญาณ ในเวลารุ่งอรุณ แต่นี่เรา เป็นสมมุติสงฆ์ปุถุชน ไม่มีญาณจะตรวจดูได้อย่างพระพุทธองค์ ก็ต้องใช้วิธีซักถามสืบสาวเอาความจริงจากถิ่นที่นั้นๆ เสียก่อน

ก็แต่ว่าครั้งนี้เป็นงานศพเจ้าประวิทย์ ซึ่งแม้แต่แม่ของมันเองก็ยังไม่รู้จริงเหมือนกัน ท่านจึงไม่ซักถามอะไรมากนัก เพียงแต่ประมวลเหตุการณ์แห่งชีวิตของเจ้าประวิทย์เป็น จุดสะท้อนธรรม เพื่อให้เกิดผลอานิสงส์แก่เจ้าของเหตุการณ์ คือผู้ตายอย่างแท้จริง

เจ้าประวิทย์ได้มารู้จักกับหลวงตา เมื่อครั้งเป็นทหารเกณฑ์ โดยติดตามร้อยโทบุญหลงมา เป็นคนมีลักษณะสง่า แต่เงียบเศร้า จะยิ้มจะหัวก็เหมือนคนอมทุกข์ หลวงตาไม่ชอบคนแบบนี้ ท่านบอกว่า เห็นแล้วไม่สบายใจ สอนลูกศิษย์ทุกคนให้ร่าเริงเข้าไว้ ท่านเคยเล่าว่า

ครั้งหนึ่งไปสวนโมกข์ที่ไชยาของท่านพุทธทาส รถวิ่งไปตามแนวทางซึ่งลดเลี้ยวไปในป่ายาง พอรถหยุดกลางสวนโมกข์ ได้ยินเสียงนกป่าร้อง มันร้องดังมากและร้องอย่างร่าเริงเบิกบาน เป็นเสียงที่แสดงถึงอิสระเสรีอย่างเต็มที่ผิดกับนกในกรงที่คนจับมาขังไว้ แม้จะฟังไพเราะแต่ก็เป็นเสียงที่เค้นออกมา จึงฟังสบายใจสู้เสียงนกในป่าที่สวนโมกข์ไม่ได้ แล้วสรุปเป็นคติว่า

“เกิดมาเป็นคน อย่าพยายามสร้างกรงขังตัวเอง ใช้ชีวิตอิสระเท่าที่จะทำได้ แล้วเสียงหัวเราะจะไพเราะเหมือนเสียงของนกป่า”

หลวงตาพยายามแก้ไขบุคลิกของเจ้าประวิทย์ ด้วยการสอน การเตือน และเรียกมาคุยเรื่องสนุกให้ฟัง บางครั้งก็ลงทุนถึงกับร้องแหล่สัปดน เจ้าประวิทย์ซาบซึ้งในเจตนาของหลวงตาดี

ก็เลยเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตน ต้องกลายเป็นนกในกรงให้หลวงตาได้ทราบ ว่าก่อนหน้าที่จะมาเป็นทหารเคยรักใคร่ได้เสียกับ ผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อน้ำค้าง เป็นลูกสาวกำนัน อยู่ต่อมามีคนมาสู่ขอน้ำค้าง พ่อแม่ของน้ำค้างก็ตกลง และนัดวันแต่งงานแล้ว คืนวันหนึ่งน้ำค้างหลบออกจากบ้านมาพบตนและร้องไห้ปรารภถึง ความทุกข์ที่สำคัญ

ไม่ต้องการให้ลูกของตนเป็นลูกสองพ่อ ประวิทย์ก็กลุ้มใจเป็นที่สุด จะปรึกษาพากันหนีก็ไม่ได้ ตนเองก็ค่อนข้างจะยากจน เกรงจะพาน้ำค้างไปลำบาก จึงพูดไปตามประสากลัดกลุ้มว่า “ก็ตายมันเสียซี ! น้ำค้าง ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป” ไม่นึกเลยว่าน้ำค้างจะตัดสินใจตามคำพูดแบบชุ่ยๆ ของตน น้ำค้างกินยาตายก่อนหน้า วันแต่งงานไม่กี่วันชาวบ้านพากันโจษจันไปต่างๆ นานา

แต่ไม่มีสักรายเดียวที่เดาใจน้ำค้างได้ถูกนอกจากตน นับแต่น้ำค้างตาย ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ประวิทย์มีน้ำค้างอยู่ในความสำนึกเสมอ รุ่งขึ้นอีกปีถูกเกณฑ์ทหาร น้ำค้างก็ยังติดตามมาครองอารมณ์อยู่ด้วย

“ผมเลิกคิดถึงน้ำค้างไม่ได้ครับหลวงตา” พลทหารประวิทย์กล่าวเมื่อเล่าจบ


(มีต่อ ๒)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 20 ต.ค.2004, 9:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องของพลทหารประวิทย์ทำให้หลวงตาหงอยลงไปถนัด เห็นใจในเหตุเศร้าของมัน คนหนุ่ม รักครั้งแรกที่จบฉากลงด้วยความตาย อย่าว่าแต่เด็กหนุ่มๆ อย่างมันเลย แม้อกแก่ๆ อย่างหลวงตา โดนเข้ามั่งก็คงยิ้มไม่ออกเหมือนกัน ตกลงหลวงตาแนะให้พลทหารประวิทย์เข้ากรรมฐาน โดยนำไปฝากเพื่อนนักปฏิบัติรูปหนึ่ง พลทหารประวิทย์ก็ยินดีกระทำตาม หลวงตาแนะล่วงมาหลายวัน พลทหารประวิทย์มาหาหลวงตา หลวงตาก็ลงมือสอบอารมณ์ทันที

“ขณะที่ผมมีใจสงบ พอจิตตกห้วงภวังค์เป็นต้องสะดุ้งถอยหลังกลับทุกคราว” ประวิทย์เล่า

“ทำไม ?” หลวงตาซัก

“เห็นน้ำค้างครับหลวงตา”

หลวงตาทำตาโตด้วยความประหลาดใจ

“ทุกครั้งที่จิตสงบตกสู่ภวังค์เป็นต้องเห็นน้ำค้างทุกที ประวิทย์เล่าต่อ “บางครั้งยิ้ม บางครั้งบึ้ง บางคราวก็ร้องไห้ มีครั้งหนึ่งยืนชี้หน้าผม เมื่อเรียนชี้แจงพระอาจารย์ ท่านก็ให้ผมกรวดน้ำแผ่ส่วนบุญให้เจ้าของนิมิต คือน้ำค้างและเตือนให้ควบคุมใจให้ดี หากภาพของน้ำค้างมาปรากฏอีกท่านให้ยกเข้าสู่ไตรลักษณ์ ว่าภาพนั้นไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ และไร้ตัวตนเป็นมายา แต่ก็ทำไม่ได้ นอกจากกรวดน้ำแผ่ส่วนบุญอย่างเดียว”

“ทำไมล่ะ ? อาจารย์แนะอย่างไรก็ทำตามซี ! เพราะเป็นการหลุดรอดของตัวเอง” หลวงตาว่า

“ไม่มีโอกาสครับ เพราะหลังจากนั้นแล้ว ภาพของน้ำค้างก็ไม่มาปรากฏอีกเลย จนผมไม่สบายใจ จิตใจมันฟุ้งซ่านเรื่อย บังคับไม่อยู่ พยายามจะให้เห็นภาพน้ำค้างอีกก็ทำไม่ได้” พลทหารประวิทย์พูดด้วยเสียงเครือ

“ทำไมจึงได้พยายามนึกพุ่งไปอย่างนั้นล่ะ ?”

“ผมคิดถึงน้ำค้างครับ! อยากเห็นแกสวยเหลือเกิน”

“เวร !” หลวงตาอุทาน “เราไม่ไปเขาก็มา ครั้นเขาไม่มาเรากลับไปหาเขา ใจของเจ้ามันหนักในอารมณ์ยินดีราคะเป็นอุปสรรค ต้องพยายามซิ !”

หลวงตาบอกพลทหารประวิทย์ว่า เรื่องอย่างนี้ท่านฟังเล่ามาสองรายแล้ว รายหนึ่งเป็นแม่ชี ในอดีตสามีเป็นคุณพระเข้ากรรมฐานที่สำนักหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี พอจิตตกสู่ภวังค์จะเห็นช้างเชือกหนึ่งกับควายอีกตัวหนึ่งมาปรากฏ และสะดุ้งจิตถอยกลับสำหรับช้างนั้น แกเคยนั่งบนคอแต่ครั้นรุ่นสาวคราวไปนมัสการพระแท่นดงรัง กาญจนบุรี

ส่วนควาย แกเคยขี่หลังมันคราวไปเยี่ยมพี่สะใภ้ที่กรุงเก่า แต่ครั้งยังรุ่นสาว บัดนี้แกอายุเข้าใกล้แปดสิบแล้ว ช้างกับควายนี้แกคิดว่าแกลืมมัน จิตมันเก็บเข้าไปฝังไว้ลึก อารมณ์ปัจจุบันมันผ่านมาครองใจทำให้ไม่มีโอกาสจะนึกถึง ความเก่าอันเนิ่นนานมาแล้ว แต่เมื่อไปเข้ากรรมฐานอารมณ์ปัจจุบันถูกกันไว้ด้วยสติ ครั้งจิตจะหยั่งลงสู่วิเวก จิตตกสู่อำนาจของกรรมเก่า ทำให้ดิ่งนิ่งต่อไปไม่ได้ เกิดนิวรณ์ขึ้นทันที

อีกรายหนึ่งเป็นผู้ชาย เคยเอาลูกชายมาฝากเป็นศิษย์หลวงตาอยู่พักหนึ่ง เขาเข้ากรรมฐานเห็นหมาเป็นฝูงๆ เพราะเมื่อหนุ่มๆ เขาเป็นนักล่าหมาบ้า ฆ่าหมาบ้าเสียมากมาย รวมทั้งหมาดีด้วย หลวงตาสรุปว่า เหตุนี้แหละพระจึงสอนไม่ให้คนทำบาป แต่คนไม่เข้าใจหาว่าพระเทศน์ คอยแต่ขัด

ความสำราญเห็นพระเป็นศัตรูไป ความจริงพระไม่ใช่มาร ไม่เคยขัดความสุข ความสำราญใคร แต่ที่สอนนั้นก็ด้วยเมตตาสงสาร เกรงจะทำบาปกรรมกันมากเกินไป

เพราะกรรมที่ทำลงไปทุกครั้งอย่าทะนงว่าผู้อื่นไม่เห็น จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน แล้วจะไม่มีบาป ถึงคนอื่นไม่เห็น แต่ตัวเองจะต้องเห็นตัวเอง และกรรมทุกชนิดมันไม่หายไปไหนหรอก มันจะแทรกเข้าฝังอยู่ในเนื้อวิญญาณอย่างสนิท มันจะคอยเป็นอุปสรรคของจิตวิญญาณเอง ไม่ให้ย่างเข้าสู่ภาวะสงบ เข้าสู่ความสุขที่สนิทไม่ได้ ก็สุขได้เพียงประสาวิสัยโลกีย์ ซึ่งมีรสที่แตกต่างกว่ารสที่เกิดจากจิตวิเวกมากนัก เวรกรรมที่มักทำไว้ มันจะมาติดตามและคอยขัดขวางตอนที่ดวงจิตจะย่างเข้าสู่ความสุขที่สูงกว่าโลกีย์ นี่แหละใครทำบาปไว้มากก็มีเครื่องรบกวนจิตมาก ใครทำบาปน้อยก็ได้รับน้อย

ถ้าเป็นกรรมเป็นบาปที่สำคัญ ท่านว่าถึงกับห้ามสวรรค์นิพพานทีเดียว ก็หมายถึงว่ากรรมชนิดนี้ จะเป็นกำแพงขวางไม่ให้จิตย่างเข้าไปสู่เขตสุขของสวรรค์ หรือเขตของโลกุตตระวิสัยได้เลย กรรมนี้ก็ได้แก่ อนันตริยกรรมฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ชอกช้ำพระวรกาย และทำลายสามัคคีธรรมของสงฆ์ ให้แยกโบสถ์แยกสังฆกรรมกัน และอาบัติปาราชิก ๔ ข้อพระพระภิกษุ

“เอ็งต้องพยายามต่อไป เจ้าประวิทย์” หลวงตาว่า

“เพียงแต่เอ็งเป็นต้นเหตุให้นางน้ำค้างมันตายน่ะ ยังไม่เท่าไรหรอก เพราะที่จริงเอ็งก็ไม่ตั้งใจจะให้น้ำค้างมันฆ่าตัวตาย แต่เอ็งปากพล่อยไป พูดตามประสาคนกลัดกลุ้ม แต่ถ้าเอ็งไม่ควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้ น้ำค้างมันก็จะตามทวงเอ็งอย่างรุนแรงเหมือนกัน ยังพอมีทางแก้ไข กรรมอันเกิดจากความประมาทของเอ็งนี้ ยังไม่ถึงกับห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพานหรอก เพราะน้ำค้างไม่ใช่แม่เอ็ง”

ประวิทย์พยายามปฏิบัติตามที่หลวงตาแนะทุกอย่างจนกระทั่งออกจากทหาร กลับไปบ้านทุ่งคำหยาดก็ยังเวียนมาเยี่ยมหลวงตาเสมอ ตอนหลังๆ นี้ก็รู้สึกว่าประวิทย์ค่อยแจ่มใสร่าเริงขึ้น มักจะมีอารมณ์ขันเหมือนหลวงตาบ้าง พอลงแล้วประวิทย์ก็บวชนิมนต์หลวงตาไปเทศน์แทนทำขวัญ หลวงตาก็เลยพลอยร่วมเป็นเจ้าภาพด้วย ค้างอยู่สองสามวันให้โอวาทตักเตือน ในกิจของสมณะนวกะให้ปฏิบัติให้เคร่งครัด จะได้เกิดอานิสงส์ไปถึงญาติโยมพี่น้องด้วย แต่พระภิกษุประวิทย์บอกหลวงตาว่า

“การบวชของผม นอกจากตั้งใจสนองบูชาคุณของโยมแล้ว ผมตั้งใจบวชให้น้ำค้างด้วยครับหลวงตา” หลวงตายิ้ม นึกถึงอันตรายของภิกษุบวชใหม่ในนวโกวาทข้อที่ว่า “ตัดผู้หญิง” แต่ก็นึกสบายใจว่าผู้หญิงที่ภิกษุประวิทย์เข้าไปตัดนั้นเป็นผีคงไม่เป็นไร

พรรษานั้นผ่านไป ประวิทย์ส่งข่าวให้หลวงตาทราบว่าตนได้ลาสิกขาบทแล้วหลังจากรับกฐินได้ไม่กี่วัน จากนั้นข่าวคราวของประวิทย์ก็เงียบหายไป มารู้เรื่องของมันอีกที ก็เมื่อแม่หวานแม่ของมันมาส่งข่าวด้วยน้ำตา มันกินยาตายก่อนจะแต่งเมียไม่กี่วัน มันตายเหมือนน้ำค้าง และโดนยาฆ่าแมลงชนิดเดียวกัน

หลวงตาทบทวนเรื่องของเจ้าประวิทย์อย่างละเอียดละออ เรื่องของมันตามข้อเท็จจริงที่หลวงตารู้นั้น จะนำออกมาพูดมาเล่าให้แม่มันรู้พี่น้องมันทราบ ก็มองไม่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์อะไร นอกจากอาจจะเกิดความมัวหมองต่อตระกูลของน้ำค้างเปล่าๆ ทำคุณจะกลายเป็นโทษ แต่หลวงตาจะเทศน์ว่าด้วยเรื่องอะไรดีเล่า หลวงตาคิดหาช่องทางที่จะประกาศธรรมให้เหมาะแก่ชีวิตที่ตายไปแล้วของมัน

“มันตายเพราะอะไร ?”

หลวงตาตั้งคำถามแก่ตัวเอง มันตายเพราะยาฆ่าแมลงเหมือนน้ำค้าง ที่มันเคยแนะนำให้ตาย หลวงตาตอบ แล้วอะไรล่ะที่ทำให้มันกินยาฆ่าแมลงอย่างนั้น ? ตอนนี้หลวงตาตอบไม่ได้ง่ายเสียแล้ว ต้องวาดสมมุติฐานขึ้นมาเอง คาดคะเนเอามันจะแต่งงานกัน ผู้หญิงที่แม่มันสู่ขอให้ มันก็คงรัก มันจึงไปช่วยตระเตรียมงานแล้วทำไมมากินยาตายเสียล่ะ ? ถามอีก มันคงคิดถึงน้ำค้างเมียเก่าของมัน ก็คิดถึงน้ำค้าง ทำไมไม่กินยาตายตามน้ำค้างไปในตอนนั้นเล่า ?

ตอบอย่างไรหว่า ! ตอนนั้นมันไม่กินยาตาย มันคงยังไม่คิดหรือคิดไม่ถึง ทำไมมาคิดเมื่อจวนจะแต่งงาน ส่วนมันซึ่งรักน้ำค้างเหลือเกิน ถึงกับไม่ยอมอยู่เป็นเมียคนอื่นนอกจากมัน น้ำค้างตายด้วยคำยุพล่อยๆ ของมัน แต่มันไม่ยอมตาย และกำลังจะมีความสุขกับผู้หญิงอื่น คิดไปคิดมานั่งชังตัวเอง เป็นผู้ชายเสียเปล่า ! ไร้สัจจะ ! รู้แต่จะเอาตัวรอด ยิ่งคิดก็ยิ่งเกลียดตัวเอง ไม่น่าอยู่เป็นผู้เป็นคนเลย ตายเสียเถอะ ! ตกลง ! ! ตายยังไงดี ? วิธีเดียวกับน้ำค้าง ยายี่ห้อเดียวกับน้ำค้าง ในวาระใกล้วันแต่งงานเหมือนน้ำค้าง ไชโย ! !

หลวงตา ถาม – ตอบ ตัวเอง ราวกับคนบ้า

ผิดอยู่แต่ไม่พูดออกมาเท่านั้น และได้หัวข้อเรื่องเทศน์แล้ว หลวงตาจะไปเทศน์งานศพเจ้าประวิทย์เรื่อง “อำนาจแห่งความสำนึก” ไงล่ะ ! ความสำนึก เป็นบ่วงคล้องจิตที่เหนียวแน่น ทำกรรมใดไว้ ถ้าเป็นกรรมสำคัญ จิตจะต้องตกอยู่ในกรรมนั้นตลอดเวลา แยกลำบากพรากไม่ค่อยหลุด

นี่แหละอำนาจแห่งความสำนึก ผู้หวังความอิสระแก่ตน อย่าพึงประกอบกรรมบาปพึงเว้นบาปทั้งหลาย เหมือนคนต้องการเป็นอยู่ เว้นยาพิษฉะนั้น



----------- จบ -----------
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
๛ สายลม ๛
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 ต.ค.2004, 12:14 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ อมัย สาธุ
 
^^o^^
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 พ.ค.2007, 4:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 
suvitjak
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.ค.2008, 4:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ขอบคุณครับ สาธุ
 

_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง