Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 " ความเมตตา ของคนเมืองกรุง " อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 23 มิ.ย.2006, 8:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ความเมตตาของคนเมืองกรุง

เมื่อเรายังเป็นเด็กเล็กๆ เติบโตมากับสังคมชนบท จำได้ว่าพ่อแม่ และผู้ใหญ่ต่างสั่งสอนให้มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนรอบข้าง ช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า สมัยเราเด็กๆเราจึงมีโอกาสทำทานเสมอๆ ขอทานสมัยนั้นเรายังจำได้ เขาเดินทางมากับเรือ พายเรือมา ขอเพียงข้าวสุก ข้าวสาร และเศษอาหารเพื่อประทังชีวิต

โตขึ้นเรามีโอกาสเข้ามาอยู่ "เมืองกรุง" เมื่องที่เราเคยเข้าใจว่า "ศิวิไล" กว่าชนบทบ้านเรา เรากลับเห็นขอทานมากมาย แรกๆเราก็ทำทานอยู่เสมอๆ จนบ่อยๆเข้า เริ่มรู้อะไรมากขึ้น บางคนบางกลุ่ม เป็นพวกมิจฉาชีพ ทำงานเป็นกลุ่มเป็นแก๊งค์หลอกเงินชาวบ้าน บ้างขอเงินไปเสพสุข เสพยา เล่นการพนัน บ้างเกียจคร้านไม่ทำงานการ บ้างเป็นคนอพยพมาหากินในบ้านเมืองเรา หลายสิ่งหลายอย่างทำให้เรา (คงรวมถึงคนกรุงทั่วๆไปด้วยนะเราว่า) ไม่อยากทำทานอีกต่อไป ด้านหนึ่งเราไม่อยากเป็น "คนโง่" ให้ใครมาหลอกเอาได้…ไม่ใช่เพราะเราเสียดายเงินที่จะทำทานหรอกนะ

อยู่เมืองกรุงนานเข้า เราเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนไร้น้ำใจ มองเห็นคนกรุงคนอื่นไร้น้ำใจ ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น น้อยครั้งเหลือเกิน เราจะเกิดความรู้สึกอยากทำทานกับขอทาน ทั้งทีบางคนก็ล้วนแสดงสีหน้าน่าสงสาร แต่งตัวมอมแมม บางคนเป็นคนแก่หง่อมคราวปู่คราวย่า อดคิดไม่ได้ว่าลูกหลานทำไมไม่รู้จักเลี้ยงดู (อีกใจก็คิดว่า หรือว่าทำตัวไม่ดีลูกหลานเลยไม่ยอมเลี้ยงดู….ดูเอาเถอะความคิดอันเลวร้ายของเรา) หลังๆมานี้ เงินซักบาทก็ไม่เคยออกจากกระเป๋าเพื่อขอทาน

จนกระทั่งวันนึง..ไม่รู้ว่าเราไปอารมณ์ดีมาจากไหน หรือกินอะไรผิดสำแดง เรากลับบ้านดึกมากแล้วละสัก 4 ทุ่มเห็นจะได้ที่สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต..เรากำลังยืนคอยรถเมล์อยู่ ผู้คนเยอะแยะไปหมด ไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่อง ทั้งที่ดึกดื่นมากแล้ว (วิถีชีวิตคนเมืองกรุง..เฮ้อ!! ถ้าเป็นบ้านนอกเราป่านนี้นอนหลับปุ๋ยไปแล้ว) อยู่ๆเราก็ได้ยินเสียงเมาท์ออร์แกน ลอยมาจากทางด้านนึงของฝูงคนที่ยืนคอยรถเมล์อยู่…หลายคนให้ความสนใจกับเสียงนั้น ..เราก็เช่นกัน เสียงเป่าเมาท์ออร์แกนมาจากคุณตาวัยซัก 70 รูปร่างท้วมแต่งตัวธรรมดาไม่สกปรกมอมแมม (สภาพไม่เหมือนขอทานเลย…เราคิดในใจ) ดูท่าทางแกมีความสุขออกจะตายไปเดินยิ้มไปด้วย…ตาแกบอด….ที่บ่าข้างซ้ายมีมือของยายแก่ๆตาดีเดินเกาะอยู่ คอยเตือนไม่ให้ตาเดินตกฟุตบาท….

อย่างที่บอก..สงสัยเราจะผีเข้า (คิดกับตัวเองแบบนั้นจริงๆ) เราเกิดความรู้สึกอยากทำทานขึ้นมาทันที แถมแอบยิ้มเอ็นดูยายกับตาสองคนที่ขยันช่วยกันทำมาหากินจนแก่จนเฒ่าไม่ทิ้งกัน ดึกดื่นป่านนี้เป็นเวลที่ขอทานส่วนใหญ่ถูกหอบกลับสำนักหมดแล้ว…แสดงว่าสองคนนี้คงไม่ขึ้นกับสำนักใด..หากินเอกเทศว่างั้นเหอะ…. เราควักเหรียญบาท เหรียญห้าบ่ทที่มีอยู่ในกระเป๋าทั้งหมด..เตรียมหยอดกระป๋องที่ตาถือเลยล่ะ (ยังกับคอยใส่บาตรเลยอะ…นึกแล้วก็ขำตัวเอง) แล้วก็อิ่มใจ ……… ไม่ยักจะรู้ว่าความสุขเค้าซื้อกันได้ด้วยเงินไม่กี่บาท ในเวลาดึกดื่น บนถนนริมฟุตบาทนี่เอง !!

ใช่เพียงแต่เราเท่านั้นนะ แอบเหลือบมองชาวบ้านชาวเมืองเค้าซักหน่อยซิ ว่าเค้ามีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง …คำถามเกิดขึ้นในหัวเราทันที "เดี๋ยวนี้คนกรุงใจดีมีซักกี่คนกัน…?" ใครจะรู้ละ ยายกับตาอาจเป็นใครสักคนปลอมตัวมาสำรวจ "ความเมตตา" ของคนหนุ่มสาวชาวพุทธกลางเมืองกรุงสมัยนี้ก็เป็นได้ (บอกแล้วงัย..วันนี้เรากินยาผิดมาแหงมมมม!!) โอ้โฮ…ผิดคาดแฮะ…หลายคนทำแบบเราเลยล่ะ ยืนคอยใส่บาตร ..เอ๊ย ทำทานกันหน้าสลอน….แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน อย่างที่บอกวันนั้นที่ท่ารถเมล์ป้ายนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เราประมาณคร่าวๆ ยายกับตาได้ไปเกินร้อยละ…เพราะเดี๋ยวนี้คงแทบไม่มีใครให้ทานกันบาทสองบาทเหมือนแต่ก่อนแล้วละมัง…

เราได้ข้อสรุปว่า..หนุ่มสาวชาวพุทธเมืองกรุงไม่ได้ไร้น้ำใจอย่างที่เราคิดหรอกนะ แต่สภาพหลายๆอย่าง และสังคมที่มีแต่คนคอยรัดเอาเปรียบกันมันทำให้คนส่วนใหญ่เข็ดขยาด และไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็น "คนโง่"…"เสียรู้" บางคนก็ไม่อยากส่งเสริมให้พวกมิจฉาชีพมีกันเต็มบ้านเต็มเมือง ….
ตอนนี้เราเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดใหม่แล้วล่ะ….เราเคยถามตัวเองเสมอๆว่า เมื่อไหร่ที่เรามีอารมณ์อยากทำทาน เมื่อนั้นสภาพจิตใจเราต้องดี ."ผิดปกติ" เชียวล่ะ….อย่างน้อยๆ ความเมตตา ก็คงมีน้ำหนักมากกว่า ความกลัว ต่างๆนาๆ ละมัง หลังๆมานี่เราเลิกคิดมากแล้ว…อยากทำก็ทำ..อย่างน้อยๆ เราก็พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองแล้วล่ะกับข้อความที่พระท่านว่า "จิตที่ให้..สบายกว่าจิต ที่รับ"
ทำทานไม่กี่บาทเอง..ใจสบายยิ้มได้ไปหลายชั่วโมง…หากทำติดต่อกันบ่อยๆคงจะดีไม่น้อย…
เอนี่เราคิดค้ากำไรเกินควรหรือเปล่าหนอ !!!

แล้วชาวพุทธเมืองกรุงคนอื่นๆเค้าจะคิดกันอย่างไร ?….เราก็อยากรู้เหมือนกัน

โดยคุณ : คนบ้านนอก
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
I am
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 23 มิ.ย.2006, 8:38 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ (ละความโลภ)
สาธุธรรมครับ...
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง