Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เราเป็นเกย์ควรทำตัวอย่างไร อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ผู้หวังดี
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 พ.ย.2005, 6:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่ต้องไปสนใจคนอื่นที่เขาชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน โดยวันๆ ใช้ชีวิตอยู่กับการนินทาโดยที่ไม่รีบทำความดี หรือทำประโยชน์ให้กับประเทศบ้าง สู้ๆๆๆๆๆๆๆ ตายคะ
 
ธงชัย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 05 มี.ค.2006, 10:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เราไม่รู้หรอกว่าผลแห่งกรรมก่าที่ผ่านมาจะมีผลลัพท์เป็นยังไงก็ได้แต่คาดเดาเท่านั้นเองเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นหนึ่งในสี่ของอจินไตยคือรู้ไปก็ปวดหัวไปเปล่าๆ ที่สำคัญคือเราอยู่เพื่อพัฒนากรรมของเราต่อไปครับผม
 
โจโฉ คร้าบ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 เม.ย.2006, 8:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กระทู้นี้จากลานธรรมครับ
http://larndham.net/index.php?showtopic=19749&st=0

*** อันนี้ผมเขียนอะ... สนใจคุยเอ็มกันได้คับ.. ยินดี เป้นที่ปรึกษา **

เป็นเกย์ หรือเป็นอะไรก็ตาม ถ้าเราทำดีให้ถึงที่สุด มันก็โอ เคแล้วคับ
ทุกข์ เกิดจากอะไร เกิดจาใจเราใช่ปะคับ ถ้าเราพอใจในสิ่งที่มีที่เป็น ชีวิตก็มีความสุข
ผมอยู่ในวงการ รู้จักคนเป็นเกย์เยอะ ก็เห็นเขาสุขกว่าคนปกติอีกอะ
สมัยนี้สังคมก็ยอมรับแล้วด้วย เห็นเดินจูงมือ สวีทกันในห้าง ให้เกลือ่นไปคับ

ถ้าทำดีจริงๆ แฟนถึงเป็นเพศเดียวกัน แต่ถ้าเป็นคนดีจริงๆ
เชื่อว่า พ่อแม่ จะเห็นใจและเข้าใจในวันหนึ่ง

ซึ่ง ผมก็เจอมาเยอะแล้วครับ แรกๆ พ่อแม่ ไม่ยอม แต่พอเจอคนดีจริงๆ สุดท้าย
กลับชอบแฟนมากกว่าลูกตัวเองซะอีกอะ.. ความดีชนะทุกสิ่งครับ
 
โฉ คับ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 เม.ย.2006, 8:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองอ่านเล่นๆ นะจร้า.. อยากอ่านทั้งเล่ม ก็กระทู้นี้เรย หุๆๆ
http://larndham.net/index.php?showtopic=17720&st=0

เชื่อไหม...เกย์เกิดจากกรรม แล้วการปฏิบัติธรรม ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปได้

พูดมาถึงตรงนี้ นึกถึงชีวิตของเพื่อนคนหนึ่งที่สนิทกันม้ากมากแต่ไม่อาจเปิดเผยตัวได้ จะเล่าให้ฟังนะ รับรองน่าสนใจทีเดียว เขาก็ประสบชะตากรรมคล้ายแบบนี้แหละ และก็มีความเชื่อเรื่องผลของกรรม เชื่อว่าเคยนอกใจ เคยคบชู้ เคยมักมากในกาม และคิดว่ามันเริ่มให้ผลเมื่อถึงเวลา เขาเกิดมาเป็นผู้ชายปกติ ที่อาจมีจริตอ่อนหวานไปหน่อย แต่ก็ชอบผู้หญิง มีแฟนเป็นผู้หญิง เจ้าชู้นิดๆ วันๆก็ดูแต่รูปโป้ผู้หญิง แต่อยู่ดีๆ ก็เกิดอาการเริ่มรู้สึกอยากมองผู้ชายหน้าหวานๆ เริ่มเห็นอวัยวะของผู้หญิงไม่น่าสนใจ เขาเชื่อว่า เป็นจังหวะที่กรรมหรือวิบากแสดงผล แต่ก็อยู่ในช่วงของความสับสน ไม่แน่ใจตัวเอง ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้

จากที่เคยเห็นผู้หญิงสวยๆ แล้วใจสั่น ก็เริ่มเฉยๆ กลายเป็นเห็นผู้ชายแล้วใจสั่นแทน ไปเรียนก็ดันไปนั่งติดกับกระเทย ซึ่งชอบเอาหนังสือโป้ผู้ชายมานั่งอ่านในห้อง ด้วยความสงสัย ก็เลยขอดูบ้าง ความไขว้เขวเข้ามาเยือน จนเริ่มรู้สึกเปลี่ยนไปแบบชัดเจน ความรู้สึกแห่งความเป็นผู้หญิงเข้ามาแทนที่ความเป็นชายที่หายไปแทบหมดหัวใจ เริ่มจีบผู้ชายด้วยกัน กรรมส่งผลให้เห็นอวัยวะเพศชายเป็นสิ่งน่าถวิลหา ตรงข้ามกับที่เคยรังเกียจ ประสบกามด้านผิดธรรมชาติที่หลายคนประนามไว้ด้วยความไม่เข้าใจว่ามันคือผลของกรรม ก็เริ่มโคจรเข้ามาสะสมแต้ม จากหนึ่งเป็นสอง และเป็นสิบ ทั้งชายจริงและไม่จริง จนเขาคิดว่าคงหาความเป็นชายในตัวแทบไม่เจออีกแล้ว

แต่แล้วก็น่าแปลก หลังจากที่เขามาสนใจเรื่องศาสนา ทำบุญ ทำทาน ถือศีล นั่งสมาธิ กรรมจัดสรรให้เขาได้มาเจอคนรักที่เป็นผู้ชายแต่ใจเป็นสาวเต็มตัว ในที่สุดเขากลับผลัดเปลี่ยนมาอีกระดับ ด้วยการพัฒนา ขึ้นมาเป็นสามี โดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากเป็นภรรยามามิใช่น้อย ความเป็นชายเริ่มฟื้นคืนสภาพกลับเข้ามา ความรับผิดชอบ การรู้จัก เสียสละ การปกป้องคนรัก ก็ตามขึ้นมา

มันเป็นเรื่องของพื้นฐานธรรมชาติส่วนใหญ่ ที่คนที่มีจิตใจภายในเป็นเพศหญิง ไม่ว่าจะหญิงแท้ หรือหญิงในร่างชายก็ตาม จะมีลักษณะหวังการพึ่งพาจากคนอื่นสูง นอกจากหญิงเหล็กใจแกร่ง หรือ หญิงที่มีหัวใจเป็นชายเท่านั้น ซึ่งต้องมองกันด้วยใจว่างจริงๆ ถึงจะพอมองเห็น ไม่ใช่ จะดูถูกเพศใดเพศหนึ่ง สังเกตได้ว่า ทำไมคนที่มีจิตใจเป็นหญิง ถึงชอบผู้ชายแข็งแรง หรือมีอะไรที่ปกป้อง หรือให้ความสุขกับเขาได้ เช่น มีกล้ามโต มีฐานะดี มีตำแหน่ง หน้าที่การงานดี แต่กลับกันคนที่มีใจเป็นชายจริงๆ จะอยากเสียสละเพื่อคนรัก อยากดูแล อยากปกป้อง อยากทำงานเลี้ยงคนอื่น คนที่มีจิตใจเป็นผู้ชายจริงๆ แม้จะอยู่ในร่างหญิงก็ตาม จึงชอบผู้หญิง บอบบาง อ้อนแอ้น น่าทะนุถนอม ฯลฯ

แต่การมาเกิดเป็นเพศอะไรนั้น มันแสดงถึงพื้นฐานจิตใจที่เหมาะอยู่แล้ว ด้วยกรรม ด้วยนิสัย ด้วยวิบาก หลายๆ อย่างที่สะสมมา นั่นจึงส่งให้มาเกิดเป็นเช่นนั้นๆ เรื่องแปลกสำหรับเพื่อนผม ที่คิดว่าเป็นประเด็นก็คือ การเป็นเกย์ เกิดจากกรรมหลายๆ อย่าง แต่มีหลักๆ อยู่ไม่กี่อย่าง แล้วสามารถละลายหรือเบาบางได้ ด้วยการปฏิบัติธรรม จิตวิทยาสมัยใหม่ ก็ยอมรับแล้วว่า การเป็นเกย์ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ ไม่ใช่โรค ไม่ต้องรักษา เป็นเพียงการเสพกามปกติทั่วไป เหมือนคนกินข้าว กับคนกินก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเป็นอาหารคนละชนิด แต่ก็อิ่มเหมือนกัน

จุดประสงค์การมีคนรัก เพื่ออะไรก็แล้วแต่ ยกเว้นการสืบพันธ์ ทุกอย่างถ้ามองด้วยใจเป็นกลาง เราจะเห็นว่ามันเป็นเพียงการหาความสุขใส่ตัวอย่างหนึ่ง ที่แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน อาจจะดูว่าผิดธรรมชาติ แต่ธรรมชาติคืออะไร มันคือสิ่งปกติใช่ไหม นั่นแหละ เขาก็เป็นปกติของเขา เพราะเมื่อเกิดเป็นเกย์ก็ต้องรักเพศเดียวกัน ถ้าเกย์ชายไปรักหญิง หรือทอมไปรักผู้ชายซิ ถึงเรียกว่าผิดธรรมชาติของเกย์ หรือมองตามธรรมชาติของจิต คนเป็นเกย์มักจะมีอารมณ์ทางเพศสูงหรือใฝ่ในเรื่องกามๆเป็นเบื้องต้น จิตเขาก็ทำหน้าที่ถูกแล้วที่ส่งให้มาเกิดเป็นเกย์ เพราะเป็นสภาพที่เหมาะสมต่อการเสพกามโดยที่ไม่ต้องมีพันธะ มีลูกไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องมีครอบครัว อันนี้พูดถึงภาพรวมนะ เกย์ดีๆ ไม่หื่นกามก็มีอยู่เยอะ ผมเข้าจายยยยยย

ส่วนเรื่องสืบพันธ์นั้น ประชากรก็ล้นโลกพอแล้ว มันก็เป็นธรรมชาติอีกนั่นแหละ ที่ทำให้คนต้องมารักเพศเดียวกัน เพื่อจำกัดจำนวนประชากรทางอ้อม แล้วคนที่เป็นเกย์ผมเชื่อว่า เขาก็คงคิดดีแล้ว เขามีแฟนเป็นเพศเดียวกัน เขาจะมีลูกได้หรือไม่ ทำไม สังคมต้องไปสนใจเขา มันก็ไม่ใช่ความผิดที่เราจะไปประนาม ด่าให้เขาเสียหาย เพราะมันเป็นชีวิตของเขา เหมือนคนเลือกจะกินขี้ เขาก็เหม็นของเขา การเสพเพศเดียวกัน หลายคนยังยอมรับไม่ได้ เพราะจิตยังไม่สูงพอที่จะคิดในแง่ความรัก แต่พอพูดถึงเรื่องรักร่วมเพศ จิตจะตกดิ่งลงสู่เบื้องล่างทันที

มีสักกี่คนที่จะคิดนอกเหนือจากการร่วมเพศ ส่วนใหญ่จะคิดแต่ว่า อืมม เอาไปได้ยังไง สกปรก เพศเดียวกัน ขยะแขยง ด้วยเอาตัวเองเป็นพื้นฐานกลางในการตัดสิน แม้แต่การหอมแก้ม การจูบเพศเดียวกัน บางคนก็ยังขยะแขยงแทน เพราะความยึดมั่นในเรื่องเพศที่เหนียวแน่น แต่เป็นเรื่องเพศ ที่โยงมากับการมีเพศสัมพันธ์ ในแง่ พิศวาส ในแง่ความต้องการทางเพศล้วนๆ ซึ่งไม่ได้เคยคิดถึงแง่ ของความรักที่บริสุทธิ์ หรือ เรื่องหัวใจเลย ผมเชื่อว่า คนที่เขารักเพศเดียวกัน บางคู่ แทบไม่เคยมีอะไรกันด้วยซ้ำ แต่เขารักกันด้วยใจ เขาอยู่กันแบบเพื่อน แต่รักกันมากกว่าเพื่อน บางคู่ยอมตายแทนกันได้ รักกันจริงกว่า คนธรรมดาที่ถูกธรรมชาติด้วยซ้ำ

คิดว่า เราคงเคยหอมแก้มเด็กๆ มาเยอะ ไม่ว่าจะเพศไหน แม้แต่น้องหมา เราก็หอมได้ ทั้งๆที่มันเป็นสัตว์ มีสักกี่คนที่คิดอกุศล ขยะแขยงว่า หอมหรือกอดไปได้ยังไง เด็กผู้ชาย เพศเดียวกัน แต่ที่ทุกคนไม่คิดอะไร ก็เพราะไม่ได้มองการกอดหอมเด็กที่เป็นเพศเดียวกันในแง่ของ กามารมณ์ใต้สะดือ เช่นกัน อยากให้หันมามองกลุ่มคนที่มีอยู่จริงในแบบถูกทาง ไม่ต้องยอมรับ แต่ก็อย่าไปผลักไสขับไล่เขา เลิกมองเขาเป็นตัวน่ารังเกียจที่หาความดีไม่ได้สักทีเถอะ ทั้งๆที่หลายๆคนก็มีดี เป็นคนดี และทำดีให้กับสังคมได้มากอย่างที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนเลยทีเดียว

เพื่อนผมเล่าต่อไปอีกว่า หลังจากเขาจริงจังกับการปฏิบัติธรรมมากขึ้น สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน มีความเข้าใจในธรรมมากขึ้น จนเกิดการเบื่อหน่ายในวัตถุระดับหนึ่ง เห็นทุกข์ชัดอีกระดับหนึ่ง สิ่งที่เขาสังเกตได้ มันก็แปลก คือ เขาเริ่มรู้สึกเฉยๆ กับอวัยวะเพศชายที่เคยหลงไหล เริ่มเห็นความน่าเบื่อหน่าย และทุกข์ต่างๆ จากการเป็นรักร่วมเพศ ไม่ว่า สังคมไม่ยอมรับ ความรักที่เปิดเผย สวีทเหมือนคนทั่วไปไม่ได้ หรือแม้แต่การร่วมเพศ ที่ดูๆ ไปแล้ว มันเป็นของที่สกปรกที่ไม่น่าอภิรมย์ใดๆ เลย

ความรู้สึกเริ่มมาชัด เมื่อเขาบังเอิญไปเจอรูปโป้ผู้หญิง หลังจากที่ไม่มีความรู้สึกมานาน คราวนี้มาแปลก เจ้าตัวน้อยที่เคยสงบนิ่ง กลับตื่นตัวเมื่อได้เห็นร่างอันเปลือยเปล่าของสาวรุ่นๆ ยังความแปลกใจมาให้อย่างมากมาย ว่าเป็นไปได้อย่างไร หลังจากนั้นมา ก็เริ่มใจสั่นเมื่อเห็นสาวสวยๆ น่ารักเดินผ่าน ความเป็นชายที่โบยบินหนีฤดูหนาวไปนาน ก็หวนกลับมาสู่ถิ่นเดิมที่เคยอาศัย
 
โฉ คับ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 เม.ย.2006, 8:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มองในแง่ธรรมะ เราก็บอกได้ว่า เขาเป็นเกย์เพราะ กรรมให้ผล แต่บรรเทาแล้วกลับมาได้เพราะ กุศลที่เขาสะสม ซึ่งไม่ต้องรอชาติหน้าเลย การปฏิบัติธรรมแบบถูกต้องนั่น ส่งผลได้มากมาย โดยเฉพาะการวิปัสสนา จากกำลังของสมาธิ ทำให้มีปัญญา เป็นแรงขับเคลื่อนไปลบข้อมูลเสียๆในจิตส่วนลึกที่ฝังข้ามภพข้ามชาติมา จนละลายความคิด ความชอบ หรือนิสัยในแบบแปลกๆ ได้ การมองเห็นด้วยปัญญาจริงๆ ว่าสิ่งนั้นๆไม่เหมาะ ไม่ดีอย่างไร จึงเลิกละได้ง่าย ศีลที่รักษา เมตตาที่เจริญ ผลของทานในด้านต่างๆ ทำให้เป็นคนมีพื้นฐานจิตใจดี มีการเสียสละ มีสภาวะของผู้ให้ จึงได้เพศที่เหมาะสมกลับคืนมาได้ไม่ยาก

มองในแง่การปฏิบัติธรรม ถ้าจะไปบรรลุกันได้จริงๆ มันก็ต้องได้คืนสิ่งอันเป็นพื้นฐานเหล่านี้กลับมาก่อน ธรรมะนี่เองที่ปรับสภาพ จากสิ่งที่จริงๆ แล้วก็คือผิดปกติให้กลับมาปกติ มาสู่จุดพื้นฐานกันก่อน แล้วจึงพัฒนาไปสู่จุดที่สูงกว่า พูดง่ายๆ ก็คือ กลับมาสู่การเสพกามแบบธรรมดา แบบที่ถูกต้อง มามีจิตใจแบบเดิม แล้วจึงปรับสภาพ จากกามชั้นต่ำ ไปสู่กามที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เช่น สุขแบบ สวรรค์ ไปถึง พรหม แต่เท่าที่พอรู้มา คนที่เป็นเกย์ แล้วปฏิบัติธรรมเข้มข้น เมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาจะไม่ได้กลับมาเป็นผู้ชายหรอก แต่จะกลับมาสู่สภาวะที่ เป็นกลาง เพราะถ้าจะตัดกาม หรือความยึดติดในแบบนั้นๆ ซึ่งยากมากที่ใครจะทำได้ จิตใจ ต้องแข็งแกร่ง กำลังสมาธิ และปัญญาต้องสูงจริงๆ

เมื่อไปถึงขั้นนั้นๆ บางทีเราอาจจะไม่เห็นเขากลับมาเสพกามแบบปกติ แต่อาจจะเลื่อนขั้นไปสู่กามสูงกว่านั้น จนลืมกามชั้นต่ำๆ แบบการร่วมเพศหรือการมีคู่รักไปโดยสิ้นเชิง แล้วอาจนำพาไปสู่การเข้าใจสภาวะ ของจิตบริสุทธิ์ ไม่มีเพศ นี่เป็นการเข้าถึงอีกระดับ ถ้าใครยังยึดติดกับกามแบบต่ำๆ อาจจะเข้าใจยาก เพราะเขายังยึดมั่น ว่านี่ชาย นั่นหญิง นี่กระเทย นี่เกย์ นี่ทอม คนบางจำพวกก็เห็นการแบ่งแยกเพศไว้เพื่อเสพกามเท่านั้นเอง คิดไม่ได้มากกว่านั้น

ส่วนการเกิดเป็นเกย์ ในความคิดของผมนั้น ผมเชื่อว่ามีหลายสาเหตุ ทางวิทยาศาสตร์ว่าไว้ ก็อาจจะถูก แต่เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัวหรือสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย มีแรงกระตุ้นจากสิ่งรอบข้าง หรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าพูดในทางธรรมที่ชัดสุด ก็แน่หล่ะ ผิดศีลข้อ 3 มักมากในกาม คบชู้ ฯลฯ หรือ การเผลอดูถูก เหยียดยาม ลบหลู่ คนที่มีคุณธรรมสูงกว่า หรือเกลียดฝังใจ ก็อาจจะส่งผลให้ได้กลับมาเกิดหรือได้ลูก ได้แฟนเป็นแบบนั้นไม่ยากว่าตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็โยงได้ถึงเรื่องกรรมนะ ก็เพราะกรรมอะไรละที่ต้องไปเกิด ไปเจอสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเป็นเกย์ ต้องเบี่ยงเบนทางเพศ หรือ ต้องไปเกิด ไปอยู่ ไปได้อะไร ที่เอื้ออำนวยต่อการเกิดความทุกข์นั้นๆ

เพื่อนผมก็เล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ เขาก็อ้อนแอ้น โดนคนล้อ คนเกลียดเยอะ แล้วพวกนั้นพอมีลูกชาย ก็แต๋วแตกกันตามมาเลยทีเดียว บางทีผัวก็แอบมาหอมแก้ม มาแอบจีบเด็กผู้ชายซะนี่ ล้อเขา ว่าเขาให้ได้อายแม้ลับหลัง บางที ผลของกรรมก็ส่งให้ตัวเอง ต้องอายคนอื่นตลอดชีวิต บางทีไม่ทันได้อาย แต่ก็ต้องเก็บความทุกข์ไว้ในใจ บอกใครไม่ได้

เรื่องของธรรมะ หรือธรรมชาติของทุกสิ่ง ถ้าเราศึกษาคำว่า วิบาก ให้พอเข้าใจบ้าง จะเข้าใจอะไรง่ายมาก และจะมองทุกอย่างเห็นชัดขึ้น ไม่ว่าเรามาเกิดเป็นอะไร เช่น เกิดเป็นเกย์ได้อย่างไร ก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก ซึ่งอาจจะไม่ใช่ รายละเอียดทั้งหมด เพราะกรรมให้ผลนั้นซับซ้อนมาก แต่ก็จะพอรู้ว่า หลักคร่าวๆ คืออะไร


....................................................

เรื่องสั้นๆ ของ จิต วิบาก

สำหรับผู้ที่สนใจ อยากให้ลองหางาน ของ อ.พร รัตนสุวรรณ อ่านดู หรือไม่ก็รออ่าน แว่วเสียงสวรรค์รีเทริ์น ที่ผมกำลังจะเข็นออกมาให้ได้ แต่เล่าสั้นๆ เพื่อการเข้าใจโดยง่าย จะต้องมองจิตเป็นตัวตน เป็นกลุ่มก้อนก่อนละกัน คิดซะว่าจิตเราเป็นดวงอะไรดวงหนึ่ง ที่ไม่มีวันตาย ร่างกายตายได้ แต่จิตยังอยู่ (ถ้ามีกิเลส-มีการยึดติดแม้ในความดี) ขอให้นึกถึงตอนเรานอนหลับแล้วฝัน ทุกคนที่จิตยังมีการปรุงแต่ง สติไม่สมบูรณ์เท่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วต้องฝัน เพียงแต่จะจำได้หรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง ในความฝัน ลองสังเกตดีๆ ว่าร่างกายเรานอนอยู่บนเตียง แต่เราไม่รู้สึกตัวหรือไม่รู้เลยใช่ไหมว่า มีร่างเรานอนอยู่บนเตียง แต่เราจะโลดแล่นไปในโลกแห่งความฝัน เหมือนมีเราอีกคนหนึ่งที่มีทุกอย่างเหมือนในชีวิตจริง ความจำ ความชอบ ความเกลียด ทุกอย่างในตัวเรายังอยู่ครบ

เรายังมีดีใจ เสียใจ มีหิว มีอิ่ม เหมือนมีชีวิตจริงๆ ทั้งๆที่เราแค่ฝันไป นี่คือ สิ่งที่จิตสร้างภาพ สร้างภพขึ้นมา ถ้าเราเจอเหตุการณ์ไม่ดี (ฝันร้ายต่างๆ) เราจะรู้สึกทรมานกว่าชีวิตจริงมาก โดยเฉพาะผู้ที่นิสัยไม่ดี คุณธรรมน้อย เช่น เราโกรธใครในความฝัน เราจะทรมานมาก จะด่า จะฆ่า จะทำอะไร ก็เหมือนไม่หายโกรธ หรือเราโดนไล่ทำร้าย เราก็จะวิ่งหนีแทบตาย ตื่นมา เราก็จะดีใจว่า แค่ฝันไป แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือ การแสดงผลอันแท้จริงของจิต คนที่ทำแต่ความดี ปล่อยวางได้ ให้อภัยได้ แม้ในความฝัน เขาก็จะไม่โกรธใครง่ายๆ ถึงโกรธ ก็จะหายง่าย ภาพน่ากลัว ความทรมาน จากความโกรธในความฝัน ก็จะไม่เกิด หรือเกิดไม่นาน แล้วแปรเป็นภาพสวยงามเป็นภาพความสุข เป็นสวรรค์วิมาน ละเอียดได้เท่าจิตที่ปราณีตของเขา คนยิ่งดีมาก ภาพและภพที่ปรากฏก็ยิ่งละเอียดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

อยากให้นึกย้อนดีๆ ว่า ภาพในความฝัน มันชัดแค่ไหน แล้วเมื่อเราตายไป จิตเรามันจะดับไปเลย หรือว่ามันจะสร้างภาพ สร้างภพให้เราอีก ถ้าเกิดเราฝันร้ายแล้วไม่ได้ตื่นขึ้นมาละ จะเป็นอย่างไร เราต้องทรมานแค่ไหนกับฝันร้ายนั้นๆ นี่เขาถือว่าเป็นนรกตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุด แต่ยังทรมานไม่เท่าของจริงที่ต้องเจอ

ความชอบ ไม่ชอบ ความถนัด นิสัย การกระทำทุกอย่างนั้น จะสมสมไว้ในจิตเราตลอดเวลา โดยที่เราไม่รู้ตัว นักสะกดจิตเก่งๆ สามารถ สะกดให้จิตใต้สำนึกเผยความลับนี้ออกมาได้ แม้บางอย่างเราจะลืมไปนานแล้ว เช่น ตอนเด็กๆ เคยทำอะไร เห็นอะไร ผ่านอะไรมาบ้าง หรือแม้แต่ชาติก่อน เคยเกิดเป็นอะไร ก็มีคนเคยสะกดจิตมาแล้วทั่วโลก ข้อมูลทุกอย่างนั้น จะสะสมไว้เรียกว่า วิบาก เป็นคุณสมบัติต่างๆ ที่อยู่ในวิญญาณอีกทีหนึ่ง ในแง่ของความยึดมั่นถือมั่น ความเกลียด ความชอบที่รุนแรง หรืออะไรที่ทำบ่อยๆ ก็จะสะสมไว้เข้มข้น และจะแสดงผลออกมาก่อน เหมือนเราเคยฝึกให้อภัยคน แรกๆ อาจทำยาก แต่พอทำได้ครั้งหนึ่ง มันก็จะสะสมไว้ ทำให้ทำครั้งต่อๆไปได้ง่าย

วิบาก คือ สิ่งที่เกิดจากการกระทำของเรา(กรรม)ทั้ง กาย วาจา ใจ จะสะสมไว้ในจิตของเรา และเป็นตัวกำหนดว่า คนเราจะไปเกิดที่ไหน เกิดมาพบเจอและประสบกับอะไร เป็นสิ่งที่เหมาะสมและสมดุลย์กับจิตนั้นๆ เสมอ ร่างกายเราจะเป็นเพศไหน ก็อยู่ที่สภาวะของจิต เพราะเขาจะสร้างรูป สร้างร่างกายหรือมาเกิดในสิ่งที่เข้ากับเขาได้ เป็นธรรมดาของจิต หรือทุกสิ่งที่จะมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็น ดูดสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกันหรือเข้ากันได้ เข้าหากันเสมอ คนที่มีจิตใจเสียสละ ก็ต้องได้ไปเจอะหรือไปเกิดในที่ๆมี สิ่งเหล่านั้นรองรับอยู่ เหมือนหรือคล้ายๆกัน

เราจะไม่สามารถบังคับหรือกำหนดได้ว่าเราจะเกิดเป็นอะไร หรือต้องพบเจออะไร เพราะทุกอย่างจะทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรง ตามสันดานที่สืบต่อมาจากภพก่อนๆ ซึ่งเราจะหลอกตัวเองไม่ได้ ถ้าเราเป็นคนดีมาตลอด แน่นอน วิบากแห่งความดี ย่อมปรากฏเด่นชัดเสมอ ไม่ว่าจะแกล้งชั่วหรือคิดให้ชั่วก็ทำไม่ได้ ความชอบ ความถนัด ทุกอย่างก็จะแสดงผลอย่างแท้จริง และดึงดูดให้ไปหาสิ่งเหล่านั้น

ถ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้บ้าง เราจะรู้ว่า ทำไม คนผิดศีลข้อสาม มักมากในกาม ถึงได้มาเกิดเป็นพวกผิดเพศ ตามหลักการนี้ มีความเป็นไปได้ เช่น ผู้หญิงที่มักมากในกาม ถ้าพูดในแง่วิบาก เขาจะสะสม แต่ความชื่นชอบทางเพศที่ฝ่ายชายป้อนให้ มีความยินดีในร่างกายของผู้ชาย แล้วจิตใต้สำนึกจะฝังความชอบนี้ไว้ในสันดานส่วนลึก ความสุขเวลาร่วมเพศ หรือการเอาใจใส่ ทุกๆอย่างเป็นความประทับใจอย่างแน้นแฟ้น ในกรณีที่เป็นผู้มักมาก ไม่รู้จักพอ วิบากที่เข้มข้นในด้านการชอบร่างกายผู้ชายก็ฝังไว้อย่างเหนียวแน่น ภาพร่างกายและทุกอย่างๆที่เกี่ยวกับความเป็นชาย จะปรากฏอยู่ขึ้นในใจได้โดยง่าย

เมื่อตายกลับมาเกิด เป็นไปได้มากทีเดียว ที่ความฝังใจนั้นเด่นชัดพอ ที่จะทำให้วิญญาณซึ่งมีหน้าที่สร้างรูปให้เหมาะสมกับสิ่งที่สะสมไว้ และเด่นชัดมากที่สุดปรากฏตามนั้น เช่น คนมีอารมณ์ดี ทำแต่บุญกุศลแบบถูกต้อง จึงเกิดมาเป็นคนหน้าตาดี ผิวสวยได้โดยง่าย เพราะจิตสะสมแต่ความสุขความสดชื่นติดมา คนชั่ว คนเจ้าอารมณ์เกิดมาหน้าตาผิดรูปร่าง ผิวน่าเกลียดได้ง่ายก็เพราะ จิตสะสมแต่ความขุ่นมัว ความร้อนรน ติดมา

เกย์ก็เช่นเดียวกัน ผู้หญิงที่สะสมความติดใจในกามรสของเพศชายเข้มข้น ได้จังหวะ เขาก็สร้างรูป และให้นำพามาหาสิ่งที่ชอบ ที่ต้องการ จึงได้มาเกิดในร่างกายผู้ชาย มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยชอบ เคยต้องการและฝังใจ ยกตัวอย่างแม้ยังไม่ตาย ความชอบที่เข้มข้น ก็ทำให้เราอยากเป็นเหมือนคนที่เราชอบ อย่างแฟนเพลงผู้ชายแท้ๆ หลายคนที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงไปดูคอนเสริตของมาดอนน่า หลายๆคนแต่งตัวทำทุกอย่างเลียนแบบดารานักร้องที่ชื่นชอบ แม้จะเป็นคนละเพศก็ตาม ลองนึกดูว่า กับจิตใต้สำนึกที่สะสมความเข้มข้นไว้ เขาจะทำงานอัตโนมัติเช่นไร เวลาได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ เขาก็รู้แต่ว่า มันมีคำสั่งในการชอบเพศนี้ไว้เข้มข้น แสดงว่าต้องการให้เป็นแบบนี้ ก็สร้างออกมาตามวัตถุดิบทางใจที่มี จึงเกิดมามีร่างกายเป็นอย่างหนึ่งแต่จิตใจกลับเป็นอีกแบบหนึ่ง

พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วสำหรับเรื่องของจิตใต้สำนึกว่าในขณะมีชีวิต เขาก็สะสมคำสั่งและคุณสมบัติต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการกระทำของเราแม้แต่ความคิด โรคหลายโรคก็เกิดจากข้อมูลที่ผิดๆ ที่สะสมไว้ การคิดไปเองทุกวันก็ทำให้เกิดโรคบางอย่างได้จริงๆ แม้แต่การสะกดจิต โดยเอาปากกาจี้ที่แขน แล้วบอกว่านี่คือธูป ผู้ถูกสะกดก็ร้อนจริงๆ แล้วมีรอยแผลไหม้เกิดขึ้นบริเวณนั้นจริงๆ จิตเรามีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนอีกมาก และมีพลังมีความสามารถที่เกินคนธรรมดาและวิทยาศาสตร์จะเข้าถึงได้หมด ถ้าเชื่อว่าตายแล้วยังเหลือจิตเหมือนนอนหลับแล้วมีโลกแห่งความฝันเกิดขึ้น ก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ง่าย และจะเข้าใจว่า จิตใต้สำนึกหรือวิบากในสะสมไปวิญญาณไปกับจิตนั้น เขาจะสร้างรูป หรือหาภพภูมิให้เหมาะสมกับเราได้อย่างไร

จากสมมุติฐานของการเกิดเป็นเกย์ที่เล่ามา อาจไม่ใช่แค่ความชอบหรือติดในรสในภาพของเพศชายเท่านั้น แต่ความเกลียด การดูถูกที่ฝังใจก็เช่นเดียวกัน ก็นำพาให้มาเกิดในสภาพนั้นๆได้เช่นกัน ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ เป็นคำที่ใช้ได้ทั้งก่อนและหลังตาย เพราะการเกลียดจะฝังใจแนบแน่นมากกว่าการชอบซะด้วยซ้ำ เราเกลียดอะไร สังเกตได้ว่า จะจำภาพนั้นได้ติดตา จำทุกอิริยาบทของคนและสิ่งที่เกลียดได้ดี มันเลยกลายเป็นการประทับภาพไว้อย่างเหนียวแน่น และส่งผลให้ เป็นวิบากที่ นำพาจิตไปเกิด ไปเจอในสิ่งที่ฝังข้อมูลนั้นๆ ไว้ สังเกตดีๆ ว่าเพลงหรือโฆษณาอะไรก็ตามที่เราไม่ชอบ หรือเกลียด เรามักจะจำภาพ จำเนื้อเพลง และไปๆ มาๆ ก็ร้องได้จนจบ จนบางทีจากที่เกลียดเลยกลายเป็นชอบ ร้องติดปากไป

การเกลียด การด่าคนอื่นนี่ อยากให้นึกถึงความเป็นจริงนะว่า ทุกครั้งที่เกลียดเขา จะด่าเขา เราจะมีภาพของสิ่งที่เราจะด่าเกิดขึ้นในใจ เช่นด่าไอ้หน้าหมา หรือไอ้ชั่ว แน่นอน ความเป็นหมา หรือความชั่วต่าง ๆ นาๆ จะเกิดในใจเราทันที แล้วจิตก็ละเอียดพอที่จะฝังใจและรู้สึกถึงรายละเอียดได้ลึกซึงกับสิ่งที่เราด่าออกไป หรือแม้แต่ด่าอยู่ในใจก็เถอะ ยิ่งด่าบ่อยๆ ความชั่วเหล่านั้น หรือภาพของสัตว์ต่างๆ ที่เราด่าบ่อยๆ มันก็ปรากฏบ่อยขึ้น ชัดขึ้น เข้มข้นขึ้น ยิ่งโกรธรุนแรงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทวีความเข้มข้น

พอใกล้ตาย ก็เชื่อได้เลยว่า วิบากที่สะสมไว้ ภาพที่ฝังใจจะส่งผลให้ไปเกิดเป็นอะไร หรือต้องไปเกิดอยู่ในสภาวะแบบไหน แม้ยังไม่ตาย ทุกอย่างที่ปรากฏในใจ ก็จะมีกำลังให้สภาพจิตเป็นอย่างนั้นไปจริงๆ ซึ่งจะหาความดี หาทางบริสุทธ์ได้ยาก แล้วเมื่อจิตใจหม่นหมอง ความเครียด ความกดดันจะเกิดแบบไม่รู้ตัว มองโลกในแง่ลบตลอด ความสุขในชีวิตย่อมหาไม่ได้ ที่เคยล้อเคยด่าไอ้หน้าหมา บางที เข้มข้นมากๆ ตายไป ก็อาจจะไปเกิดในท้องหมาก็ได้ หรือ อาจเกิดมาเป็นคน มีลักษณะใบหน้าคล้ายหมา หรือกิริยาอาการเหมือนหมาก็ได้ แต่ที่ชัดๆ กว่าแล้วมีตัวอย่าง น่าจะเป็นลิงนะ เคยเห็นบางคนเกิดมาหน้าเหมือนลิง เห็นแล้วก็ได้แต่สงสาร ว่ากรรมอะไรหนอส่งให้มามีรูปร่างแบบนี้

ตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นความเป็นไปได้อีกแง่ ถึงวิบากที่สะสมไว้ ไม่ว่าจะชอบหรือเกลียดในลักษณะรุนแรงเกินพอดี หรือสะสมไว้บ่อยๆ จนเข้มข้น มีกำลังพอที่จะส่งให้เป็นผลของกรรม ต้องมาเกิดเป็นกระเทย หรือเกย์ชาย วิบากที่สร้างร่างกาย หรือนำพาให้มาเกิดในสิ่งที่เด่นชัดในใจ จึงเกิดมาเป็นผู้ชาย แต่จิตใจแท้ๆ นั้นยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่เหมือนเดิม เพราะคุณธรรมด้านอื่นไม่ได้สอดคล้องที่จะมาเกิดในเพศที่เหมาะสม หรือสะสมแต่สภาวะ แห่งการพึ่งพิงมาตลอด

เราจะเห็นได้ชัดว่า มีผู้ชายกล้ามโต ขนดก มีลักษณะของความแข็งแรงเยอะมากที่ มีจิตใจต่างกับร่างกายโดยสิ้นเชิง มีอาการสาวแตก และบางคนก็ยังใฝ่ฝันที่จะหาคนมาปกป้อง มาดูแล ยังต้องการพึ่งพิงคนอื่นแม้ทางใจอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ดูจากภายนอก น่าจะเป็นคนที่ไม่มีอันตรายใดๆ น่าจะปกป้องคนอื่นมากกว่าด้วยซ้ำ

และถ้าเชื่อตามหลักที่ว่า การเกิดเป็นเพศชายได้ต้องอาศัยคุณธรรมบางอย่างเช่น ใจที่มั่นคง หรือกุศลในบางด้านครบถ้วนรวมไปถึงการอธิฐานขอเกิดเป็นชาย ก็เป็นไปได้ แต่อาจเป็นเพราะคุณสมบัติทางใจด้านอื่นยังไม่พร้อมพอที่จะครองในเพศชาย เหมือนคนฉลาดแต่ไร้ความซื่อจิตใจคิดแต่จะเบียดเบียนคนอื่น ความฉลาดก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร นอกจากมีไว้เพื่อฉลาดในการทำชั่วได้ละเอียดกว่าคนอื่น แล้วก็ต้องได้รับโทษรับทุกข์ตามความฉลาดที่มี ถ้าไม่คิดอะไรมาก เกี่ยวกับเรื่องผิดเพศ ก็คิดง่ายๆ ว่า หลักๆ มันคือการผิดศีลข้อ 3 ธรรมชาติเขาลงโทษมาเหมาะสมกับสิ่งที่กระทำอยู่แล้ว

ในกรณีของเกย์หญิงหรือทอม ก็คล้ายๆกัน แต่กลับกันที่ เป็นชายที่ชื่นชอบในสตรี ภาพของสตรีฝังใจฯลฯ แล้วความฝังใจนั้นก็ส่งมาให้ วิบากเป็นเสมือน Registry ที่เป็นคำสั่งให้วิญญาณ สร้างร่างกาย เหมือนโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ได้สร้างผลงานตาม ข้อมูลพื้นฐานนั่นเอง

การยึดติด ข้อมูลต่างๆ ที่เรายึดมั่นถือมั่น เป็น รัก โลภ โกรธ หลง และความมองไม่เห็นความจริงแท้ของทุกสิ่ง จริงๆ แล้วมันก็คล้าย ไวรัส ในคอมพิวเตอร์นั่นเอง ที่ส่งให้การทำงานของระบบทั้งหมดผิดพลาด หนักเบาก็อยู่ที่ความเข้มข้น หรือชนิดของไวรัส การระบาดของไวรัสวิบากกรรม ก็คือ การแพร่ติดตามตัวเอง อยู่ในจิตส่วนลึกไปทุกภพทุกชาติ ตราบใดที่ไม่ลบทิ้ง ไม่ป้อนข้อมูลที่ถูกต้องเข้าไปใหม่ ก็ต้องทนทุกข์ ต้องเจอแต่สิ่งผิดพลาด ในชีวิตไปเรื่อยๆ

การเกิดเป็นเกย์ในแง่ที่เล่ามานั้น เป็นแค่ความน่าจะเป็นในกรณีหนึ่งๆในหลายๆสาเหตุเท่านั้น ซึ่งจริงๆ เรื่องของจิต เรื่องของกรรม ซับซ้อนกว่านี้มาก แต่อยากจะให้ลองคิดว่า มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน แล้วถ้าเชื่อแล้ว ส่งผลดีกับเราอย่างไร แน่นอนหล่ะ การเป็นคนดี ไม่ทำชั่ว ทำดีด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ติดดี ปล่อยวาง ทำให้มีสภาพเป็นกลางมากที่สุด ก็น่าจะเป็นผลดีกับทุกคนไม่ใช่หรือ อย่างน้อยๆ ถ้าเราวางเฉยกับทุกสิ่งได้ ไม่ชอบ ไม่ชังอะไร ความสงบย่อมมาเยือน นอนหลับก็เป็นสุข มีสติ ไม่ปรุงแต่งไปกับสรรค์ หรือนรกที่จิตสร้างมาทำโทษตัวเอง เป็นทุกข์เพราะใจตัวเองสร้างขึ้นมา หลงไปกับสุขที่ ไร้สาระ เสพสุขกับสวรรค์ วิมาน ซึ่งจริงๆ เป็นแค่ภาพแห่งความสุขชั่วคราวเท่านั้น เพียงแต่เป็นภาพที่เหมือนจริงจนแทบแยกไม่ออก เหมือนความฝันที่เหมือนจริง จนเผลอหลงดีใจเสียใจไปกับมันด้วย

ลองคิดดูดีๆ ว่าได้กินกับข้าวดีๆ ในความฝัน มีความสุข รู้สึกอิ่ม แต่มันสุขจริงไหม มันเที่ยงแท้ อยู่ในสภาพนั้นไปนานแค่ไหน แล้วในสวรรค์ที่เขาร่ำลือว่าเป็นสุขละ ของกิน ของใช้ อันแสนวิเศษ มันมีประโยชน์ เป็นสุขที่แท้จริงแล้วหรือ หรือแค่ ความว่าง ที่เกิดจากการปรุงแต่ง ยึดติด สร้างภาพ สร้างภพเหล่านั้นขึ้นมาเสวยสุข หลอกตัวเองไปชาติหนึ่งๆ


....................................................


ติดตามงานอื่นของมนุดต่างดาวคนนี้ได้ที่
http://www.baanlamduan.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=313072&Ntype=2


....................................................

ข้าพเจ้าเป็นคนเพี้ยนๆ โปรดอย่าเพี้ยนตามข้าพเจ้า นะจร้า
*****************
นี่ถ้าไม่ทำดี..ไม่สนใจธรรม
จะตกยาก อาภัพ ลุงภัพ อีกซะเท่าไหร่เนี่ย.. หุๆๆ
********************
http://www.baanlamduan.net ค่ายเพลง
http://www.palungjit.com/club/jochokrub โหลดไฟล์เสียงธรรมกัน(มากมายก่ายกอง Free )
จากคุณ : โจโฉ คร้าบบบ
 
ทิพ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 พ.ค.2006, 11:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สู้ สู้ สู้ สู้
ดีนะ ที่ยอมรับ เป็นเก ไม่ ผิด บวชได้ ดีมาก 7 วันก่อน ณ. วัดอัมพวัน
หลวงพ่อ จรัญ จ. สิงบุรี
อายุ 22 ยังไม่แก่เลย เรามีอา เป็น นะ แต่งงาน อายุ 38
เราว่านะ แต่งก็ได้นะ เค้ามีลูก 1 คน ตอนนี้ 16 ปีแล้ว แต่ สงสาร อา ผู้หญิง คะ รู้นะ
เราสนับสนุนว่า ไม่ควรแต่ง ศึกษา พระธรรม ให้มากเข้าไว้ ทุกอย่างจะดีเอง
สวดมนต์ เป็นไหมคะ น้อง
พยายามสวด ให้ จิตแบยกับบทสวด ใจเราจะสุข แบบไม่เคยเนมาก่อน ลองดูนะ
เป็นกำลังใจให้เสมอคะ บุญที่ข้าพเจ้ามา ขอบุญนี้ถึงแด่ เเจ้กรรมนายเวร ของน้องด้วยเถิด
สาธุ สาธุ ทิพ
 
เต๋า
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 3:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อย่าแต่งเลยค่ะ สร้างบาปชัดๆ เพราะเราไปหลอกผู้หญิงอีกคนให้มาร่วมบาป หลอกพ่อแม่ผู้หญิงว่าเรารักเค้าอย่างจริงใจไม่มีเงื่อนไข (ผิดทั้งข้อมุสา และ ข้อกาเม ที่พราก ลูก พรากเมีย คนอื่น กรรมก็ติดตามไปชาตืหน้าอีก)

ส่วนพ่อแม่ ท่านคงผิดหวังบ้าง แต่เราบวชให้ท่าน ท่านก็ได้บุญนะคะ บวชไปซักพักท่านอาจจะอิ่มบุญ และสุขใจมากกว่าที่คุณมีลูกให้อีก

ตามความเห็นเรานะคะ น่าจะบวชได้ ตราบใดที่เรารักษาศีลครบเหมือนพระ ทำตามพระวินัย

ชีวิตเรา ได้รับผลจากกรรมสองประเภท คือ กรรมเก่า และ กรรมปัจจุบัน
หมั่นทำกรรมปัจจุบันให้ดี เอาไปแก้กรรมเก่า ทำให้ดีที่สุด ผลอาจจะไม่เห็นทันตา แต่ผลน่ะมีแน่ค่ะ สร้างกุศลกรรมเยอะๆ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
 
หลง เข้ามา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 มิ.ย.2006, 1:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ่านดูแล้วสลดใจยังไงไม่รู้
เกิดเป็นเกย์ เพราะกรรมเก่า เหตุผลอ่อนไปรึเปล่า
เกิดเป็นหญิงก็เพราะทำกุศลไม่มากพอ
ความคิดแบบเพศชายเป็นใหญ่ชัดๆ
จะเป็นชาย เป็นหญิง เป็นเกย์ ข้อเท็จจริงคือเป็นคน
คนมีการพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตซับซ้อนกว่าสิ่งมีชีวิตในโลก
ซับซ้อนจน คนเองก็สับสน
คุณอย่าคิดซิ ว่าเป็นเกย์มันผิดปกติ
การที่คุณชอบผู้ชายด้วยกัน เป็นแค่ปรากฎการณ์ที่สังคมยอมรับโดยเปิดเผยไม่ได้เท่านั้น
ชายชอบชาย หญิงชอบหญิง มีมาแต่นมนานแล้ว
การยอมรับโดยดุษฎีอาจทำให้สังคมวุ่นวาย วัฒนธรรมถูกทำลาย
คนอาจสูญพันธ์ เนื่องจากไข่ไม่ได้ผสมกับอสุจิ เป็นความหวาดกลัวขั้นพื้นฐาน
เลยออกมาตั้งกฎตั้งเกณฑ์ ว่าชายต้อง mating กับผู้หญิงเท่านั้น
แต่ไม่ต้องกังวลใจไป วิทยาการนับวันมีแต่จะก้าวหน้า
ไข่กับอสุจิผสมกันโดยไม่ต้องมีการ mating กันแล้วในสมัยนี้
และในอนาคตข้างหน้า การสร้างคนจากเซลล์ธรรมดาที่ไม่ใช่เซลสืบพันธุ์ น่าจะเป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุด
แล้วคุณจะชอบใคร ชอบชายหรือหญิง หรือชอบกึ่งๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
ประกอบสัมมาชีพ ทำบุญทำทานบ้าง และอย่าทำตัวเป็นภาระสังคมก็เป็นบุญเป็นกุศลแล้ว
 
ต้อ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.ค.2006, 4:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณมากครับทุกความช่วยเหลือ ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ
 
หัวอกเดียวกัน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2006, 4:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เข้าใจความรู้สึกดีครับ แต่ว่าถ้าจะบวชผมไม่เห็นด้วย เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกลำบากอย่างมากที่ต้องอยู่ท่ามกลางสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพรหมจรรย์ของเรา อย่าลืมว่าพระปฏิบัติท่านยังต้องอาศัยครูบาอาจารย์ และต้องห่างจากมาตุคามอย่างมากทีเดียว แต่นี่เรากลับอยู่ใกล้กับสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพรหมจรรย์อย่างรุนแรง มันค่อนข้างจะสุ่มเสี่ยงเหมือนกัน พระที่มีความกำหนัดจับต้องกายหญิง ต้องอาบัติสังฆาทิเสท แต่ถ้าเป็นแบบเราก็คงจะหมายถึงเพศเดียวกันนะ

เอาอย่างนี้มั้ยครับ ถ้าอยากบวชจริง ลองประพฤติพรหมจรรย์ให้ได้อย่างน้อย 1-3 ปีก่อนดูว่าจะสามารถเอาชนะกามารมณ์ ทนต่อการเย้ายวนได้แค่ไหน หรือมิฉะนั้นก็ปฏิบัติธรรม รักษาศีล 8 ก็น่าจะดีนะครับ คล่องตัวเราด้วย ปฏิบัติได้ง่ายกว่าด้วย

เข้าพรรษาปีนี้ ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ แต่มันก็คงจะยาก ตัวเรานะพร้อม แต่กับคนบางคนเขาจะยอมหรือเปล่าก็ไม่รู้ เบื่อเหมือนกัน เคยทำได้รู้สึกว่ามันมีกำลังมากเหมือนกัน แต่ต้องอาศัยความอดทนอดกลั้น ใช้สติปัญญา ทุก ๆ อย่างที่จะขุดมาใช้ได้ รู้สึกว่ากิเลสตัณหามันเป็นเจ้าโลกจริง ๆ มันครอบอยู่ในหัวใจสัตว์ทั่วจักรวาฬจริงๆ ยังไงก็อนุโมทนาบุญกุศลฉันทะของคุณนะครับ ขอเป็นกำลังใจให้คุณมีที่พึ่งที่ประเสริฐได้ในชาตินี้......
 
อธิชาตินันท์
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 19 พ.ค. 2006
ตอบ: 24
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 20 ก.ค.2006, 12:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเห็นใจและเข้าใจในความทุกข์ของคุณนะครับ
คนเราทุกคนล้วนมีความทุกข์ต่างกัน
คนที่เกิดเป็นชายจริงหญิงแท้เขาก็มีความทุกข์ของเขาเหมือนกัน
แต่ทุกข์เรื่องอื่น
บางคนยากจน
บางคนขี้โรค
บางคนอายุสั้น

ผมว่าเกิดเป็นเกย์ก็ยังดีกว่าพิการ หูหนวก ตาบอด
เพราะคุณมีโอกาสสร้างบุญได้มากกว่าเขา
ในเมื่อเกิดเป็นเกย์แล้ว เราก็ควรจะยอมรับมัน
เพราะถ้าเรายอมรับไม่ได้เราก็เป็นทุกข์
และไม่ควรจะใส่ใจเรื่องนี้มาก
คุณยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันอีกมาก
แล้วคุณจะรู้ว่าคุณไม่ใช่คนที่โชคร้าย

คุณโชคดีที่เกิดมาในศาสนาพุทธและเกิดยุคนี้ เกิดในสังคมไทย
เกย์ในบางศาสนาอาจถูกก้อนหินขว้างตายก็มี
ดินแดนทะเลทรายสมัยก่อนก็จะถูกฆ่า

การดำเนินชีวิตก็ตามปกติครับ

ส่วนเรื่องความรักผมว่ามันเป็นความรักที่มาคู่กับทุกข์เป็นเงาตามตัว
มีเกย์น้อยมากที่จะมีชีวิตรักที่สมบูรณ์
และเป็นรักที่มีแต่อุปสัก
ถ้าอยากจะรัก คุณต้องมั่นใจว่า
วันใดที่คุณต้องช้ำใจวันนั้นคุณก็ยังมีกำลังมากพอที่จะยืนหยัดต่อไปได้อีก
ถามตัวเองว่าเข้มแข็งพอที่จะเผชิญกับอุปสักได้หรือเปล่า
ที่สำคัญไม่ควรคาดหวังหรือจริงจังมาก
และควรเป็นรักที่บริสุทธิ์ใจไม่หวังผล
แล้วคุณจะรักเขาได้นานและไม่มีวันเสียใจ
ขอให้เป็นฝ่ายรักมากกว่าที่จะรับความรักครับ

ขอโทษนะครับตอบไม่ตรงประเด็น
ถามว่า"และเวลามีความรักจะทำอย่างไรไม่ให้ผมมีความรักครับ "
ความรักบางครั้งมันห้ามไม่ได้
ลองหาอย่างอื่นที่ชอบมาทำทดแทนซิครับ
อย่าใส่ใจ
หรืออย่าอยู่ใกล้คนที่เรากำลังจะรัก
หรือถ้ารักก็อย่าคาดหวังมาก

ถ้าถามว่าจะบอกพ่อแม่หรือคนอื่นหรือไม่
คุณก็ควรถามตัวเองว่าคุณอึดอัดหรือเปล่า
ถ้าไม่ก็ไม่ต้องบอกใครหรอกครับ
แต่ถ้าเก็บกดก็ควรบอก

เป็นกำลังใจให้นะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ธารนที
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 ก.ค.2006, 5:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอตอบด้วยคนนะครับ
ขอเรียนเชิญพระวจนะของพระอรหันต์จี้กง เมตตาเอาไว้ว่า...
การจะแก้กรรมตรงนี้ ต้องรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ชายรักชาย หญิงรักหญิง เป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักฟ้าดิน ผู้ที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ ความใคร่ โดยคิดอรุ่มอร่วยให้กับตัวเองในเรื่องที่ผิดต่อหลักจริยะ ชีวิตในชาตินี้และชาติต่อๆ ไปก็จะต้องเผชิญเคราะห์กรรมอย่างนี้อยู่ร่ำไป จิตใจจะต้องเข้มแข็งในศีล จึงจะผ่านเคราะห์กรรมอันนี้ได้.....
ประทานไว้เมื่อ ปี 2548

ความเห็นของผม ตามพระวจนะนี้
... จริงอยู่ครับ การเป็นเกย์-กระเทยหรือเป็นทอม-ดี้ ไม่เสียหายอะไร ถ้ายังเป็นคนดีและไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ....
... แต่อย่าลืมหลักคุณธรรมจริยธรรมของการครองตนเป็นมนุษย์ ธรรมชาติย่อมมีเจตนารมณ์ของตัวมันเอง หากแม้ผิดต่อหลักธรรมชาติ ก็ต้องธรรมชาติถูกคัดออกไป (Natural Selection) อาจจะมีความสุขในเบื้องต้น แต่ก็ต้องทุกข์ทนในเบื้องปลาย อาจจะมีความสุขที่ได้รักคนที่เรารักและเขาก็รักเรา แต่ถามตัวเองดูเถิดว่าผลที่ตามมาในวันข้างหน้าจะหนักหน่งแค่ไหน เราจะแบกรับมันไหวหรือเปล่า?
...
natee_2522@hotmail.com
 
ธรรมดา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2006, 1:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นเรื่องธรรมดา แต่ละคนสะสมมาต่างๆ กัน
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 26 ม.ค. 2007, 10:59 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
ถ้ารู้ตัวว่าเป็นเกย์ มีเวลาที่เหมาะสมควรจะต้องรีบบวชครับ
เพราะ
1. ธรรมวินัยเป็นสิ่งที่ปกป้องท่านไม่ให้ไปสู่พฤติกรรมตามอารมณ์กิเลสต่างๆ (ได้บ้าง ถ้ามีความตั้งใจประพฤติปฎิบัติ)
2. ได้อยู่ใกล้สมณะ พระเถราจารย์ พระผู้มีปฎิปทา น้อมไปในทางละซึ่งกิเลส ย่อมมีอุบายธรรมแก้ไขปัญหาอารมณ์ต่างๆ (เพราะเกย์ นอกจากจะมีอารมณ์ต่างๆทั่วๆไปแล้ว ต้องยอมรับว่า เกย์มักมีความต้องการทางเพศสูง หรือทางพระเรียก กำหนัด ครูบาอาจารย์ ท่านย่อมสอนย่อมบอกหนทาง ละกำหนัดได้ดี) อีกอย่าง ถ้าเลือกอยู่ในที่ที่เป็นกำลัง หมายถึงเช่น ป่าช้า เชิงตะกอน เป็นต้น ก็ย่อมได้เห็นได้ยิน การตาย ความไม่สวยงามของรูป ความไม่ใช่ตัวตน ได้ง่าย ช่วยให้ละอารมณ์กำหนัดหรืออวิชชาความหลงได้ ถ้าทำบ่อยๆก็เกิดเป็นนิสัย
3. ถ้าเกิดจากกรรมเก่าจริง การบวช เพื่อประพฤติปฎิบัติ ย่อมเป็นอานิสงค์ ผ่อนคลายจากกรรมทั้งหลายลงได้บ้าง
4. เพศสมณเป็นเพศที่มีโอกาสทำให้แจ้งแก่จิตของตนเองได้มาก เพราะไม่ต้องมีกังวล ไม่พัวพันในฆราวาสวิสัย
 
gorn_666
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 28 ต.ค. 2006
ตอบ: 22

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2007, 3:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเป็นเกย์


ตั้งแต่วัยเด็กมาแล้วที่ผมไม่เคยยี่หระกับภาพโป๊เปลือยปลุกใจเสือป่า ไม่เคยยี่หระกับการกินเหล้าเข้าเธค
ตามเพื่อน ผมตั้งหน้าตั้งเรียน ๆ ๆ และเรียนเพียงอย่างเดียว ใจของผมมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม ผมต้องการเป็นบุคคล
สำคัญระดับชาติ ช่วงเวลาในวัยรุ่นของผมจึงไม่เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่มักจะหมดเวลาไปกับการสังสรรค์ จีบ
สาว เดินห้าง นั่งร้านกาแฟ วันเวลาของผมหมดไปกับการปูพื้นฐานของตัวเองเพื่อก้าวไปให้ถึงความฝัน ผม
ศึกษาวิถีการเมือง เศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งกลยุทธทางการทหาร ผมศึกษาทุก ๆ อย่างที่ผู้ต้องการพัฒนา
ประเทศชาติพึงกระทำ

ผมสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะบริหาร ผมพบว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยนั้นอิสระเหลือเกิน ผมมีเพื่อนใหม่
ที่หลากหลาย แต่ละคนมีพื้นฐานชีวิตที่แตกต่างกัน ผมเริ่มสนุกกับการพูดคุยกับเพื่อนใหม่ของผม ผมคิดว่า
ผมอาจจะชอบเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตจริงจากคนเหล่านี้ก็ได้ ผมจึงไม่ปล่อยให้ตัวเองขลุกอยู่แต่บ้าน ตำรา
เรียน และอินเตอร์เน็ตเหมือนเดิม

ผมพบว่าผมรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งพูดถึงสาว ๆ แรก ๆ ผมคิดว่าผมไม่เข้าใจว่า
ทำไมหนุ่มทุกคนจะต้องสนใจสาว ๆ ด้วย อยู่ด้วยกันเองมีความสุขพออยู่แล้ว เวลาผ่านไปพักใหญ่ผมถึง
เข้าใจว่า ที่จริงแล้วผมเป็นเกย์ ผมมาถึงบางอ้อตอนที่ผมออกอาการหึงหวงเพื่อนของผมเมื่อเขาเขียนจด
หมายรักถึงสาว ๆ ผมยอมรับว่าผมงงและสับสนพอสมควร ผมหลงรักเพื่อนผู้ชายของตัวเอง ผมเริ่มเข้าใจ
ตัวเองขึ้นมาตามลำดับว่า ทำไมผมไม่เคยสนใจผู้หญิง ไม่ว่าสวยเซ็กซี่ขนาดไหน และทำไมผมสนใจมองดู
แต่ผู้ชายที่หล่อ ๆ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว

ผมใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างลำเค็ญจิตใจ จากการที่ผมต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเองที่ทนไม่ได้กับการที่
หนุ่ม (ของผม) เอาแต่สนใจสาวสวย บางครั้งผมหลบหน้าเพื่อนบางคน เพราะผมเจ็บปวดเกินไปที่จะอยู่ใกล้
พวกเขา ผมคิดว่าเขาเข้าใจว่าผมเป็นอะไร แต่เขาไม่ได้แสดงอาการรังเกียจผม รวมทั้งไม่เอาผมไปพูดใน
เชิงเสียหายกับคนอื่น ผมขอบคุณเขาอยู่เงียบ ๆ ในใจ

ผมเรียนจบมหาวิทยาลัย และบินไปเรียนต่อต่างประเทศทันที ผมต้องการลบฝันร้ายของชีวิตออกไปให้เร็ว
ที่สุด แต่ผมไม่รู้เลยว่าประเทศที่ผมไปนั้นเปิดเผยในเรื่องการเป็นเกย์กว่าเมืองไทยมาก มีคนผิดเพศเดินอยู่
ขวักไขว่ในมหาวิทยาลัยที่ผมไปเรียน และยิ่งไปกว่านั้น ผมถูกจีบด้วยหนุ่มหล่อนายหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนตก
นรกทั้งเป็น มโนธรรมในจิตใจของผมต่อสู้กับความต้องการจากก้นบึ้งของหัวใจ

ผมตอบรับน้ำใจไมตรีของหนุ่มหล่อรายนั้น ผมพยายามปฏิบัติตัวให้เหมือนกับเพื่อนธรรมดา ๆ แต่ในบางครั้ง
ก็อาจจะเกินเลยไปบ้าง ผมกล้ำกลืนรับสภาพแห่งความขัดแย้งในใจของผมที่หนักอึ้งขึ้นทุกวัน ๆ ในที่สุด
ความคับแค้นทวีความรุนแรงจนผมเป็นคนขี้โมโหไปโดยปริยาย ในที่สุดผมใช้ความขี้โมโหของตัวเองเป็น
เกราะกำบังตนเองให้ออกจากอำนาจแม่เหล็กแห่งราคะ ผมระเบิดอารมณ์อยู่เสมอ ๆ ซึ่งขณะนั้นผมไม่มี
ทางเลือก ผมต้องใช้วิธีนี้ไปก่อน ผมนึกในใจว่าเมื่อไหร่ที่ผมกลับเมืองไทยผมจะไปบวช

ตั้งแต่เล็กจนโตผมมีความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา ผมเชื่อมั่นในศาสนาของผม และเชื่อว่าพระพุทธเจ้าจะ
ให้คำตอบแก่ผมได้ทุกอย่าง ความคิดของผมในตอนนี้ไม่เหลือร่องรอยของคนที่เคยต้องการเป็นคนสำคัญ
ของชาติอีกต่อไป ผมคิดอย่างเดียวว่าผมจะเอาตัวให้รอดจากหายนะแห่งจิตใจนี้ไปได้อย่างไร ผมคิดอยู่
เพียงอย่างเดียวจริง ๆ ถ้าผมเอาชนะมันไม่ได้ ผมต้องจบชีวิตลงอย่างอนาถแน่นอน ซึ่งผมไม่มีวันยอมให้เป็น
อย่างนั้นง่าย ๆ ผมจะสู้กับมัน สู้กับจิตใจของผมเอง และแน่นอน พระพุทธศาสนาคือคำตอบเดียวของผม

ผมสอบวิชาสุดท้ายเสร็จแล้ว เพื่อนบางคนเตรียมตัวออกเดินทางท่องเที่ยวก่อนที่จะกลับบ้าน แต่ผมเตรียม
ตัวกลับบ้านทันที ผมโทรศัพท์กลับมาบอกทางบ้านว่าผมอยากบวช แม่ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงยินดี แม่คงจะ
ลอบสังเกตอยู่เงียบ ๆ และคงจะทราบว่าผมมีปัญหาบางอย่างที่ไม่อาจจะเปิดเผยได้ ผมขอบคุณแม่ที่ไม่ได้
คาดคั้นเอาความจริงอะไรกับผม นี่เองคือความประเสริฐของผู้ที่เป็นพ่อแม่

ผมกลับมาถึงเมืองไทยและบอกกับแม่ของผมว่าผมมีความทุกข์เหลือเกิน ผมมีความผิดปกติทางจิตใจบาง
อย่าง แม่รับฟังและลูบหัวผม แม่บอกว่าผมอาจจะยังไม่ต้องบวชก็ได้ แม่จะได้มีเวลาดูแลผมอย่างใกล้ชิด
และในสมัยนี้มีฆราวาสจำนวนมากที่ปฏิบัติธรรมได้ผลอย่างดีโดยที่ไม่ได้บวช ยังอยู่บ้านกับพ่อแม่ ยังทำงาน
เหมือนคนปกติทั่วไป ผมเห็นด้วยกับแม่ ถ้าผมอยู่บ้านผมก็จะได้ดูแลพ่อแม่ของผม และได้ปฏิบัติธรรมไป
ด้วย

ผมเริ่มการปฏิบัติธรรมด้วยการนั่งสมาธิ ผมทำด้วยความเพียรพยายามอยู่ 3 เดือน ระหว่างที่ผมนั่งอยู่นั้น ผม
ไม่สามารถต่อสู้กับกระแสจิตใจของตัวเองได้เลย ความทุกข์ใจ ความคับแค้น ความเจ็บปวดต่าง ๆ นานาวิ่ง
เข้าหาและโถมทับจิตใจของผม โดยที่ผมเองหมดทางสู้อย่างสิ้นเชิง บางครั้งผมถึงกับร้องไห้ออกมา จิตใจ
ของผมชำรุดมาก ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี

ผมเข้ารับการแนะนำจากพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนา ท่านชี้แนะแนวทางว่าให้ผมลองปฏิบัติด้วย
การเดินจงกรม ผมไม่ได้ถามท่านแต่ผมคิดว่าผมคงไม่เหมาะกับการนั่ง แต่เหมาะกับการเดินมากกว่า ผมลง
มือปฏิบัติทันที ทุก ๆ วันตอนเย็นหลังเลิกงาน ผมจะกลับบ้านเดินจงกรม ผมเดินวันละหลาย ๆ ชั่วโมง นับ ๆ
ดูแล้วผมเดินวันละเป็นสิบ ๆ กิโลเลยทีเดียว

บางครั้งที่ความทุกข์ใจมันก่อตัวหนาแน่นมาก แม้จะเดินแล้วก็ยังไม่ได้ผลอะไร ผมจะเดินเร็วขึ้น ๆ บางครั้ง
ถึงกับต้องวิ่งกันเลยทีเดียว เวลาผ่านไป 2 เดือน ผมคิดว่าความทุกข์ของผมมันลดกำลังลง และบังเอิญผม
ได้พบหนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือธรรมะของหลวงพ่อเทียน ท่านสอนการปฏิบัติธรรมด้วยการเคลื่อน
ไหวร่างกายอย่างมีสติ ผมจึงเริ่มเข้าว่าความทุกข์ใจนั้นเป็นเสมือนมายา มันเหมือนจริงมากและหลอกล่อเรา
ให้ทุกข์ใจ กังวลใจ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมีสติเป็นการละลายความทุกข์ใจออกไปได้จริง ๆ ทีละเล็ก
ละน้อย จนกระทั่งหมดไปในที่สุด ท่านเปรียบทุกข์ว่าเป็นเหมือนปลิงที่มาเกาะดูดเลือดเรา เราไม่จำเป็นต้อง
ไปดึงมันออก เพราะมันจะไม่ยอมปล่อยตัวออกจากเราแน่ แต่เพียงเรานำปูนกินหมากกับใบยามาผสมกับน้ำ
แล้วบีบลงบนตัวปลิง ปลิงมันจะหลุดออกไปด้วยตัวมันเอง โดยที่เราไม่ต้องออกแรง

ผมจึงเริ่มเข้าใจว่าการจะเอาทุกข์ออกจากชีวิตจิตใจของผมได้นั้น ผมไม่ต้องพยายามห้ามความคิดตัวเอง
หรือห้ามความเป็นเกย์ของผม ผมเพียงแต่เคลื่อนไหวกายอย่างมีสติเท่านั้น ผมทำต่อไปอย่างสม่ำเสมอ ทุก
วันผมเดินจงกรมอย่างไม่เกี่ยงงอน และมันช่วยผมได้จริง เวลาผ่านไป 6 เดือน ผมพบว่าความทุกข์ทางใจ
ของผมที่เคยมีนั้นมีน้ำหนักอ่อนลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งแทบจะไม่เหลืออยู่เลย แม้กระทั่งในเวลาทำงานผมก็ยัง
ปฏิบัติธรรมไปด้วย ผมหมายถึงเวลาที่ผมเริ่มมีความทุกข์กังวลเกิดขึ้น ผมจะเคลื่อนไหวร่างกายทันที ผมจะ
ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำบ้าง ลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจบ้าง หรือไม่ก็วิ่งขึ้นลงบันไดบริษัทเสียเลย ครั้งหลัง ๆ มานี้ แม้
สิ่งที่เคยทำให้ทุกข์นั้นปรากฏอยู่ในใจ แต่เพียงผมกระพริบตาเท่านั้น มันก็หายวับไป ผมคิดว่าผมไปได้ดี
ทีเดียวในทางสายนี้

วันนี้ผมกลับไปพบเพื่อน ๆ ของผมได้อย่างสดชื่นเบิกบาน ผมรู้ได้เองด้วยใจของผมเอง ผมไม่ได้เป็นเกย์อีก
แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะพิสูจน์ความเป็นชายของผมด้วยการจีบสาว ผมคิดว่าผมจะปฏิบัติธรรมต่อไป ที่
จริงแล้วการปฏิบัติธรรมนั้นได้รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผมไปเสียแล้ว ผมเริ่มเข้าใจในสิ่งที่
พระอาจารย์หลายท่านเคยกล่าวว่า ธรรมะคือความธรรมดา หรือธรรมะคือธรรมชาติ ผมจึงสรรเสริญคุณธรรม
ของพระพุทธเจ้าที่สุดในชีวิตจิตใจของผม ธรรมของท่านได้ช่วยชีวิตของผมไว้ ผมเอ่ยปากอธิษฐานด้วยชีวิต
จิตใจของผมว่าผมขอตอบแทนคุณพระพุทธศาสนา คุณของพ่อแม่ และคุณของครูบาอาจารย์ จนกว่าชีวิต
ของผมจะจบสิ้นไป

๐๐๐๐๐๐๐๐



แนะนำหนังสืออ่านประกอบ

"การทำความรู้สึกตัว ภาค ๑" หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ (พันธ์ อินทผิว)

http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_thien/lp-thien_02.htm

อ่านเว็ปนี้เต็มได้ที่
http://dungtrin.com/mag/?6
 

_________________
วันคืนล่วงไป ล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2007, 4:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมะคือความธรรมดา หรือธรรมะคือธรรมชาติ ผมจึงสรรเสริญคุณธรรม
ของพระพุทธเจ้าที่สุดในชีวิตจิตใจของผม
-ธรรมของท่านได้ช่วยชีวิตของผมไว้ ผมเอ่ยปากอธิษฐานด้วยชีวิต จิตใจของผมว่าผมขอตอบแทนคุณพระพุทธศาสนา คุณของพ่อแม่ และคุณของครูบาอาจารย์ จนกว่าชีวิต ของผมจะจบสิ้นไป


-ถูกต้องแล้วคร้าบ สาธุ อยู่กับปัจจุบันดีฝ่า องคุลีมาลฆ่าคนเป็นพันยังนำตนรอดจากอเวจีได้ จะกล่าวไปใยกับเรื่องเล็กๆน้อยของเรา
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ฐิตวํโส ภิกขุ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.พ.2007, 6:00 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถึงโยมวิสุทธิ์ และน้องต้อ

หลวงพี่เอง ได้เข้ามาอ่านกระทู้แล้ว โดยเฉพาะกระทู้ตอบของน้องต้อที่ต้องใจวูบ เพราะเข้าใจไปว่าจะบวชไม่ได้ ก็ขอให้ไม่ต้องกังวลใจนะ

ในทางพระพุทธศาสนานั้น มิได้มีการบัญญัติว่าเกย์อย่างที่เข้าใจกันในปัจจุบันนั้นจะบวชไม่ได้ แต่มีข้อกำหนดไว้ชัดเจนว่า กระเทยแท้ คือมี ๒ เพศ ในร่างกายนั้นบวชไม่ได้

ส่วนความหมายของคำว่า "บัณเฑาะก์" นั้น หรือ ในภาษาไทยว่า "กระเทย" นั้น นอกจากจะหมายถึงกระเทยแท้ดังที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังหมายถึง ชายผู้ถูกตอน ที่เราเรียกว่า "ขันที" นั่นเอง ก็ไม่ควรบวช เพราะถือว่าพิการ ถ้าหากพระอุปัชฌาย์รูปใดให้บวชก็ต้องต้องอาบัติ

และบัณเฑาะก์พวกที่ ๓ ก็หมายถึง "ชายผู้มีราคะกล้าและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น" กล่าวคือประพฤตินอกรีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เกิดการเสพกาม อันนี้น่าจะหมายถึงตุ๊ด แต๊ว กระเทยที่แสดงออกอย่างชัดเจน และมีพฤติกรรมยั่วยวนและหมกมุ่นทางเพศอย่างที่ให้ความหมายไว้

ก็ถ้าหากอย่างที่ทั้งสองท่านบอกว่าเพียงเป็นเกย์ในทางความรู้สึกว่าไม่ได้ชอบผู้หญิงถึงขั้นแต่งงานจับคู่ออกเรือนกันได้ หรืออาจชอบรักผู้ชาย แต่ก็รู้ว่าไม่สมควรและก็ไม่ได้มีพฤติกรรมนอกรีตไม่ได้เสพกามหรือยั่วยวนให้เกิดการเสพกามกับชายผู้นั้น ก็ไม่ถือว่าเป็น "บัณเฑาะก์" เลย

จากที่พบเห็นในสังคมเชื่อว่าน่าจะมีเกย์ที่เป็นกลุ่มที่ ๓ นี้เยอะขึ้นมากในยุคปัจจุบัน

ส่วนกลุ่มผู้ชายที่อยู่ในภาวะก้ำกึ่งไม่แน่นอน มักจะสับสนในตนเองว่าเป็นกระเทยในกลุ่มที่ ๓ นี้หรือไม่ ก็คิดว่ายิ่งมีเยอะมากขึ้นๆ ซึ่งหลวงพี่เองโดยส่วนตัวคิดว่า กลุ่มหลังนี้ไม่ถือว่าเป็นกระเทย แม้จะมีปัญหาสับสนทางความคิดความรู้สึกอยู่ ก็ไม่เป็น ตราบใดที่ไม่ได้มีพฤติกรรมดังคำจำกัดความนั้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่แสดงออก และเป็นคนสนใจธรรมะ เป็นคนดีชอบช่วยเหลือสังคม คนกลุ่มเหล่านี้ไม่ได้เป็นหรอก

แต่การอบรมเลี้ยงดูหรือประสบการณ์บางอย่างในวัยเด็กอาจทำให้รู้สึกแปลกแยกสับสนไปบ้าง ถูกกระตุ้นเร้ามาก หรือยิ่งเก็บกดมากก็รู้สึกย้ำคิดย้ำทำมาก หรือเป็นเพราะเศษกรรมเก่า หรือเพราะคำอธิษฐานบางอย่างในอดีตชาติ มีอิทธิพลจรเข้ามาแทรกแซงชีวิตในชาติปัจจุบันบ้าง เมื่อเติบโตขึ้นมาในยุคนี้ก็เป็นสังคมที่มีการยั่วยุกระตุ้นเร้ามากมีค่านิยมยอมรับชี้นำ ก็จะยิ่งเกิดอารมณ์และการสับสนได้ง่าย ก็เป็นที่เข้าใจได้

และขอให้กำลังใจแก่น้องต้อ และโยมวิสุทธิ์ว่าไม่ต้องกังวล ถ้าเข้าใจถึงเหตุปัจจัยแท้ๆ ก็สามารถแก้ได้ บำบัดได้ ป้องกันได้ หรือแค่วางใจยอมรับมันเป็นปกติได้ในทางที่เหมาะที่ควร ก็ไม่ต้องทุกข์ใจอีกต่อไป

และหลวงพี่เองก็เคยเจอ เคยให้คำปรึกษาแนะนำ เคยช่วยเหลือในทางปฏิบัติธรรม และก็มีที่เคยมาบวชในระยะสั้นๆ ก็มี ก็ถ้ามีคนเข้าใจ ให้คำแนะนำได้อย่างเข้าใจ ก็จะทำให้สามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้องเหมาะสม และจะเป็นประโยชน์มากๆ เป็นการสร้างบุญกุศล และบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี ซึ่งจะเป็นการแก้ที่ตรงจุดที่สุด และยั่งยืนในภพชาติต่อๆ ไปอีกด้วย

แต่ถ้าไม่มีผู้แนะนำในทางที่เหมาะสมให้ ไม่เข้าใจคนกลุ่มนี้ แล้วถ้าไปบวชในวัดที่ไม่ดี ไม่มีคนสั่งสอนอบรม ก็อาจจะยิ่งแย่และจะไปเผลอทำอาบัติหนักๆ ขึ้นมาได้ ก็ต้องระวัง ต้องมีกัลยาณมิตรแนะนำอย่างเข้าใจ ก็จะไม่เป็นปัญหา

ก็ถ้าต้องการเล่าเรื่องอะไรให้หลวงพี่ฟังได้แล้วสบายใจขึ้น หรือจะติดต่อมาบวชทั้งระยะสั้นหรือบวชนานก็ตาม หรือจะปฏิบัติธรรมแบบฆราวาส หรือไว้ใจที่จะปรึกษาปัญหาต่างๆ อย่างไร ก็ติดต่อหลวงพี่มาได้ที่อีเมล์ moralproject@gmail.com

ขอให้กำลังใจในการทำความดี
ขออนุโมทนาในบุญกิริยาและเหตุปัจจัยอันเป็นกุศลทั้งหลาย
ขอให้บุญรักษาทุกคนนะ
ขอเจริญพร
ฐิตวํโส ภิกขุ
 
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.พ.2007, 8:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพิ่งอ่าน (ผมเป็นเกย์) ละเอียดวันนี้เอง

เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ปฏิบัติกรรมฐานซึ่งยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส
ที่เลื่อมใสแล้วเลื่อมใสยิ่งๆขึ้นไป
ที่กำลังปฏิบัติอยู่ได้เกิดศรัทธาเชื่อมั่นมั่นใจยิ่งขึ้น

กรรมฐานเมื่อทำถูกต้องถูกวิธีไม่ทอดทิ้งกลางคันแล้ว จะชำระล้างสิ่งหมักหมม (อาสวะ) ในจิตใจได้จริง กำจัดทุกข์ได้จริง ไม่ใช่สิ่งเพ้อฝันเลื่อนลอย

ผู้เป็นเจ้าของเรื่องนี้ได้พิสูจน์แล้ว ประจักษ์แล้วด้วยตนเอง รู้เองเห็นเองโดยไม่ต้องผ่านผู้อื่น
จนเกิดความเลื่อมใสมั่นในพระรัตนตรัย หายสงสัยแล้ว เชื่อแล้วว่าพุทธะมีจริงเพราะตนเห็นธรรมะโดยประจักษ์แล้ว จึงเสมือนเห็นพุทธะ ดังพระดำรัสที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น ชื่อว่าเห็นเรา (ตถาคต)

เพราะฉะนั้น เลิกทุ่มเถียงกันได้แล้วว่า นั่นเป็นสมถะนั่นเป็นวิปัสสนา ลงมือทำกันจริงๆสะทีเถอะ จะเอาอะไรก็เอาเสียหนึ่ง หรือทำทั้งสองอย่างไปด้วยกัน

เอากิเลสในตนเองนั่นแหละเป็นตำราเรียนรู้
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
gorn_666
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 28 ต.ค. 2006
ตอบ: 22

ตอบตอบเมื่อ: 18 ก.พ.2007, 7:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ให้ฝึก สติปัฏฐาน 4 ครับ เป็นวิธีลดทุกข์ทางใจ ได้ดี ครับไม่ต้องบวชก็ทำได้ครับ ขอท้าให้ลองทำครับ แต่ต้องทำให้ถึงจิตถึงใจนะครับ อย่าขี้เกียจ

http://www.wimutti.net/surawat/
 

_________________
วันคืนล่วงไป ล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ภูวดิท
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 20 ก.พ.2007, 8:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้ม ฝึกอสุภะกรรมฐานดูซิครับเผื่อจะคลายความกำหนัดจากกามได้
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง