Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ชั่วโมงแห่งความคิดดี (พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ส.ค. 2006, 11:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๏ ถาม-ตอบ ปัญหาการปฏิบัติ

1. ลืมตานั่งสมาธิได้ไหม

2. การนั่งสมาธิ หากเราเปลี่ยนท่าบ่อยๆ มีผลต่อการทำสมาธิไหม

3. นอนกำหนดอานาปานสติ จะหลับเลย ควรปฏิบัติอย่างไร

4. ปัจจุบันนี้ ชีวิตก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ฐานะความเป็นอยู่ดี ไม่มีเรื่องทุกข์ใจ ไม่ได้เบียดเบียนใคร อยู่อย่างสบายๆ มีความจำเป็นต้องเจริญอานาปนสติไหม

5. การเจริญอานาปานสติแตกต่างจากสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานอย่างไร

6. รู้สึกว่าการกำหนดลมหายใจเสียเวลาเปล่า อ่านหนังสือ ทำงาน หรือทำอย่างอื่น จะได้รับประโยชน์มากกว่า

7. นั่งสมาธิแล้วง่วงนอนทำอย่างไร

8. นั่งสมาธิแล้วฟุ้งซ่านทำอย่างไร

9. ทำไมเวลานั่งเจริญอานาปานสติทุกครั้ง จะเกิดอาการหงุดหงิด หรือเครียด แต่ถ้านอนกำหนดจะรู้สึกว่าดีขึ้น ทำไมเป็นเช่นนี้ หรือว่าเพราะกิเลส

10. มีวิธีการนั่งสมาธิอย่างไรที่จะไม่ทุกข์ ไม่ทรมานสังขาร

11. ขณะที่นั่งสมาธิและเดินจงกรม ถ้าเราคิดทบทวนข้อธรรมะที่ได้รับฟังมาจะผิดไหม คือเราไม่ได้ตั้งสติอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก หรือว่าเราทำผิดเวลา

12. เมื่อเกิดความคิดฟุ้งซ่าน ขณะเดินจงกรมจะมีวิธีแก้อย่างไร

13. หายใจยาวลึกประมาณ 3 นาที เมื่อเริ่มต้น รู้สึกเหนื่อยมาก ควรทำอย่างไร

14. การจับลมหายใจ เข้า-ออก ควรดุตามธรรมชาติ หรือเป็นการบังคับลมหายใจ

15. อยากทราบว่า นักปฏิบัติธรรมจะเจริญได้อย่างไรในยุคโลกาภิวัฒน์ ในเมื่อนักปฏิบัติรู้จักพอ ไม่ทะเยอทะยาน ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 19)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ส.ค. 2006, 11:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

1

ถาม : ลืมตานั่งสมาธิได้ไหม


ตอบ : ตามปกติสำนักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ ทั้งในไทย ในพม่า หรือในประเทศต่างๆ ก็สอนให้หลับตานั่งสมาธิ ถือเป็นหลักสากลทั่วไป แต่สำหรับพระในนิกายเซนประเทศญี่ปุ่น เวลานั่งสมาธิท่านห้ามหลับตา เพราะเวลานั่งสมาธิแล้วหลับตา อาจจะรู้สึกสงบและสบายก็จริง แต่ความง่วง หดหู่ มักจะเข้ามาครอบงำจิตได้ง่าย หรือบางทีก็ทำให้คิดปรุงแต่ง เคลิบเคลิ้ม เป็นฝันกลางวัน

ข้อพิจารณาว่าการนั่งสมาธิควรหลับตาหรือลืมตา น่าจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของสถานที่ปฏิบัติเป็นสำคัญ หากมีสิ่งแวดล้อมที่จะดึงดูดความสนใจเรา ทำให้จิตใจวอกแวก เช่น นั่งปฏิบัติรวมกับผู้อื่น การหลับตาก็น่าจะเหมาะสมกว่า สิ่งที่ต้องระวัง ก็คือ เมื่อหลับตานั่งสมาธิ อาจทำให้เกิดความสบายคล้ายๆ กับช่วงที่กำลังจะหลับ ดังนั้นเมื่อหลับตานั่งสมาธิ ต้องให้แน่ใจว่าจิตใจไม่มีนิวรณ์ โดยเฉพาะความง่วง หดหู่ เคลิบเคลิ้ม และฟุ้งซ่านครอบงำอยู่

อย่างไรก็ตาม หากต้องการลืมตานั่งสมาธิ ก็ควรหาสถานที่ปฏิบัติที่เหมาะสม เช่นนั่งหันหน้าเข้าหาผนังสีขาว อย่าให้มีอะไรมาดึงความสนใจ นั่งลืมตาโดยกำหนดสายตาไว้ที่ปลายจมูก ลักษณะคล้ายพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งจะอยู่ในท่านั่งลืมตาเล็กน้อย การลืมตาให้มีแสงสว่างเข้าตาอยู่ตลอด จะไม่ทำให้เกิดความรู้สึกสบายๆ มากเกินไปจนเคลิ้มหลับ แต่จะทำให้มีสมาธิในการนั่ง กำหนดอารมณ์กรรมฐานได้ดี สังเกตความง่วงนอนได้ง่าย และขจัดความเคลิบเคลิ้มได้สะดวก

ที่สุดของการทำสมาธิ ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา เมื่อเห็นอะไร ได้ยินอะไร รู้สึกอย่างไร ให้ทำจิตตั้งมั่น เป็นสมาธินั่นแหละ

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 20)
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 09 ก.ย. 2006, 5:18 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ส.ค. 2006, 11:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

2

ถาม : การนั่งสมาธิ หากเราเปลี่ยนท่าบ่อยๆ มีผลต่อการทำสมาธิไหม


ตอบ : การเปลี่ยนท่ามีผลเสียต่อการทำสมาธิเพื่อจิตตั้งมั่น ซึ่งเป็นสมาธิขั้นละเอียด แต่การปฏิบัติของเราเริ่มต้นด้วยการเจริญสติปัฏฐาน 4 คือการตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง ในที่นี้ คือมีความรู้สึกตัวชัดเจนในการนั่ง ในการหายใจ เข้า หายใจออก รู้ความรู้สึกนึกคิด รู้ตามอารมณ์ว่าเป็นพอใจ หรือไม่พอใจ รู้แล้วก็ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น พยายามไม่ยินดี ยินร้ายต่ออารมณ์ ถึงแม้ว่าทุกข์กาย ไม่สบายใจก็ตาม ให้อาศัยความอดทน อดกลั้น พยายามรักษากาย วาจา ใจ ให้เป็นศีล ให้เรียบร้อย หากรู้สึกปวดเมื่อย ต้องการเปลี่ยนท่านั่ง ก็ทำได้ แต่ให้ค่อยๆ ทำอย่างมีสติ รู้สึกตัวทั่วพร้อม จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 21)
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 09 ก.ย. 2006, 5:18 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 29 ส.ค. 2006, 12:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

3

ถาม : นอนกำหนดอานาปานสติจะหลับเลย ควรปฏิบัติอย่างไร

ตอบ :
ปกติการปรารถความเพียรก็ต้องอาศัยอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง ไม่ใช่นอน แต่ชีวิตของคนเราต้องนอนประมาณ 1 ใน 3 ส่วนในแต่ละวัน ดังนั้นเพื่อให้การเจริญอานาปานสติเป็นไปอย่างติดต่อกันตลอด สำหรับผู้สามารถปฏิบัติได้ควรทำทั้ง 4 อิริยาบถ หรืออย่างน้อยเวลานอน ก่อนที่จะหลับไปก็ให้พยายามกำหนดอานาปานสติเพื่อที่จะได้หลับอย่างมีสติ ไม่มีความกังวล ไม่ฝันร้าย หลับสบาย สำหรับคนนอนยากก็ช่วยให้ไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ การเจริญอานาปานสติในอิริยาบถนอน สามารถทำได้ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติ รู้สึกปวดเมื่อยมากๆ ไม่มีกำลังสำหรับการยืน เดิน นั่ง แต่ต้องการผักผ่อนอิริยาบถ ก็ให้นอนกำหนดอานาปานสติ เป็นการเจริญสติและรักษาสุขภาพใจดีไว้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษแต่อย่างใด

การเจริญอานาปานสติในอิริยาบถนอนจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ป่วย ที่ต้องนอนเกือบตลอดเวลา เพราะจะช่วยบรรเทาทุกขเวทนาได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ โรคเจ็บไข้ได้ป่วยของคนเรา มากกว่า 1 ใน 3 ก็เกิดจากอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ดังนั้นการทำจิตใจให้สงบในอิริยาบถนอนแทนที่จะคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นประโยชน์ในการรักษาสุขภาพทั้งกายและใจ

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 22)
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 09 ก.ย. 2006, 5:19 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 29 ส.ค. 2006, 12:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

4

ถาม : ปัจจุบันนี้ ชีวิตก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ฐานะความเป็นอยู่ดี ไม่มีเรื่องทุกข์ใจไม่ได้เบียดเบียนใคร อยู่อย่างสบายๆ มีความจำเป็นต้องเจริญอานาปนสติไหม

ตอบ :
ความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่อยู่อย่างสบายนั้น เป็นของเก่า เป็นผลของทาน ศีล ภาวนา ที่ได้เคยบำเพ็ญมา ถึงแม้ความดีที่ได้ทำในชาติก่อนส่งผลดีแก่เราในชาตินี้ แต่เราไม่ควรประมาท เพราะชีวิตไม่แน่นอน อนาคตเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เมื่อหมดผลบุญแล้ว วิบากกรรมฝ่ายอกุศลส่งผล อาจจะตกต่ำไปเกิดเป็นมนุษย์ที่ลำบาก ขัดสน เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือไปเกิดในอบายภูมิอื่นก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่น มารดาของพระโมคคัลลานะ เกิดในตระกูลดีก็ยังตกนรก

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าไม่ให้ประมาท เพราะสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง แม้อานิสงส์ของทานและศีลจะทำให้เรามีชีวิตที่สมบูรณ์พรั่งพร้อม แต่เป็นความสุขจากกกามคุณที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึงโทษความบกพร่องของความสุขแบบนั้น และทรงแสดงทางออก พร้อมอานิสงส์ของทางออกนั้น ที่เรียกว่า เนกขัมมานิสังสะ คือ การออกจากกาม และสุดท้ายแสดงอริยสัจ 4 อันเป็นทางพ้นทุกข์อย่างแท้จริง

ดังนั้นถ้าเราเป็นผู้ไม่ประมาท ก็ควรเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา เจริญสติปัฏฐาน 4 จนดวงตาเห็นธรรม ละความผิด อันได้แก่ สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส สำเร็จเป็นอริยบุคคลขั้นโสดาบัน จึงจะแน่นอนว่า ชีวิตไม่ตกต่ำ ไม่มีทางไปเกิดในอบายภูมิได้อีก

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 23)
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 09 ก.ย. 2006, 5:19 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 31 ส.ค. 2006, 6:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

5

ถาม : การเจริญอานาปานสติแตกต่างจากสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานอย่างไร

ตอบ :
กรรมฐาน แปลว่า อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ เป็นวิธีฝึกอบรมจิต มี 2 ประเภท ได้แก่ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน

สมถกรรมฐาน หมายถึง การฝึกอบรมจิตเพื่อให้จิตใจสงบ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ

วิปัสสนกรรมฐาน หมายถึง การฝึกอบรมจิตเพื่อให้เห็นแจ้ง คือเห็นตรงต่อความเป็นจริง ของสภาวธรรม เกิดปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันทำให้ละความหลงผิดรู้ผิดในสังขาร

อานาปานสติเป็นทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน หมายถึง การเจริญสติโดยอาศัยการระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกจนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว จึงเพ่งพิจารณาสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามหลักสติปัฏฐาน 4 คือ กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นแจ้ง เห็นตรงตามความเป็นจริงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีสิ่งใดควรแก่การยึดมั่นถือมั่น ทำให้จิตใจปล่อยวาง

ที่สุดของอานาปานสติ คือ “เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ ทุกลมหายใจเข้าออก” หมายความว่า ในอานาปานสติขั้นที่ 16 ซึ่งเป็นวิปัสสนาขั้นสุดท้ายของอานาปานสติ เราจะเป็นผู้เห็นความสลัดคืนในสิ่งที่เรายึดถืออยู่ทุกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด ถอนอุปาทานยึดมั่นถือมั่น จนไม่มีความยินดีในขันธ์ทั้ง 5 ไม่มีสิ่งใดที่ยึดถือเป็นของเราอีกต่อไป มีสติปัญญาระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา กาย สักแต่ว่ากาย เวทนา สักแต่ว่าเวทนา จิต สักแต่ว่าจิต ธรรม สักแต่ว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เป็นอนัตตา

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 24)
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 09 ก.ย. 2006, 5:19 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 31 ส.ค. 2006, 9:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

6

ถาม : รู้สึกว่าการกำหนดลมหายใจเสียเวลาเปล่า อ่านหนังสือ ทำงาน หรือทำอย่างอื่น จะได้รับประโยชน์มากกว่า

ตอบ :
ภูมิจิต ภูมิปัญญาของคนเราแตกต่างกัน ยกตัวอย่าง วันเสาร์อาทิตย์ โยมมีเวลาว่าง ไปเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อนๆ ที่ต่างจังหวัด นั่งรถหลายๆ ชั่วโมง คุยกัน หาของอร่อยรับประทาน เหนื่อยแล้วก็หลับ เมื่อได้ไปเที่ยว ดูภูมิประเทศ ป่าไม้ ภูเขา ทะเล อยู่กับเพื่อนๆ กินเลี้ยงเฮฮา ร้องเพลง กลับบ้าน นอนหลับ ก็รู้สึกสบาย

พอวันจันทร์ถึงศุกร์ก็ไปทำงาน กลับบ้านเหนื่อยก็นอน ดูทีวี พักผ่อน เวลาผ่านไปวันๆ เราก็รู้สึกปกติดี เพราะสิ่งที่เราทำเป็นไปตามกระแสสังคม กระแสโลก ทำตามกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตใจเรามาช้านาน แต่การเจริญสติสัมปชัญญะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิกับลมหายใจ เพื่อสร้างกำลังใจและเพื่อสุขภาพใจดี เรารู้สึกว่าเสียเวลาและทำได้ยาก เพราะมันเป็นการทวนกระแสสังคมทางโลก ต้านกระแสกิเลส เราจึงมักพอใจอยู่กับความสุขแบบฉาบฉวย ยังหลงติดยินดีพอใจในสุขภาพใจที่ไม่ดีของตัวเอง ขี้เกียจ ขี้ฟุ้งซ่าน ขี้น้อยใจ ขี้อิจฉา ขี้กลัว ขี้โกรธ เป็นต้น เราต้องมาทบทวนชีวิตของตัวเองด้วยปัญญาชอบว่า เป้าหมายสูงสุดที่แท้จริงในชีวิตของเรานั้นคืออะไร หากเป้าหมายการดำรงชีวิตของเรา เพื่อละความชั่ว ทำความดี และชำระจิตให้บริสุทธิ์แล้ว เราจะเห็นโทษของสุขภาพใจที่ไม่ดี (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) เห็นประโยชน์ในการเจริญศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ 8 และจะเกิดความพอใจในการเจริญอานาปานสติว่าเป็นความสุข เอาลมหายใจเข้า ลมหายใจออกเป็นกัลยาณมิตร เป็นวิถีทางแห่งความสงบสุขอย่างแท้จริง

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 25)
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 09 ก.ย. 2006, 5:20 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 31 ส.ค. 2006, 9:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

7

ถาม : นั่งสมาธิแล้วง่วงนอนทำอย่างไร

ตอบ :
ให้ลืมตารับแสงอ่อนๆ เข้าตา จะช่วยแก้ง่วงนอนได้ กำหนดสติในท่านั่ง ตั้งสติกำหนดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในการนั่ง ถ้าปฏิบัติคนเดียว ให้เปลี่ยนเป็นอิริยาบถยืนกับเดินจงกรมให้มากๆ พระพุทธเจ้าทรงสอนวิธีแก้ง่วงนอนแก่พระโมคคัลลานะ มี 8 ประการ ดังนี้

1. ให้ตั้งสติ ระวังดูสัญญา ไม่ให้เข้าครอบงำจิตได้ ถ้าไม่หายง่วง

2. ให้พิจารณาธรรมะ หมายความว่า ให้ใช้ความคิด พิจารณาธรรมะที่เคยได้ยินได้ฟังมา อาจจะหายง่วง ถ้าไม่หายง่วง

3. ให้สวดมนต์สาธยายธรรมด้วยความตั้งใจ สวดไปๆ อาจหายง่วงได้ ถ้าไม่หาย

4. ให้ยอนหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ามือ ถ้าไม่หายง่วง

5. ให้ลุกจากที่นั่ง ไปล้างหน้า แหงนหน้า ดูฟ้า ดูดาว ดูพระจันทร์ ถ้าไม่หายง่วง

6. ให้เจริญอาโลกสัญญา นึกถึงแสงสว่าง กำหนดหมายว่า “กลางวัน” ไว้ในใจ ให้เหมือนกันทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ถ้าไม่หายง่วง

7. ให้เดินจงกรม สำรวมอินทรีย์ ตั้งใจเดิน ไม่ให้จิตคิดไปภายนอก เดินกลับไป กลับมา ถ้าไม่หายง่วง

8. ให้เอนกายพักผ่อน นอนตะแคงขวา พยายามมีสติสัมปชัญญะ ตั้งใจว่า เมื่อมีความรู้สึกตัวตื่นแล้ว จะลุกขึ้นปรารภความเพียรต่อไป

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 26)
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 09 ก.ย. 2006, 5:20 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 31 ส.ค. 2006, 10:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

8

ถาม : นั่งสมาธิแล้วฟุ้งซ่านทำอย่างไร

ตอบ :
สงบหรือไม่สงบก็ไม่เป็นไร สงบเป็นกุศลธรรม ไม่สงบเป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมเสมอกัน เมื่อจิตไม่สงบก็กำหนดศึกษาความไม่สงบ การปฏิบัติที่ถูกต้องกับจิตไม่สงบก็มีอยู่ พยายามมีขันติอดทนอดกลั้นไว้ ทำใจเป็นกลางๆ วางเฉย รักษาใจให้ดีต่อจิตที่ไม่สงบ

จิตที่ไม่สงบเป็นอุปมา เช่น ลูกของตัวเองที่ซุกซน ดื้อ เกเร อารมณ์ไม่ดี ไม่เรียบร้อย อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ที่ดีต้องรักษาสุขภาพใจให้ดี ให้มีเมตตาต่อลูกไว้ตลอด ต่อจิตที่ไม่สงบ...ก็เหมือนกัน ใจเป็นกลาง ใจดี ใจเมตตา ใจวางเฉย ต่อจิตไม่สงบ คิดไม่ดีสารพัดอย่าง รู้อยู่ว่าใจไม่สงบ แต่อย่ายินดี ยินร้าย อย่ายึดมั่นถือมั่น รู้แล้วปล่อย หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ พยายามเจริญสติสัมปชัญญะให้มีความรู้สึกตัว กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เมื่อเกิดสติสัมปชัญญะต่อลมหายใจ หรืออารมณ์กรรมฐานที่เรากำหนดแล้ว จิตที่ไม่สงบก็จะหายไปเอง อย่าเสียใจ เพราะจิตไม่สงบ อย่าดีใจเพราะจิตสงบ รู้เท่าทันสงบ-ไม่สงบ คือ การปฏิบัติให้ถูกต้อง

การปฏิบัติสำหรับผู้ที่จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน ให้ทำ 2 วิธี คือ ปล่อยวาง และพิจารณา

1. ปล่อยวาง เมื่อได้สติรู้ตัวว่าฟุ้งซ่าน ก็โอปนยิโก กลับไปที่อารมณ์กรรมฐานที่เรากำลังปฏิบัติอยู่ นึกคิดไปทางไหน ก็ให้กลับมาที่ลมหายใจของเรา

2. พิจารณา หากใจไม่สงบ เพราะติดอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้หยุดพักกำหนดอารมณ์กรรมฐาน เช่น อานาปานสติ แต่ให้ยกเอาอารมณ์ที่กำหนดอยู่มาทดแทน พิจารณาอสุภะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนใจยอมรับ ปล่อยวางอารมณ์ แล้วจึงมากำหนดอานาปานสติต่อไป เมื่อใดที่จิตนึกคิดไปต่างๆ นาน ก็ให้พยายามกลับมาที่ลมหายใจ เมื่อใดที่ใจไม่สงบ พยายามปล่อยวาง ระลึกถึงอารมณ์กรรมฐาน ตั้งสติต่อเนื่องกัน ถ้าอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ยังเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ให้ใช้วิธีพิจารณาแล้วกลับไปที่ปล่อยวาง กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น ช่วงเวลาที่ฟุ้งซ่านเพราะติดอารมณ์จะสั้นลง ในที่สุด ก็จะเหลือแต่วิธีที่ 1 ถ้าสงบเป็นสมาธิ ไม่สงบก็ปล่อยวาง

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 27)
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 09 ก.ย. 2006, 5:21 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 01 ก.ย. 2006, 12:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

9

ถาม : ทำไมเวลานั่งเจริญอานาปานสติทุกครั้ง จะเกิดอาการหงุดหงิด หรือเครียด แต่ถ้านอนกำหนดจะรู้สึกว่าดีขึ้น ทำไมเป็นเช่นนี้ หรือว่าเพราะกิเลส

ตอบ :
จิตของเราเหมือนสัตว์ป่า ถ้าปล่อยไป มันก็สบายของมัน ถ้าจับสัตว์ป่า ขังไว้ในกรงเล็กๆ มันจะเครียดดิ้นรนอาละวาดได้ จิตของเราก็เหมือนกัน ตั้งใจกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เอาสติผูกจิตไว้กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออกต่อเนื่องกัน ทำให้จิตที่ยังไม่เคยได้รับการฝึกดิ้นรนหงุดหงิด เครียดบ้าง ก็เป็นธรรมดา

สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ อาการเครียดเพราะปฏิบัติเป็นสิ่งจำเป็น และต้องเป็นอย่างนั้น แต่ไม่เป็นไร ให้มีขันติ อดทน ปฏิบัติกาย วาจา ให้เรียบร้อย ดูอาการหงุดหงิด เครียด เพ่งพิจารณาเป็นไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน เห็นอารมณ์เป็นอารมณ์ เราไม่ต้องตั้งใจกำหนดลมหายใจก็ได้ ปรับลมหายใจยาวๆ สบายๆ คล้ายกับว่ากดลมหายใจนิดหน่อย มีเสียงลมภายในเบาๆ กำหนดเสียง กำหนดความรู้สึกหายใจเข้าสบายๆ หายใจออกยาว สบายๆ จะเกิดสติสัมปชัญญะกับลมหายใจ ในที่สุด อาการหงุดหงิด เครียด จะหายไป ความรู้สึกสบายๆ จะปรากฏแทน

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 28)
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 09 ก.ย. 2006, 5:17 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 01 ก.ย. 2006, 12:15 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

10

ถาม : มีวิธีการนั่งสมาธิอย่างไรที่จะไม่ทุกข์ ไม่ทรมานสังขาร

ตอบ :
: สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ให้เปลี่ยนอิริยาบถใหม่ตามสภาพ ยืน เดิน นั่ง แต่พยายามมีสติ ระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ให้ติดต่อกันสม่ำเสมอ พยายามให้มีสติ สัมปชัญญะในการเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นการเจริญสติที่กาย และพยายามไม่ให้เกิดเสียง จาการขยับตัว ยกมือ ยกเท้า การหายใจ การไอ โดยเฉพาะเมื่อมาปฏิบัติธรรมร่วมกันเป็นกลุ่ม ต้องรักษาความเงียบให้มากที่สุด เพื่อไม่รบกวนเพื่อนๆ ที่นั่งสมาธิอยู่ด้วยกัน

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 29)
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 09 ก.ย. 2006, 5:17 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 01 ก.ย. 2006, 1:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

11

ถาม : ขณะที่นั่งสมาธิและเดินจงกรม ถ้าเราคิดทบทวนข้อธรรมะที่ได้รับฟังมาจะผิดไหมคือเราไม่ได้ตั้งสติอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก หรือว่าเราทำผิดเวลา

ตอบ :
ไม่ใช่ผิดเสมอไป ถ้าพิจารณาด้วยสติ อยู่ในอาการสงบ เป็นสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา รู้ตามความเป็นจริงแล้ว ทำให้เกิดประโยชน์ ก็ไม่ผิด ดีมากๆ ด้วย แต่เราต้องเข้าใจว่า เมื่อไร อย่างไร จึงจะเกิดผลดี เช่น กรณีที่เราติดอารมณ์ อาจจะเป็น นิวรณ์ 5 ข้อใดข้อหนึ่ง ก็ให้ยกธรรมะในนิวรณ์ 5 ข้อนั้นมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน ให้พิจารณาโดยใช้หลัก อสุภะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนใจยอมรับที่จะปล่อยวาง แล้วจึงกลับมาที่ลมหายใจ เจริญสติ จนเมื่อเกิดสติ สัมปชัญญะ เป็นสมถกรรมฐานแล้ว บางครั้งอาจรักษาความสงบให้ต่อเนื่องนานๆ เป็นการฝึกสติ สัมปชัญญะให้มั่นคง หรือบางครั้ง อาจฝึกวิปัสสนากรรมฐานโดยพิจารณาธรรม อาการ 32 ธาตุ 4 ดิน น้า ลม ไฟ พิจารณาอริยสัจ 4 ไตรลักษณ์ แล้วก็กลับไปสมถกรรมฐานอีก เพื่อให้สงบยิ่งๆ ขึ้น การเจริญสติโดยระลึกรู้ลมหายใจ และพิจารณาธรรมสลับกันไปมานี้ เปรียบเหมือนให้ร่างกายได้ทำงาน สลับกับพักผ่อน อย่างไรก็ตาม ต้องคอยสังเกตและระวังไม่ให้พิจารณามากเกินไป จนเกิดฟุ้งซ่าน

การฝึกปฏิบัติทั้งสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน มีหลักสำคัญ คือ ต้องเป็นไปเพื่อความสงบ ปล่อยวาง ลดละกิเลส จึงจะปฏิบัติถูก

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 30)
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 09 ก.ย. 2006, 5:17 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2006, 5:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

12

ถาม : เมื่อเกิดความคิดฟุ้งซ่าน ขณะเดินจงกรมจะมีวิธีแก้อย่างไร

ตอบ :
การเดินจงกรมที่ถูกต้องที่สุด คล้ายๆ กับเด็ก 1 ขวบ เริ่มหัดเดิน เขาจะเอาใจใส่ในการเดิน จิตใจจดจ่อ ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่จะเดินไปแต่ละก้าวๆ เขาจะเอาใจใส่ในการเดิน จิตใจจดจ่อ ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่จะเดินไปแต่ละก้าวๆ เรียกว่ากายเดิน จิตใจก็เอาใจใส่ในการเดิน กายกับใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การเดินก็เดินตามธรรมชาติ แต่ให้มีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม รู้สึกชัดเจนในการเดิน จิตใจสงบจากความคิดปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน เพียงเท่านี้ก็คือการเดินจงกรมที่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม ปกติจิตใจของเราไม่สงบอยู่แล้ว เดินจงกรมเป็นการเจริญสติ เพื่อให้เกิดสมาธิในการเดิน แต่เมื่อจิตไม่สงบ ก็อาจใช้อุบายต่างๆ ช่วยก็ได้ อุบายหนึ่งได้แก่ การนับก้าวเดิน ซึ่งจะเหมาะกับการเดินในทางเดินจงกรมยาวๆ มีวิธีการดังนี้

ก่อนจะเดินจงกรมให้ยืนตั้งสติก่อน โดยหายใจเข้าลึกๆ ให้เต็มปอด แล้วค่อยๆปล่อยลมหายใจออกยาวๆ พร้อมกับออกเดินโดยให้ใช้วิธีนับก้าว เพื่อเป็นอุบายที่จะช่วยไม่ให้จิตคิดฟุ้งซ่าน เช่นเมื่อเริ่มต้นออกเดิน เท้าขวาก้าวนับ 1 ซ้ายก้าวนับ 2 ขวาก้าวนับ 3 ซ้ายก้าวนับ 4 ขวาก้าวนับ 5 ซ้ายก้าวนับ 6 ไปเรื่อยๆ จนสุดลมหายใจออก สมมติว่าสุดลมหายใจออก เมื่อเท้าซ้ายก้าวนับ 6 เมื่อสูดลมหายใจเข้าก็นับต่อที่ขวาก้าวนับ 7 ซ้ายก้าวนับ 8 ขวาก้าวนับ 9 ซ้ายก้าวนับ 10 สมมติว่าสุดลมหายใจเข้าที่จังหวะซ้ายก้าวนับ 10 แล้วก็เริ่มต้นผ่อนลมหายใจออก โดยเริ่มนับ 1 รอบใหม่ ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ให้ทำตามความรู้สึกพอดีๆ ของจังหวะหายใจที่เมื่อทำแล้วรู้สึกสบายๆ ไม่อึดอัด แม้จำนวนก้าวในแต่ละรอบ จะไม่เท่ากันก็ไม่เป็นไร รอบหายใจเข้า-ออก บางทีเท่ากับ 10 ก้าว บางทีเป็น 12 ก้าว 13 ก้าว หรือจะเป็นเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ไม่ต้องกังวล ที่สำคัญ คือ ให้รู้สึกว่าการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ที่ทำไปพร้อมๆ กับการนับก้าวของการเดินไปอย่างสบายๆ ตามธรรมชาติมากที่สุด และเมื่อจิตใจเริ่มสงบจากความคิดฟุ้งซ่านแล้ว ก็จะหยุดนับไปเองตามธรรมชาติ ปล่อยเดินไปตามธรรมดา เดินจงกรมตามปกติ คือมีสติสัมปชัญญะในการเดิน ให้กายกับใจเดินไปด้วยกัน มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในการเดินนั่นแหละ

นอกจากนี้อีกวิธีหนึ่งที่มักจะสอนกัน ก็คือการบริกรรมพุทโธ คือเมื่อเท้าขวาก้าวบริกรรมในใจว่า พุท เท้าซ้ายก้าวบริกรรมในใจว่า โธ สลับกันไปมา หรือจะใช้วิธีกำกับในใจว่า ขวาก้าว ซ้ายก้าว ขวาก้าว ซ้ายก้าว แทนคำบริกรรมพุทโธก็ได้ เดินไปเรื่อยๆ เมื่อจิตใจสงบแล้ว จิตจะทิ้งคำบริกรรมไปเอง คือไม่จำเป็นต้องกำหนดคำบริกรรมอีก หรือบางสำนักก็สอนให้เดินจงกรโดยบริกรรม ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ไปพร้อมๆ กับอิริยาบถย่างเหยียบที่ค่อยๆ ทำอย่างช้าๆ ก็ได้ที่สำคัญคือให้มีความรู้สึกตัวชัดเจนในการเดิน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการกำหนดให้มีสติที่กายโดยตรง เมื่อมีสติสัมปชัญญะอยู่ที่กายก็ใช้ได้ การปฏิบัติไม่ว่าจะวิธีไหน ใช้คำบริกรรมอะไร จุดหมายปลายทางก็เพื่อให้มีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันอารมณ์ จิตปล่อยวางเป็นอิสระ ปลอดโปร่ง ใจสงบ เบา สบาย นั่นแหละปฏิบัติถูกต้อง

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 31)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.ย. 2006, 6:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

13

ถาม : หายใจยาวลึกประมาณ 3 นาที เมื่อเริ่มต้น รู้สึกเหนื่อยมาก ควรทำอย่างไร

ตอบ :
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ปกติใช้ 3-4 ครั้งก็พอ ทุกครั้งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทางกายก็ดี ทางใจก็ดี เปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดก็ดี เพื่อตั้งต้นใหม่ โดยเรียกสติสัมปชัญญะกลับมา เป็นการตั้งหลักที่ถูกต้อง การหายใจยาวๆ มีประโยชน์ในการรักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจ เป็นการตั้งสติและรักษาสติสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัว เพราะฉะนั้น เมื่อหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ 3-4 ครั้ง จนเกิดสติสัมปชัญญะ จิตสงบแล้ว จึงค่อยๆ ปล่อยลมหายใจสบายๆ ตามธรรมชาติ แต่เริ่มต้นให้รักษาความยาวในการหายใจไว้ก่อน หาจุดพอดี สบายๆ ถ้าจิตสงบ สบายก็เป็นการปฏิบัติได้ถูกต้อง

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 32)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.ย. 2006, 6:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

14

ถาม : การจับลมหายใจ เข้า-ออก ควรดูตามธรรมชาติ หรือเป็นการบังคับลมหายใจ

ตอบ :
เริ่มต้นเป็นการบังคับลมหายใจ เพื่อตั้งสติ ลมหายใจเป็นสะพานเชื่อมอยู่ระหว่างกายกับใจ เพราะลมหายใจนี้ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมทางกายและทางใจ มีอิทธิพลต่อกายและใจ

หายใจสั้น
เมื่อกายร้อน กระสับกระส่าย ไม่สงบ
เมื่อเจ็บไข้ ป่วย เป็นโรค
เมื่อเหนื่อย
เมื่ออารมณ์หงุดหงิด โกรธ
เมื่อใจร้อน ตื่นเต้น เพราะกลัว ดีใจ เสียใจ

หายใจยาว
เมื่อกายได้พักผ่อน
เมื่อกายสงบ เย็น เป็นปกติสุขภาพแข็งแรง
เมื่ออารมณ์ดี
เมื่อใจดี ใจสบาย

การบังคับหรือปรับเปลี่ยนลมหายใจ ด้วยการหายใจยาวๆ สบายๆ เป็นการแก้อาการต่างๆ ที่มีอยู่เมื่อหายใจสั้น เมื่อกายสงบสุขภาพกาย สุขภาพใจดีขึ้น จึงหายใจตามธรรมชาติสบายๆ รักษาสติสัมปชัญญะ เตรียมพร้อมที่จะเจริญสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานต่อไป

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 33)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ย. 2006, 3:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

15

ถาม : อยากทราบว่า นักปฏิบัติธรรมจะเจริญได้อย่างไรในยุคโลกาภิวัฒน์ ในเมื่อนักปฏิบัติรู้จักพอ ไม่ทะเยอทะยาน ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง

ตอบ :
พอใจในที่นี้ หมายถึง ยินดีในสิ่งที่ได้และพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้ของเกินเหตุ เกินฐานะของตน

ไม่ใช่วันนี้มีเท่าไร ก็ไม่หาเพิ่ม พระพุทธเจ้าสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านทรงทุ่มเททุกอย่างแม้แต่ชีวิตเพื่อเพิ่มบารมี แต่ไม่ใช่กิเลส ความโลภ สำหรบฆราวาสต้องหาเลี้ยงชีพ สร้างฐานะให้ดีขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา แต่ต้องใช้ความรู้ความสามารถ รู้ฐานะตนเอง และต้องอยู่ในขอบเขตของศีล ระมัดระวังอารมณ์ ความโลภและกิเลสอย่างอื่น ทำให้ใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน มีสุขภาพใจดี

ในการทำงาน ก็ทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ตั้งใจทำดีที่สุด โดยใช้หลักอิทธิบาท 4 คือ

ฉันทะ มีความพอใจในงานที่ทำ
วิริยะ มีความพากเพียร
จิตตะ ทำด้วยความเอาใจใส่
วิมังสา หมั่นไตร่ตรองอยู่เสมอ

ในการตั้งเป้าหมาย เราต้องรู้จักตนเองด้วยสติปัญญาให้พอเหมาะ พอดี อยู่ในขอบเขตที่เป็นไปได้ เช่น

คนที่มี 1 ตั้งเป้าหมายเพิ่มเป็น 2
คนที่มี 10 ตั้งเป้าหมายเพิ่มเป็น 20
คนที่มี 100 ตั้งเป้าหมายเพิ่มเป็น 200
คนที่มี 1000 ตั้งเป้าหมายเพิ่มเป็น 2000 เป็นต้น

แต่คนที่มี 1 คิดจะเอา 200 หรือ 2000 อาจจะเกินไป เป็นความโลภเกินตัว หรืออาจถึงขั้นอยากได้ของเขา คิดโกง คิดขโมย ถ้าทำด้วยความทะเยอทะยาน หรือความมักใหญ่ใฝ่สูง จะเป็นลักษณะของกิเลส ไม่มีเหตุผล และมักเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ระวัง ให้ละ

ในทางธรรม ก็เช่นกัน เราต้องรู้จักตัวเอง และตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาคนให้ถูกต้องเหมาะสม เช่น คนที่มีนิสัยโกรธง่าย เริ่มต้นฝึกปฏิบัติธรรมแล้ว จะให้ไม่มีโกรธอีกต่อไป ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าตั้งใจว่าจะลดความโกรธให้น้อยลงจากเดิมครึ่งหนึ่ง ก็น่าจะเป็นไปได้ คนที่ขี้ฟุ้งซ่าน อยากนั่งสมาธิเพื่อทำใจให้สงบ ก็เป็นไปได้ แต่จะให้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุอรหัตตผลเลย ก็จะเป็นการตั้งเป้าหมายเกินตัว เป็นต้น

เมื่อตั้งเป้าหมายถูกต้องแล้ว ก็ตั้งใจทำต่อไป โดยมีอิทธิบาท 4 ครบสมบูรณ์ ก็จะประสบความสำเร็จได้ทั้งในทางโลก และทางธรรม หรือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ยอมรับตามความเป็นจริง ทำใจได้ และมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์

บางคนเป็นผู้มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต มีความรู้ความสามารถในการทำงาน ตนองไม่ได้ต้องการรับตำแหน่งสูงๆ แต่เหตุปัจจัยภายนอก ทำให้ก้าวหน้าทางโลกก็มีมาก

เมื่อเราปฏิบัติถูกต้องได้สร้างเหตุให้ดีที่สุดแล้ว เราจะพอใจในหน้าที่ในปัจจุบัน ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม 8 คือ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ เราจะเป็นผู้ที่พอใจในตนเอง และมีความสุขใจในทุกสถานการณ์

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 34)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ย. 2006, 4:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๏ การฝึกจิตคล้ายกับการฝึกสัตว์ป่า

ปกติการมาวัดปฏิบัติธรรม ก็เพื่อความสงบ หลายๆ คน ต้องลางานมาเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง 5-7 วัน แต่สำหรับบางคน ปฏิบัติแล้วไม่สงบก็มี เกิดปวดเมื่อย หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน ตรงกันข้ามกับที่เราคาดหวังไว้ จิตก็ดิ้นรน ซึ่งหากว่าเราไม่เข้าใจแล้ว ก็จะคิดท้อใจ สับสนว่าตนเองมาวัดเพื่ออะไรกันแน่

การฝึกจิตคล้ายกับการฝึกสัตว์ป่า เช่น จับลิงป่ามาฝึก ตอนแรกต้องจับมาขังไว้ในกรงเหล็กเล็กๆ ลิงป่านี้ก็จะดิ้นรน อาละวาด เราต้องทำใจแข็ง ต้องปล่อย ไม่ให้น้ำ ไม่ให้อาหารถึงเวลาหนึ่งเมื่อเขาหมดแรง เราจึงค่อยๆ ป้อนน้า ป้อนกล้วยได้ ถึงจะวิ่งบ้าง ก็วิ่งธรรมดาๆ ไม่อาละวาดเหมือนแต่ก่อน สักพักหนึ่งเราจะสามารถผูกเชือกพาออกมาข้างนอกได้ ฝึกให้นั่ง ให้ยืน หากเขาเชื่อฟัง ทำดี เราก็ให้กล้วยเป็นรางวัล จนในที่สุด เมื่อเขาเชื่อง ทำตามที่เราสั่ง เราก็ปล่อยออกนอกกรงให้เป็นอิสระได้

การฝึกจิตของเราก็เหมือนกัน เมื่อลิงอยู่ในป่าก็สบายๆ โดดเล่นตามกิ่งไม้ตามประสาสัตว์ป่า สำหรับพวกเราทั่วไป หากไม่ได้มาวัด อยู่บ้านพักผ่อนก็สบายๆ กิน นอน ดูทีวี วีดีโอ อ่านหนังสือ หรืออยากทำอะไรก็ทำได้ตามใจชอบ เหมือนลิงที่อยู่ในป่า แต่เมื่อเราตั้งใจจะฝึกจิตของเราแล้ว จึงมาวัด รักษาศีล ฟังเทศน์ ทำตามระเบียบของวัด ตื่นเช้า สวดมนต์ ทำวัตร นอนอไม่สบาย ต้องนั่งสมาธิ เดินจงกรม การรักษาศีลและทำตามระเบียบวินัยนี้ เปรียบเหมือนกรงเหล็กเล็กๆ สำหรับจิตใจของเรา แต่ให้เข้าใจว่า ที่เรากำลังทุกข์กาย ทุกข์ใจอยู่นี้ ก็เพราะปฏิบัติถูกต้อง เป็นประสบการณ์ที่ผู้เริ่มต้นปฏิบัติในระยะแรกจะต้องมีเป็นธรรมดา ไม่มากก็น้อย แต่ถ้าเราปฏิบัติไปเรื่อยๆ ต่อไป จะปรับตัวได้ จิตใจจะไม่ยินดียินร้าย เริ่มใจสงบ เป็นศีล เกิดสมาธิ ปัญญา จนใจสามารถออกจากทุกข์เดือดร้อนได้

หากว่าเราไม่เข้าใจ ไม่มีปัญญาแล้ว ก็จะใช้ความรู้สึกเข้ามาตัดสินใจว่า ที่เราประสบความทุกข์ ความเดือดร้อน ฟุ้งซ่านอยู่นี้ เป็นสิ่งไม่ดี ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเราสามารถผ่านจุดนี้ไปได้ มองเห็นด้วยปัญญาแล้ว ก็จะเข้าใจ เกิดความศรัทธาและพอใจในการปฏิบัติ

เราต้องอาศัย ขันติ ความอดทน ทำให้เกิดความพอใจ ที่เราปฏิบัติถูกต้อง และเกิดความเข้าใจว่า ทุกข์ที่เราประสบนี้ จุดมุ่งหมาย ก็คือ เพื่อพ้นจากทุกข์ในที่สุด

เด็กน้อยเฝ้าศาลา

ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้มีการบวชสามเณรได้
เกณฑ์ที่ใช้พิจารณา คือ ถ้าเด็กมีสติปัญญาสามารถเฝ้าศาลา
ไม่ให้ไก่ขึ้นศาลาได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงยินยอมให้เด็กนั้นบวชสามเณร
ซึ่งปกติอายุประมาณ 7 ขวบ เด็กน้อยมีสติปัญญาเพียงเท่านี้
ก็สามารถปฏิบัติภาวนาได้ และหลายองค์ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์
เพราะการปฏิบัติก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก รู้ว่าเป็น
ความคิดไม่ดี เป็นมิจฉาสังกัปปะ อันได้แก่คิดในทางกาม คิดเบียดเบียน
คิดมุ่งร้าย ก็ไล่ออกไปเสีย เหมือนสามเณรน้อยไล่ไก่ไม่ให้ขึ้นศาลา

ศาลา คือ จิต
ไก่ คือ ความคิดผิด
เด็กน้อย คือ สติปัญญา


การปฏิบัติของเราก็เช่นกัน
เมื่อรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกแล้ว
รู้จักปรับปรุงพัฒนาตนเอง
พยายามขับไล่ความคิดที่ไม่ดีออกจากใจ
เมื่อความคิดเกิดขึ้น ให้มีสติรู้เท่าทัน
ที่จะจัดการกับความคิดไม่ดีให้ดับไป
ไม่ให้เกิดปัญหา อุปาทาน
ทำได้เท่านี้ ก็เป็นการลดละกิเลส
ความโลภ ความโกรธ ความหลง
เป็นการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์
ปฏิบัติเพียงเท่านี้ ก็เป็นหนทางแห่งมรรคผลนิพพานได้

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 35)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ย. 2006, 5:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๏ นิวรณ์ 5 : คบคนพาล พาลพาใจไม่สงบ

ตลอดเวลาที่เราฝึกอานาปานสติ ให้พยายามตั้งสติ โอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่ตัว เพื่อให้สติอยู่กับกาย อยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

เราพยายามสร้างความพอใจที่จะอยู่กับกาย อยู่กับลมหายใจนี้ พยายามสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และพยายามไม่ให้จิตนี้คิดออกไปภายนอก คือ ไม่ให้จิตส่งออกนอก

เมื่อใดก็ตามที่เราเกิดความรู้สึกไม่สงบ แสดงว่ามีเพื่อนเก่าแวะมาเยี่ยมเราแล้ว เพื่อนกลุ่มนี้ มีชื่อว่า นิวรณ์ 5 ซึ่งก็คือ “ความไม่สงบ” คำเดียวนี่แหละ

นิวรณ์ 5 มีอะไรบ้าง

กามฉันทะ ความคิดชอบใจ พอใจ รักใคร่ ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส

พยาบาท ความคิดที่จะทะเลาะกัน ความขัดเคืองแค้นใจ ไม่ชอบสิ่งนั้น ไม่ชอบคนนี้ ไม่ชอบคนนั้น ความคิดปองร้ายอาฆาตพยาบาท

ถีนะมิทธิ ความหดหู่ เซื่องซึม ง่วงเหงา หาวนอน ความขี้เกียจ

อุทธัจจกุกกุจจะ ความคิดฟุ้งซ่าน ความรำคาญใจ คิดไปสารพัดอย่าง

วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ เพราะทำไปได้นิดหน่อย ก็เกิดความสงสัยขึ้นมา

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 36)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 16 ก.ย. 2006, 4:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๏ เจริญอานาปานสติ :
การเลือกคบกัลยาณมิตร ทำให้ไม่ติดอารมณ์


โดยปกติ จิตของเรามักจะอยู่กับเรื่องภายนอก ทั้งอดีต อนาคต สิ่งนี้ดี สิ่งนั้นไม่ดี คนนั้นดี คนนี้ไม่ดี และเรามักจะปล่อยให้จิตของเราคิดไปเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน

ถ้าเราประสบกับความรู้สึกที่ไม่ดี ไม่ชอบ เพราะเราได้เห็นหรือได้ยินสิ่งที่ไม่ถูกใจ เรามักจะเก็บความรู้สึกอันนั้นไว้นานๆ เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปีๆ เราจึงไม่ค่อยมีความสุขมากนักในชีวิตประจำวัน

หากเราประสบกับสิ่งที่รักที่พอใจ เรามักจะเก็บความรู้สึก และความจำนั้นไว้นานเป็นปีเช่นกัน แต่เมื่อต้องพบว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง เราจะต้องประสบกับความพลัดพราก การเสียของรัก เราก็เป็นทุกข์อีก

ถ้าเราสามารถมีสติระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกในแต่ละขณะ
หมายความว่า เราสามารถอยู่กับปัจจุบันในแต่ละขณะได้


เราจะไม่ยึดติดอารมณ์ ไม่เก็บความรู้สึกเก่าๆ ที่เคยสร้างความขุ่นเคือง เศร้าหมองแก่จิตเอาไว้ รวมทั้งไม่เก็บความจำที่เคยทำให้เรามีความสุข จนเราไม่อยากพลัดพรากจากความสุขนั้น เราจะสามารถตัดทิ้งและปล่อยความรู้สึกเหล่านั้นให้ผ่านไปได้ และในที่สุดเราก็จะสุขภาพใจดีและมีความสุขได้แน่นอน

ลมหายใจเปรียบได้กับอาหาร มีทั้งปริมาณและคุณภาพ

การเจริญอานาปานสติ เปรียบได้กับอาหารที่เราบริโภคอยู่ทุกวัน มีทั้งปริมาณและคุณภาพ ถ้าใครมีฐานะยากจนจริงๆ จะแสวงหาอาหารในด้านปริมาณเป็นหลักก่อน ขอให้มีข้าวกินกันทุกวัน เพื่อให้อิ่มท้อง ถ้าหิวจริงๆ ข้าวกับเกลือหรือน้ำปลา ไข่ทอด หรือปลาเค็มก็อร่อยได้เหมือนกัน แต่เมื่อมองดูในระยะยาว อาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่อร่างกายเพราะอาหารไม่สมบูรณ์ ไม่มีคุณภาพ ขาดสารอาหาร ทำให้การเจริญเติบโตของร่างกายไม่สมบูรณ์ เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เกิดโรคต่างๆ นานา สติปัญญาไม่ดี และอายุจะสั้น ไม่อาจสำเร็จประโยชน์ในชีวิตได้ ทำให้เกิดความทุกข์กาย ทุกข์ใจ

ดังนั้น นอกจากปริมาณแล้ว การบริโภคอาหารจึงต้องคำนึงถึงคุณภาพด้วย

ปริมาณในอานาปานสติ หมายถึง การมีสติเพียงพอที่จะรักษาใจให้เป็นปกติ โดยอาศัยการกำหนดรู้ ที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ตลอดกาล ตลอดเวลา ทุกอิริยบถ ยืน เดิน นั่ง นอน

หรือเราเอาลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร เมื่อเกิดอารมณ์ไม่ดี ก็นึกถึงลมหายใจ เพื่อระงับอารมณ์ที่ไม่ดีนั้น สามารถทำใจสงบให้ตลอด ไม่ติดอารมณ์พอใจและไม่พอใจ มีใจสงบเป็นปกติ สุขภาพใจดี เรียกว่าใจเป็นศีล

คุณภาพในอานาปานสติ เมื่อได้สติในปริมณที่เพียงพอ ศีลสมบูรณ์แล้ว ต่อไปก็พัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งๆขึ้นไป ตามหลักอานาปานสติ 16 ขั้น อานาปานสติ 16 ขั้นนั้นเมื่อทำให้มาก เจริญให้มาก ย่อมมีผลให้สมถะและวิปัสสนาสมบูรณ์ ทำให้สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ ทำให้โพชฌค์ 7 สมบูรณ์ จนกระทั่งถึง วิมุตติ คือ พระนิพพานในที่สุด

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 37)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 16 ก.ย. 2006, 4:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๏ ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ

ตราบใดที่ยังมีลมหายอยู่ จงอยู่ด้วยอานานปานสติ
ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน ขับถ่าย ทำครัว ทำความสะอาดบ้าน
นั่งอยู่ในรถ ทำงานทุกชนิด เดินเล่น พักผ่อน
พยายามให้มีสติ ระลึกรู้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เบาๆ สบายๆ
ติดต่อกัน ต่อเนื่องกันอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลืม ไม่เผลอ
แม้แต่ขณะที่เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้ดมกลิ่น ได้รู้รส ได้สัมผัส
ไม่ให้ส่งจิตคิดออกไปตามความรู้สึกยินดียินร้าย
ระลึกรู้ ลมหายใจออก เบาๆ สบายๆ
เป็นการรักษาใจสงบ รักษาสุขภาพใจดีของเรา
พูดได้ว่า ชีวิตทั้งหมดนี้ให้อยู่ด้วย อานาปานสติ


ในอิริยบถบางอย่างไม่สะดวกที่จะกำหนดรู้ลมหายใจ
เช่น ขณะที่กำลังขับรถบนถนน บนทางด่วน เราไม่ต้องกังวล
คือ ไม่ต้องระลึกถึงลมหายใจ แต่ให้อยู่ในหลักอานาปานสติให้ครบถ้วน
คือ เอาใจใส่ ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด

ปัจจุบัน เป็นสำคัญ
เรื่องอดีต ไม่สำคัญ ไม่ต้องคิดถึง
เรื่องอนาคต ไม่สำคัญ ไม่ต้องคิดถึง

เรื่องของคนอื่นไม่สำคัญเท่าไร โดยเฉพาะความชั่วของคนอื่นอย่าแบก
ตัวเองทำดีที่สุด อย่าให้เกิดอุบัติเหตุก็ใช้ได้
ใครจะขับรถไม่ดี ไม่รักษากฎจราจร แซงตัดหน้าเรา
เกือบชน เกือบมีอุบัติเหตุก็ตาม น่าโมโหอยู่
แต่ช่างมัน เรื่องความชั่วของเขา
อย่าให้เกิดโมโห อย่าให้เสียใจ อย่าให้เกิดอุบัติเหตุ
รักษาใจเป็นปกติ แล้วทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เมื่อเราเจริญอานาปานสติเป็นประจำ เราจะมีสติตลอดเวลา
สามารถจัดการกับงานหลายอย่าง ที่เร่งรัดเข้ามาในเวลาเดียวกันได้
เพราะเมื่อรู้สึกวุ่นวายสติก็จะกำกับให้กลับมาที่ลมหายใจทันทีโดยอัตโนมัติ
จิตจะเริ่มสงบและรับรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง
ทำให้เกิดปัญญาที่จะแก้ไขหรือจัดการกับงานเหล่านั้นให้สำเร็จทีละอย่าง
และเมื่องานแล้วเสร็จ สติจะกำกับให้กลับมาที่ลมหายใจทันทีที่ว่างจากงาน
เป็นการพักผ่อนด้วยอานาปานสติ

ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ
คือ ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยใจดี สุขใจ


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 38)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง