Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ธรรมะเป็นภูมิคุ้มกันชีวิต (หลวงปู่พุทธะอิสระ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2006, 11:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คัดลอกจาก...
http://www.dhamma-isara.org/dhamprotect_1.html

สาธุ สาธุ สาธุ


วันเสาร์ ที่ 23 ธันวาคม 2543
ณ สหกรณ์เลมอนฟาร์มพัฒนา จำกัด เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่



เจริญธรรม บรรดาพุทธบริษัทที่รักทั้งหลาย ขอขอบคุณเจ้าของสถานที่โดยเฉพาะ

ผู้จัดการสหกรณ์เลมอนฟาร์ม และท่านผู้อำนวยการคือคุณโสภณ สุภาพงษ์ ส.ว.ที่รักของเราทั้งหลาย

รวมทั้งญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย สารภาพตรงๆว่ารู้สึกอบอุ่นมากอบอุ่นตั้งแต่แรกที่เข้ามาอยู่ในนี้

ก็รู้สึกว่ามาอยู่ท่ามกลางญาติเก่าๆ หลายท่านไปวัด หลายท่านฟังธรรมมาเยอะแล้ว…

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2006, 11:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การแผ่เมตตา

เมื่อสักครู่ฉันภัตตาหารเสร็จแล้วก็นำแผ่เมตตา เห็นคนน้อย ๆ นึกอยู่ว่าจะนำแผ่เมตตาสั้นๆ ได้ไหม

ก็รู้ว่าไม่ได้ เพราะการแบ่งบุญในส่วนที่ตัวเองมีและเป็นการแบ่งความดีให้แก่คนอื่นเขาจะได้ยินหรือ

ไม่ก็ตามทีมันเป็นการสร้างความอาทร ความมีน้ำใจ ความการุณย์ เห็นอกเห็นใจ ที่เราพอจะทำได้

ถ้าเราทำบ่อยๆ จะเป็นบารมีธรรม พระสีวลีมหาเถระ ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีลาภมาก

และยังได้รับยกย่องว่าเป็นที่รักของเทวดา มีเพื่อนเป็นเทวดามาก จะไปถิ่นทุรกันดาร ยากลำบากแค่ไหน

แม้พระศาสดาก็มักจะถามพระอานนท์เสมอว่า พระสีวลีไปด้วยหรือเปล่า แม้ว่าถิ่นนั้นจะลำบากแค่ไหน

กันดาร ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ หากพระสีวลีไปด้วยพระสงฆ์ทั้งหลายจะไม่อด เป็นเพราะเหตุใด..

ที่แม้พระศาสดาก็ยังอาศัยพระสีวลี เป็นเพราะพระสีวลีเป็นผู้สร้างบุญบารมีในทางมีเมตตา

สร้างความรักความอาทร ความการุณย์ ความอุดหนุนอนุเคราะห์ ทุกๆ ภพทุกๆ ชาติที่ท่านเกิดมา

ท่านก็ปรารถนาให้สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข พ้นทุกข์ภัย ทุกครั้งที่ท่านทำบุญสุนทรทานใดๆ

ท่านจะแบ่งบุญเหล่านั้นให้กับเพื่อนมนุษย์ มาร พรหม สรรพสัตว์และเทวดาทั้งหลาย

นานๆ เข้าท่านก็มีเพื่อนเป็นพรหม มาร เทวดา ทั้งหลาย ท่านจึงไม่เคยตกทุกข์ได้ยาก

เมื่อใดที่ตกทุกข์ได้ยาก ก็จะมีพรหม มาร เทวดา สัตว์ทั้งหลายให้การช่วยเหลือเสมอ การได้แบ่งบุญ

แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลนี้ ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แม้ว่าเราจะไม่เห็นในชาติหน้า แต่ปัจจุบันที่เราได้เอื้อนเอ่ยวลี

ท่องวจี หรือพูดในใจว่า "ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข ขอบุญนี้จงถึงเทวดา มาร พรหม " การที่เราได้แบ่งบุญดีๆ

อย่างนี้ให้กับสัตว์ทั้งหลายด้วยอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร แน่นอนถ้าเราไม่อาทร ไม่การุณ ไม่เกื้อกูล

ไม่คิดจะให้ ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม ที่เราทำเพราะเรา อาทร การุณย์ เกื้อหนุน จุนเจือ

ก็แสดงว่าเรากำลังสร้างสัมพันธภาพอันดีที่มีอยู่ในเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ทั้งที่มีตัวและไม่มีตัว เห็นตัวและไม่เห็นตัว

ถือว่าดีกว่ามีชีวิตอยู่เปล่าๆ มีชีวิตแบบไม่ไร้ค่า มีชีวิตอยู่กับชนคนทั้งหลายที่อยู่รอบข้างตัวเรา ดีกว่าอยู่แบบตัวใครตัวมัน

ไม่การุณย์ ไม่อุดหนุน วิถีแห่งพระโพธิญาณ หรือวิถีหนึ่งแห่งพระโพธิสัตว์จึงเป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ได้

เปรียบดั่งต้นโพธิ์ที่ยืนอยู่ให้สัตว์ทั้งปวงมาอิงอาศัย หลบทุกข์ภัยเดือดร้อน จากลม ฝน แดด ฉันใดก็ฉันนั้น

จิตวิญญาณของใคร ผู้ใด ที่มีจิตใจเมตตา การุณย์ อุดหนุน อนุเคราะห์ ย่อมเป็นที่รักแก่ชน คนทั้งหลาย ทั้งปวง

เหมือนดังคนผู้นั้นมีโพธิญาณ โพธิศรัทธา เป็นโพธิปัญญา ดำรงไว้ซึ่งโพธิธรรม มีโพธิบารมีอยู่ในจิตวิญญาณ ในกายตน

ต้นโพธิ์เป็นร่มเงาที่พึ่งพิงอิงแอบของสัตว์ได้ฉันใด คนที่มีโพธิญาณ โพธิศรัทธา โพธิปัญญา โพธิจิต โพธิธรรม

และโพธิวิญญาณ อยู่ในหัวใจ ย่อมเป็นที่พึ่งพิงของสัตว์ทั้งปวงได้ฉันนั้นเหมือนกัน

คราครั้งใดที่มีโอกาสได้ทำดีแล้วแบ่งบุญกุศลผลความดีนั้นให้กับสัตว์ทั้งปวงทั้งหลาย เทพ พรหม มาร เทวดา

เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เป็นการสร้างวิถีแห่งโพธิญาณ บารมีธรรม ที่เรียกว่าเมตตาบารมี หนึ่งในบารมี 10 อย่าง

ของพระพุทธเจ้า เป็นการสร้างทานบารมี คือการให้ การสละ แบ่งปัน สิ่งเหล่านี้ เมื่อสร้างให้เกิดขึ้นมันเกิดประโยชน์อย่างไร

อย่างน้อยมันก็ทำลายความตระหนี่ความคับแคบ จิตใจอิจฉาริษยา เห็นแก่ตัว ละโมบ หลง โง่งี่เง่าอยู่ในสิ่งไร้สาระ

มลภาวะเหล่านี้จะหมดและหายไปในทันทีเมื่อเรามีจิตคิดจะเมตตาปรารถนาจะการุณ อุดหนุนอนุเคราะห์ คนอื่น

มันก็ดีกว่าอยู่เปล่าๆ อีกหลายเรื่อง คนที่มีไมตรีต่อคนทั้งหลาย สัตว์ทั้งปวง ไม่ต้องพกหลวงพ่ออะไร

ก็เป็นที่รักของคนชนทั้งหลาย อยู่ใกล้ก็ปลอดภัย ไปไกลก็คิดถึง พระพุทธเจ้าจึงบอกและสอนลูกหลาน สรรพญาติ

และสรรพสาวกของพระองค์ว่า ผู้เจริญเมตตาในช่วงเวลาแค่ลัดนิ้วเมือเดียวมีอานิสงฆ์มากกว่าสร้างมหาเจดีย์เสียอีก

การเจริญเมตตาที่ว่านี้ก็คือ ทุกครั้งที่เรามีความเมตตา คราครั้งใดที่เรามีความเอื้ออารี ปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งปวง

และแบ่งความดีเหล่านั้นเอ่ยวลี หรือวจี ที่เปล่งออกมาด้วยความจริงใจ ตั้งใจจริง หลวงปู่เชื่อว่าเรากำลังดำเนิน

ตามรอยเบื้องยุคลบาทพระศาสดา พระสัมมาสัมพุทธะผู้ประเสริฐพระองค์นั้น

ที่พระองค์ทรงชี้ทางสงบ ทางสว่าง ทางแห่งสติปัญญา และชี้ทางสันติวิถี

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2006, 11:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เราจะมีสันติภาพ มีดุลยภาพ และมีสันติภาพอันงดงามแจ่มใสรอบกายเรา ทั้งตนคนรอบข้าง

และสังคมรอบตัว ทุกคนจะยิ้ม อาทร การุณ อุดหนุน อนุเคราะห์ และสุดท้ายให้อภัยแก่กัน

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่ต้องทำให้เกิด และสิ่งที่ทำให้เกิดคือเมตตา รู้จักแผ่เมตตา

เหล่านี้แหละที่คนโบราณเขาสอนลูกหลานว่า ทำบุญแล้วต้องกรวดน้ำ เหล่านี้แหละคือเจตจำนงค์ของพระศาสดา

ที่สอนให้เราปฏิบัติเพื่อเจริญเมตตา เพื่อยังเมตตาให้โตพร้อมกับตัวเราตาย ดีกว่ายังให้ตัวเราโต

สุดท้ายตาย แล้วก็ไม่ได้อะไร แม้แต่เมตตาก็ไม่มีในหัวใจ เรียกว่าอยู่เพื่อรอวันตายเฉยๆ ไม่ได้เตรียมตัวตาย

อยู่แล้วไม่เตรียมตัวเพื่อพร้อมเผชิญกับความจริง ไม่พร้อมที่จะตายในที่สุด เพราะเมื่อถึงความจริง

ก็จะตะขิดตะขวงใจ หวาดระแวง สะดุ้งผวา ตีโพยตีพาย คนที่เจริญเมตตานี้ มีอานิสงฆ์ถึงขนาดที่ว่า

เมื่อถึงวันตาย จิตจะสงบสันติ เทวดาพรหมมารทั้งหลายก็จะมาชวนไปอยู่

ในพระสูติกล่าวไว้ว่ามีเศรษฐีท่านหนึ่ง ชั่วชีวิตของเศรษฐีนี้ไม่ว่าจะทำบุญสุนทรทานใดๆ

ก็จะแบ่งบุญให้กับสัตว์ต่างๆ พรหมทุกชั้นฟ้า เทวดาทุกชั้นสวรรค์ ยักษ์ มาร ผีห่า ซาตาน

เมื่อมีชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นขี้ข้าธรรมดาได้มีโอกาสเข้ามาเป็นคนรับใช้บ้านเศรษฐี

มีโอกาสได้รักใคร่ชอบพอกับลูกสาว ทำตัวดี เศรษฐีก็ยกให้เป็นลูกเขย และไม่เคยที่จะหยุดทำความดี

จนถึงวันใกล้จะตาย ได้ชี้ให้ลูกเมียเห็นว่า รอบตัวเขา มีแต่คนที่ชวนไปอยู่

คนอื่นๆ ที่เกิดเป็นเศรษฐีแต่ขี้เหนียว ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจคนอื่น ไม่เมตตา ไม่อาทร

แม้ตัวเองก็ไม่ให้น้ำใจ ไม่มีหัวใจใส่ใจว่าตัวเองต้องการอะไร รักษาแต่ทรัพย์ตายแล้ว

เดินไปบ้านใดเขาก็ไล่ส่ง หิวก็ไม่มีใครให้ มีแต่เงินกับทอง กองไว้แต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้

จึงได้แต่คิดว่าเราสะสมทรัพย์ผิดประเภท

การเจริญเมตตานี้นอกจากจะสร้างสัมพันธภาพอันดีให้กับชาติปัจจุบันนี้แล้วยังส่งผลให้

โลกหลังความตายปลอดภัยไร้กังวลอีกด้วย หนึ่งในธรรมะหลายสิบข้อ หรือหลายพันข้อ

หรือ 84,000 ข้อนั้น ข้อหนึ่งที่ควรจะทำ ทำเป็นประจำและทำให้เป็นปกติ เป็นนิจคือการเจริญเมตตา

และไม่ต้องมีพิธีกรรม พิธีการมากมายใหญ่โต เพียงแค่ว่าทุกเช้าที่เราตื่นขึ้นมานึกขึ้นได้ก็กล่าวว่า

ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข ทำดีมา ก่อนนอนก็ภาวนาในใจว่าขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข ไม่รู้จะทำอย่างไร

วันๆ ทำแต่งานเมื่อนึกขึ้นได้ก็ภาวนาขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข มันมีค่ามีราคา ได้ประโยชน์

เมื่อสักครู่ได้คุยกับคุณโสภณ ได้ปรารภถึงเรื่องปัญหาของสังคมที่ปรากฏและเกิดขึ้น

ที่วัดของหลวงปู่มีกิจกรรมมีเด็กๆ มาเรียนหนังสือ ตั้งมูลนิธิเพื่ออนุเคราะห์สังคม

ซึ่งเขาไปเอาเด็กซึ่งเหลือเลือกแล้วจากโรงเรียน บางคนไม่มีพ่อแม่ส่งเสีย จ้างครู 6-7 คน

และมีครูจากวิทยาลัยผลัดเปลี่ยนกันมาสอน ใช้หลักสูตร กศน. และผสมผสาน

ซึ่งหลวงปู่ใช้คำว่า "บูรณาการ" หลวงปู่บอกกับพวกเขาว่า มาเรียนที่นี่ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบ

แต่เรียนเพื่อทำ ในขณะที่เขามาอยู่นี้เขามีอาชีพเป็นของเขาเอง มีเงินเก็บกลับไปบ้าน

หลวงปู่สอนให้ดองผัก ทำขนมครกขาย ทำซาลาเปา นึ่งขนมปัง ทำน้ำซุปเผือก ข้าวโพด …ฯลฯ

เวลาวัดมีงานประจำทุกเดือน เช่นฟังธรรมประจำเดือน กฐิน ผ้าป่า เมื่อคนเขามาทำบุญ

เห็นของที่เด็กทำก็ช่วยอุดหนุน ซื้อไปใช้ประโยชน์ เด็กนักเรียนสมัยนี้เขาเรียนเพื่อสอบ

คุณโสภณบอกว่าอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร หลวงปู่ว่าเราเปลี่ยนกันมาหลายครั้งแล้ว

เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็ยังเป็นขี้ข้าชาวบ้านอยู่เหมือนเดิม ยังขายแรงงาน โง่ พึ่งตัวเองไม่ได้

ต้องพึ่งนายทุน ยืนหยัดด้วยตัวเองไม่ได้เหมือนเดิม ไม่ใช่เพียงหลักสูตรทางโลกหรอก

หลักสูตรทางพระก็เป็นอย่างนี้ที่ผ่านมาเรามีมหาเปรียญเยอะเต็มบ้านเต็มเมือง มีบัณฑิต

มีด็อกเตอร์เต็มบ้านเต็มเมือง เมื่อศาสนาเอาวิธีการแบบทางโลกมาใช้เราจึงมีแต่บัณฑิตสกปรก

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2006, 11:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระธรรมเป็นเครื่องฟอกจิต

พระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เรื่องทางโลกเขาเรียกว่าเครื่องย้อมจิต

มีลาภ เสื่อมลาภ มีนินทา มีสรรเสริญ เป็นเครื่องย้อมจิตทำให้จิตฟู จิตกระเพื่อม

จิตสุข จิตทุกข์ จิตวุ่นวาย มียศ เสื่อมยศ มีของชอบ ของชัง ยอมรับ ปฏิเสธ

วิถีแห่งโลก ก็คือวิถีแห่งเครื่องย้อม ส่วนวิถีเครื่องฟอกคือวิถีแห่งพระธรรม ผู้ปฏิบัติธรรม

ผู้เรียนรู้ธรรม ผู้แจ่มแจ้งในธรรม คนผู้นั้นต้องมีเครื่องฟอกจิต ต้องไม่ปรากฏความขุ่นข้องหมองใจ

มลภาวะใดๆ จิตควรและพร้อมต่อการงาน ไหว้ตัวเองได้และทำตนให้คนอื่นไหว้ได้

นั่นคือความหมายของคนมีธรรมมะ

มีคนถามเยอะแยะว่าปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องฟอกจิตแล้วทำไมคนที่อยู่กับพระธรรมมาชั่วชีวิต

ยังคิดคดอยู่ได้ คนที่เรียนรู้พระธรรมมาตลอดชีวิตทำไมจึงยังทำไม่ดี คิดไม่ดี พูดไม่ดีอยู่ได้

หลวงปู่ตอบไปว่า คนเหล่านั้นเพียงแค่ลูบคลำพระธรรม เขาไม่ได้ลงมือกระทำ

หากเขาลงมือกระทำพระธรรมจะทำให้เขาปลอดภัยจากเครื่องร้อยรัด

พระธรรมนี้อยู่กับใครจะไม่ทำให้เศร้าในขณะที่คนอื่นร้องไห้ ไม่เสียในขณะที่คนอื่นเสีย มีชัยชนะ

อันดับแรกคือชนะตัวเอง ชนะอารมณ์ ชนะตัวเอง ชนะจิตวิญญาณที่หลุดลงไปในกระแสโลก

มีตาเห็น หูฟัง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส มีพระธรรมจะไม่ตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้

รวมแล้ว พระธรรมคือกระบวนการบริหารจัดการชีวิตให้ได้ดีมีประสิทธิภาพ

นอกจากนั้นพระธรรมยังเป็นเครื่องตอบปัญหา-ชีวิตได้อย่างวิเศษ ชีวิตคือปัญหา

ทุกชีวิตที่เกิดมามีปัญหาทั้งนั้น และพระธรรมก็คือเครื่องแก้ปัญหาชีวิต ชีวิตคือการตั้งคำถาม

ชีวิตใดที่ไร้คำถาม นั่นเป็นชีวิตที่ไร้ชีวิต ชีวิตคือการตั้งคำถาม และพระธรรมคือเครื่องตอบคำถาม

นอกจากนี้พระธรรมยังเป็นวิถีให้ชีวิตนี้มีศิลปะ คนมีพระธรรมจะรู้จักเติมแต้มกลิ่นสี เสียง

แสงให้กับชีวิต ให้ดูสดใสใหม่เสมอ ไม่เบื่อ ไม่เหนื่อยหน่าย ไม่รำคาญ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ฟูมฟาย

มีชีวิตอย่างสม่ำเสมอ เป็นไปอย่างเอกภาพ อยู่ในเอกภพอย่างเอกบุรุษหรือเอกสตรี

นี่คือความหมายของพระธรรมที่ทำให้เรามีศิลปะในการชีวิต ชีวิตนี้มีศิลปะ

นอกจากนี้พระธรรมยังทำให้เราสลัด ตัดหลุด และไม่ปล่อยให้อะไรมาฉุดให้อยู่

ปลดปล่อยวิญญาณสันดานเราให้มีเสรีภาพและมีอิสระ ไม่ตกเป็นทาสของอะไรๆ

เรื่องที่ทำ คำที่พูด สูตรที่คิด การงานและหน้าที่ ผู้มีพระธรรมจะรู้จักวาง ปล่อย เบา

ถึงเวลาทำก็ทำด้วยสุดหัวใจ ถึงเวลาวางก็ปล่อย ไม่เก็บงำไปทำชั่วชีวิต

มันจึงเป็นองค์กรหรือองค์ประกอบชีวิตให้ได้ดีมีประสิทธิภาพสูงสุด

รวมๆ ก็คือคนที่ศึกษาพระธรรม เรียนรู้พระธรรม ปฏิบัติธรรม จะต้องมีกระบวนการน

ี้แต่สิ่งที่เราเห็นในพระศาสนา ข่าวคราวที่เสียหายเพราะคนเหล่านั้นเรียนพระธรรมเพื่อสอบ

เพื่อจดจำแต่ไม่ได้ลงมือกระทำ จึงไม่ได้อานิสงฆ์จากการปฏิบัติธรรม

เราไม่จำเป็นต้องเรียนพระธรรมวันละหลายสิบเล่ม ไม่ต้องเรียนทั้ง 84,000 ข้อ

เอาแค่คำว่า สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว ในหน้าแรกของพระบวชใหม่

เพียงเรียนหน้าเดียวนี้อานิสงฆ์ของความมีสติ การทำ พูด คิดจะไม่ผิดพลาดเลย

แค่เรียนและปฏิบัติคำว่าสติเพียงอย่างเดียวนี้ ความกาลี อัปรีย์ จัญไร จะไม่ปรากฏเลย

แต่ทุกวันนี้ เรียนเพื่อสอบเฉยๆ ได้ปริญญาหลายสิบใบแต่พึ่งตัวเองไม่ได้

เรากำลังเรียนไกลเกินไปหรือเปล่า เรียนสิ่งที่ไม่ใช่ชีวิต เรียนแล้วใช้ไม่ได้ พึ่งตัวเองไม่ได้

ถ้าเราเรียนอย่างนี้ก็เป็นขี้ข้าเขาทั้งชาติเพราะพึ่งตัวเองไม่ได้

ฉันไม่เข้าใจว่าพวกนักวิชาการเขาคิดอะไรกัน

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
n
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ค.2006, 5:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ค่ะ
 
I am
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 7:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุครับ ..พระธรรมและเมตตาธรรมค้ำจุนโลกจริงๆ
สาธุ สาธุ สาธุ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง