Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ...ธรรมะเอกเขนก (ขวัญ เพียงหทัย)... อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



97399739.jpg


หนังสือนิทานธรรมะสำหรับทุกคน

เอื้อเฟื้อข้อมูลโดย คุณ WEBMASTER
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 29 ก.พ.2008, 5:25 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก่อนเล่าเรื่อง (คำนำ)

ธรรมเอกเขนก เป็นนิทานธรรมะที่เรียบเรียงมาเล่าให้คุณผู้อ่านฟัง ใดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการอ่านหนังสือธรรมะในเบื้องต้นแก่ผู้เริ่มสนใจธรรมะ เนื่องด้วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่างก็ชอบฟังนิทานด้วยกันทั้งสิ้น สังเกตจากเวลาที่ดิฉันอยู่ในชั้นเรียนธรรมะวันอาทิตย์ เวลาอาจารย์เล่านิทานทีไร เห็นนักเรียนทั้งวัยหนุ่มสาว วัยชราทุกท่านรวมทั้งดิฉันเองด้วยก็นิ่งเงียบฟันกันอย่างเพลิดเพลิน มีความสุข จึงอยากจะแบ่งความสุขนั้นมาสู่คุณผู้อ่านอีกทั้งเพื่อให้เป็นสื่อกลางในการที่พ่อแม่หรือปู่ย่าตายายจะอ่านให้ลูกหลานฟัง พระอาจารย์อ่านให้สามเณรน้อยฟัง หรือคุณครูใช้ประกอบการสอนในชั้นเรียนเพื่อปลูกฝังอรรถรสแห่งธรรมะลงในใจของเด็กๆ บ้าง

และเพื่อแสดงให้คุณผู้อ่านที่เพิ่งเข้ามาสนใจหนังสือธรรมะ จะได้ทราบว่า การศึกษาธรรมะนั้น นอกจากจะอ่านจากหนังสือธรรมะอันมีหลักคำสอน หัวข้อธรรมแล้ว ก็ยังมีด้านวรรณคดี คือเรื่องเล่าต่างๆ ที่น่าสนใจและให้คติธรรมแก่ชีวิตอีกด้วย จะได้รู้สึกเพลิดเพลินในการศึกษาธรรมะขึ้น

ในหนังสือเล่มนี้ มี ๓๐ เรื่อง ซึ่งคัดมาเล่าเพียงเพื่อเป็นตัวอย่าง ความจริงเรื่องทั้งหมดในอรรถกถามีเป็นร้อยๆ เรื่องจึงหยิบยกมาเพียงหอมปากหอมคอ โดยการเขียนหนังสือเล่มนี้ ได้เรียบเรียงมากจากหนังสือของอาจารย์วศิน อินทสระ ดังนี้ ทางแห่งความดี เล่ม ๑, ๒, ๓ โอวาทปาติโมกข์ พระอานนท์พุทธอนุชา ชีวิตนี้มีอะไร พุทธชัยมงคลถาคา

ดิฉันขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์วศิน อินทสระ มา ณ โอกาสนี้ ที่ได้กรุณาตรวจสอบต้นฉบับและเขียนคำนำให้ นับเป็นความเมตตาส่งเสริมการทำงานของดิฉันเป็นอย่างยิ่ง

ดิฉันหวังว่าหนังสือตัวอย่างเล่มนี้จะส่งเสริมกำลังใจให้คุณผู้อ่านเริ่มหาหนังสือตัวจริง มาอ่านเพิ่มเติมต่อไปนะคะ

ด้วยความปรารถนาดี
ขวัญ เพียงหทัย


............
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรียงเรื่องเล่า (สารบัญ)

๑. โกสิยะ
๒. อาฬวกยักษ์
๓. โฆษกะ
๔. พระโลสกะ
๕. พระนางสามาวดี
๖. พันธุลเสนาบดี
๗. วิฑูฑภะ
๘. พระเทวทัต
๙. พระอานนท์
๑๐. พระนางเวเทหิ
๑๑. พระจักขุบาล
๑๒. บัณฑิตสามเณร
๑๓. มารดาของพระกุมารกัสสป
๑๔. มฆมานพ
๑๕. พระโกณฑธานเถระ
๑๖. พระจูฬปันถก
๑๗. อุตตราอุบาสิกา
๑๘. พระนันทะ
๑๙. ภิกษุชาวโกสัมพี
๒๐. นางจิญจมาณวิภา
๒๑. อาจารย์สัญชัย
๒๒. พระติสสะ
๒๓. มัฏฐกุณฑลี
๒๔. พาหิยะ
๒๕. นายสุมนมาลาการ
๒๖. พระเจ้าปเสนทิโกศล
๒๗. พระมหาโมคคัลลานะ
๒๘. ยมกปาฏิหาริย์
๒๙. อนาถปิณฑิกเศรษฐี
๓๐. นางวิสาขา
๓๑. บันทึกท้ายเล่ม
๓๒. พระพุทธสุภาษิต


.............
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โกสิยะ





อ้อยอิ่งกับจั๊กจั่น หอบผลไม้มาเตรียมจัดอาหารถวายพระ

พอกลับถึงบ้านพบรถเข็นขายขนมเบื้องจอดอยู่ริมทาง

จึงแวะซื้อมาถุงหนึ่งก่อนเข้าบ้าน

ขณะนั่งพักผ่อนที่ระเบียง

อ้อย-อิ่งนั่งจัดผลไม้ฝานใส่จาน

จั๊กจั่นเอกเขนกกินขนมเบื้องอย่างเอร็ดอร่อย

อ้อยอิ่งบอกว่า เหมือนโกสิยะเลย

จั๊กจั่นจึงให้อ้อย-อิ่งเล่าเรื่องโกสิยะให้ฟัง



“โกสิยะเป็นเศรษฐีอยู่ใกล้ๆ กรุงราชคฤห์ แกมีเงิน ๘๐๐

ล้าน สมัยนั้นเขาเรียก ๘๐ โกฏิ แต่ยอดจะตึ๋งหนืดเลย

น้ำหยดเดียวก็ไม่เคยให้ใคร เงินทองกองเต็มบ้าน

ไม่มีใครได้ใช้ได้สอยกันล่ะ ไม่ว่าลูกว่าเมียอดใช้หมด”

“อย่างนี้เรียกว่ามีเงินเหมือนไม่มี” จั๊กจั่นว่า

“วันหนึ่ง โกสิยะไปเฝ้าพระราชา พอเดินกลับบ้านเห็นคนจนๆ

แถวถนนเขากินขนมเบื้องก็เลยอยากกินมั่ง”

“ทำไมต้องคนจนกิน” จั๊กจั่นสะเทือน อ้อยอิ่งหัวเราะ

“เขาแปลว่ามันเป็นขนมถูกๆ ที่ใครๆ ก็มีปัญญากินได้

เป็นเรื่องปกติที่จะกินขนมเบื้อง

แต่อีตาเศรษฐีคนนี่สิมีปัญหา

เพราะอยากกินแต่ไม่กล้าบอกเมียทำให้กิน

กลัวคนอื่นรู้ว่าทำขนมจะมาขอกินด้วย มันเปลือง

สู้อดเอาเองดีกว่าก็เงียบไว้

แต่ความอยากกินมันไม่หมดไปด้วย นอนคิดถึงขนมเบื้อง”

“ขนมเบื้องเอ๊ยขนมเบื้อง อยากกินจัง” จั๊กจั่นร้องตะโกน

“เศรษฐีผอมไปเลย ซูบซีดเป็นลม นอนซมฝันถึงขนมเบื้อง

เมียมาถามว่าเป็นอะไร เขาก็ไม่บอก เมียถามว่า

พระราชากริ้วเอาหรือ เขาก็ว่าไม่

ลูกหลานทำให้ไม่พอใจเหรอ เขาก็ส่ายหน้า อยากอะไรเหรอ...”

“โอ้โฮ โดนใจเป๊ะ” จั๊กจั่นหัวเราะ

“เออ โดนใจ แต่แกกลัวโดนกระเป๋า เลยเฉยซะ

เมียก็อ้อนว้อนอ้อนวอน เลยบอกไปว่า อยากกินขนมเบื้อง”

“ก็เท่านั้นแหละ” จั๊กจั่นรำคาญ กินขนมเบื้องทีเดียว ๒

ชิ้น

“เมียก็หงายหลังเลย เพราะขำกลิ้ง เป็นเศรษฐีมีเงิน ๘๐๐

ล้าน ไม่สบายเพราะอยากกินขนมเบื้องที่ใครๆ ก็กินได้

เมียถามว่า เท่านั้นเองหรือ แกตอบว่าก็เท่านั้น

เมียว่าเอาละ จะทำให้กินกันทั้งหมู่บ้านเลย”

“ว่าแล้วมั้ยล่ะ เดาถูกเป๊ะ ว่าเมียต้องว่ายังงี้”

จั๊กจั่นพูดแทนโกสิยะ อ้อยอิ่งพยักหน้า

“ใช่ โกสิยะเลยค่อนว่า ไร้สาระ

ใครทำงานหาเงินเองก็ทำกินเองสิ ทำไมต้องไปเลี้ยงด้วย

เมียบอกว่า งั้นทำกินในซอยแล้วกัน แกค่อนว่ารู้แล้วน่ะ

ว่าหล่อนน่ะรวย เมียก็บอก เอ้า งั้นทำกินกันในบ้าน แกว่า

เออ รู้แล้วน่ะว่าหล่อนน่ะใจคอกว้างขวาง

เมียว่างั้นทำกินกันพ่อแม่ลูก เอ๊ย ลูกไม่ต้องกินหรอก

เอ้า งั้นทำกินกันสองคนตายายแล้วกันนะ

ตึ๋งหนืดมองหน้าแล้วถามเมียว่า

เธอกินขนมเบื้องเป็นด้วยหรือ เมียก็ขำกลิ้งไปอีก

แล้วสรุปให้ว่า เอาละ ทำให้คุณกินคนเดียวละกัน”

“แหม ทีนี้ถูกใจโจ๋ละซี” จั๊กจั่นเหน็บขนมเบื้องเข้าปาก

“เศรษฐีตึ๋งหนืดถามวิธีการว่าจะทำยังไง เมียว่าทำในครัว

เขาว่าไม่ด้ายยยย......ทำในครัวเดี๋ยวใครเห็นก็มาขอกินซี”

“แหงละ” จั๊กจั่นกัดขนมเบื้องคำใหญ่จนแก้มพอง

“โกสิยะบอกให้เอาข้าวสารหักๆ เอาเนยใส น้ำผึ้ง

น้ำอ้อยอย่างละนิดหน่อย แล้วขนเตาขึ้นไปทำชั้น ๗ โน่น

ฉันจะนั่งกินคนเดียว ก็เลยทำอย่างนั้น

เวลาเมียขนของขึ้นไป ตึ๋งหนืดไล่ปิดประตูใส่กลอนไปทุกๆ

ชั้น จนถึงชั้น ๗ เลย แล้วเมียเริ่มลงมือทอดขนมเบื้อง”

“เฮ้อ ได้กินซักที” จั๊กจั่นกัดขนมเบื้องคำโตอีกคำ



“ตอนเช้าตรู่ พระพุทธเจ้าแผ่ข่ายพระญาณออกไป

ตรวจดูเวไนยสัตว์

หมายถึงคนที่พอจะเรียนรู้อบรมสั่งสอนได้

พระพุทธเจ้าเห็นผัวเมียคู่นี้ว่าจะได้เป็นโสดาบัน

ตรัสเรียกพระ มหาโมคคัลลานะมาแล้วทรงให้ไปชักจูงโกสิยะมา

พระองค์กับภิกษุทั้งหลายจะคอยเสวยขนมเบื้องอยู่ที่วัดเชตวัน

พระมหาโมคคัลลานะ

เหาะไปยืนลอยอยู่ที่นอกหน้าต่างของเศรษฐี

โกสิยะหันมาเห็นเข้า ต๊กกะใจ

บ่นออกมาว่าอุตส่าห์ขึ้นมาทอดขนมชั้น ๗ เนี่ย

ก็เพราะจะหนีคนยังเงี้ยะแหละ โอ๊ย

เสร็จแล้วก็พูดออกไปว่า สมณะ ท่านจะอยู่ทำไมนอกหน้าต่าง

ต่อให้เดินจงกรมด้วย ก็จะไม่ได้อะไร

พระเถระเดินจงกรมไปมาในอากาศ โกสิยะตะโกนอีก

ต่อให้นั่งสมาธิบนอากาศก็จะไม่ได้อะไร พระเถระนั่งสมาธิ

โกสิยะตะโกนอีก ต่อให้บังหวนควันก็จะไม่ได้อะไร

พระเถระบังหวนควัน”

“แปลว่าอะไร” จั๊กจั่นถาม อ้อยอิ่งหัวเราะ

“ตามพจนานุกรมแปลว่า ทำให้ควันหวนตลบขึ้น

แต่เศรษฐีไม่กล้าพูดว่าต่อให้ไฟไหม้ก็ไม่ได้อะไร

เพราะกลัวไฟไหม้ ปราสาทของตัวไปเลย”

“เสียหายหลายแสน” จั๊กจั่นคำนวณ

“เศรษฐีคิดว่าสมณะนี้ไม่ได้อะไรคงไม่ไปแหง

เราควรจะให้อะไรซักหน่อยหนึ่ง

เลยบอกเมียว่าให้ขนมชิ้นเล็กๆ ไปสักชิ้นซิ

เมียก็หยอดแป้งขนมลงในกระทะนิดเดียว

แต่ขนมกลับเป็นชิ้นใหญ่ พองโตเต็มถาดเลย”

จั๊กจั่นหัวเราะชอบใจ

“โกสิยะสงสัยว่าเมียจะใส่แป้งมากไป เลยไปตักเอง

ตักปลายทัพพีนิดเดียว แต่ขนมชิ้นโตกว่าของเมียทำอีก

เลยเบื่อแล้ว ไม่เอาแล้ว ช่างมันเถอะ

บอกเมียว่าหยิบขนมให้ไปสักชิ้นก็แล้วกัน เมียก็หยิบขนม

ปรากฏว่าขนมในกระเช้าทุกแผ่นติดกันหมดเลย

สองคนช่วยกันชักเย่อจะแยกขนมจนเหงื่อท่วมตัวเลยก็ไม่ออก”

“ชักน่าสงสารแล้ว” จั๊กจั่นว่า

“เลยบอกไม่อยากแล้ว ไม่หิวแล้ว ให้สมณะไป

เมียก็ฉวยทั้งกระเช้าไปถวาย

พระมหาโมคคัลลานะแสดงธรรมให้ฟัง

พรรณนาถึงคุณพระรัตนตรัยและอานิสงส์ของการทำทาน

ทำให้สองคนแจ่มแจ้ง”

“เหมือนได้เห็นดวงจันทร์ในท้องฟ้า” จั๊กจั่นต่อให้

“สองคนเลื่อมใส นิมนต์ให้ฉันอาหาร

พระมหาโมคคัล-ลานะบอกให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าคอยอยู่ที่วัดเชตวันแน่ะ

เศรษฐีว่า โอ้โฮ ทางตั้งไกล จะไปทันหรือ

พระท่านบอกว่าให้เป็นหน้าที่ของอาตมาเอง

แล้วพาสองคนผัวเมียไปด้วยฤทธิ์

เหมือนว่าสองคนลงจากปราสาทแล้วก็ถึงวัดเลย”

“ดีจัง อยากเป็นยังงั้นมั่ง” จั๊กจั่นตาลอย

“ยาก ต้องปฏิบัติธรรมไปถึงขั้นสูงมากๆๆๆ ถึงจะทำได้

อย่างจั๊กจั่นนอนกินขนมเบื้องไปก่อน”

จั๊กจั่นลงนอนกินขนมเบื้อง

“ขนมเบื้องกระเช้าเดียวเลี้ยงพระ ๕๐๐ รูป แล้วยังไม่หมด

เลี้ยงคนที่มาวัดจนอิ่มกันทั่วหน้าแล้ว ก็ยังไม่หมด

พระพุทธเจ้ารับสั่งให้ไปทิ้งขนมที่เหลือใกล้ซุ้มประตูวัดเชตวัน

ตรงนั้นต่อมาเลยเรียกว่า เงื้อมขนมเบื้อง

พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้สองคนผัวเมียฟังจนได้บรรลุเป็นโสดาบัน

หลังจากนั้นเศรษฐีเริ่มทำบุญบริจาคทาน บำเพ็ญสาธารณกุศล

ทำให้เงินทองที่มีอยู่เป็นประโยชน์ขึ้นมา

ไม่นอนแช่อยู่ในตุ่มเฉยๆ”

“เออ แล้วเขาฝากมาให้จั๊กจั่นมั่งหรือเปล่าล่ะ อ้อยอิ่ง”

จั๊กจั่นรีบสงสัย





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อาฬวกยักษ์



แก่นแก้วเป็นเด็กชายตัวอ้วนปั๊ก หน้ากลม แก้มยุ้ย

เพื่อนๆ เรียกเขาว่ายักษ์เล็ก เขาเป็นคนขี้เล่น

จึงทำท่าเหมือนยักษ์ไล่แกล้งเพื่อนตามสมญาที่เพื่อนตั้งให้

วันหนึ่ง คุณครูศม (อ่านว่า ศะมะ

แปลว่าผู้มีความสุขอันเกิดจากความสงบ)

ซึ่งเป็นนักเล่านิทาน นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ร่มรื่น

พวกเด็กๆ รุมล้อมเข้ามาจะฟังนิทาน เมื่อคุณครูศมถามว่า

วันนี้จะฟังเรื่องอะไรดี มะระก็ยกมือขึ้น และถามว่า

“คุณครูครับ ยักษ์มีจริงมั้ยครับ”

คุณครูศมบอกว่า “มีจริงซีครับ

ในชาดกก็มีเรื่องยักษ์หลายเรื่อง”

เด็กๆ จึงขอให้คุณครูเล่าเรื่องยักษ์ให้ฟัง

“ยักษ์ตนนี้นะ เขาชื่ออาฬวกยักษ์ อาศัยอยู่โคนต้นไทร

เขาได้รับพรจากท้าวเวสวัณเป็นหัวหน้ายักษ์นะ ได้รับพรว่า

ถ้าใครเข้ามาในร่มเงาต้นไทรต้นนี้เวลาเที่ยง

อนุญาตให้จับกินได้”

“กินหมดเลย” แก่นแก้วลุกขึ้นยืน เอามือตบพุง พวกเด็กๆ

หัวเราะกัน แล้วฟังคุณครูต่อ

“ก็มีพระราชาชื่อ อาฬวกะ”

“ชื่อเหมือนกันเลย” เด็กๆ ร้อง คุณครูยิ้มพยักหน้า

“ใช่ ชื่อคนมาจากชื่อเมืองไง

เขาเป็นพระราชาของเมืองอาฬวี เลยชื่ออาฬวกะ

พระราชาออกไปล่าเนื้อในป่ากับลูกน้อง แล้วบอกกันว่า

ถ้าเนื้อหนีไปทางคนไหนนะ คนนั้นจะต้องมีโทษ

แต่เนื้อก็หนีไปทางพระราชานั่นแหละ

พระราชาเลยต้องไปตามจับเนื้อมา

พอจับได้แล้วก็ไปนั่งพักที่โคนต้นไทร ตอนเที่ยงพอดีเป๊ะ”

“อ้าว ก็โดนยักษ์กินสิ” แก่นแก้วกระโดดเหยาะๆ

“ใช่ พอยักษ์จะจับกิน พระราชาก็ขอร้องว่า อย่ากินเลย

ถ้าปล่อยพระองค์ไป จะส่งคนใส่ถาดมาให้ยักษ์กินทุกวันเลย

ยักษ์ก็เลยปล่อยไป

พระราชากลับไป แล้วไปเล่าให้ผู้รักษาพระนครฟัง

ให้เขาจัดคนไปให้ยักษ์กิน เขาถามว่า

มีกำหนดเวลาหรือเปล่า ว่าจะส่งไปให้กินนานเท่าไหร่

พระราชาบอกว่าไม่ได้กำหนด

เขาทูลว่าไม่ได้กำหนดเป็นเรื่องยาก

เพราะคนเราจะทำได้แค่ตามกำหนดเท่านั้น

นักเรียนว่ายากมั้ยครับ”

“ผมว่ายาก” มะระร้อง “ยักษ์กินทุกวัน เดี๋ยวคนก็หมดหรอก”

“หมด ก็กลับมากินพระราชา” น้ำตาลสด

เด็กหญิงผมเปียน่ารักพูดอย่างตื่นเต้น

คุณครูศมหัวเราะเอ็นดูเด็กๆ

“แล้วเขาทำยังไงครับคุณครู” แก่นแก้วอยากรู้

“ตอนแรกเขาไปเอานักโทษมา

ส่งไปให้ยักษ์กินทีละคนจนหมดคุกเลย

พวกชาวบ้านร่ำลือกันว่า

พระราชาจับโจรได้เอาไปให้ยักษ์กิน

ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ค่อยมีใครเป็นโจรเลย

พระราชาออกอุบาย เอาสิ่งของของพระองค์ไปทิ้งไว้ที่ถนน

ถ้าใครมาหยิบก็เป็นไง จับเลยใช่มั้ยแล้วมีคนมาหยิบมั้ย”

“ม่ายมี” เด็กๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกัน

“ใช่แล้ว พวกอำมาตย์ปรึกษากันว่า

จะเอาคนแก่ในเมืองให้ยักษ์กิน แต่พระราชาบอกว่า

คนแก่มีญาติเยอะ เดี๋ยวโดนประท้วง ไม่เอาหรอก

พวกนั้นก็เสนอให้เอาเด็กทารก พระราชาตกลง”

“ทารกขนาดไหนครับ” มะระกลัว“ผมพ้นทารกอ๊ะยัง”

“โอ้ย เขาไม่จับแกไปกินหรอก แกมันขม” แก่นแก้วว่า

มะระยิ้มแฉ่ง คุณครูศมหัวเราะอีก

“เราพาเด็กๆหนีก็ได้” น้ำตาลสดผู้ฉลาดเฉลียวไม่กลัว

“ใช่ คนในเมืองเลยพาเด็กทารกไปไว้เมืองอื่น

ที่ยังอยู่ก็ถูกจับไป เป็นอย่างนี้อยู่ ๑๒ ปี

วันหนึ่ง หาเด็กที่ไหนไม่ได้ เหลือแต่อาฬวกกุมาร

โอรสของพระราชาเท่านั้น พวกอำมาตย์ทูลพระราชา

พระราชาบอกว่าเรารักลูกเรา คนอื่นเขารักลูกเขาเหมือนกัน

เมื่อให้ลูกคนอื่นได้ ก็ต้องให้ลูกของตัวเองได้

ความรักลูกนั้นไม่เท่ากับรักตัวเอง

จงให้ลูกเรากับยักษ์ไปเถอะ”

“พ่อใจร้าย” น้ำตาลสดค้อนสะบัดหน้าจนหางเปียแกว่ง

“วันนั้น

พระพุทธเจ้าของเราตรวจดูสัตว์โลกทรงเห็นว่าวันนี้อาฬวกยักษ์จะได้บรรลุเป็นโสดาบัน

ส่วนราชกุมารต่อไปในอนาคตจะได้เป็นอนาคามี

โสดาบันคืออะไร ลูก มีใครตอบได้มั้ยครับ”

ใบไม้ผู้นั่งเงียบมานาน ฟังอยู่ด้วยความระทึก

ก็ยกมือขึ้น “ทราบค่ะ”

คุณครูศมถามใบไม้ ผู้สวมแว่นแล้วตั้งแต่เดือนก่อน

ด้วยความที่เป็นผู้คงแก่เรียน

“แปลว่า ได้บรรลุธรรมขั้นที่ ๑ ค่ะ”

“ใครบอกใบไม้จ๊ะ” คุณครูศมถาม

“คุณพ่อค่ะ คุณพ่อบอกว่า คนที่เขาบวชเรียนสูงๆ

เขาจะได้บรรลุธรรม แต่ต้องมี ๔ ขั้น ถึงจะสำเร็จค่ะ ๔

ขั้นก็มี โสดาบันขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ สกทาคามี ขั้นที่ ๓

อนาคามี ขั้นที่ ๔ อรหันต์”

“โอ้โฮ ท่องเก่งจัง” มะระชม “ยังงี้มะระจำไม่ได้หรอก”

“นายเคยจำอะไรได้มั่งล่ะ” น้ำตาลสดแหวใส่

“ไม่เอา พูดกันดีๆ” คุณครูศมเตือน “ใบไม้เก่งมาก

จำที่คุณพ่อบอกได้”

“คุณครูเล่าต่อซีคะ” น้ำตาลสดอยากฟัง

“เอ้า พระพุทธเจ้าจะไปโปรดยักษ์ ก็เลยไปที่บ้านของยักษ์

แต่ตอนนั้นยักษ์ไม่อยู่ ไปประชุมที่ป่าหิมวันต์”

“เหมือนพ่อผมเลย ประชุมยัน” แก่นแก้วบ่นอุบอิบ

“พระพุทธเจ้าไปยืนอยู่หน้าบ้านยักษ์

คนเฝ้าบ้านออกมาบอกว่ายักษ์ไม่อยู่

พระพุทธเจ้าบอกว่าจะเข้าไปคอย เขาบอกว่า

เขาจะต้องไปบอกยักษ์ก่อน เพราะยักษ์คงไม่ชอบใจ

ถ้ามีใครมาที่พักของเขา คนเฝ้านี่ชื่อคัทรภะ

เขาเหาะไปหายักษ์



พระพุทธเจ้าเข้าไปในที่อยู่ของยักษ์

ทรงเปล่งพระรัศมีสีทอง

พอพวกผู้หญิงของยักษ์ได้เห็นรัศมีสีทองก็มานั่งล้อมพระพุทธเจ้า

พระองค์ทรงแสดงธรรมให้ผู้หญิงพวกนั้นด้วย

ในตอนนั้นมียักษ์อีก ๒ ตน ชื่อสาตาคีรี กับเหมวตา

นี่เป็นยักษ์ดี คิดจะไปถวายบังคมพระพุทธเจ้า

แล้วค่อยไปประชุมที่ป่าหิมวันต์

พอเหาะมาถึงที่อยู่ของอาฬวกยักษ์

มีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ พวกยักษ์ก็เหาะผ่านไม่ได้

เพราะถ้าพระพุทธเจ้าประทับที่ใด ท้องฟ้าข้างบนตรงนั้น

ใครจะมาเหาะไปเหาะมาไม่ได้นะ”

“ตกปุ๊กลงมา” มะระร้อง

“ยักษ์ ๒ ตนก็ดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น

พอเห็นพระพุทธเจ้าก็รีบลงมา...”

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” แก่นแก้วยกสองมือขึ้นเหนือหัว

“แล้วพวกยักษ์ก็ไปป่าหิมวันต์ ไปบอกข่าวดีกับอาฬวกยักษ์

แต่อาฬวกยักษ์ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า

ก็โกรธที่พระพุทธเจ้ามาอยู่ที่ของตัว”

“พระพุทธเจ้าดังจะตาย ไม่รู้จักได้ไง” ใบไม้บ่น

คุณครูศมยังคงเล่าต่อไป

“ยักษ์ไม่ชอบใจ ก็เลยทดลองแสดงฤทธิ์

เพื่อจะลองดีกับพระพุทธเจ้า เช่น บันดาลให้เกิดลมบ้าหมู

ที่พัดแรงขนาดถอนต้นไม้ได้...”

แก่นแก้วลุกขึ้นทำท่าบันดาลประกอบ “อ๊ากก...”

“แต่ลมไม่อาจทำให้ชายจีวรของพระพุทธเจ้าไหวได้เพราะพระพุทธเจ้าอธิษฐานไว้

ยักษ์ก็ทำให้แผ่นหินตกลงมา...”

แก่นแก้วทำท่ายกหิน

“แต่แผ่นหินก็ได้กลายเป็นดอกไม้บูชาพระพุทธเจ้า

ยักษ์บันดาลให้ความมืดแผ่เข้ามา

แต่พอมาถึงพระพุทธเจ้าความมืดก็หายไป

ยักษ์เข้าไปหาพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกผี

แต่เข้าใกล้พระพุทธเจ้าไม่ได้ ยักษ์คิดว่า

เราปล่อยภูษาวุธดีกว่า ภูษาคืออะไร ใบไม้”

“ผ้าค่ะ” ใบไม้ตอบรวดเร็ว

“ใช่ ผ้าที่เป็นอาวุธ เป็นอาวุธสำคัญของยักษ์

พอปล่อยออกไป อาวุธนั้นก็ส่งเสียงน่ากลัวในอากาศ...”

“จ๊ากกกกก.....” เสียงของแก่นแก้วดังลั่น

ทำท่ากำลังภายใน แต่ดูเหมือนxxxมดแดง

“แล้วผ้าก็ตกลงมาเหมือนผ้าเช็ดเท้า” คุณครูศมเล่าต่อ

แก่นแก้วระทวยลงไปเรื่อยๆ แล้วนอนแผ่ลงกับสนามหญ้า

“ยักษ์คิดว่า เอ๊

ทำไมผ้าภูษาวุธนี่ถึงทำร้ายพระพุทธเจ้าไม่ได้

สงสัยพระพุทธเจ้าจะเป็นคนมีเมตตามาก

เราต้องยั่วให้พระพุทธเจ้าโกรธเสียก่อน

จึงจะทำร้ายพระพุทธเจ้าได้ ยักษ์บอกพระพุทธเจ้าว่า

ให้ออกไปจากบัลลังก์ของตน เพื่อให้พระพุทธเจ้าโกรธ

พระพุทธเจ้าคิดว่า ยักษ์เป็นคนหยาบคาย

ต้องเอาชนะด้วยความอ่อนโยน จึงเสด็จลงจากบัลลังก์

ยักษ์คิดว่า เอ๊ ว่าง่ายดีแฮะ บอกคำเดียวก็ลงมาแล้ว

เดี๋ยวลองใหม่ ก็บอกอีก

ให้พระพุทธเจ้าเข้ามานั่งบัลลังก์ พระพุทธเจ้าก็เข้ามา

ทำอย่างนี้อยู่ ๓ หน พระพุทธเจ้ายอมตาม

เพื่อให้ยักษ์มีใจอ่อนโยนจะได้ฟังธรรมได้ เหมือนพ่อแม่

ที่ตามใจลูกก่อน

เพื่อให้ลูกทำตามที่พ่อแม่ต้องการทีหลัง”

“พ่อหนูก็ทำอย่างนี้” ใบไม้พูดเบาๆ

“ยักษ์ก็คิดว่า จะแกล้งพระพุทธเจ้าอย่างนี้ไปทั้งคืน

ก็สั่งให้ออกไปแล้วเข้ามาอีก แต่พระพุทธเจ้าไม่ทำตามแล้ว

บอกยักษ์จะทำอะไรก็ทำเถอะ

ยักษ์ก็เลยจะแกล้งพระพุทธเจ้าด้วยการถามปัญหา

ยักษ์ถามว่า

อะไรเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐของคนในโลกนี้

อะไรที่บุคคลประพฤติดีแล้ว จะนำความสุขมาให้

อะไรเป็นรสเลิศกว่ารสทั้งหลาย

ชีวิตอย่างไรจึงได้ชื่อว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด

นักเรียนตอบคำถามยักษ์ได้มั้ยครับ”

คุณครูศมถาม ทุกคนส่ายหัวดิก แก่นแก้วตอบว่า

“ผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า”

คุณครูศมหัวเราะ “พระพุทธเจ้าตอบอย่างนี้นะ

ศรัทธาเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐของคนในโลกนี้

ธรรมที่คนประพฤติดีแล้ว จะนำความสุขมาให้

ความสัตย์เป็นรสเลิศกว่ารสทั้งหลาย

ชีวิตของคนที่อยู่ด้วยปัญญา เป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด

ยักษ์ถามต่อไปอีก ๔ คำถามว่า บุคคลจะข้ามโอฆะได้ยังไง

ข้ามอรรณพได้ยังไง ล่วงทุกข์ได้ยังไง

และบริสุทธิ์ได้ยังไง

คำว่า โอฆะ ปกติแปลว่าห้วงน้ำ

แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงน้ำธรรมดาแต่หมายถึงกิเลส

พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา

คือคนที่มีศรัทธาย่อมจะเชื่อกรรมและผลของกรรม

ตั้งใจทำดีไม่ทำชั่ว เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า

ทำตามที่ท่านสอน แล้วก็จะชนะกิเลสได้

ส่วนคำว่า อรรณพ คือห้วงน้ำที่ใหญ่กว่าโอฆะ คือสังสารวัฏ

คนที่ไม่ประมาทจึงจะข้ามไปได้ ถ้าคนไหนประมาท ชอบทำบาป

ก็จะข้ามห้วงน้ำนี้ไปไม่พ้น ได้แต่วนเวียนอยู่

ต้องเป็นคนที่หมั่นทำความเพียร

ปฏิบัติธรรมด้วยความตั้งใจ

ก็จะข้ามห้วงน้ำคือสังสารวัฏอันนี้ได้”

“สังสารวัฏคืออะไรคะคุณครู” น้ำตาลสดถาม

“สังสารวัฏ คือ

การเวียนว่ายตายเกิดของคนเราที่มีอยู่เรื่อยๆ

ไม่มีวันจบสิ้น มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น

ที่ไม่ต้องมาเกิดใหม่ ออกไปจากสังสารวัฏได้”

“แล้วอีก ๒ คำถามล่ะคะ คุณครู” ใบไม้เตือน

“อ๋อ ยักษ์ถามว่า จะล่วงทุกข์ได้ยังไง

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องมีความเพียร

คือความพยายามจึงจะพ้นทุกข์ได้

และถามว่าคนเราจะบริสุทธิ์ได้ยังไง

ตอบว่าต้องมีปัญญาจึงจะบริสุทธิ์ได้



ยักษ์ถามต่อว่า บุคคลทำยังไงถึงจะได้ปัญญา ทำยังไง

ถึงจะได้เงินทอง ทำยังไงถึงจะได้ชื่อเสียง

ทำยังไงถึงจะผูกมิตรไว้ได้

ทำยังไงเวลาตายไปแล้วจะไม่โศกเศร้า

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่าคนที่เชื่อธรรมของพระอรหันต์

ฟังอย่างดี ตั้งใจไม่ประมาท ย่อมได้ปัญญา

คนจะหาเงินทองได้ต้องขยัน

คนจะได้ชื่อเสียงต้องมีสัจจะ คือพูดจริง

รักษาคำพูดจะผูกมิตรกับใครๆ ต้องเป็นผู้ให้ นักเรียน

ถ้ามีคนที่ไม่เคยให้ใครเลย ขี้เหนียวมากๆ

เพื่อนจะอยากคบมั้ย”

เด็กๆ หัวเราะส่ายหน้าทุกคน

“อีกข้อคือ คนที่มีธรรมะสำหรับผู้ครองเรือน ๔ ประการคือ

๑ สัจจะ ๒ ทมะคือฝึกตนเอง ๓ ขันติ คือความอดทน และ ๔

จาคะ คือการบริจาค ถ้าใครทำได้อย่างนี้

ตอนอยู่ก็มีความสุข ตายไปแล้วก็ไม่เศร้าโศก

หมายถึงได้ไปเกิดที่ดี

คำตอบคำถามนี่อาจจะยากสำหรับนักเรียน

แต่ให้ฟังเอาไว้ก่อนนะ อีกหน่อยโตขึ้นจะเข้าใจมากกว่านี้

แต่ยักษ์ฟังพระพุทธเจ้าแล้วก็เข้าใจ

เลยได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน

ตอนนั้นเป็นเวลาเช้า ทหารนำพระโอรสคือ

อาฬวกกุมารมามอบให้ยักษ์

ยักษ์ไม่กินแล้วเพราะเป็นโสดาบันไปแล้ว

พระพุทธเจ้าทรงรับอาฬวกกุมาร แล้วทรงให้พรให้อายุยืน

ให้มีความสุขปราศจากโรค มีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์แก่โลก

ขอให้กุมารเคารพพระรัตนตรัยตลอดชีวิต

แล้วพระพุทธเจ้าก็คืนพระกุมารให้ทหารไป

พระกุมารโตขึ้นมีพระนามว่า อัตถกอาฬวก

ได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี

เป็นไง จบแล้ว”

“ก็สนุกดีค่ะ” น้ำตาลสดพูด

“ผมชอบตอนรบกัน” แก่นแก้วว่าแล้วทำท่าxxxมดแดง

“เอาล่ะ นักเรียน

เห็นมั้ยว่ายักษ์ก็กลับตัวเป็นยักษ์ดีได้

แต่เราทุกคนเป็นคนดีอยู่แล้ว

ก็ต้องรักษาความเป็นคนดีของเราตลอดไปนะครับ”

“นี่คนดีหรือคะ” น้ำตาลสดว่าพลางชี้ไปทางแก่นแก้ว

“หนูว่าเขาบ๊องๆ”





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โฆสกะ



แสนดีกับปั้นเหน่ง นั่งกินข้าวกันที่ร้านอาหารริมน้ำ

สายลมยามเย็นโชยมาพาให้สบายหายเหนื่อย

ปั้นเหน่งมองไปบนสะพาน

เห็นผู้ชายหลายคนหย่อนเบ็ตตกปลาลงในแม่น้ำแล้วก็นั่งเฝ้า

ดูๆ ก็เหมือนเป็นกิจกรรมที่น่าเพลิดเพลินในยามเย็น

ปั้นเหน่งพยักพเยิดให้แสนดีดู แสนดีบอกว่า

“ทำบาปน่ะ เคยมีคนหนึ่งเขาบอกว่าตอนเด็กๆ

เคยชอบตกปลาบ่อย พอโตขึ้นนะ ไม่ว่าทำอะไร

จะคอยมาโดนปากตัวเองเจ็บอยู่เรื่อย อย่างมอเตอร์ไซค์ล้ม

ตัวเองก็คนตัวใหญ่กลิ้งโคโร่ไป แต่ตรงอื่นไม่เป็นไร

มีแต่ปากไปครูดกับถนนจนเป็นแผล

แล้วเรื่องปากเจ็บคอเจ็บอะไรนี่

เป็นบ่อยจนเป็นเรื่องปกติไปเลย”

“คนตกปลานี่ จะมองว่าอดทนก็ได้นะ คอยจัง

หรือเรียกว่ามีความพยายาม”

แสนดีหัวเราะ “ความพยายามมี ๒ อย่าง

พยายามทางที่ดีกับพยายามทางที่ชั่ว

ถ้าเป็นทางชั่วท่านก็สอนให้ระวัง

ว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว

อย่างในนิทานเรื่องโฆสกะที่ พยายามจนตัวตายเลย”

ปั้นเหน่ง ฟังแล้วก็อยากรู้เรื่องของโฆสกะ

แสนดีจึงสาธยายให้ฟัง

“ก่อนจะเป็นโฆสกะ เขาเคยเกิดเป็นคนจนชื่อโกตุหลิก

พาลูกเมียหนีความลำบากมาจากอัลลกัปปะไปโกสัมพี

ตอนอุ้มลูกมาก็เหนื่อย

เวลาแม่อุ้มก็อุ้มยังกับประคองดอกไม้

เวลาพ่ออุ้มก็อุ้มอย่างเสียไม่ได้ ในที่สุด

พ่อเลยทิ้งลูกไว้หลังพุ่มไม้ พอเมียมาถามว่าลูกไปไหน

บอกว่าทิ้งไว้หลังพุ่มไม้ จึงกลับไปรับลูก

ตอนที่อุ้มลูกไปอีกทีหนึ่งนั่นแหละ ลูกก็ตาย”

ปั้นเหน่งหัวเราะ “เวลาอยู่ในชาดกนี่ บทจะตาย

ตายง่ายจัง”

“สองคนเดินทางมาถึงบ้านคนเลี้ยงวัว

เขากำลังเลี้ยงพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ เขาสงสาร

เลยให้ข้าวกิน โกตุหลิกกินใหญ่เลย

กินไปก็เห็นหมาตัวเมียมันนอนอยู่ใต้เตียง

เจ้าของเขาให้กินข้าวปายาส แกคิดว่า หมามีบุญ

กินข้าวดีกว่าเราอีก เรางี้อดข้าวมาตั้ง ๗ วัน

แต่หมามีกินทุกวัน คืนนั้นแกกินมากเกินไป

เลยอาหารไม่ย่อย ตายไปเลย”

“ว่าแล้ว” ปั้นเหน่งหัวเราะ “ตายกันง่าย”

แสนดีหัวเราะด้วย

“เออ ใช่ ทีนี้เมียเลยขออยู่กับคนเลี้ยงวัว ช่วยงานเขา

เพราะถือว่าเขามีบุญคุณอุปการะและยังได้ช่วยทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วย

ฝ่ายโกตุหลิกพอตายไป เลยไปเกิดเป็นลูกแม่หมาตัวนั้นแหละ

เวลาพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก็ให้อาหารมันทุกครั้ง

มันรักท่านมากเลย วันไหนคนเลี้ยงวัวไม่ว่าง

มันจะไปรับพระแทน ไปถึงก็เห่า ๓ ครั้ง

หรือเวลาไปตรงไหนกลัวว่าจะมีสัตว์ร้าย มันก็เห่าไล่

วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าบอกคนเลี้ยงวัวว่า

จีวรของท่านเก่าแล้ว ท่านจะไปทำจีวรที่ภูเขาคันธมาทน์

เพราะมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามากด้วยกัน ช่วยกันทำ

เจ้าลูกหมาน้อยก็อาลัยรักมากพอท่านเดินจากไป......”

ปั้นเหน่งต่อให้ว่า “ก็ตายเลย” แสนดีขำ พยักหน้า

“เออ ใช่ ไปเกิดเป็นเทพบุตรชื่อ โฆสกะ มีเสียงดังมาก

จากการที่ไปเห่าพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความรัก

แต่เป็นเทวดาอยู่ได้ไม่นาน

เพราะหลงในความเพลิดเพลินทั้งหลาย จนไม่ได้กินอาหาร

ตายแล้วมาเกิดในโลกมนุษย์ เป็นลูกของหญิงโสเภณี

กรุงโกสัมพี นี่แหละมาเป็นโฆสกะ แล้วก็ถูกทิ้งหลายครั้ง

ครั้งที่ ๑ แม่ทิ้งเองเลย เพราะตัวเองเคยทิ้งลูกไป

พอถูกทิ้ง พวกนกกาก็มาล้อมไว้ ไม่มีอันตรายเข้าใกล้

เพราะบุญคุ้มครองเอาไว้ มีคนผ่านมาเห็นเข้า

ก็เอาไปเลี้ยงเป็นลูก”

“แหม ยังอุตส่าห์มีบุญคุ้มอีกนะเนี่ย” ปั้นเหน่งแซว





“มีมหาเศรษฐีใหญ่ในเมืองโกสัมพีนั่นแหละ ไปเฝ้าพระราชา

แล้วเดินสวนทางกับราชปุโรหิต จึงทักทายปราศรัยกัน

แล้วถามว่า วันนี้มีอะไรแปลกๆ ในบ้านเมืองเราบ้าง

อาจารย์

ปุโรหิตตอบว่า ไม่มีอะไรมาก แล้วเงยดูท้องฟ้า บอกว่า

จะมีคนมีบุญมาเกิด

แล้วต่อไปจะได้เป็นเศรษฐีใหญ่ของเมืองนี้

พอดีเมียของเศรษฐีท้องแก่

รีบให้คนไปดูว่าเมียตัวเองคลอดลูกหรือยัง

ปรากฏว่ายังไม่คลอด เลยให้หญิงคนใช้ไปถามดูว่า

วันนี้มีเด็กเกิดที่ไหนบ้าง ก็พบว่าเป็นโฆสกะ

เลยให้ซื้อมาด้วยราคาแพง”

“ซื้อไปเลี้ยงเหรอ ดีนะ” ปั้นเหน่งถาม แสนดีส่ายหน้า

“แกซื้อมาไว้ก่อน

กะว่าถ้าเมียออกลูกเป็นผู้หญิงก็จะให้ลูกสาวแต่งงานด้วย

แต่ถ้าออกมาเป็นผู้ชายก็จะฆ่าโฆสกะซะ”

“อ้าว” ปั้นเหน่งร้อง “ไหงงั้นล่ะ เลี้ยงไว้พอโตแล้วรวย

ก็เป็นลูกตัวรวยอยู่ดี”

“เขาไม่คิดอย่างนั้น เขาคิดผิด เขาคิดร้าย ถ้าเขาคิดดีๆ

ก็จะไม่เกิดเสียหาย”

ปั้นเหน่งบอกว่า “ท่านถึงสอน ว่าให้เราคอยคิดดีอยู่เสมอ

หลวงพ่อปัญญาสอนว่า คิดดี ทำดี พูดดี ไปสู่สถานที่ดีๆ”

“ทีนี้ต่อมาไม่กี่วัน เมียเศรษฐีคลอดลูกมาเป็นผู้ชาย

เศรษฐีก็คิดร้ายกับโฆสกะเลย พยายามฆ่ากันเชียว

ครั้งที่ ๑ ให้เอาไปไว้ที่ปากคอกวัว

ถ้าตอนเช้าวัวออกมาต้องเหยียบเด็กตายแน่

แล้วให้กาลีหญิงรับใช้ไปดูว่าตายหรือเปล่า

ปกติวัวนายฝูงมันจะให้ลูกน้องออกก่อน ตัวเองออกทีหลัง

แต่วันนั้น วัวนายฝูงมันรีบออกมาก่อนเลย มายืนคร่อม

เด็กเอาไว้ วัวตัวอื่นก็ออกไปสองข้าง

เจ้าของวัวมาเห็นเข้าก็เก็บไปเลี้ยง

กาลีมารายงาน เศรษฐีให้ไปซื้อกลับมาอีก

แล้วเอาไปไว้หน้าเมือง

จะให้พวกกองเกวียนที่เขาออกประตูเมืองกันตอนเช้าๆ

น่ะทับตาย วัวที่ลากเกวียนเล่มแรก

มันก็มายืนคร่อมไว้อีกนะ นายกองเกวียนไปดู

เห็นเด็กนอนอยู่ เลยเอาไปเลี้ยงอีก

กาลีไปตามซื้อกลับมาอีก คราวนี้เอาไปไว้ในป่าช้าผีดิบ

ให้หมาหรือผีมาทำร้ายเด็ก แต่มีแม่แพะมายืนคร่อมให้กินนม

คนเลี้ยงแพะมาเห็นเข้า เก็บเอาไปเลี้ยง”

“กาลีก็ไปซื้อมาอีก” คราวนี้ปั้นเหน่งต่อให้แทนได้

เพราะรู้แกว

“ใช่ คราวนี้เอาไปทิ้งเหวที่เขาไว้ทิ้งพวกโจร

บังเอิญมีต้นไผ่ขึ้นหนา รองรับไว้อย่างกับเบาะ

ช่างสานไม้ไผ่มาตัดไผ่กับลูกชาย ได้ยินเสียงเด็กร้อง

เลยไปดู แล้วเอาไปเลี้ยง”

“เฮ้อ พยายามดีจริงๆ เนอะ

นี่ถ้าเลี้ยงไว้เองก็หมดเรื่อง” ปั้นเหน่งรำคาญ



“อยู่กันมาจนโต

คราวนี้เศรษฐีจะส่งเด็กไปให้ช่างหม้อคนหนึ่ง

ซึ่งเป็นเพื่อนกัน เขามีเตาเผาอิฐ

เขียนจดหมายไปบอกเพื่อนว่า มีลูกทรพีคนหนึ่ง

ไปถึงเมื่อไรให้สับแล้วเอาเข้าเตาเผาเลยนะ

แล้วให้โฆสกะใส่ชายพกไป

โฆสกะเดินไป เจอลูกเศรษฐีกำลังเล่นอยู่กับเพื่อนๆ

เล่นแพ้เพื่อนด้วย เห็นพี่ชายมาก็เลยบอกให้พี่เล่นหน่อย

อยากชนะเพื่อน บอกจะไปธุระของพ่อให้แทน”

“อ้าว ซวยละซี” ปั้นเหน่งร้อง

“เออ ใช่ ก็ตายแทนไปเลยล่ะ โฆสกะกลับมาบ้านตอนเย็น

เศรษฐีงงใหญ่ ถามว่าไม่ได้ไปเหรอ

ก็เล่าให้ฟังว่าน้องไปแทน คลั่งเลย รีบวิ่งไปบ้านเพื่อน

แต่ก็สายเสียแล้ว”

“นี่แหละ ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว”

ปั้นเหน่งกลุ้มใจ

“ยังนะ ยังไม่เข็ด ยังไม่เลิกความพยายาม

เศรษฐีก็เขียนจดหมายถึงผู้จัดการผลประโยชน์ของตัวที่อยู่ชนบท

บอกว่าได้รับจดหมายนี้แล้ว

ให้ฆ่าคนถือจดหมายแล้วฝังในหลุมส้วม”

“โอ้โฮ ใจร้ายจัง” ปั้นเหน่งคราง

“ระหว่างทางเศรษฐีให้ไปพักบ้านลูกน้องคนหนึ่งก่อน

ที่บ้านนี้มีลูกสาวคนหนึ่ง ซึ่งพอได้ยินชื่อโฆสกะ

ก็เกิดความรักทันที เพราะเธอไม่ใช่ใครอื่น

คือเมียของโกตุหลิกนั่นเอง”

“อ๊อเหรอ แหม อุตส่าห์ตามมา” ปั้นเหน่งแซวอีก

“แต่คนนี้ฉลาดนะ อ่านหนังสือออกด้วย

พอโฆสกะหลับก็แอบอ่านจดหมาย แล้วก็ว่า โอย

ทำไมผู้ชายคนนี้โง่นัก

ถือจดหมายฆ่าตัวเองมาแล้วยังไม่รู้ตัวเลย”

“โง่แต่ก็น่าร้ากกกก.....” ปั้นเหน่งลากเสียงยาว

แสนดีหัวเราะ

“ใช่ แล้วก็เลยปลอมจดหมาย เขียนใหม่ว่า

ไปถึงเมื่อไหร่ให้จัดการแต่งงานกับตัวเธอเองเลย

วันรุ่งขึ้น

โฆสกะเดินทางต่อไปหาผู้จัดการผลประโยชน์ของเศรษฐี

พอเขาอ่านจดหมายแล้วก็จัดการแต่งงานให้เลย

แล้วส่งข่าวไปบอกเศรษฐี”

“เศรษฐีเป็นลมเลย” ปั้นเหน่งต่อให้ แสนดีส่ายหน้า

“ไม่หรอก ป่วยหนักเลยล่ะ เรียกให้โฆสกะกลับบ้าน

แต่เมียไม่ยอมให้กลับ รอจนเศรษฐีป่วยเกือบจะตายนั่นแหละ

ถึงได้ไปเยี่ยมเวลาเยี่ยม โฆสกะยืนปลายเตียง

เมียไปยืนหัวเตียง เศรษฐียังเกลียดโฆสกะอยู่ จะพูดว่า

ไม่ให้สมบัติ แต่ ตะกุกตะกักว่าให้

ลูกสะใภ้ก็เอาหมอนทับหน้าอกแล้วคลุกหน้าลงไปร้องไห้ใหญ่

ทำเป็นเศร้าโศก เศรษฐีเลยตายเลย

โฆสกะก็ได้สมบัติทั้งหมด”

“ได้กลายเป็นเศรษฐีใหญ่ตามคำทำนาย” ปั้นเหน่งต่อให้อีก

แล้วร้องว่า “โธ่เอ๊ย อยู่กันไปดีๆ อยู่ด้วยกัน

วันหนึ่งพอเศรษฐีแก่ตายตามปกติ

โฆสกะก็ได้เป็นเศรษฐีอยู่แล้ว สมบัติจะไปไหนเสีย

เสียเวลามาทำบาปทำกรรมตั้งมากมายอะไรอย่างนี้

ไม่น่าเล้ย”

แสนดีว่า “มันอยู่ที่ใจคนเราไง ใจคิดไม่ดี

พาให้ชีวิตแย่ไปเลย คนเราควรจะมีเมตตาต่อกันมากกว่านะ

ไม่ควรมัวมาคิดทำร้ายกันเลย ตอนทำก็ไม่มีความสุข

ทำแล้วก็ยังสะสมบาปไว้อีก เรื่องความคิดนี่ต้องระวัง

ท่านสอนให้ควบคุมความคิดให้ดีอยู่เสมอ คิดแต่กุศล

ไม่คิดอกุศล”

ปั้นเหน่งทวนคำหลวงพ่อปัญญาอีกครั้ง

“คิดดี พูดดี ทำดี ไปสู่สถานที่ดีๆ”





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระโลสกะ





วันนี้ ติ๊งต่างไปเรียนธรรมะกับใจสว่าง

อาจารย์สอนเรื่องมลทิน ๙ คือสิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง ๙

ประการ ได้แก่ ความโกรธ การลบหลู่คุณท่าน ริษยา

ความตระหนี่ มายาเจ้าเล่ห์ การโอ้อวด การพูดปด

การคิดชั่ว การเห็นผิด

เรียนเสร็จแล้วก็มานั่งคุยกัน ติ๊งต่างบอกว่า

“บางทีเผลอริษยาไปเหมือนกัน”

“บางทีเห็นคนไปทำบุญ เออ เราไม่ได้ไป”

ติ๊งต่างว่าพลางหัวเราะแหะๆ

ใจสว่างบอกว่า “ต้องรีบรู้ทันใจ แล้วปรับความคิดใหม่

ให้นึกอนุโมทนาไปกับเขาด้วย”

ติ๊งต่างก็ยังหัวเราะแหะๆ

“แต่บางทีริษยามาหลายรูปแบบ บางทีเรานึกว่า

เราทำอะไรสักอย่างเราว่าเราทำดีที่สุดแล้ว

แล้วเราก็มองคนอื่นว่าเขายังทำไม่ดี อยากจะปรับปรุงเขา

แต่หารู้ทันกิเลสของตัวเองไม่ ว่ามันแอบริษยา

กลัวว่าเขาจะทำได้ดี เดี๋ยวเราแพ้

การที่เรามองเขาว่าเขาทำอย่างไร ไม่ได้มองด้วยใจเมตตา

ปรารถนาจะให้เขาปรับปรุงหรอก

แต่กิเลสมันหลอกเราว่าเราคิดอย่างนั้น

ความจริงเราเพ่งโทษเขาต่างหาก

อยากจะแสดงว่าเขาสู้เราไม่ได้

อันนี้มันเป็นกิเลสที่เราอยากป้องกันตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอเท่านั้นเอง”

ติ๊งต่างตรึกตรอง

“มันมาหลายรูปหลายลักษณะอย่างนี้

ติ๊งต่างจะไปตามทันได้ยังไง มันใส่เสื้อตลกโบโซมา

แล้วติ๊งต่างจะรู้ได้ยังไงว่าข้างในเป็นยักขมูขี”

ใจสว่างปลอบ “ค่อยๆ ดูไปก็จะรู้เอง

เวลาอาจารย์สอนอะไรก็คอยเก็บให้ได้ ก็จะรู้เพิ่มขึ้นได้”

“ความริษยานี่มันไม่ดีเลยนะ” ติ๊งต่างถอนใจ

“อาจารย์สอนว่าอย่าไปริษยาใครเลย

เพราะทุกคนอยู่ในวัฏสงสาร ทุกข์ทรมานเหมือนกันทุกคน

จนไม่มีใครที่เราน่าจะไปริษยา

ความสุขที่มีนั้นเมื่อเทียบกับความทุกข์ในสังสารวัฏแล้ว

นิ้ดเดียวเองไม่ได้น่าริษยาอะไร

มุทิตาดีใจกับเขาไปดีกว่าว่าได้มีความสุขมั่งเล็กน้อยในชีวิตนี้”

“เรื่องริษยานี้ จะให้ผลยังไงมั่งนะ” ติ๊งต่างถาม

ใจสว่างเล่าว่า “มีเรื่องของพระโลสกะ เกี่ยวกับความริษยา

จะเล่าให้ฟัง



พระโลสกะนี่เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรนะ เมื่อตอนเด็กๆ

น่ะยากจนมาก ไม่มีข้าวกินหรอก

ต้องเที่ยววิ่งหาว่าใครเขาจะล้างหม้อนะ

ก็ไปเก็บข้าวที่ติดหม้อนั่นแหละมากิน ตอนหลังบวชนี่

เวลาไปบิณฑบาตก็ไม่มีใครใส่บาตร ไม่ใช่ว่าใจดำหรอกนะ

คือคนเขาจะเห็นไปว่าบาตรเต็มแล้วทุกทีเลยเวลาเปิดฝาบาตร

ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วบาตรว่างเปล่า

เวลาพระสารีบุตรท่านไปบิณฑบาต คนจะใส่บาตรมากเลย

แต่ถ้าวันไหนพระโลสกะติดสอยห้อยตามไปด้วย

ก็จะไม่มีคนใส่บาตรเหมือนกัน อันนี้พระสารีบุตรก็รู้”

“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ อาภัพขนาด” ติ๊งต่างว่า

“ต้องย้อนไปในอดีตชาตินะ สมัยโน้นแน่ะ

สมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าองค์ก่อนที่จะถึงพระพุทธเจ้าของเรานี่แหละ

ตอนนั้น พระโลสกะไปเกิดแล้วบวชได้เป็นเจ้าอาวาส

มีกุฎุมพีคือคนฐานะดีคนหนึ่งคอยดูแลอุปัฏฐากท่านอยู่

วันหนึ่ง มีพระอรหันต์องค์หนึ่งผ่านมา

กุฎุมพีเห็นแล้วเลื่อมใส เลยพาไปฝากไว้ที่วัด

ตอนเย็นก็มาดูแลมาสนทนา

เจ้าอาวาสไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์

พอเห็นกุฎุมพีมาดูแลดีก็เกิดริษยา

คิดว่าพระรูปนี้อยู่ไปนานๆ เห็นทีเราจะแย่

ต้องหาทางให้ออกไป

พอตอนเช้าจะออกบิณฑบาต ปกติก็ต้องชวนกันออกไปใช่มั้ย

เจ้าอาวาสก็ไปชวนเหมือนกัน แต่เคาะประตูด้วยหลังเล็บ

เป็นเชิงว่ามาเรียกแล้วนา แต่ไม่ได้ยินเอง

ก็ไปหากุฎุมพี กุฎุมพีถามว่าทำไมมาองค์เดียว ท่านตอบว่า

เมื่อวานสงสัยฉันดีเกินไป เลยยังนอนไม่ตื่น

กุฎุมพีก็จัดของดีๆ ฝากไปให้

เจ้าอาวาสเห็นแล้วก็คิดว่าของดีอย่างนี้ ถ้าเอาไปให้

สงสัยพระรูปนั้นจะไม่ยอมไปไหน ทำยังไงดี

พอดีเห็นเขาเผาซังข้าวกันอยู่ ก็เลยเอาไปเผาที่ซังข้าว”

“อะไรจะปานนั้น” ติ๊งต่างหัวเราะอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ฝ่ายพระอรหันต์ท่านรู้ความคิดของเจ้าอาวาส

ท่านก็ออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว

เจ้าอาวาสพอมารู้ว่าพระไปแต่เช้าแล้ว ก็เอะใจ เอ๊ะ

หรือจะเป็นพระอรหันต์ ทีนี้ก็ตกใจ หวาดผวา

แล้วก็เสียใจจนผ่ายผอม จนกลายเป็นเปรตในร่างคน

ในที่สุดตายไปเกิดในนรกเป็นเวลานานน...

แล้วไปเกิดเป็นยักษ์ ไม่เคยได้กินอาหารอิ่มท้องเลยนะ

เสร็จแล้วไปเกิดเป็นหมาอีก ก็เป็นหมาโซ

ไม่มีใครให้ข้าวกิน”

“โอ้โฮ ชักเห็นใจ ทีนี้เจอหมาหิวโซ

ต้องหาอะไรให้มันกินซะหน่อยแล้วมั้งเนี่ย” ติ๊งต่างเศร้า

“พอชาติสุดท้าย ก็มาเกิดเป็นพระโลสกะเนี่ยแหละ

ตั้งแต่เกิดมาก็ทำให้พ่อแม่จนล้งจนลง

คนในหมู่บ้านก็ลำบากไปด้วย จนไปพบพระสารีบุตรมาพาไปบวช”

“แต่บวชแล้วก็บิณฑบาตไม่ได้อีก” ติ๊งต่างต่อให้

ใจสว่างพยักหน้า

“ใช่ คนจะเห็นว่าบาตรเต็มแล้ว

แต่พระโลสกะรู้กรรมของตัวนะ

ก็เพียรพยายามบำเพ็ญต่อบุญเก่าที่เคยบำเพ็ญมา

ท่านจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ชาตินี้แหละ

ตำราบอกว่าคนที่เกิดมาในชาติสุดท้าย

จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์นี้ จะทำยังไงก็ไม่ตาย

จนกว่าจะบรรลุอรหัตตผล เหมือนกับโคมไฟที่จุดไว้แล้ว

ครอบแก้วกันลมไว้อย่างดี ลมพัดยังไงก็ไม่ดับ”

“โอ้โห น่าทึ่งจัง” ติ๊งต่างชอบใจ

“ตอนนี้ท่านก็บำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

แต่วันนี้ยังไม่ได้อาหาร พระสารีบุตรเลยบอกให้กลับวัดไป

แล้วท่านไปบิณฑบาตให้

พอได้อาหารแล้วก็รีบให้คนนำไปให้พระโลสกะ

คนนี้ก็เดินไปท่องชื่อไป”

“สะดุดไม่ได้สิเนี่ย เดี๋ยวลืมชื่อ” ติ๊งต่างลุ้น

ใจสว่างหัวเราะ

“ไม่สะดุดหรอก พอถึงวัดก็ลืมชื่อเลยแหละ

ลืมแล้วเลยไม่รู้จะเอาไปให้ใคร เลยกินซะเอง

พระโลสกะก็เลยอดอีก พระสารีบุตรกลับมาถามว่า

ได้อาหารหรือยัง บอกว่ายัง พระสารีบุตรท่านสลดเลย

กลับออกไปที่วังพระเจ้าปเสนทิโกศล ตอนนั้นสายมากแล้ว

จึงได้รับการถวายเป็นน้ำผึ้ง น้ำอ้อยมาเต็มบาตร

ทีนี้ถ้าพระสารีบุตรยื่นบาตรให้พระโลสกะรับไปฉัน

บาตรก็จะว่างเปล่า

พระสารีบุตรเมตตามากเลยยืนประคองบาตรให้ฉัน

จึงได้ฉันเป็นมื้อสุดท้าย ฉันอิ่มแล้วก็สิ้นชีวิต”

ติ๊งต่างซึมไปเลย

“นี่แหละแรงริษยา

ทำให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวต่อไปมากมายอย่างนี้

เพราะฉะนั้นเราต้องระวังใจให้ดี คอยมีสติ

อย่าไปริษยาใครเขาเทียวนะ รู้มั้ยติ๊งต่าง”

ติ๊งต่างหัวเราะแหะๆ ตามเคย





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระนางสามาวดี





การะเกดกับต้นเทียนกำลังนั่งอยู่กับเห็ดกองใหญ่มาก

จะต้องฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ ทั้งหมด

เพื่อจะทำลาบเห็ดตอนเช้ามืดพรุ่งนี้ ต้นเทียนเอ่ยว่า

“คิดถึงโรงทานวันงานหลวงพ่อชาเมื่อตอนต้นปีนะ แหม

คนเยอะดีจัง”

การะเกดพยักหน้า “ใช่ คิดแล้วปลื้ม

ไม่เคยเห็นคนมารวมกันมากมายขนาดนั้น

เฉพาะพระก็พันกว่ารูปแล้ว แม่ชีอุบาสกอุบาสิกาอีก

น่าจะเป็นพันเหมือนกัน”

“แต่ตอนเข้าไปตักอาหารที่โต๊ะ ไม่มีชุลมุนเลยนะ”

“แหม ก็คนปฏิบัติธรรม เขาค่อยๆ ทยอยกันตักได้

ใจเย็นไม่รีบร้อน”

“ชาวบ้านแถวโรงทานข้างนอกก็เหมือนกัน เข้าคิวเป็นแถว

แต่โรงทานข้างนอกนี่เหลือเชื่อจริงๆ

ชาวบ้านที่มารับทานเยอะจริงๆ เดินกันขวักไขว่ไปหมดเลย

เห็นแล้วตาลาย พวกมาแจกทานก็แจกกันเอาจริงเอาจัง

เดี๋ยวเดียวหมด ยกกลับไป เดี๋ยวคนใหม่มาแจกอีกละ”

การะเกดหัวเราะ “ดูร้านปาท่องโก๋ซี

ชาตินี้เราไม่มีวันลืมเลย อะไรกัน

ทอดตั้งแต่เช้ามืดยันค่ำเลย”

“๑๑๓ กิโลฯ ทำได้ไง”

ต้นเทียนต่อด้วยเสียงหัวเราะเหมือนกัน

นึกถึงความหลังแล้วสนุก

ดังฝันลากถุงมะละกอเข้ามา ๓ ถุง

“แหมะไว้นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยทำ”

เธอว่าพลางเดินไปล้างมือ แล้วกลับมาร่วมวงช่วยทำเห็ด

การะเกดเล่าเรื่องโรงทานงานหลวงพ่อชาให้ฟัง

“คนที่มาแจกทานนี่มีเมตตามากจริงๆ นะ

อย่างมีเด็กคนหนึ่งเวียนมา ๓ รอบ ๔ รอบ เราเอ่ยว่า เอ๊

เด็กคนนี้มาแล้วนี่ เขาบอกมาอีกก็ให้อีก

เขาอาจจะเอาไปให้พ่อให้แม่ เอาไปฝากญาติๆก็ได้

ขอเท่าไหร่ให้หมดแหละ กี่รอบก็ช่าง ใครก็ช่าง

คนดีคนชั่วให้กินหมด ไม่เลือก โอ้โฮ เราฟังแล้ว

รู้สึกเลยในน้ำใจของเขา”

ดังฝันฟังแล้วปลื้มไปด้วย แต่แซวว่า

“ไม่ดุเหมือนตอนที่สามาวดีไปขออาหารนะ”

“อ๋อ สามาวดี” ต้นเทียนเอ่ย “วันแรกก็ไม่โดนดุหรอก

วันหลังๆ ถึงโดนดุ”

การะเกดขอให้ต้นเทียนเล่าเรื่องสามาวดีให้ฟัง

ต้นเทียนเล่าว่า



“สามาวดีตอนแรกชื่อสามา เป็นลูกสาวเศรษฐีภัททวดี

อยู่ในภัททวดีนคร ทีนี้ในเมืองเกิดมีโรคอหิวาต์

โรคนี้โบราณว่าถ้าจะหนีต้องพังฝาบ้านหนีนะ

ออกทางประตูไม่ได้ เป็นเคล็ด

ทีนี้เศรษฐีมีเพื่อนอยู่โกสัมพีชื่อโฆสกเศรษฐี

แต่เขาเป็นเพื่อนแบบยังไม่เคยเห็นกันนะ

เคยแต่ได้ยินชื่อเสียงของกันและกัน

จากพวกพ่อค้าที่ไปทำมาค้าขายสองเมืองนี้

ได้ยินชื่อเสียงกัน ก็จะฝากของกำนัลไปผูกมิตรกัน

เขาเรียกว่า อทิฏฐบุพพสหาย

เศรษฐีก็พาลูกเมียหนีไปหาโฆสก ระหว่างทางเสบียงหมด

อดอาหาร อิดโรยมาก เลยพักศาลาหน้าเมืองก่อน

เพราะสภาพไม่น่าดู ไม่กล้าไปหาโฆสก

แต่ก็รู้ว่าโฆสกมีโรงทาน

ตอนเช้าเลยให้สามาไปรับข้าวจากโรงทาน สามาก็อายมาก”

“ก็ลูกเศรษฐี” ดังฝันเอ่ยขึ้น “ต้องอายเป็นธรรมดา”

ต้นเทียนเล่าต่อ “แต่ก็ไปนะ คนตักข้าวชื่อมิตตกุฎุมพี

ถามว่าเอาเท่าไหร่ ก็บอกเอา ๓ ส่วน

ก็เอากลับมาให้พ่อกับแม่ พ่อกินก่อน

คืนนั้นอาหารไม่ย่อย ก็ตาย”

“โหย ตายกันง่ายๆ ยังเงี้ยะ” การะเกดว่า

“เออ ใช่ วันที่สองแม่ก็ตายด้วย” ต้นเทียนต่อ

การะเกดสั่นหัว “สงสัยไม่กล้ากินข้าวโรงทานนี้มั้ง”

ดังฝันหัวเราะ “ไม่ใช่ คนอื่นเขาแย่งกันกินจะตายไป

ไม่มีใครตาย มีแต่สองคนนี้แหละ”

“พอวันที่ ๓ สามาขอแค่ส่วนเดียว ทีนี้โดนเลย มิตต-

กุฎุมพีจำได้ ด่าเลย จงฉิบหายเถอะหญิงถ่อย”

ต้นเทียนทำเลียนเสียง “เจ้าเพิ่งรู้ประมาณท้องวันนี้รึ

วันก่อนเอา ๓ ส่วน เมื่อวานเอา ๒ ส่วน

วันนี้เอาส่วนเดียว”

“สามาเสียเซ้วเลย” ดังฝันหัวเราะ การะเกดหันมาถามว่า

อะไร

“คือ เสียความมั่นใจในตัวเองไง” ดังฝันแปลคำสแลง

ต้นเทียนจึงว่า “ใช่ ไม่เชื่อเอียตัวเองเลยว่าจะถูกด่า”

“เอียคือ หู น่ะรู้มั้ย” ดังฝันถามการะเกด

“เออ รู้แล้ว อันนี้รู้” การะเกดหัวเราะ

“สามายังถามไปอีกว่า ท่านว่าอะไรนะ เลยโดนด่ารอบสอง

เหมือนเดิมทั้งคำพูดและอารมณ์” ดังฝันเล่า

ต้นเทียนเล่าต่อ “สามาเลยเล่าเรื่องพ่อแม่ตายให้ฟัง

เลยเข้าใจกัน แถมมิตตกุฎุมพีรับไปเป็นลูกสาวเลย

คราวนี้ก็ไปช่วยงานโรงทาน เห็นคนเบียดเสียดแย่งกัน

สามาเลยบอกพ่อใหม่ว่า ให้ล้อมโรงทาน ให้มีประตู ๒ ด้าน

ด้านหนึ่งเข้าด้านหนึ่งออก ให้เข้าออกเป็นแถวเรียงหนึ่ง

พอทำอย่างนี้ก็ไม่ชุลมุน สามาเลยได้ชื่อว่า สามาวดี

เพราะเป็นคนล้อมรั้วโรงทาน วดีแปลว่ารั้ว

ฝ่ายโฆสกเศรษฐีเจ้าของโรงทาน เอ๊

ทำไมเสียงในโรงทานเงียบไป ไม่ดังอื้ออึงเหมือนปกติ

ก็แปลกใจ ตามไปดู พอรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

ก็เลยรับสามาวดีเป็นลูกสาว”

“วันหนึ่งไปอาบน้ำที่ท่าน้ำกับบริวาร”

ดังฝันเริ่มเล่าแทนต้นเทียน “ต้องผ่านพระลานหลวง

พระเจ้าอุเทนเห็นเข้าแล้วปิ๊งเลย

ส่งเมล์ไปหาโฆสกว่าให้ส่งลูกสาวมาให้ฉัน

แต่เศรษฐีไม่ยอมให้ กลัวลูกสาวลำบาก อยู่กับเจ้ากับนาย

ทำอะไรพลาดพลั้ง อาจตายได้

พระราชาส่งเมล์ไปอีก ๒ ครั้ง ไม่ได้ กริ้วมาก

สั่งจับเศรษฐีกับเมียออกนอกบ้าน แล้วปิดประตูบ้านเลย

สามาวดีกลับจากอาบน้ำ เข้าบ้านไม่ได้ ถามพ่อ พ่อบอกว่า

พระราชาต้องการเจ้า พ่อไม่ให้

แต่สามาวดีบอกว่า ถ้าพระราชาประสงค์ก็ต้องถวาย

เพราะเห็นว่าฝืนไปจะมีแต่โทษ

เลยเข้าวัง ได้รับตำแหน่งอัครมเหสี

ก็เลยเป็นพระนางสามาวดี







ศิริมาลย์ ส่งเสียงเจื้อยแจ้วทักทายมาแต่ไกล

“ทำอะไรกันจ๊ะ สาว สาว สาว”

“พรุ่งนี้จะไปตั้งโรงทานที่สนามหลวง วันวิสาขบูชา

มาก็ดีแล้ว มาช่วยกัน” การะเกดต้อนรับ

ศิริมาลย์เข้าร่วมวงด้วยทันที การะเกดบอกว่า

เพื่อนสองคนกำลังเล่าเรื่องสามาวดีให้เธอฟัง

ศิริมาลย์ร้องว่า

“ถ้าอย่างนั้น ต้องรู้เรื่องนางมาคันทิยาประกอบด้วย

ถึงจะสนุก”

“เออ เล่าซี เหนื่อยแล้วพักก่อน” ต้นเทียนเห็นดี

ศิริมาลย์จึงเล่าเรื่องมาคันทิยา





“นางมาคันทิยาเป็นคนสวยมากกกก... ใครๆก็มาขอ

แต่พ่อไม่ให้ บอกว่ายังไม่เหมาะกับลูกสาว

เช้าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลก

เห็นพราหมณ์พ่อของมาคันทิยาในข่ายพระญาณ

ทราบว่าวันนี้ถ้าหากพระพุทธเจ้าไปโปรด

พราหมณ์กับเมียจะได้เป็นอนาคามี

พระพุทธเจ้าเลยเสด็จไปโปรด

พอพราหมณ์เห็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ

บอกยกลูกสาวให้เลย แล้วบอกพระพุทธเจ้าให้รอ

แกจะไปตามลูกสาวมา ก็รีบไปบอกเมีย

แต่งตัวลูกสาวให้ดีแล้วพามา

พระพุทธเจ้าทรงเหยียบรอยพระบาทไว้

แล้วเสด็จไปประทับที่อื่น

ปกติรอยพระบาทที่พระพุทธเจ้าอธิษฐานไว้นี่

หากทรงพระประสงค์ให้ใครเห็น คนนั้นก็จะเห็นนะ

รอยพระบาทจะไม่ลบไปด้วย ไม่ว่าจะลมพัด

ฝนตกหรือช้างเหยียบก็ตาม

ทีนี้พราหมณ์ก็เที่ยวตามหาพระพุทธเจ้า

ฝ่ายเมียมาดูรอยพระบาทแล้วว่า

นี่ไม่ใช่รอยเท้าของผู้ข้องในกามารมณ์”

“รอยเท้าเป็นยังไง” การะเกดถาม

ดังฝันตอบว่า “คนเจ้าราคะ รอยเท้าเว้ากลาง คนเจ้าโทสะ

รอยเท้าหนักส้น คนเจ้าโมหะ หนักปลายนิ้วเท้า

รอยเท้าเช่นนี้เป็นรอยเท้าของคนไม่มีกิเลส”

“ใช่” ศิริมาลย์ต่อ “เมียก็บอกพราหมณ์ แต่พราหมณ์ไม่ฟัง

เดินหาพระพุทธเจ้าจนพบ

พระพุทธเจ้าก็เล่าประวัติของท่านตั้งแต่มีความสุขมายังไงจนเสด็จออกผนวช

ถูกนางตัณหา ราคา อรดี ๓ คน

ลูกสาวแสนสวยของพญามารมายั่วยวน แต่พระองค์ไม่สน พระทัย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า พราหมณ์เอย เราไม่ได้พึงพอใจ

เพราะได้เห็นนางตัณหา ราคา อรดี

แล้วจะมาพอใจลูกสาวท่านทำไม

นางเป็นผู้เต็มไปด้วยมูตรและกรีส ( ปัสสาวะ อุจจาระ)

เราไม่ปรารถนาจะแตะต้องธิดาของท่านแม้ด้วยเท้า”

“โหย โกรธแย่ซี” การะเกดคราง

“ใช่ ผูกอาฆาตเลยล่ะ

นางมาคันทิยาผูกเจ็บพระพุทธเจ้าว่าจะแก้แค้นเลยทีเดียว

แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม

จนพราหมณ์กับเมียได้บรรลุเป็นพระอนาคามี

ทั้งสองคนเลยพาลูกสาวไปฝากอาชื่อ จูฬมาคันทิยา

ฝากแล้วก็ออกบวช ไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์”

“แหม ดีจังเลย” การะเกดชื่นชม

“ของเรายังอีกไกล” ดังฝันว่า

ต้นเทียนพยักหน้า “ก็เลยรีบนั่งทำบุญทำทานอยู่นี่ไง”

การะเกดถามว่า

“แล้วทำไมถึงต้องมีเรื่องนางมาคันทิยามาเกี่ยวด้วยล่ะ

เล่าเรื่องสามาวดีแท้ๆ”

“เกี่ยวมากเลยล่ะ” ดังฝันว่า

ต้นเทียนจึงเล่าว่า

“อาของมาคันทิยา เป็นปุโรหิตของพระเจ้าอุเทน

พอหลานมาอยู่ด้วย เลยทูลเกล้าถวายเลย

พระเจ้าอุเทนทรงให้เป็นอัครมเหสีอีกองค์หนึ่ง

โปรดปรานมากเลย”

ศิริมาลย์บอกว่า “นี่แหละเป็นโอกาสของนางมาคันทิยา

พอได้เป็นมเหสีมีบริวาร ให้บริวารไปยืนด่าพระพุทธเจ้า

ตอนที่ทรงบิณฑบาต ด่าจนพระอานนท์ทนไม่ไหว

ชวนพระพุทธเจ้าหนีไปเมืองอื่น แต่พระพุทธเจ้าไม่ไป

ตรัสว่าไปแล้ว เกิดมีคนด่าอีกทำยังไง

พระอานนท์บอกว่าก็หนีอีก

พระพุทธเจ้าทรงว่าจะหนีไปเรื่อยได้ยังไง ทรงสอนว่า

เราจะอดทนต่อถ้อยคำล่วงเกินของผู้อื่นดังช้างศึกในสงครามอดทนต่อลูกศร

ซึ่งมาจากทิศทั้ง ๔ เพราะคนส่วนมากเป็นคนชั่ว

คนเราย่อมจะนำสัตว์ที่ฝึกจนเชื่องแล้วออกไปยังที่ชุมนุมชน

สัตว์ที่ฝึกแล้วประเสริฐฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น

คนที่ฝึกให้อดทนต่อคำล่วงเกินของคนอื่นได้

จัดว่าประเสริฐที่สุด”

“ประทับใจจริงๆ” การะเกดรำพึงขึ้นมา

“แต่ฝึกยากนา” ดังฝันว่า “เรายังอดทนไม่ค่อยไหวหรอก

เวลาใครมาว่าอะไร”

ศิริมาลย์เล่าต่อ

“พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องทั้งหลายจะสงบลงภายใน ๗ วัน

พระอานนท์ไม่ต้องวิตก

ทีนี้พอพระพุทธเจ้าทรงไม่หวั่นไหว

นางมาคันทิยาเห็นว่าการจ้างด่าไม่ได้ผล คิดว่า

พระนางสามาวดีเป็นผู้เลื่อมใสพระพุทธเจ้า ถ้ากำจัดนางไป

พระพุทธเจ้าก็คงจะออกไปจากกรุงโกสัมพีเอง

เลยหาเรื่องใส่ร้ายเลยล่ะ ก็บอกให้อาไปเอาไก่เป็นมา ๘

ตัว ไก่ตายมา ๘ ตัว

มาถวายพระราชาตอนที่เสวยน้ำจัณฑ์อยู่ในห้อง

มหาดเล็กทูลว่าปุโรหิตมาคันทิยานำไก่มาถวาย ๘ ตัว”

“อ้าว ไม่ใช่ ๑๖ เหรอ” การะเกดท้วง

“เขาหลอกไง” ดังฝันว่า ศิริมาลย์พยักหน้าเล่าต่อไปว่า



“พระราชาบอกว่า เออ ดี แกงแกล้มเหล้า

ให้ใครแกงดีล่ะ

พระนางมาคันทิยาก็บอกว่าไปให้พระนางสามาวดีแกงสิ

วันๆว่างไม่เห็นทำอะไร

พระราชาเลยสั่งให้พระนางสามาวดีแกง

ทีนี้พระนางมาคันทิยาก็ติดสินบนมหาดเล็กให้เอาไก่เป็น ๘

ตัวไปให้

ไปถึงพระะนางสามาวดี บอกไม่แกงหรอก ไก่เป็น

เราไม่ฆ่าสัตว์

มหาดเล็กกลับมากราบทูลพระราชา

พระนางมาคันทิยาแกล้งพูดว่า

อย่างนั้นลองสั่งให้แกงไปถวายพระพุทธเจ้าสิ

ดูซิจะแกงมั้ย พระราชาก็ทรงสั่งไป

คราวนี้มหาดเล็กเอาไก่ตาย ๘ ตัวไปส่ง

พระนางสามาวดีเห็นว่าไก่ตายแล้ว

และพระราชารับสั่งให้แกงถวายพระพุทธเจ้าด้วย

ก็รีบแกงเลย”

“เสร็จขาโจ๋ โดนใส่ความว่ามีใจกับพระพุทธเจ้า”

ดังฝันว่า ศิริมาลย์บอก

“แต่พระราชาเฉยๆ นะ เลยยังไม่มีเรื่องอะไร

ทีนี้ก็เอาใหม่

ให้อาเอางูถอนเขี้ยวพิษออกแล้วใส่ในรางพิณ

เอาดอกไม้อุดเสีย ๒-๓ วัน

ปกติพระราชาเสด็จประทับที่ปราสาทของมเหสี ๓ องค์

องค์ละ ๗ วัน มเหสีอีกองค์ชื่อวาสุลทัตตา

เป็นธิดาพระเจ้าจัณฑปัชโชต เมืองอุชเชนี

แต่องค์นี้ไม่มีปัญหาอะไรกับพระนางสามาวดี

คราวนี้พอถึงวันที่พระราชาจะเสด็จปราสาทของพระนางสามาวดี

พระนางมาคันทิยาบอกว่า ฝันร้าย อย่าเสด็จเลย เป็นห่วง

แต่พระราชาไม่เชื่อ เสด็จไป ก็เลยตามไปด้วย

พระราชาเอาพิณไปด้วย ไปวางไว้ที่หิ้งเหนือพระเศียร

แล้วเข้าบรรทม พระนางมาคันทิยาไปเอาดอกไม้ออก

งูก็ออกมาจากรางพิณสิ

คราวนี้พระราชาเชื่อสนิทว่า พระนางสามาวดีคิดร้าย

เลยจะฆ่าเสีย พระราชาโก่งธนูจะยิงพระนางสามาวดี

พระนางสามาวดีก็แผ่เมตตาไปยังพระราชา พระนางมาคันทิยา

แล้วก็ตัวเองด้วย ให้เมตตาทุกคนเท่าๆ กับตัวเอง

อย่าได้มีความโกรธเลย

ด้วยอำนาจของเมตตา ลูกศรแล่นไปถึงพระนางสามาวดี

แล้วเลี้ยวกลับมาจ่อที่อกของพระราชาครู่หนึ่ง

แล้วก็ตกลงพื้น”

“ตอนนี้ถ้าวาดเป็นการ์ตูนแล้วสนุกดี” ดังฝันหัวเราะ

“พระราชาคิดว่า ขนาดลูกศรไม่มีจิตใจ

ยังรู้คุณของพระนางสามาวดี เราเป็นผู้มีจิตใจ

ทำไมไม่รู้คุณนาง จึงทิ้งคันธนูแล้วนั่งลงไหว้

ขอให้เป็นที่พึ่ง

พระนางสามาวดี บอกว่า อย่ามาพึ่งหม่อมฉันเลย

หม่อมฉันถือผู้ใดเป็นที่พึ่ง

ขอพระองค์จงถือผู้นั้นเป็นที่พึ่งด้วย

ผู้นั้นคือพระพุทธเจ้า



พระราชาเลื่อมใส

จึงอาราธนาพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์มาเสวยที่วัง

และให้พระนางสามาวดีขอพร พระนางขอพรว่า

ขอให้นิมนต์พระพุทธเจ้ามาเสวยที่วังเสมอๆ

พระราชาก็ทูลอาราธนา แต่พระพุทธเจ้าปฏิเสธบอกว่า

ธรรมดาพระพุทธเจ้าไม่ควรเสวยที่เดียวประจำ

เพราะประชาชนย่อมต้องการให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังบ้านของเขาบ้าง

จึงทรงมอบหมายให้พระอานนท์ทำหน้าที่แทน

พระนางสามาวดีเลยได้ถวายทาน และฟังธรรมเสมอๆ”

“เรื่องร้ายกลายเป็นดี” การะเกดสบายใจ ดังฝันหัวเราะ

ทำให้การะเกดสงสัยว่าหัวเราะอะไร ต้นเทียนจึงบอกว่า

“มันดีไม่ตลอดน่ะซี พระนางมาคันทิยายิ่งแค้นใหญ่

คราวนี้ สั่งให้อาไปเผาปราสาทพระนางสามาวดีซะเลย”

“โอย ตาย ทำไมใจร้ายจัง” การะเกดคราง

“เรื่องธรรมดาของคนไม่มีศีลธรรม” ศิริมาลย์อธิบาย

ต้นเทียน เล่าต่อว่า

“ปุโรหิตเอาผ้าชุบน้ำมันพันเสาปราสาท

พระนางสามาวดีถามว่าทำอะไร เขาตอบว่า

พระราชาสั่งให้ทำเพื่อให้ปราสาทมั่นคง

ขอพระนางเสด็จประทับในห้องเถิด

ตอนนั้นพระราชาเสด็จไปทรงกีฬา

พวกนางกับบริวารเข้าห้อง ปุโรหิตก็ล็อกห้องจากข้างนอก

ขังไว้เลย แล้วจุดไฟเผาปราสาท

พระนางรู้ว่าจะถูกเผาทั้งเป็นแล้ว ก็บอกบริวารว่า

เมื่อพวกเราท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏอันยาวนานนี้

เคยถูกไฟเผามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

แม้พุทธญาณก็กำหนดได้ยาก พวกเราจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด

ทุกคนกำหนดเวทนากรรมฐาน คือ

พิจารณาความทุกข์ใจที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง

บางพวกก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน

บางพวกก็บรรลุเป็นพระสกทาคามี บางพวกก็เป็นพระอนาคามี

แล้วก็ตายกันหมดเลย”

“น่าสงสารจัง” การะเกดพึมพำ

“แต่ก็ได้บรรลุธรรมดีๆ ความตายครั้งนี้ไม่มีความหมาย

เท่าไหร่ ไม่ได้ตายด้วยจิตใจทุรนทุรายแบบปุถุชน”

ศิริมาลย์บอกการะเกด

“แล้วทำไมต้องตายอย่างนี้ก็ไม่รู้ ทรมาน”

การะเกดยังสงสารอยู่ ต้นเทียนเล่าว่า

“เพราะชาติก่อน

พระนางสามาวดีกับบริวารเกิดในเมืองพาราณสี

บำรุงดูแลพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ ๘

องค์ในวังพระเจ้าพรหมทัต

วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ องค์ ไปป่าหิมพานต์

แต่อีกองค์หนึ่งนั่งเข้าฌานอยู่ในกอหญ้าริมแม่น้ำ

พระราชาพาพระนางสามาวดีชาตินั้น

กับบริวารไปเล่นน้ำทั้งวัน ขึ้นจากน้ำมาก็หนาวสิ

เลยไปจุดไฟจะผิงไฟกัน เห็นกอหญ้าก็จุดไฟล้อม

พอหญ้ายุบลงไปเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งเข้าฌานอยู่

ก็ตกใจ บอกว่า แย่แล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าถูกไฟคลอก

เดี๋ยวพระราชาจะลงโทษพวกเรา พวกเราต้องเผาท่านให้หมด”

“อ้าว” การะเกดร้อง “แทนที่จะช่วยออกมา”

“เออ นั่นซี คิดผิด” ดังฝันตอบ

ต้นเทียนเล่าต่อ

“ก็เผาจนคิดว่าท่านไหม้หมดแล้ว เลยกลับไป แต่ไม่ตายหรอก

พอวันที่ ๗ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ลุกขึ้นเดินเฉย

เพราะธรรมดามีอยู่ว่า ถ้าท่านอยู่ในสมาบัติ ต่อให้เอาฟืน

๖๐๐ เล่มเกวียนมาเผา ยังทำให้ร่างกายท่านอุ่นขึ้นมิได้”

“แหม บุญจริง อภิญญานี่วิเศษ” การะเกดยิ้มออก







“ส่วนพวกสาวๆ” ดังฝันสรุป “ตกนรกหมกไหม้หลายพันปี

พอเหลือเศษกรรมนิดหน่อยก็มาเกิดเป็นคน

ถูกไฟคลอกตายหลายร้อยชาติ”



“พระนางสามาวดีตาย แล้วพระเจ้าอุเทนว่าไงล่ะ”

การะเกดย้อนกลับไปถามเรื่องเดิม

“ตอนนี้สิสนุก” ดังฝันเล่า “พระราชาฉลาดนา

ทรงรู้ว่าถ้าถามคาดโทษละก็ ใครจะยอมรับจริงมั้ย

เลยแกล้งชมว่า ใครนะมาฆ่าสามาวดีให้

เรางี้ลำบากใจจะตายอยู่แล้ว

ต้องคอยระแวงว่านางจะลอบทำร้ายเราหรือเปล่า

อย่างที่เคยเอางูมาจะให้กัดเรา

เรานั่งนอนระแวงไม่เป็นสุขเลย

คนที่เผาปราสาทนางต้องรู้ว่าเราทุกข์ใจแน่ จึงได้ช่วยเรา

ฆ่านางแทนเรา คนคนนี้จะต้องรักเรามากๆเลย

พระนางมาคันทิยาหลงกล เลยรีบทูลว่า

หม่อมฉันเองเพคะเป็นคนสั่งให้อาทำ

ใครเล่าจะรักพระองค์เท่าหม่อมฉัน”

“เอ๋ย ให้มันได้ยังงี้ซีคนเรา” การะเกดว่า

ดังฝันเล่าต่อ “พระราชายังบอกอีกว่า จะให้รางวัลทุกคนเลย

รวมทั้งญาติๆด้วย

พอพระนางพาญาติมาก็พระราชทานข้าวของเยอะแยะ”

ต้นเทียนต่อด้วยเสียงหัวเราะ

“คราวนี้ญาติเยอะเลย บางคนไม่ใช่ญาติ ก็มาสมัครเป็นญาติ”

“จะบ้าเหรอ” การะเกดคราง

เพื่อนอีกสามคนจึงหัวเราะขำการะเกด ดังฝันเล่าว่า

“พระราชาให้จับคนพวกนี้มัดไว้ ขุดหลุมลึกเท่าสะดือ

แล้วให้ยืนในหลุม

เอาดินใส่เอาฟางกลบปากหลุมแล้วจุดไฟเผาทั้งเป็น

พอไหม้ไปได้หน่อยก็เอารถไถมาไถเป็นท่อนๆไปเลย”

การะเกดถามว่า “รวมทั้งนางมาคันทิยาด้วยหรือ”

ดังฝันบอกว่า “คนนี้ต่างหาก ตอนแรกขุดหลุมฝังเหมือนกัน

แต่ให้เชือดเนื้อไปทอดในกระทะแล้วบังคับให้กินเนื้อตัวเอง

จนตายไปอย่างอนาถน่าสังเวช”

“โอย โหดเหมือนกันนะ ไม่ดี ไม่ดี” การะเกดส่ายหน้า

ห่อไหล่ ทำอาการขนลุกขนพอง

“ก็คนสมัยก่อน เขาทำโทษกันรุนแรงอย่างนี้แหละ”

ต้นเทียนว่า

“ถ้าไม่อยากโดนทำโทษก็ต้องทำดี มีจิตใจดี ก็จะสบาย”

ศิริมาลย์สรุป แล้วถามว่า

“เอ้า เล่ากันจบแล้ว มีรางวัลมั่งมั้ยเนี่ย หิวแล้ว

ลืมไปว่ายังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย มาถึงก็ลุย”

ดังฝันแกล้งส่ายหน้า “ไม่มีหรอก

ถือศีลอดข้าวเย็นนี่ได้บุญนา ไม่รู้หรือไง”

ศิริมาลย์หัวเราะ “รู้อยู่ แต่ก่อนจะได้บุญ

สงสัยจะได้เป็นลมน่ะซี เอ๊ะ นี่ไม่สงสารคนหิวข้าว

เดี๋ยวไม่ได้บุญเหมือนกันนะจะบอกให้ รีบทำบุญกับเราเร็วๆ

มีอะไรกิน บอกมาซะดีๆ”

ต้นเทียนชี้ไปที่กองเห็ด

“มีบุญให้กิน นี่ไง อิ่มบุญน่ะ เคยได้ยินมั้ย”

ศิริมาลย์ส่ายหัวดิก “มันยังกินไม่ล่าย”

การะเกดพยักพเยิดไปที่หม้อขนม “โน่น ไปกินโน่น”

ศิริมาลย์หันไปดู “อาราย”

ต้นเทียนบอกว่า “สาคูไม่แห้ง”

ศิริมาลย์มองงงๆ แล้วถามว่า “อาราย สาคูไม่แห้ง”

ดังฝันตอบว่า “ก็สาคูเปียกไง อร่อยนา”





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พันธุลเสนาบดี





ลิลลี่เก็บเศษถ้วยชาใบสวยที่ตกแตกมารวมกันไว้แล้วนั่งมอง

กำลังคิดว่าจะเอากาวมาติดกลับเข้าไปใหม่ดีมั้ย

ถึงแม้จะใช้ไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังเอาไว้ดูได้

“ดูทำไม” สุลาลีวัลย์ถาม

“คิดถึง อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากอังกฤษโน่น

ใช่ว่าจะได้ไปบ่อยๆ ซะเมื่อไหร่” ลิลลี่เสียงเศร้า

“ดูแล้วมันจะไม่เห็นความชื่นใจ ดูทีไรจะคิดถึงแต่วันนี้

วันที่มันแตก เห็นแต่ความเสียดาย”

ลิลลี่ยังเงียบอยู่

“ของแตกไปแล้ว ก็ให้ผ่านเลยไป อย่าดูของ ให้ดูจิตตัวเอง

เห็นจิตมั้ย เห็นความเสียดายมั้ย ดูที่จิต

ดูที่อาการเสียดาย ไม่ใช่ดูเรื่องที่เสียดาย

เดี๋ยวก็ดีเอง ปฏิบัติธรรมซะ ของมันแตกกันได้

เรื่องธรรมดา”

สุลาลีวัลย์พยายามแนะนำ ลิลลี่ยิ้มแหยๆ

“เดี๋ยวเล่านิทานให้ฟัง”

สุลาลีวัลย์เปลี่ยนอารมณ์ความสนใจ

“นางมัลลิกานะ เขามีลูกชายตั้ง ๓๒ คน

ตอนกำลังทำบุญเลี้ยงพระอยู่นะ คนรับใช้ทำถ้วยตกแตก

พระสารีบุตรกลัวว่านางจะหวั่นไหว เลยบอกว่า

เป็นธรรมดาที่ของมีการแตกได้

นางมัลลิกาก็เอาจดหมายที่เพิ่งได้รับมาให้พระสารีบุตรดูว่า

แม้ข่าวการตายของสามีและลูกยังไม่อาจทำให้นางเศร้าหมองขณะทำบุญได้เลย

นับประสาอะไรกับถ้วยแก้วจะแตก

นี่เป็นเพราะปฏิบัติธรรมมาอย่างดีโดยตลอดนะ

นางมัลลิกาถึงเป็นอย่างนี้ได้”

ลิลลี่ตั้งใจฟังถามว่า “เรื่องราวเป็นยังไง ทำไมถึงตาย”

สุลาลีวัลย์จึงเล่าตั้งแต่ต้นเรื่องมาว่า

“สามีของมัลลิกาชื่อ พันธุละ

เป็นเจ้าชายรูปหล่อของเมืองกุสินารา

ไปเรียนตักกสิลาตามฟอร์มของเจ้าชายทุกคนแหละ

พอเรียนจบก็กลับบ้านกลับเมือง

กลับมาถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างมโหฬาร

ทีนี้ เขามีธรรมเนียมกันว่า

พอเจ้าชายกลับมาจะต้องแสดงศิลปวิทยาการให้ชมกันหน่อย

พันธุละนี่เก่งฟันดาบกับยิงธนู

พวกญาติก็เลยเอาไม้ไผ่มามัดรวมกัน มัดละหลายๆ ลำ

แล้วก็ยกสูงๆ ให้พันธุละกระโดดขึ้นไปฟัน

พระเอกของเราก็กระโดดขึ้นไป ฟันช้วบ

หักสะบั้นเหมือนฟันต้นกล้วย

รวดเร็วปานหนังจีนกำลังภายในเลย แต่บังเอิ๊ญ

ได้ยินเสียงคลิกในไม้ไผ่ลำสุดท้าย

พอกระโดดลงมาก็ถามไถ่ ได้ความว่าพวกญาติๆ

แอบเอาซี่เหล็กสอดไว้ในไม้ไผ่ เขาก็เสียใจมากเลย

ว่าไม่มีใครหวังดีกับเขา เนี่ย

ถ้ารู้ว่ามีซี่เหล็กสอดอยู่ ก็จะฟันไม่ให้มีเสียงดังเลย

เขาก็เลยกราบทูลพระบิดา พระมารดาว่า

จะฆ่าญาติตายให้หมดเลย แล้วจะขึ้นเป็นกษัตริย์ซะเอง

พระมารดาก็ทัดทานไว้

บอกว่าญาติมีสิทธิ์จะทำอย่างนั้นด้ายยย....”

ลิลลี่ย่นจมูก ไม่ชอบเหมือนกัน สุลาลีวัลย์หัวเราะ

“พันธุละก็เลยไม่อยากอยู่ละเมืองนี้

รู้สึกว่าตัวเองไม่มีเกียรติพอที่จะอยู่ก็จะไปละ

ก็เลยส่งจดหมายไปหาพระเจ้า

ปเสนทิโกศล ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนที่สนิทกัน

ขอไปอยู่ด้วย พระเจ้าปเสนทิก็ดีใจใหญ่

เพราะรู้ว่าเขาเป็นคนเก่ง เชิญมาเป็นเสนาบดีของตัวเองเลย

ต้อนรับกันมโหฬาร”

“เออ ดีๆ” ลิลลี่เชียร์

“ก็เป็นเสนาบดีไปนะ วันหนึ่ง เดินผ่านไปทางศาล

พวกประชาชนขอร้องให้ขึ้นไปว่าความหน่อย

เพราะว่าพวกศาลทั้งหลายกินสินบน ทำให้ตัดสินไม่ยุติธรรม

ท่านก็ไปว่าความให้ ตัดสินคดีออกมา ประชาชนชอบใจใหญ่

พระเจ้าปเสนทิโกศลเลยแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาอีกตำแหน่งหนึ่ง

ปลดพวกเก่าออกหมดเลย”

“ยังงี้อันตรายสิ” ลิลลี่ว่า สุลาลีวัลย์พยักหน้า

“ใช่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

ระหว่างนี้พวกผู้พิพากษาชุดเก่าก็คอยยุแยงกับพวกราชวงศ์ว่า

พันธุละจะคิดแย่งราชสมบัติ ก็กระซิบไปเรื่อยๆ

คือกระโตกกระตากมากไม่ได้ แต่หวังว่ากระซิบไปนานๆ

จะไปถึงพระเจ้าปเสนทิบ้างไง ปล่อยข่าวไปเรื่อยๆ”

ลิลลี่ไม่ชอบใจอีก “เซ็งจัง เป็นยังงี้ทุกที่เลยเนอะ”

สุลาลีวัลย์ยิ้ม ไม่ต่อความเห็น เล่านิทานต่อ



“ฝ่ายพันธุละนี่ไม่มีลูก อยากจะมีลูกสืบสกุล

เลยให้เมียกลับบ้านกุสินารา

ตัวเองจะหาเมียใหม่มาผลิตลูกให้ได้สักคน

นางมัลลิกาก็ไปทูลลาพระพุทธเจ้า ร้องไห้น้ำตานองหน้า

เพราะไม่อยากทิ้งผัวไปหรอก”

“อันนี้ทิ้งไปตามหน้าที่ของผู้หญิงที่ไม่มีลูก”

ลิลลี่เหน็บ

“ก็ไปทูลลาพระพุทธเจ้า

การที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่สาวัตถีบ่อยที่สุด

และนานที่สุดนี่

นางมัลลิการู้สึกว่าเป็นกำไรชีวิตอย่างมาก

จะได้ทำบุญแล้วก็ฟังธรรม แต่ตอนนี้ต้องจากไปแล้ว

พอไปทูลลา พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“อย่าไปเลย อยู่สาวัตถีนี่แหละ

ขอให้บอกท่านพันธุลเสนาบดี ตามคำของตถาคต”

มัลลิกาได้ฟังก็ดีใจ

เหมือนนักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิตแล้ว

ได้รับคำสั่งปล่อย นางก็กลับไปหาสามี

พันธุละคิดว่าพระพุทธเจ้าคงจะทรงเห็นเหตุสำคัญแน่

จึงได้ห้ามไว้อย่างนี้

เขาเชื่อในสัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้า

ว่าพระพุทธเจ้ามีญาณหยั่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเลิศมาก

จึงดีใจไปกับเมียด้วย ต่อมา นางมัลลิกาก็ตั้งท้อง

ออกลูกแฝดมา ๑๖ ครั้ง ได้ลูกมา ๓๒ คน”

“โอ้โห” ลิลลี่หัวเราะ “ยังกะนิยาย”

“อ้าว จริง ทุกคนแข็งแรง เป็นหนุ่มหล่อ เรียนเก่ง

จบไปเป็นผู้ช่วยพ่อหมดทุกคนเลย”

“ชื่นใจ” ลิลลี่ยิ้มแฉ่ง รู้สึกสนุก





“ทีนี้พวกกลุ่มผู้พิพากษาเก่าที่ถูกปลดออกไปคราวโน้น

ยังคงซุบซิบมาจนบัดนี้ แล้วก็เริ่มสมใจ

คือข่าวก็เริ่มไปถึงพระเจ้าปเสนทิ”

“แล้วท่านเชื่อเหรอ น่าจะรู้จักพันธุละดีนา” ลิลลี่แย้ง

“แรกๆ ก็ไม่เชื่อหรอก แต่บ่อยๆ เข้าก็อดเชื่อไม่ได้

เพราะพันธุละก็เป็นคนเก่ง ไม่ได้ครองเมืองของตัว

ก็อาจจะอยากมาครองเมืองคนอื่นก็ได้

อันนี้เรื่องลมปากกับใบหู เป่าบ่อยๆ

หูย่อมร้อนเป็นธรรมดา จริงมะ”

“แล้วเป็นไง” ลิลลี่เริ่มเป็นห่วง

รู้สึกจะอินกับเรื่องมากทีเดียว

“พระเจ้าปเสนทิออกอุบายว่า ในชนบทมีโจรมารังแกชาวบ้าน

ให้พันธุละกับลูกๆ ออกไปปราบ

พอมีข่าวว่าพันธุละออกไปปราบโจรด้วยตัวเอง

พวกโจรก็หลบหนีไป ข่าวออกมาอย่างนั้น

เพราะความจริงมันไม่มีโจรไง

โจรปลอมพวกนี้ก็พระเจ้าปเสนทิส่งออกมา

ไม่ได้ทำร้ายชาวบ้านจริงๆ อะไร

ถูกฆ่าตายทั้งหมดโดยทหารที่พระเจ้าปเสนทิส่งไปซุ่มอยู่

พอข่าวว่าโจรหนีหมด พันธุละก็เดินทางกลับสาวัตถี

“แล้วก็มีข่าวมาถึงเมียอย่างที่บอกว่า

กำลังเลี้ยงพระอยู่ใช่มั้ย น่าสงสารจัง

ลูกตายวันเดียวหมดเลย”

“แต่นางปฏิบัติธรรมมาดีโดยตลอด เห็นความจริงของชีวิต

เกิด แก่ เจ็บ ตาย เลยทำใจให้สงบได้อย่างนี้”

“แล้วพระเจ้าปเสนทิไม่รู้ไปตลอดหรือ”

ลิลลี่สงสัย สุลาลีวัลย์ส่ายหน้า

“ไม่หรอก ตอนหลังก็รู้ความจริงว่าพันธุละถูกใส่ร้าย

ไม่ได้คิดแย่งราชสมบัติอะไรเลย ก็เสียใจมาก

แต่ก็ตายไปแล้ว ไม่รู้จะทำยังไง ตอนหลังเลยยกทีฆการายนะ

ซึ่งเป็นหลานชายของพันธุละขึ้นมาเป็นเสนาบดี

เป็นการตอบแทน”



“แหม น่าเสียดายนะ คนดีๆ ทั้งนั้นเลย”

“พระเจ้าปเสนทิก็รับกรรมไปแหละ ตอนหลังทีฆกา-รายนะ

ก็ยึดอำนาจ เอาเมืองไปยกให้วิฑูฑภะ พระเจ้าปเสนทิ

ต้องเดินทางโดดเดี่ยวไปหาพระเจ้าอชาตศัตรูให้มาช่วยเอาเมืองคืน

แต่ไปถึงมืดเข้าเมืองไม่ได้ก็พักที่ศาลาหน้าเมือง

แล้วก็เลยสิ้นพระชนม์อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายที่ศาลานั่นเอง”

“โอ กรรม” ลิลลี่อุทาน

สุลาลีวัลย์ช่วยเก็บเศษถ้วยชาไปทิ้ง

ลิลลี่นั่งมองตามด้วยสายตาอำลาถ้วยชา บ๊ายบาย

มายดาร์ลิ่ง เฮ้อ ของมันแตกกันได้ ของมันแตกกันได้

มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป ลิลลี่ท่องไว้ในใจ





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิฑูฑภะ





แสงฉานชอบดูหนังจีนกำลังภายในมาก

เวลามาคุยกับล้อมโชคก็จะเล่าเรื่องหนังให้ฟัง

หนังจีนมีคำคมอยู่เรื่อยๆ แสงฉานก็ชอบเอามาพูด

“ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา”

“ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้”

วันนี้มาอีก “บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ”

ล้อมโชคฟังแล้วสนุกไปด้วย เพราะบางเรื่องก็สนุกดี

วันนี้ล้อมโชคบอกว่ามีเรื่องจะเล่าให้แสงฉานฟังมั่ง

เป็นเรื่องในอรรถกถา (คำอธิบายพระไตรปิฎก)

แสงฉานได้ยินคำว่า อรรถ-กถาก็หูผึ่ง

ถามว่าเหมือนคัมภีร์กระบี่หิมะโดดเดี่ยว

หรือคัมภีร์มีดบิน หรือเหมือนพระถังซัมจั๋ง

ล้อมโชคบอกว่าชื่อวิฑูฑภะ แสงฉานก็หงายหลังตึง

“วิฑูฑภะนี่เกิดมาได้หรือได้มาเกิดก็เพราะพระราชาอยากทำบุญ”

ล้อมโชคเล่า แสงฉานหัวเราะหะหะ

“พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นพระราชาของเมืองสาวัตถี

ตอนเช้าเห็นพระสงฆ์เป็นร้อยๆ

รูปเดินไปบ้านเศรษฐีคนนั้นคนนี้เพื่อฉันอาหาร

พระองค์เกิดอยากจะเลี้ยงพระมั่ง เลยไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

ทูลนิมนต์ไปเสวยอาหารในวัง ๗ วัน พอวันที่ ๗

ก็ทูลพระพุทธเจ้าว่า ให้เสด็จทุกวัน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ได้หรอก

เพราะว่าธรรมดาพระพุทธเจ้าย่อมไม่รับอาหารประจำที่เดียว

เพราะประชาชนเป็นจำนวนมากต้องการให้พระพุทธเจ้าไปที่บ้านของตัวเองเหมือนกัน

พระราชาเลยขอให้พระพุทธเจ้าส่งผู้แทนพระองค์ไป

พระพุทธเจ้าจึงให้เป็นหน้าที่ของพระอานนท์

พระราชาเลี้ยงพระเองนะ เลี้ยงอยู่ ๗ วัน พอวันที่ ๘

ก็ลืม”

“อ้าว อดข้าวสิ” แสงฉานโวย

“ใช่ พอพระองค์นึกขึ้นมาได้ ก็เสด็จไปล่ะ

แต่พระก็กลับไปหลายรูปแล้ว วันต่อมาก็เหมือนเดิม ลืมอีก

พระก็กลับไปอีก พอวันที่สามลืมอีก ทีนี้พระกลับหมดเลย

เหลือพระอานนท์รูปเดียวคอยอยู่”

“มีหน้าที่เลยกลับไม่ได้ หิวแย่” สำหรับแสงฉานแล้ว

เรื่องกินเรื่องใหญ่

“พระราชาเห็นพระอานนท์อยู่องค์เดียว น้อยใจ

พอเลี้ยงพระอานนท์เสร็จ ก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

บ่นน้อยใจว่า พระสงฆ์กลับหมด

ไม่เอื้อเฟื้อรักษาศรัทธาของพระองค์เลย”

“อ้าว ไหงงั้นล่ะ” แสงฉานหงุดหงิด

“แต่พระพุทธเจ้าทรงรู้เหตุการณ์แหละ ท่านไม่ได้ว่าอะไร

เพียงแต่ตอบไปว่า พระสงฆ์คงจะไม่คุ้นเคยกับราชสกุล

ถึงได้ทำอย่างนี้ พระราชาคิดอยากให้พระสงฆ์คุ้นเคย

เลยหาอุบายว่า

ถ้าพระองค์ได้เป็นพระญาติกับพระพุทธเจ้าได้

พระสงฆ์คงจะคุ้นเคย เลยส่งสาส์นไปขอเจ้าหญิงจากศากยวงศ์

ซึ่งเป็นวงศ์ของพระพุทธเจ้าที่เมืองกบิลพัสดุ์

ขอมาเป็นมเหสี

ทีนี้ทางเมืองกบิลพัสดุ์ก็ยุ่งละซี

เพราะสมัยนั้นเขาถือตระกูลกัน มีชั้นสูง ชั้นสูงกว่า

อะไรนี่ พวกศากยวงศ์ถือตัว

ว่าตัวเองสกุลสูงกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล

แต่จะไม่ให้ก็กลัว เพราะทางการเมืองนี่

แคว้นโกศลมีอำนาจมากกว่า

แต่จะให้ก็กลัวสกุลของตัวจะไปปนกับเลือดสกุลอื่นที่ต่ำกว่าซะอีก”

“โอย ยุ่งชะมัด” แสงฉานเวียนหัว บ่นว่า “มิยินเรื่อง

มิเวียนหัว”

“ในที่ประชุม มีเจ้าชายองค์หนึ่งชื่อท้าวมหานาม

บอกว่าตัวเองมีลูกสาวคนหนึ่ง ชื่อ วาสภขัตติยา

เกิดจากนางทาส ลูกสาวคนนี้สวยมาก จะยกนางให้ไป

ที่ประชุมก็เห็นชอบ”

“แหม ลำบากจังนะ สงสารผู้หญิง” แสงฉานว่า

“เหมือนในหนังจีนเปี๊ยบเลย ไม่เคยถามผู้หญิงเลย”

“ก็บุญคุณต้องทดแทนไง” ล้อมโชคว่าแล้วเล่าต่อ

“เวลาจะให้ไปนี่

ทางทูตของพระเจ้าปเสนทิโกศลกลัวถูกต้มเหมือนกันนะ

ทางนี้ก็หลอกโดยทำเป็นว่าจัดโต๊ะอาหารแล้วมีธิดาองค์นี้เสวยร่วมโต๊ะกับท้าวมหานามด้วย

แต่พอจะเริ่มเสวยกัน ก็มีทหารวิ่งเข้ามาบอกว่าไฟไหม้วัง

ท้าวมหานามต้องรีบไปบัญชาการดับไฟไง

เลยไม่ได้เริ่มการเสวย”

“สรุปว่าราชทูตถูกต้มสำเร็จ” แสงฉานยิ้มหวาน

“ส่งตัวไปแล้ว ทางพระเจ้าปเสนทิไม่รู้ก็โปรดปราน

ให้บริวารเยอะแยะ ต่อมามีลูกชายคนหนึ่ง

ก็ให้ราชทูตอีกแหละ กลับไปหาพระเจ้ายายขอให้ตั้งชื่อให้

พระเจ้ายายตั้งชื่อให้ว่า วัลลภาซึ่งแปลว่า

เป็นที่โปรดปราน แต่ราชทูตหูตึงได้ยินเป็น วิฑูฑภะ

ไม่รู้แปลว่าอะไร”

แสงฉานหัวเราะขำกลิ้งไป

“พอวิฑูฑภะอายุ ๑๖ ปี จะกลับไปเยี่ยมเมืองกบิล-พัสดุ์

ทางแม่ห้ามแล้วห้ามอีกก็ไม่ยอม จะไปให้ได้

แม่เลยรีบส่งข่าวไปบอกทางกบิลพัสดุ์

เพื่อจะได้ปฏิบัติต่อวิฑูฑภะอย่างเหมาะสม

พอได้ข่าวเท่านั้นแหละ

ทางศากยวงศ์ประชุมกันชุลมุนวุ่นวายเลยทีนี้ ทำไงดี

แม่เป็นลูกนางทาส แต่จะให้รู้ก็ไม่ได้

เลยตกลงกันว่าให้พวกเด็กๆ ที่อายุต่ำกว่า ๑๖ ปี

ให้ออกไปต่างจังหวัดกันหมดเลยจะได้ไม่ต้องไหว้วิฑูฑภะ

เพราะให้ไหว้ไม่ได้”

“โอ้โฮ อะไรจะปานนั้น แค่ไหว้เนี่ยนะก็ไม่ได้”

แสงฉานประท้วง ล้อมโชคหัวเราะ พยักหน้าหงึกหงัก

“พอวิฑูฑภะมาถึง จึงต้องเที่ยวไหว้คนโน้นคนนี้ก่อน

เพราะแก่กว่าหมดเลย นั่น ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา พี่

แต่ไม่มีใครไหว้เขาก่อนเลย ก็เก็บความสงสัยไว้ในใจ

อยู่ได้ ๒-๓ วันก็กลับ

สงสัยอยู่ว่าทำไมการต้อนรับถึงได้เย็นชาเหลือเกิน

ตอนที่กลับไป พอดีมีนายทหารคนหนึ่งลืมดาบไว้

พอวิ่งกลับไปเอา

เห็นพวกทาสขัดถูพื้นกระดานที่วิฑูฑภะนั่ง

แล้วก็บ่นไปพลางว่า นี่กระดานที่ลูกนางทาสนั่ง

แล้วเอาน้ำผสมน้ำนมราด

น้ำผสมน้ำนมนี่เขาถือกันว่าเป็นน้ำล้างเสนียดนะ

ทหารเห็นแล้วเลยเข้าไปถาม รู้เรื่องแล้วก็กลับมา

ทีนี้ก็กระซิบกันให้แซดไปทั่วกองทัพ

วิฑูฑภะรู้เรื่องเข้าก็โกรธมากเลย อาฆาตไว้ว่า เออ

ตอนนี้ล้างกระดานด้วยน้ำปนน้ำนมไปก่อนเถอะ

ได้เป็นใหญ่เมื่อไหร่

จะมาเอาเลือดคอล้างกระดานนั่นอีกที”

“นี่แค้นต้องชำระอย่างนี้” คอหนังจีนกำลังภายในถูกสเปค

ล้อมโชคหัวเราะ

“ตอนนี้พระเจ้าปเสนทิก็รู้เรื่องแล้วล่ะ โกรธมากเลย

ให้ถอดแม่ลูกออกจากยศเลย อีก ๒-๓ วันพระพุทธเจ้าเสด็จมา

ทูลเล่าเรื่องให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าก็ปลอบใจ

มหาบพิตร พวกศากยะทำไม่สมควรเลย

เมื่อจะถวายก็ควรถวายพระราชธิดาที่มีชาติเสมอกันจึงจะควร



แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสอีกว่า

พระนางวาสภขัตติยา เป็นธิดาของขัตติยราช

(คือท้าวมหานาม) เวลาอภิเษกก็อภิเษกในวัง

ส่วนวิฑูฑภะก็ประสูติจากขัตติยราช

(คือพระเจ้าปเสนทิโกศล)

มหาบพิตร ตระกูลฝ่ายมารดาไม่สู้สำคัญ สำคัญที่ฝ่ายบิดา”

คนชอบเห็นใจผู้หญิง ถอนหายใจโล่งอก คนเล่ายิ้ม

“พระเจ้าปเสนทิ เลยคืนยศให้ทั้งแม่ทั้งลูกเลย

อยู่ต่อมาวันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

ก่อนเข้าไปใกล้ก็พักไพร่พลไว้ แล้วเข้าไปตามลำพัง

พวกที่รออยู่ มีคนหนึ่งเป็นเสนาบดี ชื่อฑีฆการายนะ

คนนี้เขาเป็นหลานของพันธุลเสนาบดี

พระเจ้าปเสนทิเคยเข้าใจผิดแล้วฆ่าพันธุลเสนาบดีกับลูกชาย

๓๒ คน

พอตอนหลังเข้าใจแล้วเลยยกหลานขึ้นเป็นเสนาบดีเป็นการแก้ตัว

แต่หลาน.....”

“แค้นต้องชำระ” แสงฉานต่อให้ ล้อมโชคหัวเราะ

“เออ ใช่ เลยได้โอกาส

เอาเครื่องราชกกุธภัณฑ์อันเป็นเครื่องแสดงยศพระราชาให้วิฑูฑภะไป”

“ยึดอำนาจดื้อๆ ว่างั้นเถอะ” แสงฉานช่วยแจง

“ใช่ แล้วก็ยกพลกลับหมด เหลือม้าไว้ให้ ๑ ตัว กับสาวใช้

๑ คน คอยอยู่ พอพระราชากลับออกมา รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

เลยไปเมืองราชคฤห์

จะขอกำลังพระเจ้าอชาตศัตรูมาปราบลูกชาย

แต่ไปถึงหน้าประตูเมืองพอดีค่ำ ประตูปิดแล้ว

ต้องนอนพักที่ศาลานอกเมือง

คืนนั้นเลยตายเพราะความหนาวและความเหนื่อย

เพราะแก่มากแล้ว อายุ ๘๐ แล้ว เท่าพระพุทธเจ้า”

“เออ น่าสงสารเหมือนกัน ตอนเกิดเกิดในวัง

ตอนตายตายที่ศาลา คนเรานี่เอาแน่ไม่ได้เลยนะ เศร้า”

“ทีนี้วิฑูฑภะได้ครองเมืองแล้ว” ล้อมโชคเล่าต่อ

“แค้นต้องชำระ” แสงฉานพูดเสียงเหมือนในหนังจีน

“ใช่ ยกทัพไปกบิลพัสดุ์เลย พระพุทธเจ้ารู้ล่วงหน้าแล้ว

ก็เสด็จไปประทับใต้ต้นไม้ตรงชายแดนระหว่างโกศลกับศากยะ

ท่านประทับใต้ต้นไม้ที่มีใบน้อยที่ขึ้นทางฝั่งศากยะ

ในขณะที่ใกล้ๆ กันนั้นเอง

มีต้นไม้ใหญ่ใบครึ้มร่มรื่นขึ้นอยู่ทางฝั่งโกศล

พระเจ้าวิฑูฑภะยกพลมาถึง เห็นพระพุทธเจ้าก็เข้าไปเฝ้า

ทูลว่า

เหตุใดพระองค์จึงประทับใต้ต้นไม้อันมีใบน้อยในเวลาที่ร้อนปานนี้

ขอพระองค์โปรดไปประทับที่ต้นโน้นซึ่งมีใบร่มครึ้ม

มีเงาเย็นดีทางแดนโกศล

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ถวายพระพร มหาบพิตร ร่มเงาของพระญาติเย็นดี”

พระเจ้าวิฑูฑภะรู้เลยว่าพระพุทธเจ้ามาห้ามทัพ

คิดถึงว่าพระพุทธเจ้าเคยช่วยพูดกับพระบิดา

ทำให้ตัวเองได้รับยศคืนมา ก็เลยยกทัพกลับไป

เป็นอย่างนี้อีก ๒ ครั้ง

พอครั้งที่ ๔ พระพุทธเจ้าทรงเห็นกรรมเก่าของพวกศากยะ

ที่เคยเอายาพิษโปรยลงในแม่น้ำ

ทำให้สัตว์ตายไปเป็นจำนวนมาก กรรมนั้นกำลังมาให้ผล

พระองค์ไม่สามารถต้านทานได้ เลยไม่ได้เสด็จไป”

“สบายละซีทีนี้” แสงฉานว่า

“ใช่ วิฑูฑภะก็ลุยกบิลพัสดุ์ซะเกลี้ยงเลย

เอาเลือดล้างกระดานอย่างที่อาฆาตไว้ แล้วยกทัพกลับ

พอยกทัพมาถึงแม่น้ำอจิรวดี พอดีค่ำ

พวกทหารเลือกนอนกันตามใจ

แม่น้ำเวลาน้ำลงนี่เกิดเป็นหาดทรายเลยนะ

มีพวกหนึ่งนอนหาดริมน้ำ อีกพวกนอนบนฝั่ง พอตกดึก

พวกที่นอนบนฝั่ง แต่ทำกรรมร่วมกันมา ถูกxxxัด

หนีลงไปนอนที่หาด ส่วนพวกนอนหาด บางคนก็ถูกxxxัด

หนีขึ้นมานอนบนฝั่ง คืนนั้นเกิดฝนตกใหญ่

มีน้ำหลากอย่างเร็วมากเลย พัดเอา

วิฑูฑภะกับพวกที่ลงไปนอนริมน้ำ ไปลงทะเลกันหมดเลย”

แสงฉานอ้าปากค้าง “โอ้โฮ

คราวนี้แค้นของใครมาชำระละหว่า”

ล้อมโชคหัวเราะ

“คงเป็นกรรมเก่าเรื่องอื่นตามมาทัน

พอดีผสมกับกรรมที่ไปฆ่าชาวกบิลพัสดุ์เสียมากมาย

ถึงจะเป็นกรรมที่ทำใหม่ๆ แต่อาจมาผสมกับกรรมเก่า

เช็กบิลมาพร้อมกันเลยก็ได้นะ ใครจะไปรู้”

“โอ น่ากลัว น่ากลัว เรื่องกรรมนี่น่ากลัวจริงๆ”

“ท่านสอนว่าให้เราเชื่อเรื่องกรรมให้มาก

จะได้ทำให้เราทำแต่กรรมดี

ถ้าเรามีความเชื่อมั่นในหลักกรรมอย่างมั่นคงแล้ว

เรียกว่าได้เป็นจุลโสดาบัน คือ เป็นโสดาบันน้อยๆ ทีเดียว

เพราะจะทำแต่ความดีเสมอ รู้มั้ยล่ะ”

“อย่างนี้แค้นก็ไม่ต้องชำระดีกว่า

เดี๋ยวเขาตามมาชำระเราอีก” แสงฉานว่า

“ใช่ ถ้าเขามาทำเราแค้น แสดงว่าเขาทำกรรมแล้ว

เดี๋ยวกรรมก็จัดการกับเขาเอง

ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะต้องไปจัดการ

เรามีหน้าที่แค่จัดการกับใจเราอย่าให้ไปแค้นเขา

เพราะเราจะทุกข์เอง ถ้าเราให้อภัยได้

เราเองนั่นแหละที่เป็นคนสบายใจ”





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระเทวทัต





คุณตาพาหลานๆ ไปเที่ยวชายทะเล ตอนเย็นๆ เด็กๆ

ออกไปวิ่งเล่นตามชายหาดกันอย่างสนุกสนาน

คุณตานั่งคอยอยู่ที่เก้าอี้ผ้าใบ พอพวกเด็กๆ

เหนื่อยกันแล้วจึงวิ่งกลับมานั่งแปะลงรอบๆ คุณตา

พลางเล่าให้คุณตาฟังว่า ตรงโขดหินโน้นมีพี่ๆ

เขานั่งวาดรูปทะเลกัน

“หนุงหนิงอยากวาดรูปเป็นมั่งจังค่ะ คุณตา”

หลานสาวตุ้ยนุ้ยหน้าตาน่ารักฉอเลาะ

เด็กชายพะโล้ซึ่งตัวอ้วนกลม ทำท่ากางแขนชูขึ้น

“พะโล้จะวาดรูปปีศาจทะเล”

ดอกรักผลักพะโล้ลงไปนอน “วาดรูปปลาพะยูนดีกว่ามั้ง

จะได้มีตัวอย่างดู”

“เออใช่” ว่าวลอยหัวเราะ “ดูตัวเองไปก็วาดไป”

พะโล้เถียงว่า “ถ้าไม่มีปีศาจ

ก็ไม่มีพระเอกหรอกจริงมั้ย สโนว์ไวท์ไม่มีแม่มด

แล้วใครจะสงสารสโนว์ไวท์ ถ้าไม่มีโจ๊กเกอร์

แล้วแบทแมนจะทำอะไร ตกงานซี ผู้ร้ายทำให้หนังสนุก”

“ใช่” ลูกแก้วเห็นด้วย “ยิ่งพะโล้เป็นผู้ร้าย

ยิ่งสนุกใหญ่เลย”

พะโล้กลิ้งตัวไปทับลูกแก้วไว้ แล้วบอกลูกแก้วว่า

“ลุกไปหาใครมาช่วยซิ”

“คุณตาขา” หนุงหนิงเลิกสนใจ หันมาหาคุณตา

“ในนิทานของคุณตา มีใครเป็นผู้ร้ายมั้ยคะ”

หนุงหนิงหมายถึงนิทานชาดกที่คุณตาเล่าให้ฟังบ่อยๆ

คุณตาตอบว่า

“ก็มีเหมือนกัน ที่โด่งดังคนหนึ่งก็คือ พระเทวทัต”

“คุณตาเล่าซีคะ” หนุงหนิงออดอ้อน คุณตาจึงเล่าว่า

“พระเทวทัตความจริงก็เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้าเป็นพี่ชายของพระนางพิมพา

พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ

หรือพระพุทธเจ้าสมัยที่ยังไม่บวชนั่นเอง

ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์

มีเจ้าชายออกบวชตามท่านเยอะแยะเลย มีแค่ ๖

องค์เท่านั้นที่ไม่ได้ออกบวชตาม คือภัททิยกุมาร อนุรุทธะ

อานันทะ ภคุ กิมพิละ แล้วก็เทวทัต

ใครๆ ก็เลยนินทากันว่า สงสัย ๖

องค์นี้จะไม่ใช่ญาติมั้งถึงได้ไม่บวชน่ะ ตอนหลัง ๖

องค์นี้ก็เลยออกบวชตามไปด้วย

ตอนไปก็มีพี่เลี้ยงคนหนึ่งตามไปด้วย ชื่อ อุบาลี

เจ้าชายทั้ง ๖ องค์

พอเปลี่ยนชุดก็ถอดพวกเครื่องทองเครื่องประดับ

บอกให้อุบาลีนำกลับไปวัง

แต่อุบาลีกลัวจะถูกหาว่าทำร้ายพวกเจ้าชายชิงทรัพย์สินมา

ก็ไม่กล้ากลับวัง เลยเอาของทั้งหมดแขวนไว้บนต้นไม้

แล้วพูดว่า ใครอยากได้ก็จงเอาไป”

“พะโล้อยากได้” พะโล้พูดเสียงอ้วนยานคาง พวกเด็กๆ

พากันหัวเราะพะโล้

“แล้วอุบาลีก็เลยตามไปบวชด้วย เจ้าชายทั้ง ๖

ก็เลยขอพระพุทธเจ้าว่าให้อุบาลีบวชก่อน

เพราะอุบาลีรับใช้มานาน ถ้าบวชก่อน

พวกเจ้าชายจะได้ไหว้อุบาลี”

“ทำไมล่ะคะ คุณตาขา” หนุงหนิงไม่เข้าใจ คุณตาอธิบายว่า

“เพราะพระวินัยบอกว่า คนที่บวชทีหลัง

ต้องไหว้คนที่บวชก่อน แม้จะบวชก่อนเพียงวันเดียวก็ตาม

จะมาถือยศถือศักดิ์ตามสมัยที่ยังไม่บวชน่ะไม่ได้”

“อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ” หนุงหนิงพยักหน้า

คุณตาเล่าเรื่องต่อไปว่า

“เจ้าชาย ๖ องค์นั้น พระภัททิยะ

ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในพรรษานั้นเอง

พระอนุรุทธะได้ตาทิพย์ ต่อมา ได้ฟังมหาปุริสวิตักสูตร

ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน

ส่วนพระภคุและพระกิมพิละเจริญวิปัสสนา

แล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วย

พระอานนท์บรรลุโสดาปัตติผล แต่พระเทวทัตได้ฤทธิ์

ทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ก็ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่”

พะโล้ทำท่าเหาะ ดอกรักจี้เอวให้หัวเราะ

“ต่อมา พระพุทธเจ้าเสด็จไปโกสัมพี ประชาชนก็เลื่อมใสมาก

เอาข้าวของเครื่องใช้มาถวายสักการะ ใครๆ ก็ถามถึงว่า

พระพุทธเจ้าอยู่ไหน พระสารีบุตรอยู่ไหน

ถามถึงทุกองค์นั่นแหละ

ยกเว้นพระเทวทัตไม่มีใครถามถึงเลย”

พะโล้ร่วงลงมานอนหงาย ว่าวลอยปีนขึ้นไปนั่งทับไว้

พะโล้บ่นว่ากระดูกตำท้อง

“พระเทวทัตก็เสียใจมาก อยากจะหาคนมาอุปัฏฐากดูแลตัวเอง

ก็เห็นพระเจ้าอชาตศัตรูยังหนุ่มอยู่

ยังไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ เลยแปลงกายเป็นเด็กน้อย...”

พะโล้ลุกพรวดพราดขึ้นมา

ว่าวลอยหงายหลังหล่นตุ๊บลงมาบนพื้นทราย

พะโล้ทำท่าxxxมดแดง

“เด็กน้อยนี่มีงูพันมือพันเท้าพันคอ งูอีกตัวอยู่บนหัว

อีกตัวพาดบ่า เหาะลงมานั่งบนตักอชาตศัตรู”

ดอกรักโยนผ้าขนหนูผืนใหญ่คลุมตัวพะโล้

แล้วฉุดชายผ้าคนละข้างกับลูกแก้ว

“พออชาตศัตรูกลัว ถามว่าท่านเป็นใคร

พระเทวทัตจึงกลับร่างเป็นภิกษุตามเดิม

บอกอาตมาคือพระเทวทัต”

พะโล้ทิ้งผ้าขนหนู นั่งขัดสมาธิ ทำท่าเคร่งขรึม

“อชาตศัตรูก็ดูแลอุปัฏฐากพระเทวทัต แต่ต่อมา

พระเทวทัตอยากมีอำนาจปกครองคณะสงฆ์

พอคิดว่าจะปกครองคณะสงฆ์เท่านั้นเอง

ฤทธิ์ที่มีอยู่ก็เสื่อมไปหมดเลย”

“เพราะคิดไม่ดีใช่มั้ยคะ คุณตา” หนุงหนิงเดา

“ถูกแล้ว หนุงหนิง ฤทธิ์ไม่อยู่กับคนที่คิดไม่ดี

พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาราชคฤห์ อยู่ที่วัดเวฬุวัน

พระเทวทัตก็ไปเฝ้า กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าทรงแก่มากแล้ว

ขอให้อยู่สบายๆ เถอะ พระเทวทัตจะปกครองสงฆ์เอง

พระพุทธเจ้าไม่ยอม ตรัสว่า

ให้พระเทวทัตทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ก่อนเถอะ

คือให้บำเพ็ญเพียรของตัวเองให้ดี

เพราะพระเทวทัตยังไม่ได้บรรลุอะไร ยังเป็นปุถุชนอยู่เลย

แต่เขาก็ยังอ้อนวอนหลายครั้ง

พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่า

ดูก่อนเทวทัต เธอพอใจติดอยู่ในลาภ ชื่อเสียง

ถูกลาภครอบงำ

ลาภนี่เหมือนน้ำลายที่พระอริยเจ้าทั้งหลายถ่มทิ้งแล้ว

แต่เธอยังติดใจในลาภ สมควรหรือ

พระเทวทัตไม่พอใจมาก

เลยผูกอาฆาตพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก แล้วก็จากไป”

ดอกรักกับว่าวลอยผลักพะโล้ออกไป พลางไล่ชู่ว์ ชู่ว์

พะโล้กลิ้งออกไปไกล จนทรายติดตัวขาวไปหมด

พะโล้ลุกขึ้นสะบัดๆ แล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม

พี่เลี้ยงถือถาดขนมมาวาง เด็กๆ เฮกันใหญ่

แย่งกันกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย หนุงหนิงป้อนคุณตาคำหนึ่ง

คุณตาเล่าต่อไปว่า

“พระเทวทัตก็คอยทำอะไรๆ

ให้พระสงฆ์เสื่อมเสียอยู่เรื่อยๆ

พระพุทธเจ้าจึงประกาศว่า ต่อไปนี้ พระเทวทัตทำอะไร

ไม่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์

ขอให้ประชาชนรับทราบตามนี้”

ดอกแก้วลุกขึ้นยืนประกาศ ชี้มือไปยังพะโล้

แล้วพูดทวนคำพูดของคุณตาจนจบ พะโล้หงายท้องตึง

คุณตารอให้หลานเล่นจบแล้ว ก็เล่าต่อไป

“พระเทวทัตเลยไปยุยงพระเจ้าอชาตศัตรูให้ปลงพระชนม์พระบิดาคือยุให้ฆ่าพ่อซะ

แล้วตัวเองจะฆ่าพระพุทธเจ้าด้วย

พระเจ้าอชาตศัตรูก็ไปฆ่าพ่อ

แล้วตั้งตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์

พระเทวทัตขอคนแม่นธนูจากพระเจ้าอชาตศัตรูมายิงพระพุทธเจ้า

แต่ส่งไปยิงเท่าไหร่ก็ไปเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าหมด

ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันหมดเลย

พระเทวทัตให้คนอื่นฆ่าไม่สำเร็จ ก็เลยจะทำเอง

ขึ้นไปบนภูเขาคิชฌกูฏ แล้วผลักก้อนหินลงมา

ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไป หินก็ค้างอยู่ที่ซอกเขา

มีแค่สะเก็ดเล็กๆ มาโดนพระบาทห้อพระโลหิต แต่หมอชีวก

หมอประจำองค์พระพุทธเจ้าก็รักษาหายวันรุ่งขึ้น”

“โอ้โฮ เก่งจังนะคะคุณตา”

หนุงหนิงผู้ดื่มด่ำกับการฟังร้องชื่นชม ในขณะที่ข้างหลัง

ดอกรักกับว่าวลอยกำลังลงโทษพะโล้แทนพระเทวทัตอยู่อุตลุด

โดยมีลูกแก้วเป็นกรรมการ

“พระเทวทัตขอให้พระเจ้าอชาตศัตรู

ปล่อยช้างนา-ฬาคิรีมาทำร้ายพระพุทธเจ้าอีก

แต่พระพุทธเจ้าแผ่เมตตาออกไป ช้างก็หมอบลง

ไม่ทำร้ายพระพุทธเจ้า

เรื่องต่างๆ พวกนี้ที่พระเทวทัตทำ ใครๆ ก็รู้

ประชาชนก็มองว่าทำไมพระราชาคบคนชั่ว

พระเจ้าอชาตศัตรูชักกลัวบัลลังก์ไม่มั่นคง

เพราะประชาชนจะไม่รักพระองค์ เลยเลิกคบกับพระเทวทัต”



พะโล้โดนไล่อีก ชู่ว์ ชู่ว์ แต่คราวนี้พะโล้ไม่หนีไป

นั่งลงเฉยๆ

“พระเทวทัต ไม่มีใครดูแลแล้ว ประชาชนก็ไม่ใส่บาตร

เลยไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลขอ ๕ เรื่อง คือ

๑. ขอให้ภิกษุงดฉันเนื้อและปลาตลอดชีวิต ฉันแต่ผัก

๒. ขอให้ภิกษุอยู่ป่าตลอดชีวิต

๓. ขอให้ภิกษุถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ไม่รับผ้าที่มีคน

เขาถวาย”

“ผ้าบังสุกุลคืออะไรคะคุณตา” หนุงหนิงสงสัย

“คือผ้าที่เขาพันห่อศพตามป่าช้า

พระต้องไปเอามาแล้วมาย้อมทำจีวร

สมัยก่อนเขาทำกันอย่างนั้นนะหลาน

ไม่ใช่ผ้าใหม่อย่างสมัยนี้”

“น่ากลัวนะคะคุณตา” หนุงหนิงทำท่ากลัวแล้วกอดอกอยู่

ตั้งใจฟังต่อไป

“ข้อ ๔. ขอให้ภิกษุฉันเฉพาะอาหารที่บิณฑบาตมาได้

ไม่ฉันอาหารที่มีผู้ถวาย

๕. ขอให้ภิกษุอยู่โคนไม้ ไม่เข้าที่ที่มีอะไรบังให้

ที่เขาขออย่างนี้ก็เพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองเป็นคนเคร่งครัด

แต่พระพุทธเจ้าไม่ให้ตามที่ขอ

ทรงตรัสว่าใครอยากทำข้อไหน อย่างไรก็ทำเถิด

แต่จะให้ออกเป็นกฎนี่พระพุทธเจ้าไม่ทำ พระเทวทัตได้ที

จึงบอกพวกภิกษุบวชใหม่ที่ยังไม่รู้อะไรมาก

ให้ตามตัวเองไป ภิกษุเหล่านั้นก็ตามไป

พอได้บริวาร พระเทวทัตก็พาไปบิณฑบาต

ในใจก็คิดจะทำให้สงฆ์แตกแยกกัน”

“ทำไมคิดแต่อะไรร้ายๆ เรื่อย” ดอกรักบ่น เขกหัวพะโล้

พะโล้ทำหน้าเศร้าตอบว่า “ไม่รู้”

“พระพุทธเจ้าทรงเตือนพระเทวทัตว่า

การทำให้สงฆ์แตกแยกเป็นบาปหนักมาก

แต่พระเทวทัตก็ไม่เชื่อ วันหนึ่งก็มาบอกกับพระอานนท์ว่า

ตั้งแต่วันนี้ไป จะทำอุโบสถสังฆ-กรรมต่างหาก

คือไม่รวมกับพระพุทธเจ้าแล้ว

พระพุทธเจ้าทรงทราบก็ทรงสังเวช ทรงวิตกว่า

พระเทวทัตทำกรรมอันเป็นเหตุให้ตกนรกเสียแล้ว

กรรมอย่างนี้เป็นความย่อยยับของสัตว์โลก

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า



กรรมที่ไม่ดี ไม่เป็นประโยชน์ ทำได้ง่าย

กรรมที่ดี ที่เป็นประโยชน์ ทำได้ยาก

กรรมดี คนดีทำง่าย คนชั่วทำได้ยาก

กรรมชั่ว คนชั่วทำได้ง่าย แต่พระอริยเจ้าไม่ทำเลย”

“แล้วพระเทวทัตตกนรกเลยหรือเปล่าครับ คุณตา” พะโล้ถาม

ดอกแก้วหัวเราะ

“ไม่หรอก” คุณตาตอบ พะโล้หน้าชื่นขึ้นนิดหนึ่ง

“ตอนนี้ยัง อีกเดี๋ยว” พะโล้หน้าหุบลงอีก

“พระเทวทัตพาพระบวชใหม่กลุ่มนั้นไปตำบลคยาสีสะ แคว้นมคธ

พระพุทธเจ้าทรงเป็นห่วงพระใหม่

เลยให้พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะไปตามกลับมา

พระเทวทัตเห็นพระสารีบุตรมา นึกว่าตามมาอยู่กับตัว

ก็เลยนอนเล่นเย็นใจอยู่

ปล่อยให้พระสารีบุตรเทศน์พระใหม่ไป

จนพระสารีบุตรพาพระใหม่กลับไปหมดแล้วก็ยังไม่รู้”

“อ้าว” ลูกแก้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก “อะไร”

“สาวกคนสนิทของพระเทวทัตก็เข้าไปบอก นี่ รู้หรือเปล่า

พระไปหมดแล้ว สาวกคนนั้นโมโหมาก

เลยเอาเข่ากระแทกหน้าอกพระเทวทัตจนกระอักเลือด”

“อ๊ากกก...” ดอกรักจัดการพะโล้จนหงายหลัง

พะโล้นอนยอมรับโทษแต่โดยดี ลูกแก้วเอามือกดหัวไว้

“ตอนนั้นพระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปสาวัตถีแล้ว

ไปประทับอยู่ที่วัดเชตวัน

ฝ่ายพระเทวทัตโดนอัด เลยป่วย เสียใจมากด้วยเลยนอนซมไป ๙

เดือน ระหว่างที่นอนป่วยไป ก็คิดทบทวนความหลังไป

เริ่มรู้สึกสำนึกผิดต่อพระพุทธเจ้า”

“สำนึกหรือยัง” ว่าวลอยบีบจมูกพะโล้ พะโล้พยักหน้าหงึกๆ

พอหายใจไม่ออกมากเข้า ก็กวาดมือออกไป

ปัดเด็กทั้งสามคนกระเด็นไปคนละทาง

แล้วพะโล้ก็หายใจเฮือกใหญ่ๆ

“พระเทวทัตก็ขอให้ลูกศิษย์หามไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

ก็ไม่มีใครยอมไป บอกว่าคนผูกเวรกับพระพุทธเจ้านี้

เราพาไปไม่ได้

พระเทวทัตก็อ้อนวอนบอกว่า เราผูกเวรในพระพุทธเจ้า

แต่พระพุทธเจ้าไม่มีเวรต่อเราเลยแม้แต่ปลายผม

จงพาเราไปเฝ้าเถอะ ก็เลยพากันหามไปทั้งเตียงเลย

เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า”

เด็กสามคนเข้าไปหามพะโล้ พะโล้ชอบใจ

“พวกพระที่รู้ข่าวก็กราบทูลพระพุทธเจ้า

ว่าเทวทัตเดินทางมา พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ในชาตินี้เทวทัตจะไม่ได้เห็นเราอีกเลย”

“ทำไมล่ะคะ คุณตาขา” หนุงหนิงจอมสงสัยดักถาม

“เพราะคนที่ขอพระพุทธเจ้า ๕ ประการแล้ว

จะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าอีกเลย อันนี้เป็นเรื่องปกติ

เหมือนฝนตกต้องเปียกอย่างนั้นแหละ ถ้าใครขอ ๕ อย่าง

แบบพระเทวทัตก็จะไม่ได้พบพระพุทธเจ้าอีก”

“แต่พระเทวทัตกำลังมา” ลูกแก้วติง

“ใช่ ใครๆ ก็รู้สึกอย่างนั้น เลยเกิดโกลาหลเล็กๆ

เพราะว่าคนอยากรู้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสบอก

เลยมีการส่งข่าวกันเป็นระยะๆ ว่า

พระเทวทัตมาถึงอำเภอนี้แล้ว มาถึงตำบลนี้แล้ว

บอกกันทุกระยะเลย แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยันอย่างเดิม

จนจะมาถึงวัดอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าก็ยังตรัสว่า

แม้เทวทัตจะเข้ามาภายในวัดเชตวันแล้ว

ก็จะไม่ได้เห็นเรา”

“โอ้โฮ ไม่รู้จะสงสารดีมั้ยเนี่ย” ลูกแก้วลูบหัวพะโล้

“พวกสาวกก็พาพระเทวทัตมา วางเตียงลงริมสระโบกขรณี

แล้วก็พากันลงไปอาบน้ำในสระ

พระเทวทัตลุกขึ้นจากที่นอน นั่งห้อยเท้าลงบนพื้นดิน

เท้าทั้งสองก็ค่อยๆ จมลงไปในดิน ถึงข้อเท้า ถึงเข่า

ถึงเอว....”

พะโล้อ้าปากค้าง ดอกรักลุ้นคุณตาเล่า

“ถึงนม ถึงคอ พอเวลาที่กระดูกคางจรดพื้น

พระเทว-ทัตก็พูดว่า

“พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงเป็นผู้เลิศ

เป็นเทพยิ่งกว่าเทพทั้งหลาย เป็นผู้ชำนาญการฝึกคน

ทรงมีพระจักษุรอบด้าน ทรงมีพระลักษณะอันสำเร็จมาจากบุญ

ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่าเป็นที่พึ่ง

ขอถวายกระดูกคาง และลมหายใจครั้งสุดท้าย

เป็นเครื่องสักการะแด่พระองค์”

แล้วพระเทวทัตก็จมดินไปเกิดในนรก ถูกไฟนรกไหม้อยู่

เคลื่อนไหวไม่ได้

เพราะทำร้ายพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ไม่หวั่นไหว

ทุกข์ทรมานอยู่ในนรกนานแสนนาน”

พะโล้เป็นลม แล้วลุกขึ้นมาบอกว่า

“พะโล้ไม่เป็นพระเทวทัตแล้ว พะโล้เป็นคนดีดีกว่า”

“พระพุทธเจ้าทรงยอมให้พระเทวทัตบวชตั้งแต่แรก

ก็เพราะทรงเห็นว่า

ตอนจบนี่พระเทวทัตจะขอถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

ถ้าไม่ได้บวชเลย จะทำกรรมหนักกว่านี้

แม้จะทำกรรมหนักก็จริง แต่ก็ยังมีบุญอยู่บ้าง

ต้องอีกแสนกัปข้างหน้า พระเทวทัตถึงจะได้ไปบำเพ็ญบุญต่อ

จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า อัฏฐิสสระ”

“พระปัจเจกพุทธเจ้าคืออะไรคะ คุณตาขา” หนุงหนิงส่งคำถาม

“พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คือผู้ที่ตรัสรู้เอง

เป็นพระอรหันต์ แต่ไม่ได้ตั้งศาสนา ไม่ได้สั่งสอนใครๆ

แบบพระพุทธเจ้าของเราน่ะจ้ะ”



“ตอนนี้พระเทวทัตก็จมดินไปเรียบร้อยแล้ว” ลูกแก้วว่า

คุณตาหันไปบอกว่า

“ไม่ใช่ชาตินี้เท่านั้นนะที่เทวทัตถูกแผ่นดินสูบ

ชาติก่อนก็เคยถูกแผ่นดินสูบมาแล้วเหมือนกัน”

“เหรอคะ คุณตา โอ๊ย ทำไมถูกสูบบ่อยจัง”

คุณตาหัวเราะ “สมัยหนึ่ง

พระเทวทัตเคยเป็นนายพรานหลงป่ามา

สมัยนั้นพระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นช้าง

ช้างเจอนายพรานหลงป่า ก็ยกขึ้นหลังตัวเอง

แล้วพาเดินไปส่งที่ปลอดภัย

แต่ตอนหลังนายพรานกลับมาตัดงาช้าง ตั้ง ๓ ครั้งแน่ะ

เลยถูกแผ่นดินสูบ”

“ม่ายไหว” พะโล้ส่ายหน้า ถอนใจเฮือกๆ





“ตอนพระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบไป พวกชาวเมืองก็โห่ร้องดีใจ

ยกธง พูดกันว่า ดีแล้วที่พระเทวทัตตายไป

พวกภิกษุเลยไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า

ไม่ใช่เพียงเวลานี้เท่านั้น แม้ในสมัยก่อนเมื่อเทวทัตตาย

ชาวเมืองก็ชอบใจร่าเริงเหมือนกัน”

“สมัยไหนอีกละครับคุณตา ลูกแก้วจะงงแล้วเนี่ย”

“สมัยหนึ่ง เทวทัตเคยเกิดเป็นเจ้าเมืองพาราณสี

ชื่อพระเจ้าปิงคละ เป็นเจ้าเมืองที่ดุร้าย พอสวรรคต

ผู้คนก็เลยดีใจ แต่มีนายประตูเมืองคนหนึ่งร้องไห้

เมื่อถามว่าเขารักเจ้าเมืองหรือ เขาก็ตอบว่า

พระราชาใจร้าย ข้าพเจ้าไม่ได้รัก

แต่ที่ร้องไห้เพราะกลัวว่า

เดี๋ยวไปเบียดเบียนพญามัจจุราช พญามัจจุราชรำคาญ

จะพากลับมาส่งอีก ข้าพเจ้ากลัวเลยร้องไห้”

“โอ้ย จะเป็นลม อย่างนี้ก็มีด้วย” ว่าวลอยหัวเราะ

พวกเด็กๆ พากันหัวเราะตามไปหมด

“เอ้า จบแล้ว จะมืดแล้ว ไปเข้าบ้านอาบน้ำ

กินข้าวกันเถอะหลาน”

“คุณตาจะเล่านิทานอีกเมื่อไหร่คะ” หนุงหนิงจะจองคิว

คุณตาหัวเราะเบาๆ

“เอาเถอะ มีโอกาสแล้วจะเล่าให้ฟังนะหลาน”





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระอานนท์





พอแดดร่มลมตก

คุณตาก็เดินลงมานั่งที่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ที่ลานหน้าบ้าน

หนุงหนิงหลานสาวตัวเล็กอ้วนกลมเดินตามมาติดๆ

พร้อมกับว่าวลอย หนุงหนิงถามคุณตาว่า

“วันนี้คุณตาจะเล่านิทานมั้ยคะ”

พอคุณตาพยักหน้า

ว่าวลอยก็วิ่งเตลิดไปเหมือนมดดําที่เพิ่งเจอน้ำตาลก้อนใหญ่

ใครไม่เคยเห็นต้องไปคอยสังเกตดูนะ

มดมันดีใจแล้วแสดงอาการดีใจเหมือนคนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเลย

และก็เหมือนว่าวลอยตอนนี้ ว่าวลอยวิ่งไปร้องไป

“กะจ็องง็อง กะจ็องง็อง คุณตาจะเล่านิทานแล้ว

อยู่ไหนกัน มาเร็วๆ กะจ็องง็อง กะจ็องง็อง”

คุณตานั่งหัวเราะ หนุงหนิงนั่งจองที่ใกล้ๆ คุณตา

ไม่นานเด็กๆ ก็พากันวิ่งมา นั่งแปะลงข้างหน้าคุณตา

ถามกันเซ็งแซ่ว่าวันนี้คุณตาจะเล่าเรื่องอะไร

“จะเล่าเรื่องพระอานนท์” คุณตาตอบอย่างอารมณ์ดี

“พระอานนท์หนายคะ” หนุงหนิงถาม

“พระอานนท์เป็นพระญาติผู้น้องของพระพุทธเจ้า

เป็นเลขาส่วนตัวของพระพุทธเจ้าด้วย

เป็นคนที่จําอะไรแม่นมาก พระพุทธเจ้าเทศน์ใครที่ไหน

เทศน์ว่ายังไงพระอานนท์จําได้หมด”

“ไม่เหมือนพะโล้เลย พะโล้จําอะไรไม่ค่อยได้”

ว่าวลอยผลักเพื่อนเบาๆ อย่างหยอกล้อ พะโล้หัวเราะแหะ แหะ

“ใครจําเรื่องพระเทวทัตที่เล่าให้ฟังวันก่อนได้มั่ง”

คุณตาถาม เด็กๆ พากันยกมือ ยกเว้นพะโล้

“มีตอนที่พระเทวทัตขอให้พระเจ้าอชาตศัตรูปล่อยช้างมาทําร้ายพระพุทธเจ้า

ช้างชื่อนาฬาคิรี เขาทํายังไงกับช้าง

มอมเหล้าช้างใช่มั้ย ตามธรรมดาถ้าเขาจะมอมเหล้าช้าง

เขาจะให้มันกินเหล้า ๘ หม้อ นี่พระเทวทัตให้กินเหล้า ๑๖

หม้อเลย เป็นไงล่ะ ช้างก็เมามากซีใช่มั้ย พะโล้”

พะโล้พาพุงอ้วนๆ ลุกขึ้น ทําท่าช้างเมา

ดอกรักลุกขึ้นไปปล้ำกับช้างเมา

“แล้วไม่มีใครไปบอกพระพุทธเจ้าหรือคะ คุณตาขา”

หนุงหนิงถามคุณตา

“มีข่าวออกไปตั้งแต่กลางคืนนั้นแล้วล่ะจ้ะ หนุงหนิง

ใครๆ ก็พากันเป็นห่วง และห้ามพระพุทธเจ้า

ไม่อยากให้เสด็จออกบิณฑบาตตอนเช้า

แต่พระพุทธเจ้านิ่งเฉยเสีย พอเช้าก็เสด็จออกไปบิณฑบาต

ชาวบ้านก็มาตามดูกันนะ ปีนรั้วปีนกําแพง

ปีนต้นไม้ดูกันใหญ่ พอเห็นช้างมา เอ้า ช้างมานี่”

คุณตาเรียกพะโล้ บอกให้ดอกรักกอดเอวพะโล้ไว้ทางข้างหลัง

เป็นขาหลังของช้าง ช้างพะโล้ดอกรักก็เดินมา

หัวส่ายไปมาทําท่าเมามาก พอเซแซดๆ

ไปดอกรักก็เลยหลุดมือล้มลง คุณตาร้อง

“เอ้า ขาหลังหลุดไปแล้ว มาต่อใหม่”

ดอกรักเข้าไปกอดพะโล้อีก

คุณตาให้ว่าวลอยเป็นพระอานนท์ยืนขวางทางช้างอยู่

และให้ลูกแก้วยืนข้างหลังเป็นพระพุทธเจ้า พลางเล่าว่า

“พอช้างมาถึง พระอานนท์ก็ยืนออกหน้าขวางไว้

ยอมตายแทนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าห้าม ๓ ครั้ง

ก็ไม่ยอมเชื่อ พอช้างใกล้เข้ามา

พระพุทธเจ้าจึงบันดาลด้วยฤทธิ์

ให้พระอานนท์ไปอยู่ข้างหลังพระพุทธเจ้า”

“เอ้า ว่าวลอยวิ่งไปอยู่ข้างหลังลูกแก้วสิ” หนุงหนิง

กํากับ คุณตาบรรยายต่อ

“พระพุทธเจ้าทรงแผ่พระเมตตาไปให้ช้างนาฬาคิรี”

ลูกแก้วยื่นมือออกไป ทําท่าแผ่เมตตา

“ช้างที่เมาๆ อยู่ ก็หมอบลง ไม่ได้ทําร้ายพระพุทธเจ้า

เอ้า ช้างหมอบ”

พะโล้ลงนอน มีดอกรักกองอยู่บนตัว

“พระพุทธเจ้าทรงให้โอวาทช้างว่า

ชาตินี้เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะบาปกรรมที่เคยทํามา

ชาตินี้อย่าได้ทําบาปกรรมอะไรอีกเลย ช้างก็เชื่องลง

ต่อมาก็กลายเป็นช้างมีศีล”

พะโล้ไล่ดอกรักให้ลุกออกไป แล้วลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ

“ทําไมพระอานนท์ไม่กลัวตายคะ คุณตา” หนุงหนิงถาม

คุณตาลูบหัวหลานสาว

“เพราะพระอานนท์ท่านรักพระพุทธเจ้ามาก

ยอมตายแทนพระพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้นะ ชาติก่อน

พระอานนท์ก็เคยจะตายแทนพระพุทธเจ้าเหมือนกัน”



“คุณตาเล่าเรื่องชาติก่อนสิครับ”

พะโล้พูดด้วยเสียงอ้วนๆ

“ชาติก่อน ท่านเกิดเป็นหงส์กัน มีบริวารมาก

อาศัยอยู่ที่ถ้ำบนภูเขาคิชฌกูฏ พระพุทธเจ้าเกิดเป็น

พญาหงส์ชื่อธตรฐ ส่วนพระอานนท์เป็นหงส์ชื่อสุมุข

พวกหงส์นี่เขาไม่ค่อยมาแถวถิ่นที่มีคนอยู่

เพราะมีอันตราย มีนายพรานจะคอยจับนกรู้มั้ย”

พะโล้ล็อกคอว่าวลอย

“วันหนึ่ง บริวาร 2-3 ตัวก็แอบไปที่สระบัวหลวงชื่อว่า

สระมานุสิยะ อยู่ใกล้ๆ เมืองสาตละ ในแคว้นมหัสกะ

เป็นสระที่อาหารอุดมสมบูรณ์มาก

เป็นสระที่สวยงามกว้างใหญ่ มีนกมาหากินเยอะแยะไปหมด

ทีนี้พอบริวารไปมาหนหนึ่งแล้ว

พากันมาอ้อนวอนพญาหงส์ขอให้พาพรรคพวกไปอีก

พญาหงส์ห้ามแล้วห้ามอีก บริวารก็อ้อนวอนอยู่นั่นเอง

เลยต้องพาไป”

ดอกรักลุกขึ้นกางแขนบินไปบินมา

“พอร่อนลงเท่านั้นแหละ พญาหงส์ก็ติดบ่วงนายพราน”

ดอกรักรีบนั่งลงเลย ตอนนี้ไม่เอา ไม่ชอบ

“พญาหงส์ก็ดิ้นจะดึงบ่วงให้ขาด เลยดึงขาแรงๆ

ครั้งแรกหนังถลอก ครั้งที่ ๒ เนื้อขาด ครั้งที่ ๓

เอ็นขาด ครั้งที่ ๔ บ่วงกินลึกถึงกระดูก เลือดไหลมาก

เจ็บสาหัส”

หนุงหนิงลุกขึ้นมากอดคุณตาไว้ นั่งแปะลงที่ตักคุณตา

เด็กๆนั่งกันเงียบ

“พญาหงส์คิดว่า ถ้าตัวเองร้องขึ้นว่าติดบ่วง ติดบ่วง

พวกลูกน้องบริวารก็จะรีบบินหนีกันใหญ่

แต่ทีนี้ยังกินกันไม่อิ่ม ไม่มีแรงบินถึงถ้ำ

คงจะไปตกทะเลตายกลางทาง พญาหงส์จึงยังไม่ร้อง

พอกะว่าลูกน้องกินอิ่มเรียบร้อยแล้วก็เลยร้องขึ้น

พวกลูกน้องก็รีบบินหนีไปหมดเลย”

“อ้าว แล้วไม่มีใครช่วยพญาหงส์เลยหรือคะ คุณตา”

หนุงหนิงต่อว่า

“ไม่มีหรอก ไปหมดเลย สุมุขก็ไปด้วย”

“อ้าว” พะโล้ร้อง “ไหนว่ารักกัน”

“สุมุขไม่รู้” คุณตาตอบ “แต่พอบินไปๆ สงสัย เอ๊ะ

ใครนะที่ติดบ่วง บินวนหาพญาหงส์ก็ไม่เจอ

เลยบินกลับไปที่สระอีก เจอพญาหงส์ติดบ่วงอยู่

เลยเข้าไปยืนใกล้ๆ แล้วปลอบว่าอย่ากลัวเลย

ตัวเองจะสละชีวิตแทนถ้านายพรานมา”

พะโล้ลูบหัวดอกรัก ตบเบาๆ ดอกรักสะอื้นฮักๆ

“พญาหงส์บอกว่า ขอให้สุมุขไปเถอะ จะมาอยู่ทําไม

เราติดบ่วงอยู่อย่างนี้ ความเป็นเพื่อนจะมีประโยชน์อะไร

สุมุขบอกว่า จะอยู่หรือไป ก็ต้องตายอยู่ดี

จริงมั้ยหลานๆ เกิดมาแล้วก็ต้องตายอยู่ดี

เมื่อท่านมีความสุข ข้าพเจ้าอยู่ใกล้ๆ

เมื่อท่านมีความทุกข์ ข้าพเจ้าจะจากไปได้ยังไง

การตายพร้อมกับท่านย่อมดีกว่าการอยู่โดยไม่มีท่าน”

ดอกรักลุกขึ้นนั่งตักพะโล้ พะโล้กอดดอกรักไว้กลม

ว่าวลอยลุกขึ้นไปนั่งทับอีกคน แต่พะโล้เอาปลายนิ้วเขี่ยๆ

ว่าวลอยออกไป ดอกรักส่งเสียงชู่ว์ ชู่ว์ เบาๆ

กระดิกปลายนิ้วไล่

“พญาหงส์บอกว่า ตัวเราจะมีอะไร นอกจากเข้าโรงครัว

ท่านมาตายกับเรามีประโยชน์อะไร

มองไม่เห็นประโยชน์ที่จะมาสละชีวิตอย่างนี้

สุมุขบอกว่า เราคิดถึงความภักดีในท่าน

จึงไม่เสียดายชีวิต ธรรมดาเพื่อนกัน ถ้าเป็นผู้มีธรรมะ

ไม่ควรทอดทิ้งกันยามทุกข์ แม้จะต้องตายก็ตาม

พญาหงส์ตอบว่า ท่านมีธรรมะดีแล้ว

ข้าพเจ้าเห็นความภักดีของท่านแล้ว

เราขอร้องให้ไปเสียเถอะ ช่วยดูแลบริวารด้วย

ทีนี้นายพรานก็มา เห็นหงส์ตัวหนึ่งติดบ่วง

อีกตัวหนึ่งไม่ติดบ่วง ทําไมมายืนอยู่ด้วยกัน

ไม่บินหนีไปจึงถามสุมุข”

“คนกับนกพูดกันรู้เรื่องเหรอคะ คุณตา” หนุงหนิงถาม

คุณตาหัวเราะเบาๆ

“ในนิทานก็ต้องพูดกันได้สิหลาน”

“ไม่เคยดูการ์ตูนรึไง” ลูกแก้วถาม หนุงหนิงไม่ตอบ

“สุมุขก็บอกว่า พญาหงส์เป็นนาย ทิ้งไปไม่ได้

นายพรานบอกว่า ทําไมเป็นถึงพญาหงส์ น่าจะฉลาด

มาติดบ่วงได้ยังไง สุมุขตอบว่า เวลาที่เคราะห์กรรมมาถึง

ก็ทําให้ไม่เห็นบ่วง แล้วอ้อนวอนนายพรานว่า

ขอให้ปล่อยไปทั้งสองตัว

เพราะฆ่าไปก็กินได้แค่มื้อสองมื้อ

หรือถ้าขายก็ได้เงินนิดเดียว แต่ถ้าปล่อยไปจะได้บุญมาก”

“แล้วเขาปล่อยมั้ยครับคุณตา” ลูกแก้วถาม

“เขาอยากปล่อยอยู่แล้วล่ะ เขาชอบสุมุข แต่แกล้งลองใจ

บอกว่าตัวเองไม่ได้ติดบ่วงก็บินไปเสียซิ แต่สุมุขไม่ไป

บอกถ้าพญาหงส์ตาย ก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่เหมือนกัน

ถ้านายพรานต้องการหงส์ตัวเดียว ให้เอาตัวเราแทน

แล้วปล่อยพญาหงส์ไป

นายพรานชมสุมุขว่า เพื่อนอย่างนี้หายาก

แล้วก็ปล่อยพญาหงส์ไป

แต่สุมุขก็ดีนะ ยังเป็นห่วงนายพรานว่าไม่ได้อะไรเลย

อดขายอดกินเนื้อหงส์ เลยขอให้นายพรานพาไปเฝ้าพระราชา

พระราชาทรงทราบเรื่องแล้วก็พระราชทานเงินทองให้นายพรานพอเลี้ยงตัวไปตลอดชีวิต”

“โอ้โห สบายไปเลย” ว่าวลอยตบมือ

หนุงหนิงวิ่งไปเอาน้ำมาให้คุณตา พร้อมกับขนมมาแจกทุกคน

พลางรบเร้า “คุณตาเล่าอีกค่ะ”

คุณตาจึงเล่าเรื่องพระอานนท์อีก



“พระอานนท์ได้รับอาราธนาให้ไปสอนธรรมแก่มเหสี

และพระสนมของพระเจ้าปเสนทิโกศล

วันหนึ่งพระราชาก็ถวายผ้าเนื้อดีราคา ๑,๐๐๐ กหาปณะ

ถวายให้พระอานนท์ ๑,๐๐๐ ผืน

ต่อมาพระราชาก็พระราชทานผ้าเนื้อดีแก่มเหสี

ราชเทวีทั้งหลาย องค์ละ ๕๐๐ ผืนด้วย”

ดอกรักเป็นลม “ทําไมเยอะนักล่ะครับคุณตา

พระมเหสีจะเอาไปทําอะไรตั้งเยอะแยะ”

“เอาไปนุ่งซียะ ถามได้” หนุงหนิงค้อนให้

“อย่าขัด อย่าขัด” ลูกแก้วโวยเบาๆ

คุณตาเล่าต่อไป

“พระเทวีเหล่านั้น ฟังธรรมพระอานนท์แล้วเลื่อมใส

ถวายผ้าให้พระอานนท์หมดเลย”

“พะโล้จะเอาไปขายร้านป้ามาลัย คงได้หลายตังค์”

พะโล้เอานิ้วเคาะคาง

“พวกราชเทวีทั้งหลาย เวลาไปเฝ้าพระราชา สวมผ้าเก่าไป

พระราชาถามว่า ทําไมให้ผ้าใหม่แล้วไม่ใช้

ก็ทูลว่าถวายพระอานนท์ไปหมดแล้ว

พระราชาพิโรธ รู้จักมั้ย คุณตาถาม เด็กๆ พากันพยักหน้า

ว่าวลอยตอบ “แปลว่าโกรธ ผมดูในละครทีวี”

คุณตายิ้ม พยักหน้า

“พระราชาก็เลยไปหาพระอานนท์

ถามว่าพวกผู้หญิงเขายังเรียนธรรมอยู่หรือ

พระอานนท์ตอบว่า ยังเรียนอยู่ พระราชาถามว่า

เรียนอย่างเดียวหรือถวายผ้าด้วย ท่านตอบว่า ถวายผ้าด้วย

วันนี้ถวายมา ๕๐๐ ผืน

ท่านรับไว้หมดหรือ

รับไว้ทั้งหมด มหาบพิตร”

คุณตาทําเสียง ๒ เสียง เสียงหนึ่งเป็นเสียงพระราชา

อีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงพระอานนท์

“พระพุทธเจ้าบัญญัติให้ภิกษุใช้ผ้า ๓

ผืนเท่านั้นไม่ใช่หรือ ?

ถูกแล้วมหาบพิตร แต่ไม่ทรงห้ามการรับ

อาตมารับไว้เพื่อภิกษุอื่นที่จีวรเก่าแล้ว

ภิกษุเอาจีวรเก่าไปทําอะไร ?

เอาไปทําผ้าปูนั่ง มหาบพิตร

ผ้าปูนั่งเก่าเอาไปทําอะไร ?

ทําผ้าเช็ดเท้า มหาบพิตร

ผ้าเช็ดเท้าเก่าเอาไปทําอะไร ?

เอามีดสับผ้าเช็ดเท้าเก่าแล้วเคล้ากับดินเหนียว

ฉาบผนังที่อยู่ มหาบพิตร

ของที่ถวายไม่ได้สูญเปล่าเลยหรือ ?

ไม่สูญเปล่าเลย มหาบพิตร ของที่ถวายด้วยศรัทธา

ภิกษุจะทําเสียหายไม่ได้

ต้องทําให้เป็นประโยชน์ถึงที่สุด”

“โอ้โห จริงๆ หรือคะคุณตา” หนุงหนิงถาม แล้วกินขนมต่อ

“เสื้อผมยังไม่เก่า” พะโล้จับเสื้อดูไปมา

“แล้วพระอานนท์ทํายังไงอีกครับ” ดอกรักอยากฟังต่อ

“พระราชาชอบใจคําตอบพระอานนท์เลยถวายผ้ามาอีก ๕๐๐ ผืน

๕๐๐ ผืน ชุดแรกที่พวกมเหสีให้มา

พระอานนท์ก็แจกให้พระที่จีวรเก่าแล้วทั้งหมด ส่วนผ้า ๕๐๐

ผืนที่พระราชาถวาย

พระอานนท์ให้กับลูกศิษย์ที่คอยอุปัฏฐากดูแลท่านอยู่องค์เดียวเลย”

“อุปัฏฐากยังไงคะ” หนุงหนิงถาม

“ก็คือดูแลน้ำฉันน้ำใช้ ถวายไม้สีฟัน น้ำล้างหน้า

ดูแลห้องน้ำห้องส้วม จุดไฟดับไฟให้ ทําความสะอาดกุฏิให้

นวดมือนวดเท้าให้ ทําหมดแหละจ้ะ” คุณตาอธิบาย

“ภิกษุองค์นั้นก็เอาไปแจกเพื่อนๆ จนหมดเลยเหมือนกัน

เพราะเขาเป็นคนใจดี มีน้ำใจ แต่ภิกษุเพื่อนๆ

พอรับผ้าไปแล้ว เอาไปทําจีวร

เสร็จแล้วห่มไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลถามว่า

ภิกษุเป็นโสดาบันแล้ว

ยังให้เพราะเห็นแก่หน้าใครสักคนอยู่หรือ”

“พระอานนท์เป็นโสดาบันหรือครับ” พะโล้ถาม

“ใช่ พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ทําไมถึงถามกันอย่างนี้

พวกภิกษุทูลว่า

พระอานนท์ให้ผ้าทั้งหxxxับภิกษุรูปเดียวแทนที่จะแจกจ่ายให้ทุกคน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ที่พระอานนท์ทําอย่างนั้น

เพื่อเป็นการยกย่องในความที่ลูกศิษย์คนนี้มีอุปการะคอยช่วยเหลือเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งของคนที่เป็นอาจารย์”

พวกเด็กๆ เริ่มเปลี่ยนองศาจาก ๙๐ องศา เป็น ๑๘๐ องศา

คือ ค่อยทอดกายลงกอดก่ายกัน ขนมอร่อยทําให้เพลิน ตาปรือ

คุณตาเอ่ยว่า

“เรื่องการรู้จักสํานึกในอุปการะของคนอื่นและให้การตอบแทนนี่เป็นสิ่งที่ดี

หลานๆควรจะทําตามนะ ใครมีบุญคุณกับเรา

เราต้องตอบแทนจึงจะเป็นคนกตัญญู มีนิทานเล่าว่า...”





ประโยคสุดท้ายของคุณตาดึงหนังตาที่เริ่มหย่อนให้ตึงขึ้น

ทุกคนลุกขึ้นนั่งใหม่ ยกเว้นพะโล้

“มีราชสีห์ตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในถ้ำบนภูเขา

วันหนึ่งก็มองลงไปที่สระใหญ่ข้างล่าง

เห็นมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยเล็มหญ้าอยู่

มีเนื้อตัวหนึ่งด้วย

ราชสีห์เห็นเนื้อแล้วอยากกิน

เลยวิ่งกระโจนลงจากภูเขาอย่างเร็วทีเดียว

เนื้อก็วิ่งหนีไปเต็มที่เหมือนกัน ก็หนีได้

แต่ราชสีห์วิ่งมาเร็ว เบรกไม่อยู่ เลยตกลงไปในเลน

แล้วขึ้นไม่ได้ ยืนอยู่อย่างนั้นอดอาหารไป ๗ วัน”

ดอกรักลุกขึ้นพลิกตัวพะโล้ที่นอนหงายอยู่ให้นอนคว่ำ

ว่าวลอยขึ้นไปนั่งบนหลังพะโล้ บอกว่า “นี่แน่ะราชสีห์

ลุกขึ้นไม่ได้แล้ว” พะโล้ไม่ว่าอะไร

“ตอนนั้นมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งผ่านมา

เห็นราชสีห์ก็ต๊กกะใจ” คุณตาทําท่าตกใจ

หนุงหนิงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ

ดอกรักทําท่าตกใจใส่พะโล้

“ราชสีห์ก็ขอให้สุนัขจิ้งจอกช่วย

สุนัขจิ้งจอกบอกว่าถ้าช่วยแล้ว สงสัยถูกจับกินแหง ไม่เอา

ไม่ช่วย ราชสีห์ก็รับรองว่าไม่กินหรอก จะตอบแทนบุญคุณ

ช่วยเราด้วยเถิด”

ดอกรักยื่นหน้าเข้าไปชิดหน้าพะโล้ พะโล้ทําหน้าเศร้าๆ

ร้องว่าช่วยด้วย

“สุนัขจิ้งจอกเลยคุ้ยเลนรอบๆ ขาราชสีห์

ขุดน้ำให้ไหลเข้ามา พอเลนเหลว มุดเข้าไปใต้ท้องราชสีห์

ดันท้องให้ราชสีห์ตะกายขึ้นจากเลน”

ดอกรักกับว่าวลอย ช่วยกันเอาหัวดันท้องพะโล้

แต่ยกไม่ขึ้น

“ราชสีห์วิ่งขึ้นจากเลนไปได้ แล้วลงสระล้างโคลน อาบน้ำ

พอสบายแล้วก็ไปจับควายได้ตัวหนึ่ง

เอาเขี้ยวฉีกเนื้อให้สุนัขจิ้งจอก

สุนัขจิ้งจอกคาบไปวางไว้ ไม่กิน

บอกจะเอาไปฝากแฟนที่บ้าน

ราชสีห์เลยคาบไปวางไว้ชิ้นหนึ่งเหมือนกัน

จะเอาไปฝากแฟนมั่ง เสร็จแล้วสองตัวก็กินกันจนอิ่มแปล้

จากนั้นก็พากันไปบ้านสุนัขจิ้งจอก

แล้วเลยชวนทั้งครอบครัวขึ้นไปอยู่ในถ้ำบนภูเขาด้วยกัน”

ดอกรักกับว่าวลอยเลิกดัน เพราะเหนื่อย

ต่างคนต่างนอนเอาหัวพาดหลังพะโล้ที่ยังนอนคว่ำอยู่

“วันเวลาผ่านไป นางสิงห์ก็คิดว่า เอ๊

ทําไมสุนัขจิ้งจอกมาอยู่นานนัก

ทําไมผัวเราเอาใจแม่สุนัขจิ้งจอกกับลูกๆนัก

ต้องไล่ไปเสีย

พอราชสีห์กับสุนัขจิ้งจอกออกไปหากิน

นางสิงห์ก็ไปไล่นางสุนัขจิ้งจอกว่าอยู่ทําไมนานนัก

ไม่ไปที่อื่นบ้าง

พวกลูกนางสิงห์ก็ขู่ลูกนางสุนัขจิ้งจอกเหมือนกัน”

ดอกรักกับว่าวลอยทําเสียงขู่เหมือนแมวเบาๆ

แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนท่าจากเดิม

“พอสุนัขจิ้งจอกกลับมา นางเมียฟ้องว่าโดนข่มขู่

สุนัขจิ้งจอกก็ไปบอกราชสีห์ว่าเมียท่านมาขู่เมียเรานะ

ถ้าอยากให้ไปก็บอกกันดีๆ ก็ได้

ราชสีห์ไม่รู้เรื่อง ไปถามนางสิงห์

นางสิงห์ยอมรับว่าจริง

ราชสีห์เลยเล่าเรื่องที่สุนัขจิ้งจอกเคยช่วยชีวิตไว้ครั้งนั้นให้ฟัง

ถ้าไม่ช่วยไว้ ตัวเองคงจะอดอาหารยืนตายอยู่ตรงนี้แหละ

นางสิงห์พอรู้เรื่องก็ขอโทษ

แล้วสัตว์ทั้งสองครอบครัวก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดมา”







“ดีจังเลยค่ะ คุณตา หนุงหนิงชอบ น่ารัก”

หนุงหนิงพูดเจื้อยแจ้ว ลูกแก้วบอกว่าชอบเหมือนกัน สนุกดี

ในขณะที่อีกสามคนหลับไปแล้ว

คุณตาสอนว่า “ฟังนิทานแล้ว ก็ต้องจําไว้สอนตัวเองนะหลาน

จะได้มีประโยชน์ ไม่ใช่ฟังเอาสนุกๆ อย่างเดียว”

แล้วคุณตาก็ลูบหัวหนุงหนิงด้วยความเอ็นดู





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระนางเวเทหิ





กว่าหอมบรรจงบีบครีมเขียนตัวหนังสืออวยพรวันเกิดลงบนหน้าขนมเค้ก

ชะเอมนั่งดูด้วยความชื่นชม

“กระบวนการเอาใจสามีล่ะ ไม่มีใครเกินคุณกว่าหอม”

กว่าหอมยิ้มหวาน “ก็เอมมี่ไง เห็นนวดๆ ถูๆ ให้สามีบ่อยๆ”

มีเพื่อนหลายคนแซวว่าชื่อชะเอมเชย เลยเรียกกันว่าเอมมี่

จนติดปากในที่สุด เอมมี่ยิ้มแหยๆ “เขาใช้ให้ทำ

ไม่ได้ทำเอง

ไม่ทำเดี๋ยวเขาไปหาคนอื่นมานวดแทนละก็แย่เลย”

กว่าหอมหัวเราะ

“คนที่เรารักเราก็ทำให้ได้เสมอแหละ

ดูอย่างเรื่องของพระนางเวเทหิสิ รักจนเศร้าจะตาย

อ่านแล้วน้ำตาไหลทุกทีเลย”

“เหรอ เล่าให้เราฟังมั่งซี” เอมมี่อยากรู้



“พระนางเวเทหินี่นะ เป็นแม่ของพระเจ้าอชาตศัตรู

สมัยที่ตั้งท้องนะ อยากกินเลือดของสามี

คือพระเจ้าพิมพิสาร”

“ไหนว่ารักไง” เอมมี่ค้อน

“รักกับแพ้ท้องมันคนละเรื่องน่ะ

พระเจ้าพิมพิสารก็กรีดเลือดให้กินนะ กินแล้วหายแพ้ท้อง

แล้วโหรทำนายว่าจะเกิดมาฆ่าพ่อ

พระนางกับญาติๆนึกอยากจะทำลายลูกในท้อง

เพราะกลัวว่าจะมาฆ่าพ่อจริงๆ

แต่พระเจ้าพิมพิสารห้ามไว้ด้วยความรักลูก

พอคลอดลูกถึงได้ตั้งชื่อให้ว่าอชาตศัตรู แปลว่า

ผู้ไม่เป็นศัตรู”

“แต่กรรมลิขิตมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น” เอมมี่สรุป

“ตอนพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นหนุ่ม

ตอนนั้นพระเทวทัตกำลังตกอับ

ไม่มีคนอุปัฏฐากเลยมาหาพระเจ้าอชาตศัตรู

นี่ก็เป็นคนหนุ่มยังไม่รู้ว่าใครดีใครไม่ดี

เลยเป็นพรรคพวกของพระเทวทัตไป

พระเทวทัตบอกว่าตัวเองจะไปฆ่าพระพุทธเจ้า

เพื่อจะไปปกครองสงฆ์ แล้วบอกให้พระเจ้าอชาตศัตรูไปฆ่าพ่อ

จะได้ปกครองบ้านเมือง

พระเจ้าอชาตศัตรูก็แอบเอากริชติดตัวเข้าไปในวัง

แต่ถูกทหารจับได้ พอพระเจ้าพิมพิสารถาม

จึงบอกตามตรงว่าจะมาฆ่าละ จะเอาสมบัติ พ่อก็ยกให้เลย

แต่ต่อมาก็จับพ่อไปขังคุกนะ ห้ามเยี่ยมด้วยล่ะ

ให้แต่แม่เข้าไปเยี่ยมคนเดียว คือพระนางเวเทหินี่แหละ

เวลาขังพ่อในคุกนี่เขาไม่ให้อาหารนะ

พระนางจึงเอาอาหารไปให้ พอลูกรู้ก็บอกห้ามเอาอาหารไป

ให้เยี่ยมอย่างเดียว

พระนางจึงสระผมให้สะอาดแล้วเอาอาหารซ่อนไปในมวยผม

พอลูกรู้ก็ให้โกนผมทิ้งหมดเลย”

“โอยโย่” เอมมี่ ลูบผมตัวเอง

“พระนางก็ล้างพระบาท และฉลองพระบาท รองเท้าน่ะให้สะอาด

เอาอาหารใส่ไป ลูกรู้เข้าก็ให้เดินเท้าเปล่าเข้าไป

พระนางก็อาบน้ำล้างตัวให้สะอาด เอาน้ำผึ้ง

น้ำเนยทาตัวให้สามีเลียกินน่ะ

พอลูกรู้เลยสั่งห้ามเยี่ยมไปเลย”

“โอ้ ยอดภรรยา” เอมมี่ครางเสียงอ่อย

“พระเจ้าพิมพิสารเลยอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีอาหาร

ไม่มีคนเยี่ยม แต่ท่านกลับรู้สึกปลอดโปร่ง

ไม่เสวยอาหารแต่มีปีติ ท่านเป็นโสดาบันมาก่อนหน้านี้แล้ว

อยู่คุกเลยเดินจงกรม พิจารณาธรรมไป

มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นพระพุทธเจ้าประทับอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ

เกิดปีติมาก ผ่องใส จนบางทีถึงกับเปล่งอุทานว่า

สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง

พระธรรมทำให้ผู้ปฏิบัติมีความสุขได้จริง

พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีจริง”

“สาธุ” เอมมี่ตื้นตันใจ ยกมือสาธุ

“พระเจ้าอชาตศัตรู รู้เรื่องเข้าว่าท่านเดินจงกรม

เลยให้เอามีดกรีดพระบาท แล้วราดด้วยน้ำเกลือ

แล้วพาไปย่างที่หลุมถ่านไฟ”

“โอย ตายพอดี” เอมมี่คราง กว่าหอมพยักหน้า

“ใช่ ตายเลย วันที่ตาย

มเหสีของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ประสูติโอรส ทหารวิ่งมาสองคน

คนหนึ่งมาบอกเรื่องเกิด คนหนึ่งมาบอกเรื่องตาย

คนบอกเรื่องเกิดพูดก่อน

พระเจ้าอชาตศัตรูพอรู้ว่าลูกเกิดแล้ว ยังไม่ทันเห็นเลย

ก็ปลื้มสุดๆ แล้ว เลยหวนนึกถึงพ่อขึ้นมาว่า เออ

พ่อเราก็คงรักเราอย่างนี้นะ ให้ไปพาออกจากคุก

แต่ทหารบอกว่า นี่แหละ จะมาทูลให้ทราบว่า

พระบิดาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว”

“สายเสียแล้ว” เอมมี่กระแทกเสียง

“พระเจ้าอชาตศัตรูเสียใจมาก ไปรำพันขออโหสิกรรม

กับพระบรมศพ”

“จะได้อาไร๊” เอมมี่ค้อนไปโดนเอากว่าหอมเข้า

“เสร็จแล้วก็ไปหาพระนางเวเทหิ ซึ่งแน่นอนล่ะ

พระนางโศกเศร้าจนสุดจะบรรยาย

พระเจ้าอชาตศัตรูก็เข้าไปขอโทษแม่ว่าจะลงโทษยังไงก็ยอม

แต่แม่ก็ไม่ทำอะไรหรอก เพียงแต่ร่ำไห้บอกให้รู้ว่า

มีพ่อแสนดีอย่างนี้ เหมือนมีเพชรแท้ แต่กลับไปโยนทิ้ง

ดูหรือพ่อรักลูกออกปานนั้น

ขนาดโหรว่าจะมาฆ่าพ่อก็ยังยอมให้เกิดมา ไม่กลัวเลย

ตอนเด็กๆ ลูกเป็นฝี เจ็บปวดเหลือเกิน

พ่อก็ดูดฝีให้ด้วยปากของพ่อเอง

ไม่ได้รังเกียจเลยแม้แต่น้อย

นี่ลูกไปเชื่อคนอื่นถึงได้วิบัติอย่างนี้

พระเทวทัตเป็นคนดีที่ไหน

ตอนนี้ก็ถูกไล่ออกจากคณะสงฆ์ของพระพุทธเจ้าแล้ว

แล้วพระนางก็สอนให้หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล

บอกให้ไปหาพระพุทธเจ้า พระเจ้าอชาตศัตรูก็รับคำ

แล้วทำตามที่แม่บอก”

“เฮ้อ ยังดีนะ กลับตัวได้” เอมมี่ถอนใจแล้วยิ้ม

“แล้วพระนางเป็นยังไงต่อล่ะ”

“ก็ตรอมใจตายต่อมาไม่นานหรอก แต่ราชวงศ์นี้นะ

ลูกของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ฆ่าพ่อเหมือนกัน

แล้วลูกก็ฆ่าพ่อมาเป็นทอดๆ อย่างนี้ ตั้ง ๗ รุ่นแน่ะ

ประชาชนเห็นไม่ไหวแล้ว ไม่เอาราชวงศ์นี้แล้ว ก็เลยหมดไป”

“แหม เรื่องนี้เศร้าจริงๆ นะ เศร้าจริงๆ เลย เศร้า

เศร้า” เอมมี่ครวญคราง แล้วแอบเอานิ้วแตะขอบขนมเค้กมาชิม





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระจักขุบาล





คุณหมอเขตบุญ

ส่องกล้องตรวจดูดวงตาของเด็กหญิงตัวน้อยอยู่ครู่หนึ่ง

แล้วพูดยิ้มๆ ว่า

“ไม่เป็นอะไรนะจ๊ะ ฝ้ายคำ เดี๋ยวอาหมอให้ยาหยอดตาไป ๒-๓

วันก็หายคันตา แต่หนูอย่าขยี้ตาแรงๆ

อย่าเอามือสกปรกไปขยี้ตานะจ๊ะ เพราะตาเป็นของบอบบาง

ต้องระวังเข้าใจมั้ยจ๊ะ”

นนทรีนั่งยิ้มให้กำลังใจอยู่ข้างๆ

เด็กน้อยมองหน้าคุณหมออย่างค้นหาความจริง แล้วถามว่า

“คุณอาหมอขา หยอดตาแล้วหนูจะตาบอดมั้ยคะ”

คุณหมอหัวเราะ “หยอดแล้วก็ต้องหายดีสิลูก

ทำไมจะต้องตาบอดล่ะจ๊ะ”

“ก็คุณแม่เล่าว่า เวลาหมอให้ยาหยอดตา

พอพรุ่งนี้ก็ตาบอดเลย”

คุณหมอหันไปมองหน้าคุณแม่

“ทำไมคุณแม่เล่าอย่างนั้นล่ะ”

นนทรีหัวเราะเบาๆ “ไม่ใช่หรอกค่ะ เล่านิทานให้แกฟัง

ฝ้ายคำ หมอไม่ได้เป็นอย่างในนิทานทุกคนนะจ๊ะลูก”

“ไหนเล่าให้อาหมอฟังสิจ๊ะ ว่าเรื่องมันเป็นยังไง”

คุณหมอหันมาถามฝ้ายคำ

“ก็คุณหมอคนหนึ่งแกรักษาเก่งมากเลยค่ะ ให้ยาหยอด

ตาคนไข้หยอดครั้งเดียว คนไข้หายเลย” ฝ้ายคำเล่าเสียงใส

“โอ ครั้งเดียวหายเลยเหรอจ๊ะ” คุณหมอทำเสียงประหลาดใจ

“หายเลยค่ะ แต่มีคนไข้ผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนหมอเข้าไปรักษา

เขาบอกว่าถ้าหายแล้ว

ตัวเองกับลูกสาวจะยอมเป็นคนรับใช้ของหมอ

พอหมอให้ยาหยอดตา ก็หยอดครั้งเดียวหายเลยค่ะ

แต่เขาโกหกหมอว่าไม่หาย แต่เจ็บมากขึ้น

หมอก็รู้ว่าโกหก เลยกลับไปบ้านแล้วเอายามาให้ใหม่

พอหยอดตาคราวนี้ตาบอดเลยค่ะ”

“โอ้โฮ อย่างนั้นคุณหมอก็ใจร้ายซีจ๊ะ” คุณหมอเอ่ย

“เป็นคุณหมอไม่ดี ไม่รักษาคนไข้ดีๆ” ฝ้ายคำตอบ

“เรื่องอะไรหรือ นนทรี” คุณหมอหันไปถามนนทรี

“เรื่องพระจักขุบาลค่ะ” นนทรีตอบ “แต่เรื่องคุณหมอนี่

เป็นอดีตชาติของท่าน กรรมอันนี้ทำให้พระจักขุบาล

ก็ตาบอดเหมือนกัน”

“เออ น่าสนใจ แล้วหลานฟังจบเรื่องแล้วหรือยัง”

เด็กน้อยส่ายหน้าไปมา “เมื่อคืนคุณแม่เล่าแค่นี้”

“งั้นเราไปหาอะไรกินกัน

เดี๋ยวอาหมอให้คุณแม่เล่าต่อนะจ๊ะ

เดี๋ยวเราค่อยกลับมาเอายา”



ในห้องอาหารทันสมัยของโรงพยาบาล

ฝ้ายคำตื่นเต้นกับไอศกรีมออกใหม่

รสสตรอเบอร์รี่โรยด้วยเกล็ดน้ำตาลหลากสี

กินไปฟังคุณแม่เล่านิทานไป คุณหมอเขตบุญถามนำ

“ท่านเป็นใครหรือ พระจักขุบาลองค์นี้”

“ท่านเป็นลูกเศรษฐีของเมืองสาวัตถี เดิมชื่อมหาบาล

มีน้องชายชื่อจุลบาล

มหาบาลนี่เขาตามคนอื่นไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วเกิดเลื่อมใส

พระพุทธเจ้าเวลานั้นทรงเทศน์

เหมือนกับจะให้มหาบาลฟังคนเดียวโดยเฉพาะ

ทรงเทศน์อนุ-ปุพพิกถา ๕ ว่าด้วยการให้ทาน การรักษาศีล

ว่าด้วยความสุขในสวรรค์ ว่าด้วยโทษของกาม

และอานิสงส์ของการออกจากกาม พอเทศน์จบ

มหาบาลก็ได้ความรู้อย่างแจ่มแจ้ง มองเห็นว่า

ลูกหลานและทรัพย์สมบัติเป็นของไม่ยั่งยืน มีแต่ทุกข์

แม้แต่ร่างกายของตัวเองก็ยังเอาไปไม่ได้

พอตายก็ต้องทิ้งไว้เป็นภาระของคนอื่น

อยู่บ้านไปก็ไม่มีประโยชน์ ควรบวชอย่างพระพุทธเจ้า

เขาจึงเข้าไปขอบวชกับพระพุทธเจ้า

ท่านก็ทรงให้ไปลาคนที่ต้องลาก่อนตามวินัย

เขาเลยไปลาน้องชาย เพราะมีกันสองคนผูกพันกัน

ฝ่ายน้องชายก็พยายามห้ามบอกว่ายังหนุ่มอยู่เลย

ควรจะมีความสุขให้เต็มอิ่ม ไว้แก่แล้วค่อยบวช

แต่มหาบาลบอกว่า แก่แล้วบวชมันจะปฏิบัติไม่ไหว

นักบวชมีภาระหนัก ต้องเป็นคนแข็งแรงกำลังวังชาดี

ดูแต่พระพุทธเจ้ายังทรงออกบวชตอนพระชนมายุ ๒๙

ยังหนุ่มเหมือนกัน ท่านก็ไม่ฟังน้องชาย ออกบวชจนได้”

“คนจะบวชได้นี่ ต้องตั้งใจสละจริงๆ นะ

ไม่งั้นอยู่ไม่ไหว ใจต้องอยากบวชจริงๆ เลย”

คุณหมอเขตบุญสังเกต

“ใช่แล้ว ท่านก็ตั้งใจจริงๆ ท่านถามพระพุทธเจ้าว่า

งานในศาสนานี่มีอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า

มีคันถธุระ คือเรียนธรรมวินัยตามปัญญาของตน

แล้วบอกกล่าวกันต่อๆ ไป อีกอย่างคือ วิปัสสนาธุระ

คือการพิจารณาสังขาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์

เป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน จนสามารถบรรลุอรหัตผล

เป็นจุดหมายสูงสุด”

“คุณแม่ขา ฝ้ายคำฟังไม่รู้เรื่อง” เด็กน้อยประท้วง

ผู้ใหญ่ทั้งสองหัวเราะ คุณหมอเขตบุญลูบหัวฝ้ายคำ

“บางตอนหนูก็จะยังไม่รู้เรื่องหรอกจ้ะ

ต้องให้หนูโตขึ้นอีกหน่อยนะจ๊ะ แต่อาหมอรู้เรื่อง

ตอนนี้ยกให้อาหมอฟังก็แล้วกันนะจ๊ะ”

ฝ้ายคำพยักหน้า ตักไอศกรีมกินต่อไป นนทรีจึงเล่าว่า

“ท่านบอกว่า ท่านเลือกวิปัสสนาดีกว่า

ขอให้พระพุทธเจ้าบอกกรรมฐานให้ แล้วเที่ยวหาเพื่อนได้ ๖๐

คน ที่จะออกไปธุดงค์อยู่ป่าด้วยกัน

แล้วออกไปอยู่ในหมู่บ้าน ห่างวัดเชตวัน ๑๒๐ โยชน์

ชาวบ้านเห็นก็เลื่อมใส นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาในหมู่บ้าน

นั้น สัญญาว่าจะถือศีล ๕ หรือศีล ๘ ท่านก็เลยอยู่

ชาวบ้านช่วยกันสร้างที่อยู่อาศัยถวาย

ตอนเช้าพระก็เข้าไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน

ในหมู่บ้านนั้นมีหมอใจบุญคนหนึ่ง มาปวารณาตัวว่า

ถ้าพระรูปใดป่วยก็ขอให้บอก จะรักษาให้ฟรี”

“คุณหมอคนนี้ดีมั้ยคะ คุณแม่” ฝ้ายคำถาม

“ดีจ้ะ เป็นหมอใจบุญ” นนทรีตอบยิ้มๆ หยิบกระดาษเช็ดปาก

เช็ดคราบไอศกรีมใต้ริมฝีปากให้ลูก

“พรรษานั้น ท่านมหาบาลก็ถามพระว่าจะอยู่ด้วยอิริยาบถใด

ทุกองค์ก็ตอบว่าอิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน

ส่วนตัวท่านเองท่านทำ ๓ อิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง

ไม่มีการนอน”

“ไม่เอาหรอกค่ะ ฝ้ายคำชอบนอน” เด็กหญิงแทรกเสียงงอนๆ

เลียไอศกรีมที่ติดปลายช้อน

“ใช่ อาหมอก็ชอบนอนเหมือนกัน” คุณหมอเขตบุญ สนับสนุน

“ท่านมหาบาลก็เตือนพระทุกองค์ว่า

พวกเราเรียนกรรมฐานมาแล้ว ไม่ควรประมาทนะ

ให้เร่งทำความเพียร เพราะประตูแห่งอบาย ๔ คือ นรก เปรต

อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เปิดอยู่เสมอสำหรับคนประมาท

ฉะนั้นเราต้องไม่ประมาท”

“ตรงนี้ ฝ้ายคำ ยกให้คุณอาหมอค่ะ

ฝ้ายคำฟังไม่รู้เรื่อง”

“ตกลงจ้ะ อาหมอจะรับไว้ อีกหน่อยรู้เรื่องแล้ว

ต้องมาเอาคืนนะ” คุณหมอเขตบุญหยอกล้อหลานสาว

“พอปฏิบัติไปได้เดือนหนึ่ง ก็เกิดเป็นโรคตา

น้ำตาไหลออกมาสองข้างตลอดเวลา หมอใจบุญก็รีบปรุงยาถวาย

แต่ยานี่จะต้องนอนแล้วหยอดลงทางจมูกจึงจะหาย”

“คุณอาหมอให้ฝ้ายคำหยอดทางไหนคะ” ฝ้ายคำรีบถาม

“ยาของหนูหยอดที่หัวตาเลยจ้ะ” คุณหมอเขตบุญบอก

“แล้วเขาหายมั้ยคะ คุณแม่” ฝ้ายคำหันไปถามนนทรี

“เขาไม่หายจ้ะ เพราะเขานั่งหยอด ไม่ได้นอนหยอด

เขานอนไม่ได้ เพราะเขาได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่นอน”

“เปลี่ยนใจก็ได้” ฝ้ายคำไม่ยอมแพ้

“ท่านไม่เปลี่ยนใจหรอกจ้ะ พอคุณหมอมาถามท่าน

ก็ว่ายังไม่หาย คุณหมอแปลกใจมาก

เพราะเขาปรุงยามาดีควรจะหาย รีบไปดูที่กุฏิ

เห็นมีแต่ที่นั่งกับที่เดินจงกรม ไม่มีที่นอน

ก็เลยบอกว่า

พระคุณเจ้า ท่านไม่ได้นอนหยอดยา จึงไม่หาย

การปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อร่างกายยังอยู่

ท่านย่อมสามารถทำได้ ถ้าร่างกายไม่มีเสียแล้ว

ท่านจะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร ขอให้รักษาร่างกายไว้ก่อน

ท่านก็ตอบว่า ขอเวลาปรึกษากันดูก่อน”

“ปรึกษากับใคร” คุณหมอเขตบุญฉงน

“ก็ปรึกษากับกายกับจิตของท่านเองนั่นแหละ

ว่าจะเห็นแก่ตาสองข้าง หรือจะเห็นแก่พุทธศาสนา

นึกถึงปณิธานที่ตั้งไว้ว่าจะไม่นอนในพรรษา

ไม่อยากเสียความตั้งใจ จะตาแตกก็ยอม”

“เฮ้อ” คุณหมอเขตบุญถอนใจ

“ก็เลยตาบอดเลย” ฝ้ายคำเล่าแทนคุณแม่

“ใช่ คืนนั้นท่านก็บำเพ็ญหนักเลย หมอบอกว่า

ถ้าไม่นอนหยอด ก็รักษาไม่ได้

ตั้งแต่นี้ไปท่านอย่าบอกใครว่าเราเป็นหมอรักษาท่าน

เราก็จะไม่พูดกับใครเหมือนกันว่าได้ปรุงยาให้ท่าน”

“ทำไมล่ะคะ คุณแม่”

“หมอเขากลัวเสียชื่อน่ะ ว่ารักษาไม่หาย” คุณหมอ

เขตบุญตอบแทนนนทรี

“คืนนั้นท่านบำเพ็ญเพียรจนตีสอง ดวงตาก็บอด แต่ก็พร้อมๆ

กับที่ท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์”

“โอ้ อย่างนั้นเชียว แสดงว่าตั้งใจมาก” คุณหมอ เขตบุญ

นิยม

“พวกพระอื่นๆ คอยปฏิบัติท่าน

เพราะท่านออกไปบิณฑบาตไม่ได้แล้ว ตอนนี้แหละที่ใครๆ

จึงเรียกท่านว่าจักขุ-บาล แทนมหาบาล

แต่ท่านก็สั่งสอนพระจนสำเร็จอรหัตผลในพรรษานั้นทั้งหมด

พอออกพรรษา พระทุกองค์ก็กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

เหลือแต่ท่านจักขุบาลไว้กับชาวบ้าน เพราะท่านบอกว่า

ถ้าท่านกลับไปพร้อมกัน จะทำให้พระอื่นๆ ลำบาก

แต่ได้ฝากข่าวไปบอกน้องชายให้ส่งคนมารับกลับ”





“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ วันนี้แวะมาหาคุณหมอกันหรือคะ”

พิรุณยิ้มรื่นเข้ามาทักทาย

“สวัสดีค่ะ พาฝ้ายคำมาตรวจด้วย” นนทรียิ้มตอบ

“ฝ้ายคำคันตา มาหาคุณอาหมอค่ะ”

ฝ้ายคำรายงานให้ภรรยาคุณอาหมอทราบ

“ฝ้ายคำกินลักกี้สตรอเบอร์รี่หรือคะ อร่อยมั้ย”

“กินลักกี้สตรอเบอร์รี่กับนิทาน” ฝ้ายคำชี้แจง

พิรุณหัวเราะเบาๆ “อ๋อ เหรอ นิทานเรื่องอะไร

ฝ้ายคำเล่านิทานให้คุณอาหมอฟังหรือคะ”

ฝ้ายคำส่ายหน้า “คุณแม่เล่าค่ะ

ฝ้ายคำเล่าได้แต่ตอนเมื่อวาน คุณแม่เล่าให้ฟัง

ตอนของวันนี้ฝ้ายคำเล่าไม่ได้ค่ะ แต่คุณอาหมออยากฟัง

คุณแม่เลยเล่า”

ทุกคนหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดูเด็กน้อยในการรายงาน

นนทรีบอกว่ากำลังเล่าเรื่องพระจักขุบาลกัน

“อ๋อ เรื่องนี้สนุกดีนะคะ” พิรุณตอบรับ

คุณหมอเขต-บุญเลิกคิ้วแปลกใจ

“คุณก็รู้เรื่องนี้หรือ”

พิรุณพยักหน้ายิ้มๆ “รู้ซี

หลวงพ่อเพิ่งเทศน์เล่าเมื่อวันอาทิตย์นี้เอง

พระองค์นี้ท่านเป็นคนเคร่งครัดมากเลยนะ ใจแข็ง

ฉันชอบตอนที่หลานชายมารับกลับบ้าน”

“อ๋อ กำลังจะถึงตอนนี้พอดีเลย” นนทรีบอก

พิรุณจึงเล่าเองโดยอัตโนมัติไปเลย

“เหรอ ดีจัง จะเล่าให้ฟังนะ

พอน้องชายได้ข่าวว่าท่านให้ส่งคนไปรับกลับบ้าน

ก็ให้หลานชายไปรับ แต่เนื่องจากในระหว่างทางมีอันตราย

พระที่มาบอกก็แนะนำว่า น่าจะบวชเป็นสามเณรไป

ถ้าเสร็จธุระแล้วกลับมาสึกก็ได้ เลยบวชหลานชาย

ฝึกการเป็นเณรอยู่ ๑๕ วัน แล้วส่งไปรับ

พอไปรับ พระจักขุบาลก็ให้หลานชายจูงนำเดิน

พวกชาวบ้านมาขอร้องให้อยู่ต่อ ก็ไม่อยู่

เวลาท่านตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ท่านก็ทำนะ ไม่มีเปลี่ยนเลย”

“ใช่ มุ่งมั่นต่อความตั้งใจตลอด” นนทรีสนับสนุน

“หลานชายก็จูงกลับ ทีนี้ระหว่างทาง ผ่านแนวป่า

มีเสียงผู้หญิงร้องเพลงแว่วมา

สามเณรได้ยินเสียงแล้วรู้สึกพอใจ

บอกลุงว่าให้รออยู่ครู่หนึ่ง ตัวเองจะไปธุระ

พอหายไปได้สักครู่ เสียงร้องเพลงก็หยุดไป

พอเณรกลับมา พระเถระก็รู้ว่าเณรได้ทำลายศีลเสียแล้ว

ก็ไม่ยอมส่งไม้เท้าให้จูงเลย”

“แล้วจะเดินยังงาย” ฝ้ายคำจับประเด็นได้แต่ตอนท้าย

ถามขึ้น

“ใช่ค่ะ ฝ้ายคำ พระท่านเลยเดินไปไหนไม่ได้”

“ทำไมถึงให้จูงไม่ได้ ยังไม่เข้าใจ”

คราวนี้คุณหมอเขต-บุญต้องถามบ้าง สองสาวยิ้มๆ

พิรุณตอบว่า

“เพราะท่านถือว่า สิ่งที่หลานชายทำนั้นผิดศีล

เป็นคนไม่ดีไปแล้ว ไม่ต้องการให้คนไม่ดีมาจับมาจูงเดิน

ทีนี้ทำไง หลานชายเลยเปลี่ยนจีวรเป็นเสื้อผ้าคนธรรมดา

บอกลุงว่าผมสึกเป็นฆราวาสแล้ว ไปกันเถอะ

ท่านก็ยังไม่ยอมไปนะ

หลานอ้อนวอนว่า ตอนบวชผมก็ไม่ได้บวชเพราะศรัทธา

แต่บวชเพราะกลัวอันตรายตามทางเปลี่ยว บวชเพื่อมารับท่าน

โปรดไปกันเถอะ

ท่านตอบว่า ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือพระก็ตาม ขึ้นชื่อว่า

เป็นคนชั่วก็ชั่วเหมือนกัน แล้วสอนว่า

เธออยู่ในเพศอันสูง ควรหลีกห่างจากความชั่ว

ก็ยังเว้นจากความชั่วไม่ได้ รักษาศีลไม่ได้

แล้วเป็นคนธรรมดา เธอจะเป็นคนดีได้ยังไง ขนาดมีรั้ว

ยังพังรั้วออกไป ถ้าไม่มีรั้ว เธอจะหลงระเริงสักแค่ไหน

ท่านบอกว่ายอมตายในป่าดีกว่าให้หลานจูงไม้เท้า”

“คุณแม่ขา ฝ้ายคำจะกินอีกถ้วยได้มั้ยคะ อร่อยจัง”

ฝ้ายคำอ้อนคุณแม่ นนทรีลุกไปจัดการมาให้ ฝ้ายคำถามพิรุณ

“แล้วพระตายในป่ามั้ยคะ คุณอาขา”

“ไม่ตายหรอกค่ะ ก็มีท้าวสักกะ เป็นหัวหน้าเทวดาลงมาช่วย

ปลอมเป็นคนเดินทางมา บอกว่าจะไปสาวัตถีเหมือนกัน

จะช่วยพาไปส่ง เพราะการพาไปส่งนั้นได้บุญ

พระท่านฟังแล้วก็รู้ว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม เลยยอมให้พาไป

ท้าวสักกะก็พาไป ย่นระยะทางให้

คือพอตอนเย็นวันนั้นก็ถึงเลย พอพระจักขุบาลถามว่า

ทำไมถึงเร็ว ก็บอกว่ารู้ทางลัด

พระจักขุบาลรู้เลยว่านี่ต้องเป็นเทวดามาช่วย”

“เฮ ดีจัง กลับถึงบ้านแล้ว” ฝ้ายคำเชียร์

พลางตักไอศกรีมคำโต

“สรุปแล้ว ท่านมีบุญมาก

แต่ต้องใช้กรรมเพราะชาติก่อนไปทำให้ผู้หญิงตาบอด

ชาตินี้ยังไงก็เลยต้องตาบอดเอง” คุณหมอเขตบุญกล่าว

“ช่าย คุณอาหมออย่าไปทำใครตาบอดนะคะ

เดี๋ยวคุณอาหมอจะต้องตาบอดเอง” ฝ้ายคำหวังดี

นนทรีเสริมว่า “คนเป็นหมอ ถ้าตั้งใจดี

เป็นคนมีศีลธรรมประจำใจ จะทำบุญได้มากมายมหาศาล

แต่ถ้าไม่มีศีลธรรม ก็ทำบาปได้มหันต์เหมือนกัน”

“แต่คนไข้ ก็ต้องมีตายมั่งเหมือนกันแหละ

บางทีหมอก็ตั้งใจสุดๆ แล้ว” หมอเขตบุญแย้ง

“นั่นเป็นกรรมของคนไข้เอง ที่ถึงวาระของเขาจะต้องจากไป

แต่ส่วนกรรมของหมอ คือ

ต้องมีเจตนาดีออกมาจากใจที่มีคุณธรรม

แม้คนไข้ตายก็ไม่บาป แต่ถ้าเจตนาของหมอไม่ดี

ไม่ต้องถึงคนไข้ตายหรอก

แค่เลี้ยงไข้ให้คนไข้ต้องทนเจ็บป่วยไปนานๆ

เพื่อหมอจะได้เก็บค่ายาไปเรื่อยๆ ก็บาปมากแล้ว

เพราะเจตนาของหมอไม่ดี มันอยู่ที่เจตนาของหมอ

เจตนานั้นจะส่งให้เกิดบุญหรือบาปกับหมอ

แต่คนไข้จะเป็นอย่างไรอยู่ที่กรรมของคนไข้

มันคนละส่วนกัน”

“ใช่ ทุกอย่างอยู่ที่เจตนา” พิรุณเสริม

“อย่างพระจักขุบาลนี่ มีอยู่วันหนึ่ง

มีพระจากถิ่นอื่นมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวัน

เที่ยวเดินชมสถานที่ พอมาถึงกุฏิของพระจักขุบาล

บังเอิญฝนตก ก็พากันกลับไปก่อน คิดว่าตอนเช้าจะมาใหม่

ทีนี้เมื่อฝนมันหยุดแล้ว

พวกแมลงค่อมทองมันลงเล่นบนพื้นดินที่ฝนตกใหม่ๆ

พอใกล้สว่าง พระจักขุบาลท่านออกมาเดินจงกรม

ก็เหยียบแมลงตายไปมาก

ตอนเช้า ลูกศิษย์ท่านยังไม่ทันกวาดที่จงกรม

พวกแขกมาเยี่ยมอีก เห็นแมลงตายเกลื่อน

จึงติเตียนพระจักขุบาลว่า ตอนตาดีอยู่มัวนอนหลับเสีย

พอตาบอดแล้วมาขยันทำจงกรม ทำให้สัตว์ตายมากมาย

คิดว่าจะทำประโยชน์กลับทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

แล้วก็ไปทูลพระพุทธเจ้าด้วย

ท่านทรงถามว่าเห็นพระจักขุบาลเหยียบสัตว์หรือ

ก็ตอบว่าไม่เห็น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เธอไม่เห็นจักขุบาลเหยียบสัตว์ฉันใด

จักขุบาลก็ไม่เห็นสัตว์พวกนั้นฉันนั้น

ธรรมดาอรหันต์ย่อมไม่เจตนาฆ่าสัตว์”

“แสดงว่าไม่บาปใช่มั้ย” คุณหมอเขตบุญถามด้วยความสนใจ

“ใช่” พิรุณรับคำ “พระอรหันต์ท่านไม่มีเจตนาแล้ว

การกระทำของท่าน เป็นเพียงการกระทำ ไม่บาป และไม่บุญด้วย

ท่านอยู่เหนือไปหมด”

นนทรีเล่าว่า “พระพุทธเจ้าสอนว่า

กรรมที่พระจักขุ-บาลทำในชาติก่อน ที่ไปทำผู้หญิงให้ตาบอด

กรรมนั้นติดตามมาตลอดเวลา

เหมือนเกวียนที่คอยตามวัวไปเรื่อยๆ

วัวเดินไปไหนก็ลากเกวียนไปด้วย”

“ลากเกวียนที่ใส่กรรมไว้หรือคะ คุณแม่” ฝ้ายคำถาม

“ใช่จ้ะ เวลาเราทำกรรมอะไรไว้ กรรมนั้นก็จะติดตามเราไป

เหมือนวัวลากเกวียนไปด้วยตลอดเวลา

เกวียนใส่กรรมที่เราทำไว้ พอมีโอกาส ผลกรรมก็จะสนองเรา

เหมือนพระจักขุบาลนี่แหละ พอกรรมมาสนอง ก็ต้องรับกรรม

ต้องตาบอดไปเลย

พระพุทธเจ้าสอนว่า สิ่งทั้งหลายสำคัญที่ใจ

ใจประเสริฐสุด สำเร็จมาจากใจ ถ้าใจไม่ดี การทำ การพูด

ก็พลอยไม่ดีไปด้วย

เพราะความไม่ดีที่อยู่ในใจนั้นมันสั่งให้ทำ

ความทุกข์ก็จะติดตามมา

เหมือนล้อเกวียนหมุนตามรอยเท้าวัวไปเรื่อยๆ”

“เออ ดีจัง เรื่องนี้ แต่คุณอาหมอเป็นหมอใจดีนะ ฝ้ายคำ”

คุณหมอเขตบุญหาเสียงสนับสนุน

“ฝ้ายคำรู้ค่ะว่าคุณอาหมอใจดี

ไม่อย่างนั้นจะให้ฝ้ายคำกินไอศกรีมสองถ้วยเหรอคะ”

“อ้าว นี่จะให้คุณอาหมอจ่ายค่าไอศกรีมเหรอครับ ฝ้ายคำ

ไม่จ่ายเองเหรอ” คุณหมอเขตบุญเย้าแหย่

“ฝ้ายคำไม่มีตังค์ แต่อยากกินค่ะ” ฝ้ายคำตอบหน้าใส

ส่งยิ้มให้อย่างกว้างขวางพร้อมกับคำสารภาพ





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บัณฑิตสามเณร





จิตกระจ่างประคองถาดอาหารเดินตามหลังแม่ขึ้นไปบนลานหินโค้ง

ซึ่งมีพระสงฆ์นั่งเรียงรายรอรับการใส่บาตรอยู่อย่างสงบสํารวม

แม่หยิบห่อข้าวและห่อกับข้าวจากถาดบรรจงวางลงในบาตร

เสร็จแล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

และเดินต่อไปยังพระองค์ถัดไปที่อยู่ข้างๆ

วันนี้มีพระบวชใหม่มาก จึงเป็นภาพที่ญาติโยมปีติ

เมื่อเห็นพระนั่งเรียงรายรอบลานหินโค้ง

เป็นปกติของวัดชลประทานฯ

ที่จะมีการบวชพระใหม่ทุกต้นเดือน

โยมของพระตามมาถวายอาหารวันอาทิตย์แน่นขนัด

เพราะการได้เห็นลูกชายบวชเป็นพระมานั่งอยู่เช่นนี้

ย่อมเป็นภาพที่งดงามที่สุดในชีวิตของโยมพ่อโยมแม่

จิตกระจ่างยิ้มให้พระน้องชาย

เมื่อแม่วางอาหารพิเศษที่เตรียมมาให้โดยเฉพาะ

ความจริงแม่อยากจะพิรี้พิไรอยู่นาน แต่ก็ต้องเดินต่อไป

เพราะมีคนจะใส่บาตรเดินตามมาอีกเรื่อยๆ

แม่ใส่บาตรไปจนหมดอาหารที่เตรียมมา

องค์สุดท้ายเป็นเณรน้อยอ้วนท้วนน่ารัก

แม่เห็นแล้วยิ้มชื่นใจ

จิตกระจ่างพาแม่ลงจากลานหินโค้ง

ไปนั่งที่ม้าหินใต้ต้นไม้ คอยการกล่าวคําถวายทาน

ซึ่งยังอีกนานประมาณ ๒๐ นาที

“คนเยอะดีจังนะจ๊ะแม่” จิตกระจ่างเอ่ย

แม่พยักหน้า

ตายังมองไปที่ลานหินโค้งซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่มาทำบุญ

“สามเณรองค์นั้นน่ารักจัง” จิตกระจ่างชวนคุย

“น่าอนุโมทนา มีจิตกุศลตั้งแต่เด็กๆ” แม่พูด

“ถ้าบวชไปเรื่อยๆ ก็มีเวลาสร้างกุศลนานทีเดียว”

“เด็กๆ เขาจะเรียนเหมือนพระที่เป็นผู้ใหญ่ได้หรือคะ”

จิตกระจ่างสงสัย

“แล้วแต่ปัญญาของท่าน อย่างในนิทานเรื่องบัณฑิตสามเณร

บวชเณรได้แค่ ๘ วันก็บรรลุเป็นพระอรหันต์เลย”

“จริงหรือจ๊ะแม่ โอ้โฮ” จิตกระจ่างแปลกใจ

ขอให้แม่เล่าเรื่องบัณฑิตสามเณรให้ฟัง แม่เล่าว่า





“สามเณรนี้บวชตอนอายุ ๗ ขวบ

เธอเป็นลูกของลูกสาวคนโตในสกุลที่เป็นอุปัฏฐากของพระสารีบุตร

ตอนท้องนี่ แม่แพ้ท้องอยากจะถวายอาหารพระ ๕๐๐

รูปด้วยปลาตะเพียน แล้วนุ่งผ้ากาสายะ

นั่งกินอาหารที่เหลือจากพระ

พอได้ทําอย่างนี้จึงจะหายแพ้ท้อง”

“แปลกดีนะจ๊ะแม่” จิตกระจ่างพูด

“แม่เขาตั้งชื่อให้ว่าบัณฑิต

เพราะว่าตั้งแต่เด็กคนนี้อยู่ในท้องจนคลอด

คนโง่ในบ้านก็กลับฉลาด แม่เขาส่งเสริมลูกนะ

ถ้าอยากได้อะไรในทางที่ดีแล้วไม่มีขัด

พอลูกขอบวชก็ให้บวช พระสารีบุตรท่านบอกว่าทําได้ยากนะ

แต่เด็กก็อยากบวช เลยได้บวช ทั้งพ่อทั้งแม่ตามไปอยู่วัด

๗ วัน ถวายทานแก่พระ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข วันที่ ๗

ถึงได้กลับบ้าน”

“ดีนะจ๊ะ แต่ที่วัดนี้ หลวงพ่อให้โยมกลับบ้านหมดเลย”

จิตกระจ่างหัวเราะ

“ก็พ่อแม่ชอบไปชวนคุย ทําให้พระไม่สงบใจ” แม่อธิบาย

“อยู่วัด ๗ วัน

งั้นวันรุ่งขึ้นก็ได้เป็นพระอรหันต์เลยหรือจ๊ะ

เมื่อกี้แม่บอก ๘ วันก็บรรลุ”

“ใช่ พอวันที่ ๘ สามเณรก็ออกไปบิณฑบาตกับพระสารีบุตร

เดินไปเห็นเหมืองก็ถามพระสารีบุตรท่านว่านี่อะไร

ท่านตอบว่าเหมือง ถามว่าเขามีไว้ทําอะไร

ท่านอธิบายว่าเขาไขน้ำจากเหมืองนี้ไปหานาข้าวกล้า

เวลาที่นาขาดน้ำ สามเณรถามว่า น้ำมีจิตไหม ท่านตอบว่า

ไม่มี

สามเณรคิดว่า เมื่อน้ำเป็นของไม่มีจิต

คนยังไขไปทําประโยชน์ได้ตามต้องการ

ทําไมคนซึ่งมีจิตจะฝึกจิตของตัวให้ดีไม่ได้

คนต้องสามารถฝึกจิตให้ดีได้สิ”

“ช่างคิดสมกับเป็นคนฉลาดนะจ๊ะ” จิตกระจ่างว่า

“พอเดินต่อไป เห็นช่างศรกําลังเอาลูกศรลนไฟ

แล้วเล็งด้วยหางตา ดัดให้ตรง

ก็ถามว่าลูกศรมีจิตหรือเปล่า

พระสารีบุตรท่านก็บอกว่าไม่มี”

“เณรคิดว่าลูกศรไม่มีจิตยังดัดได้

คนมีจิตต้องดัดได้ด้วย”

จิตกระจ่างเริ่มเห็นวิธีคิดของสามเณร

“ใช่ เสร็จแล้วก็ไปเจอช่างถากไม้ทําล้อเกวียน ก็ถามอีก

แล้วก็คิดเหมือนเดิมอีก

สามเณรคิดว่า เมื่อช่างศรดัดลูกศรได้

ช่างไม้ถากไม้ตามต้องการได้ คนเราก็ควรฝึกตัวเองได้

เธอก็บอกพระสารี-บุตรว่าจะกลับไปวัดก่อน

ขอให้ท่านช่วยนําอาหารที่มีปลาตะเพียนมาให้ด้วย

พระสารีบุตรถามว่า จะหาได้ที่ไหนเล่า สามเณรก็ตอบว่า

หากไม่ได้ด้วยบุญของท่าน ก็คงได้เพราะบุญของกระผม”

จิตกระจ่างเลิกคิ้ว ตาโต พลางหัวเราะ

เธอไม่เคยได้ยินวิธีตอบแบบนี้มาก่อน เอ๊อ เข้าท่าจังแฮะ

แม่ก็หัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดูในคําตอบนั้นเหมือนกัน

“สามเณรกลับไปวัด เข้าไปนั่งในห้อง บําเพ็ญสมณธรรม

พิจารณาอัตภาพร่างกายของตน

พระสารีบุตรไปบ้านของอุปัฏฐากคนหนึ่ง

ซึ่งเคารพเลื่อมใสท่านมาก

พอดีวันนั้นอุปัฏฐากได้ปลาตะเพียนมาหลายตัว

นั่งคอยพระสารีบุตรอยู่ พอเห็นท่านมาก็ดีใจ

นิมนต์ท่านนั่ง แล้วถวายอาหารที่ปรุงด้วยปลาตะเพียน

ท่านทําท่าจะกลับไปฉันที่วัด จะได้ให้สามเณรด้วย

แต่อุปัฏฐากบอกว่ามีเยอะ ฉันที่บ้านเถอะ

เสร็จแล้วเดี๋ยวจะฝากไปให้สามเณรต่างหาก

ท่านสารีบุตรฉันเสร็จก็รีบกลับวัด เป็นห่วงสามเณร

สามเณรตอนนั้นพิจารณาธรรม จนได้บรรลุเป็นพระ

อนาคามีแล้ว”

“โอ้โฮ เก่งจังนะจ๊ะ” จิตกระจ่างทึ่ง

“พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าสามเณรเป็นพระอนาคามีแล้ว

กําลังจะปฏิบัติต่อเพื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์

ท่านก็มาดักพระสารีบุตร

ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพระสารีบุตรเข้าไปหา

สามเณรก็จะไม่ได้บรรลุ

พระพุทธเจ้าพบพระสารีบุตรก็ตรัสถามปัญหา ๔ ข้อ

เกี่ยวกับเรื่องอาหารว่า

อาหารย่อมนํามาซึ่งอะไร

นําเวทนามา พระเจ้าข้า

เวทนานํามาซึ่งอะไร

นํามาซึ่งรูป พระเจ้าข้า

รูปนํามาซึ่งอะไร

นําผัสสะมา พระเจ้าข้า

ตอนนี้บัณฑิตสามเณรก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว

พระพุทธเจ้าจึงให้พระสารีบุตรไปหาสามเณรได้”

“ที่พระพุทธเจ้าตรัสถาม แปลว่าอะไรจ๊ะแม่”

จิต-กระจ่างถาม

“คือว่าเมื่อคนเราหิว

กินอาหารดับความหิวแล้วสุขเวทนาก็เกิดขึ้น ต่อจากนั้น

อาหารก็ไปทําให้ร่างกายผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล

กินอิ่มแล้ว จะนั่งจะนอนก็ย่อมเป็นสุข”

“ทําไมเรื่องนี้มีปลาตะเพียนเยอะจังล่ะจ๊ะแม่

มีอะไรเกี่ยวกับปลาตะเพียนหรือจ๊ะ”

จิตกระจ่างตั้งข้อสังเกต

“มันเป็นเรื่องสืบเนื่องมาจากชาติก่อนของสามเณร” แม่ตอบ

“มีเรื่องชาติก่อนด้วยหรือจ๊ะ งั้นแม่เล่าด้วยซี”

จิตกระจ่างสนุก จะได้ฟังนิทานอีกเรื่อง

พอดีผู้นําสวดชวนร่วมกันกล่าวคําถวายทาน

ทั้งสองจึงได้ทําจิตสงบและกล่าวคําถวายทานตามผู้นําสวด

หลังจากนั้นพระจึงเริ่มฉัน

จิตกระจ่างหันมาคุยกับแม่ต่อ

บอกให้แม่เล่าอดีตชาติของสามเณรให้ฟัง แม่เริ่มว่า



“ย้อนไปถึงสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป

พระองค์เสด็จไปยังพาราณสี พร้อมด้วยภิกษุสองหมื่นรูป”

“โอ ผ้าเหลืองคงงามอร่ามไปทั้งเมือง”

จิตกระจ่างจินตนาการ

“ชาวเมืองก็ถวายอาหาร พอเสวยเสร็จ

พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุโมทนาว่า

บางคนทําบุญเอง แต่ไม่ได้ชวนคนอื่น

เมื่อเกิดที่ใดย่อมได้ทรัพย์สมบัติ

แต่ไม่ได้บริวารสมบัติ

บางคนชวนคนอื่นทํา แต่ไม่ทําเอง

เกิดที่ใดย่อมได้บริวารสมบัติ แต่ไม่ได้ทรัพย์สมบัติ

บางคนไม่ชวนคนอื่นทํา และไม่ทําเองด้วย เกิดที่ใด

ย่อมไม่ได้ทั้งทรัพย์สมบัติ และบริวารสมบัติ

ส่วนคนที่ทําเองด้วย ชวนคนอื่นด้วย

เกิดที่ใดก็จะได้ทรัพย์สมบัติ และบริวารสมบัติ

ตอนนั้นมีผู้ชายบัณฑิตคนหนึ่ง ฟังแล้วคิดว่า

เราจะทําเองด้วย ชวนคนอื่นด้วย

จึงไปอาราธนาพระพุทธเจ้าและภิกษุให้รับอาหารของตัวในวันรุ่งขึ้น

เสร็จแล้วเขาก็เที่ยวไปป่าวประกาศชักชวนคนมาร่วมกันทําบุญ

ใครจะทําบุญพระกี่รูปก็ให้มาบอกเขา เขาจะจดบัญชีไว้

บางคนมาจองพระไว้ ๑๐ รูป บางคนก็ ๒๐ รูป บางคน ๑๐๐ รูป

บางคน ๕๐๐ รูป เขาก็จดไว้”

“แล้วแม่จองไว้เท่าไหร่จ๊ะ” จิตกระจ่างแซว แม่หัวเราะ

“ไม่รู้ตอนนั้นแม่อยู่ด้วยหรือเปล่าน่ะซี”

แล้วเล่าต่อว่า

“มีผู้ชายยากจนมากที่สุดในพาราณสี ใครๆ เรียกเขาว่า

มหาทุคคตะ แปลว่ายากจนมาก

ชายบัณฑิตก็ไปชวนเขาให้ทําบุญ

เขาบอกว่าลําพังจะกินข้าวเองยังไม่มีเลย

บัณฑิตก็ชวนว่าที่จนอย่างนี้เพราะไม่เคยทําบุญให้ทาน

ดูคนอื่นสิเขาเคยให้ทานมา ได้กินดีอยู่ดี เห็นมั้ย

ท่านควรจะรีบขวนขวายทําทานมั่ง

มหาทุคคตะฟังแล้วสลดใจ และบอกว่าเขาจะเลี้ยงพระรูปหนึ่ง

วันนี้เขาจะไปรับจ้างทํางาน

บัณฑิตเห็นว่ารูปเดียวนั้นน้อย เลยไม่ได้จดไว้”

“อ้าว แย่จังเลย ชวนเขาเองนะเนี่ย” จิตกระจ่างโวย

“ตอนนี้มหาทุคคตะยังไม่รู้ กลับบ้านเล่าให้เมียฟัง

เมียเป็นคนดี พอรู้เรื่องก็ดีใจ

แล้วสองคนก็ออกไปหางานทํา

เขาไปบ้านเศรษฐีของาน เศรษฐีมีงานอยู่แล้ว

เพราะพรุ่งนี้รับเลี้ยงพระไว้เหมือนกันตั้ง ๒๐๐ รูป

จึงให้มหาทุคคตะไปผ่าฟืน

คนนี้ก็ผ่าฟืนอย่างร่าเริงผิดปกติ

เศรษฐีเห็นแล้วแปลกใจเลยถาม

พอรู้ว่ามารับจ้างทํางานจะหาเงินไปเลี้ยงพระ

ก็อนุโมทนาว่าจิตใจดี ทําสิ่งที่ทําได้ยาก

ไม่ได้เฉยเมยว่ายากจน

อุตส่าห์มาหางานทําเพื่อจะได้เลี้ยงพระ

ฝ่ายเมียก็เหมือนกัน เมียเศรษฐีให้ตําข้าว

ก็ตําข้าวอย่างร่าเริง เมียเศรษฐีถาม

พอรู้เรื่องแล้วก็ยินดีด้วยว่ามีจิตใจดี อยากจะเลี้ยงพระ

เศรษฐีให้ข้าวสาลี ๔ ทะนาน เป็นค่าจ้างแก่มหาทุคคตะ

แล้วแถมให้อีก ๔ ทะนาน เพราะชอบใจเขา

เมียเศรษฐีก็ให้เนยใสขวดหนึ่ง และนมส้มกระปุกหนึ่ง

เครื่องเทศ ๑ ทะนาน ข้าวสาลี ๑ ทะนาน

พอวันรุ่งขึ้น เมียบอกมหาทุคคตะให้ไปหาผัก

เขาไปริมแม่น้ำ

เก็บผักไปก็ร้องเพลงไปด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ

คนหาปลาอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงร้องเพลงก็จําเสียงได้

มหาทุคคตะเล่าให้ฟังว่า จะทํากับข้าวเลี้ยงพระ

คนหาปลาก็แซวว่า พระต้องอิ่มมากๆ เลย เพราะมีแต่ผัก

มหาทุคคตะตอบว่าทําไงได้ คนจนก็เลี้ยงพระไปตามกําลัง

คนหาปลาเลยบอกให้เขาเอาปลาไปสิ พอเขาจะไปเอาปลา

ชาวบ้านก็มาซื้อปลา ซื้อกันไปจนหมดเลย

มหาทุคคตะบอกว่าไม่เป็นไร จะรีบกลับแล้ว

เดี๋ยวสายไม่ทันพระ

คนหาปลาเลยไปขุดเอาปลาตะเพียน ๔

ตัวที่หมกทรายไว้กะจะเอาไปกินเอง ก็ให้มหาทุคคตะไป”

“อ๊อ” จิตกระจ่างหัวเราะ “ปลาตะเพียนดํามาโผล่ตรงนี้เอง

โอ้ มีมาแต่สมัยโน้นเลยเหรอเนี่ย ปลาดึกดําบรรพ์”

“นี่แหละ บุญกุศลเกี่ยวกับปลาตะเพียน” แม่ตอบ

“เช้าวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูเวไนยสัตว์

เห็นมหาทุคคตะในข่ายพระญาณ ทรงดําริว่า

วันนี้มหาทุคคตะจะไม่ได้พระเลย

เพราะบัณฑิตไม่ได้จดชื่อไว้ เว้นเราเสียแล้ว มหา-

ทุคคตะจะไม่มีที่พึ่ง เราควรสงเคราะห์เขา”

“อ้าว แล้วไม่มีใครจองพระพุทธเจ้าหรือจ๊ะ”

“จองไม่ได้จ้ะ ต้องแล้วแต่พระองค์จะส่งบาตรให้ใครเอง

ฝ่ายมหาทุคคตะ เอาปลามาบ้านแล้วให้เมียทํากับข้าว

ในตํานานบอกว่ามีเทวดามาช่วยด้วย

ส่วนตัวเขาเองไปรับพระ เขาไปหาบัณฑิต

ถึงได้รู้ว่าไม่ได้จดชื่อเขาไว้ ก็ร้องไห้ใหญ่เลยว่า

อุตส่าห์ไปทํางานมาจะเลี้ยงพระ”

“ทํายังงี้ได้ยังไง” จิตกระจ่างคร่ำครวญแทน

“ชาวบ้านบอกบัณฑิตว่า ท่านได้ทํากรรมหนักเสียแล้ว

บัณฑิตละอายใจ บอกว่า ใครๆ เขาก็ไม่ยอมถอนชื่อแบ่งมาให้

พวกเขารับพระกลับไปบ้านกันหมดแล้ว

แต่ยังมีพระผู้ทรงคุณยิ่งใหญ่อยู่องค์หนึ่ง

คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัดนี้พระองค์ล้างพระพักตร์แล้ว

ประทับนั่งอยู่ในพระคันธกุฎี พระราชา พระยุพราช

คนใหญ่คนโตทั้งหลายเฝ้ารอรับบาตรของพระองค์อยู่

ธรรมดาพระพุทธเจ้าย่อมพอพระทัยอนุเคราะห์คนยากจน

ท่านจงไปยังที่ประทับของพระองค์ แล้วกราบทูลว่า

ข้าพระองค์เป็นคนยากจนพระเจ้าข้า

ขอพระองค์จงสงเคราะห์ข้าพระองค์ด้วยเถิด

ถ้าท่านมีบุญ ท่านจะได้พระศาสนาไปบ้านท่านอย่างแน่นอน”

“โอย อย่างนี้ต้องรีบเผ่นไปเลย” จิตกระจ่างเอาใจช่วย

“ใช่ รีบไปเลย ไปถึงพอใครๆ เห็นก็ไล่ พระราชาว่ามาทําไม

ยังไม่ใช่เวลาอาหาร ออกไปเสียเถอะ ที่ตรัสอย่างนี้

เพราะเคยเห็นมหาทุคคตะมากินอาหารที่เหลือในวิหาร

มหาทุคคตะตอบว่า

ข้าพเจ้าไม่ได้มาหาอาหาร

แต่มาทูลพระศาสดาเสด็จเสวยที่บ้านของข้าพระพุทธเจ้า

แล้วก็หมอบลงกับธรณีพระคันธกุฎี

ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ และกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์

ในพระนครนี้ขึ้นชื่อว่าผู้ยากจนกว่าข้าพระพุทธเจ้าไม่มี

ขอพระองค์ได้โปรดสงเคราะห์

และทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด

พระพุทธเจ้าก็เสด็จออกมาแล้วยื่นบาตรให้”

“โอ ปลื้มสุดๆ” จิตกระจ่างร้อง

“เป็นธรรมดาว่า ถ้าพระพุทธเจ้าประทานบาตรใครแล้ว

คนอื่นยิ่งใหญ่แค่ไหน จะมาแย่งบาตรไปจากคนนั้นไม่ได้นะ

คนอื่นๆ ที่คอยอยู่ เลยอ้อนวอนขอซื้อบาตร”

จิตกระจ่างหัวเราะ “อะไร ประมูลกันตรงนั้นเลยเนี่ยนะ”

แม่หัวเราะ

“ก็บอกว่า ท่านยากจน จะเอาบาตรพระศาสดาทําไม ให้เราเถิด

เราจะให้ทรัพย์พันหนึ่ง หรือแสนหนึ่ง”

“ราคาเปลี่ยนเร็วจังแฮะ แต่จ้างก็ไม่ขายหรอก”

จิตกระจ่างตอบแทนมหาทุคคตะ

“อ้อนวอนไม่ได้ผลก็กลับไป เหลือแต่พระราชาเท่านั้น

เสด็จตามไป เพราะต้องการดูว่ามหาทุคคตะมีอะไรถวายบ้าง

ถ้าพระพุทธเจ้าเสวยไม่อิ่ม จะได้ทูลเชิญเสด็จไปวัง

แต่ตามที่ตํานานเล่าว่ามีเทวดาลงมาช่วยปรุงอาหาร

พอเปิดออกเท่านั้นกลิ่นหอมของอาหารก็ฟุ้งตลบไปเลย

พระราชายังไม่เคยได้กลิ่นอาหารอย่างนี้มาก่อนด้วยซ้ำ

พระราชาเลยกราบทูลพระพุทธเจ้าตามจริงว่าตามมาทําไม

แล้วเสด็จกลับวัง

พระพุทธเจ้าเสวยอาหารนั้น เสร็จแล้วทรงอนุโมทนา

มหาทุคคตะส่งเสด็จพระพุทธเจ้าแล้ว

ท้าวสักกเทวราชที่มาช่วยปรุงอาหาร บันดาลให้ฝนแก้ว ๗

ประการตกลงมาเต็มบ้านของมหาทุคคตะ

เขาปลื้มใจว่าได้ผลบุญทันตา ก็ไปกราบทูลพระราชา

สมัยนั้นใครมีทรัพย์สินมากๆ

เขาต้องให้บรรทุกมาที่พระลานหลวงก่อนนะ”

“แสดงทรัพย์สินส่วนตัว” จิตกระจ่างหัวเราะ

“พระราชาแต่งตั้งให้เป็นเศรษฐี

มีเงินแล้วทําบุญทําทานตลอดชีวิต ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา

เสวยทิพยสมบัติอยู่พุทธันดรหนึ่ง

คือเป็นเทวดาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ากัสสป

มาจนถึงพระพุทธเจ้าของเรานี่เลย เป็นเวลาพุทธันดรหนึ่ง

ก็มาเกิดเป็นบัณฑิตสามเณรคนนี้แหละ”

“สนุกจังจ้ะแม่ ดีจัง วันนี้ได้ทําบุญด้วย

ได้ฟังนิทานด้วย อ้อ พระลงมาจากลานแล้วจ้ะ”

จิตกระจ่างพาแม่ไปพบพระลูกชาย

แม้จะได้พูดคุยเพียงไม่กี่คํา แม่ก็ปลื้มใจ

มองตามพระลูกชายเดินกลับไปกุฏิด้วยความสุขใจ

เป็นบุญเหลือเกินแล้วที่ได้เกิดมาพบพระพุทธ-ศาสนา

และยังได้เดินตามรอยพระบาทพระศาสดาอีกด้วย

เป็นบุญแก่ชีวิตนี้ยิ่งนัก













ปุ้มเป้งชะโงกหน้าเข้ามาดูภาพเขียนที่กมลาสวาทกำลังวาด

แล้วถามว่า

“ทำไมเป็นภิกษุณีแล้ววาดเหมือนท้องป่องล่ะ

วาดผิดเรอะเปล่า”

กมลาสวาทบอกว่าไม่ใช่

“นี่เป็นรูปภิกษุณีที่มีท้อง นี่จะเอางานไปส่งครู

จะวาดรูปเล่าเรื่อง ก็ต้องวาดตอนสำคัญๆ

ถึงจะแสดงเนื้อเรื่องแทนคำพูดด้วยรูปได้

เรื่องนี้ก็จะมีสองรูป อีกรูปยังไม่ได้วาด”

“นี่เรื่องอาราย” ปุ้มเป้งยานคาง ไหลตัวลงไปนอน

“เรื่องพระมารดาของพระกุมารกัสสป”

“เล่าให้ฟังหน่อยดิ เล่าไปวาดไปก็ล่าย”

“เล่าแล้วจะหลับเปล่า หลับไปครึ่งแล้วยัง” กมลา-สวาทถาม

กลัวเสียแรงฟรี ปุ้มเป้งทำตาโต แสดงว่ายังไม่หลับ

กมลาสวาทจึงเล่าให้ฟัง

“ผู้หญิงคนนี้ ในรูปนี่ เป็นลูกสาวเศรษฐี ตอนเด็กๆ

เคยขอพ่อแม่บวช แต่พ่อแม่ไม่ยอม พอโตเป็นสาว

พ่อแม่ก็จับแต่งงาน ปรนนิบัติสามียังกะเทวดา

แต่ก็ยังขอสามีไปบวชอีก

สามีก็ใจดี๊ใจดีพาไปบวชกับสำนักพระเทวทัต แต่ก็ไปบวชโดย

ที่ไม่รู้ว่ากำลังตั้งท้องอยู่

ทีนี้บวชไปได้ระยะหนึ่ง ท้องก็โตขึ้นเรื่อยๆ

พวกภิกษุณีด้วยกัน ก็เอ๊ อะไรเนี่ย ทำไมท้อง

เจ้าตัวบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน

แต่ฉันบริสุทธิ์นะไม่ได้ผิดศีลอะไรเลย

พวกภิกษุณีพาไปหาพระเทวทัต ถามว่าทำยังไงดี

พระเทวทัตกลัวว่าสำนักตัวเองจะเสียชื่อเสียง

เลยบอกให้สึกไป

สาวเจ้าร้องไห้เสียใจที่ต้องสึก

เลยขอให้พวกภิกษุณีพาไปหาพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวัน”

“พระพุทธเจ้าก็ต้องรู้อยู่แล้วล่ะ จริงมะ” ปุ้มเป้งว่า

“ทรงเป็นสัพพัญญู เรื่องแค่นี้ง่ายจะตาย”

กมลาสวาทรับคำ มือยังคงระบายสีต่อไป

“แต่ท่านไม่มาบอกเร็วๆ อย่างนั้นหรอก

ท่านอยากให้ทุกคนแน่ใจ ก็ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล นางวิสาขา

มหาอนาถ-ปิณฑิกะ จุลอนาถปิณฑิกะ และตระกูลใหญ่ๆ อีกเยอะ

ให้มา ประชุมเป็นกรรมการตัดสิน

แล้วทรงให้พระอุบาลีเป็นประธานกรรมการสอบสวน

เวลาสอบสวน ก็ให้นางวิสาขาเป็นคนสอบ

นางวิสาขาให้กั้นม่าน พากันเข้าไปข้างใน แล้วดูมือดูเท้า

ดูสะดือ ดูท้องน้อย นับวันนับเดือนดู

รู้ว่าตั้งท้องมาตั้งแต่ก่อนบวช

เป็นอันแจ่มแจ้งสบายใจกันไป

ต่อมาออกลูกมาเป็นผู้ชาย เลี้ยงกันอยู่ในวัดนั่นแหละ

วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จผ่านสำนักภิกษุณี

ได้ยินเสียงเด็กร้อง ทราบว่าเป็นลูกชายภิกษุณี

เลยรับไปเลี้ยงในวัง พระราชทานนามว่า กัสสป ใครๆ

ก็เรียกว่า กุมารกัสสป”

กมลาสวาทระบายสีเสร็จแล้ว เริ่มระบายสีรูปที่ ๒

ปุ้ม-เป้งชะโงกเข้ามาดูอีก กมลาสวาทยังเล่าต่อ

“พอโตขึ้น เวลาไปเล่น จะถูกเด็กอื่นๆ แซวว่าไม่มีพ่อแม่

กุมารกัสสปทูลถามพระราชา พระราชาบอกว่าพวกแม่นมไงล่ะแม่

เขาบอกว่า แม่ต้องมีคนเดียว ไม่ใช่มีหลายๆ คน

ก็อ้อนวอนจนรู้ความจริง

พอรู้แล้วสลดใจ พออายุครบบวช ก็ขอบวชเลย เรียกชื่อว่า

กุมารกัสสปเถระ

บวชแล้วก็เรียนพระกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าแล้วเข้าป่า

แต่ทำความเพียรเท่าไหร่ก็ไม่บรรลุ

เลยคิดว่าจะกลับมาให้พระพุทธเจ้าบอกกรรมฐานมากขึ้นอีก

จึงเดินทางมาเฝ้า พอกลางคืนก็ค้างที่อันธวัน

ภิกษุรูปหนึ่งเคยเป็นเพื่อนกันในสมัยพระกัสสปสัมมา-สัมพุทธเจ้า

สมัยนั้นเพื่อนคนนี้ได้บรรลุอนาคามี แล้วไปเกิดในพรหมโลก

คืนนั้น เพื่อนคนนี้ก็ลงมาหาแล้วถามปัญหา ๑๕ ข้อ

แล้วบอกว่า ท่านจงนำปัญหานี้ไปทูลถามพระพุทธเจ้า

จะมีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะตอบได้

รุ่งขึ้น พระกุมารกัสสปนำปัญหาไปทูลถามพระพุทธเจ้า

พอพระองค์ตอบปัญหาจบ

พระกุมารกัสสปก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เลย”

“แหม ถ้าเราบรรลุมั่งก็ดีซีนะ”

ปุ้มเป้งว่าดูรูปที่ระบายสีใหม่

เป็นรูปพระหนุ่มยืนสงบนิ่งเฉย แต่ภิกษุณีร้องไห้

“เนี่ยนะรูปที่สอง”

กมลาสวาทรับคำ และเล่าเรื่องไปด้วย

“นี่รูปของภิกษุณีคนแม่

เป็นแม่ก็คิดถึงลูกร้องไห้ทุกวันด้วยความคิดถึง

รูปนี้เป็นตอนที่ออกไปบิณฑบาต แล้วไปเจอพระลูกชาย

ก็รีบเดินไปร้องเรียก ‘ลูกๆ’ วิ่งเข้าไปจะจับต้องลูกชาย

แต่พระก็ถอย ไม่ยอมให้จับ แล้วพระท่านเลยคิดว่า เนี่ย

ถ้าพูดจาดีๆ ด้วย ก็จะรักจะอาลัยอยู่อย่างนี้แหละ

ไม่ได้ไปถึงไหน เลยพูดเสียงแข็งๆ ว่า

“เที่ยวทำอะไรอยู่ตั้ง ๑๒ ปี

ถึงตัดไม่ได้แม้แต่เรื่องความรัก”

แม่ก็สะอึก รู้สึกว่าลูกชายไม่พูดดีกับตัวเอง

อุตส่าห์ร้องไห้คิดถึงมานาน หวังจะได้ชื่นใจ

กลับมาดุเราเสียนี่ จะรักลูกแบบนี้ไปทำไม

ก็เลยตัดอาลัย กลับไปบำเพ็ญสมณธรรม ทำความเพียร

ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์วันนั้นเลย”

“บรรลุอีกแล้ว โอ๊ย ทำไมง่ายจัง” ปุ้มเป้งร้อง

กมลา-สวาทหัวเราะ

“ไม่ง่ายไปทุกคนหรอก การบรรลุนี่ ง่ายสำหรับบางคน

ยากสำหรับบางคน

อย่างพระเจ้าปเสนทิโกศลฟังธรรมตลอดไปจนถึงอายุ ๘๐

แต่ไม่ได้บรรลุอะไรเลย แต่พาหิยะฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ ๔

ประโยค บรรลุเป็นพระอรหันต์เลย”

“เรียกว่าแล้วแต่ตัวใครตัวมัน” ปุ้มเป้งหัวเราะอีก

“แต่ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้า ฮะฮะ”



กมลาสวาทยังมีเรื่องเล่าต่ออีก

“ภิกษุทั้งหลายก็มาคุยกันในธรรมสภาว่า

ภิกษุณีและพระกุมารกัสสป ถูกพระเทวทัตไล่ออกจากสำนัก

ทำให้หมดโอกาสแล้ว

แต่พระพุทธเจ้ากลับเป็นที่พึ่งของทั้งสอง พระพุทธเจ้า

ทรงเป็นผู้อนุเคราะห์โลกจริงๆ

พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมาธรรมสภา แล้วตรัสว่า

เราจะเป็นที่พึ่งแต่ในเวลานี้ก็หาไม่

เมื่อก่อนก็เคยเป็นที่พึ่งมาแล้วทรงเล่าเรื่องในอดีตชาติให้ฟังว่า

มีเนื้ออยู่ ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีหัวหน้าชื่อนิโครธ

อีกกลุ่มหนึ่งหัวหน้าชื่อสาขะ

พระราชาต้องการเนื้อไปทำอาหาร จึงตกลงกันว่า

ในเนื้อทั้งสองกลุ่มนั้น ให้ผลัดกันส่งเนื้อมาวันละตัว

ให้มานอนเอาคอพาดเขียงไว้ รอเจ้าหน้าที่”

ปุ้มเป้งส่ายหัวดิก ทำท่าห่อไหล่ “คิดผิดคิดใหม่ได้นา

หวาดเสียวออก”

“วันหนึ่ง เป็นเวรของกลุ่มสาขะ

แม่เนื้อตัวหนึ่งก็มีท้องใกล้คลอดแล้ว

เลยไปขอสาขะว่าวันนี้ให้ส่งตัวอื่นไปแทนก่อน

ขอออกลูกก่อนนะ แล้ววันหลังจะไปในวันของเนื้อตัวที่ไปแทน

แต่สาขะไม่ยอม

แม่เนื้อเลยไปหานิโครธ เล่าให้ฟัง นิโครธเลยไปแทนเอง

ไปนอนเอาคอพาดเขียงไว้ รอเจ้าหน้าที่

พอเจ้าหน้าที่มาเห็นนิโครธก็ฆ่าไม่ได้

เพราะพระราชาอภัยโทษให้นิโครธกับ สาขะแล้ว

ถามว่าทำไมมานอนที่นี่ นิโครธเล่าเรื่องแม่เนื้อให้ฟัง

เจ้าหน้าที่ไปทูลพระราชา พระราชาเลยยกโทษให้นิโครธ

ยกโทษให้นางเนื้อ แล้วยกโทษให้เนื้อทุกๆ ตัวไปหมดเลย”

“เฮ้ ดีจัง” ปุ้มเป้งตบมือดีใจ “รอดตัวรอดตาย”

“แม่เนื้อพอออกลูกแล้ว

ต่อมาเห็นลูกของตัวไปเที่ยววิ่งเล่นอยู่ในกลุ่มของนิโครธบ้าง

ในกลุ่มของสาขะบ้าง ก็เรียก ลูกมาสอนว่า

เจ้าควรคบเนื้อชื่อนิโครธเท่านั้น อย่าไปคบพวกสาขะ

ถ้าจะต้องตายอยู่ในกลุ่มนิโครธ

ยังดีกว่ามีชีวิตอยู่ในกลุ่มสาขะ

พระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่าเนื้อชื่อสาขะเป็นพระเทวทัต

บริวารของเนื้อสาขะเป็นบริวารของพระเทวทัต

แม่เนื้อตัวที่ถึงเวรถูกฆ่าเป็นภิกษุณี

ลูกเป็นพระกุมารกัสสป ส่วนเนื้อชื่อนิโครธคือ

พระพุทธเจ้าเอง





แล้วพระพุทธเจ้าก็นำเรื่องที่ภิกษุณีตัดความรักความอาลัยในลูกชายได้

ทำให้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ มาสอนว่า

ภิกษุทั้งหลาย คนที่อาศัยผู้อื่นไม่สามารถจะไปสวรรค์

หรือทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งได้

คือบรรลุเป็นพระอรหันต์ไม่ได้นั่นเอง เพราะฉะนั้น

ตนนั่นแหละชื่อว่าเป็นที่พึ่งของตน

คนอื่นใครเล่าจะพึ่งได้ คนที่ฝึกตนดีแล้ว

ย่อมได้ที่พึ่งซึ่งได้โดยยาก”

“หมายความว่า ถ้าเราฝึกตัวเราเองดีแล้ว

เราก็ได้ตัวเองนี่ล่ะเป็นที่พึ่งและเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดด้วย”

ปุ้มเป้งขยายความ

“ใช่ แต่บางคนคอยแต่จะพึ่งคนอื่นไง

เอะอะอะไรก็ใครมาช่วยฉันที ไม่ยอมพึ่งตัวเองเลย

อย่าว่าแต่จะมาทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเองได้

เราไม่ควรทำอย่างนั้น เราต้องพยายามพึ่งตัวเอง

โดยเฉพาะเรื่องบุญกุศล ต้องรีบขวนขวายทำเอง

อย่ามัวเสียเวลาไปคอยดูคนอื่นเขาอยู่นั่นแหละเสียโอกาส”

“เพราะชีวิตนี้สั้นนัก” ปุ้มเป้งต่อให้อีกประโยคหนึ่ง

“วาดเสร็จยัง จะได้รีบไปทำบุญกัน ไม่งั้นเดี๋ยวหลับนะ”

ปุ้มเป้งขู่





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มฆมานพ





เมื่อเสียงเพลงออกกำลังกายจบลง

พิมลยุพาวิ่งมาที่กองกระเป๋าไว้เป็นคนแรก

คว้าขวดน้ำขึ้นมาดื่มอึกๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นสนาม

เทียมอุษาเดินตามมา ดื่มน้ำแล้วนอนแผ่ลงไปเลย

หอบหายใจฮักๆ พิมลยุพาหันไปมองทางเวที

เห็นรสสุคนธ์กำลังช่วยอาจารย์เก็บเครื่องขยายเสียงอยู่

“เฮ้อ เหนื่อยดีวันนี้ เกือบจะหิวข้าวแล้ว”

เทียมอุษาค่อยหายหอบ

“ไม่ใช่เกือบหรอก หิวไปแล้ว กินน้ำรองท้องก่อน”

ทั้งสองรอจนรสสุคนธ์กลับมารวมกลุ่ม จึงออกเดินไปตามถนน

สวนดอกไม้เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์สีสันสดใส

เด็กหญิงเล็กๆ ขี่จักรยานผ่านไป ดีดกระดิ่งกรุ๋งกริ๋งๆ

แข่งกับเพื่อน สายลมพัดมาเอื่อยอ่อน

ค่อยให้คลายร้อนจากการที่สามสาวกระโดดโลดเต้นมาตลอดชั่วโมง

เดินข้ามสะพานที่ทอดผ่านสระบัวมาก็ถึงศาลาไม้

ที่มีหลังคาออกแบบเรือนไทยสวย

เชิงชายประดับด้วยลายฉลุรูปเถาองุ่น

เป็นศาลาที่เทียมอุษาชอบมาก อยากมานั่งทุกวัน

ชอบมากขนาดเคยบอกว่าอยากจะยกกลับบ้าน

“วันนี้นั่งไม่ไหว หิวข้าว ไปหาข้าวกินดีกว่า”

พิมลยุพา รีบดักคอ เทียมอุษาเห็นด้วย แต่ก็ไม่วายเปรย

“ถ้ายกข้าวมากินที่นี่ได้ จะอร่อยมากเลย”

รสสุคนธ์หัวเราะ “เขาไม่ให้เอาอาหารเข้ามา

ถ้าให้เอาเข้ามา จะให้นั่งคอยตรงนี้แหละ

เดี๋ยวจะยกมาให้”

“ขอบจาย ม่ายต้อง” เทียมอุษายิ้มอายๆ ปรายหางตาดูศาลา

ก่อนจะเดินต่อไป

“ศาลาใครทำมาไม่รู้ ถ้าคนทำรู้คงจะปลื้มใจมากเลย”

รสสุคนธ์แซว

“คนทำศาลามีปลื้มตั้งแต่ตอนคิดทำแล้วล่ะ

อย่างเรื่องมฆมานพ (อ่านว่า มะ-ฆะ-มา-นพ) ไง

สร้างศาลาเยอะเลย” พิมลยุพาอธิบาย

“เหรอ” เทียมอุษาแปลกใจ “สร้างไว้ที่ไหน ทำไมถึงเยอะ”

พิมลยุพาเล่าว่า “คือเขาสร้างไปเรื่อยๆ ไง

ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะสร้างเยอะแยะหรอก

วันหนึ่งเขาออกไปนอกบ้าน

แล้วไปหยุดพักผ่อนอยู่ที่แห่งหนึ่ง

ก็เลยทำตรงนั้นให้ดูดีน่ารื่นรมย์น่าพัก

ทำเสร็จพอจะเข้าไปพัก มีผู้ชายคนหนึ่งมาเห็นเข้า

ก็ดึงเขาออกแล้วไปอยู่แทน”

“อ้าว” เทียมอุษาหัวเราะ

รสสุคนธ์บอกว่า “ก็คือแย่งกันดื้อๆ อย่างนั้นแหละ”

พิมลยุพาเล่าต่อ “มฆมานพเห็นว่า

คนที่มาแย่งที่อยู่ของตัวนั้นมีความสุข

เพราะเขาสร้างที่ไหนๆ ก็ถูกแย่งหมด

เขาพอใจที่เห็นคนอื่นมีความสุข ก็เลยเริ่มทำไปเรื่อยๆ

คือทำให้คนอื่นไปเลย ใครอยากมาพักก็มา

หน้าหนาวยังก่อไฟแถมให้ด้วย หน้าร้อนก็เอาน้ำมาให้”

“ใจบุญใจกุศลแท้ๆ นะ” เทียมอุษาอนุโมทนา

“เลยตกลงใจสร้างไปทั่ว

ไม่รู้ที่นี่มาสร้างด้วยหรือเปล่า” รสสุคนธ์ว่า

เทียมอุษาค้อนให้

พิมลยุพาร้องว่า

“เฮ้ย คนละยุค นั่นมันยุคอินเดียโน้น” แล้วก็เล่าต่อ

“ต่อมาก็มีคนชอบใจ เลยมาช่วยกันทำด้วย ทำไปๆ

ได้เจ้าภาพร่วม ๓๓ คน ทำให้สร้างที่พักได้มากมาย

ทีนี้ผู้ใหญ่บ้านริษยา ไม่อยากให้พวกเขาทำอย่างนั้น

บอกว่า คนครองเรือนควรเข้าป่าหาเนื้อหาปลามา

แล้วต้มเหล้ากินกันจึงจะเหมาะ”

“ตัวจะได้กินมั่ง” รสสุคนธ์แทรก

“เขาพยายามห้าม พอห้ามไม่ฟังก็โกรธ ไปกราบทูลพระราชาว่า

มีโจร ๓๓ คน คุมกันเป็นพวก พระราชาไม่ถามอะไร จับมาเลย

แล้วสั่งให้ช้างเหยียบ”

“อ้าว ตายสิ ไหงงั้นล่ะ เป็นพระราชาได้ไง”

เทียมอุษาโวยวาย รสสุคนธ์หัวเราะ “ทรงลืมไป”

พิมลยุพาเล่าต่อ “มฆมานพบอกเพื่อนๆ ว่านอกจากเมตตาแล้ว

ไม่มีที่พึ่งอย่างอื่นเลย ขอให้แผ่เมตตาไปยังพระราชา

ผู้ใหญ่บ้าน ช้างที่จะมาเหยียบด้วย

แล้วก็แผ่ให้ตัวเองด้วย ในเมตตาเท่าๆ กันหมด

อย่าโกรธใครเลย

ด้วยอานุภาพของเมตตา ช้างก็เข้าไปใกล้คนทั้ง ๓๓

คนไม่ได้ พระราชาคิดว่าช้างกลัวคน

ให้เอาเสื่อลำแพนคลุมคนไว้ไม่ให้ช้างเห็น

แต่ช้างก็ยังไม่เข้าใกล้อยู่ดี”

“อันนี้อย่าไปลองเชียว ไม่รู้เราแผ่เมตตาถูกอ๊ะปล่าว

เดี๋ยวโดนช้างเหยียบ ถ้าจะลองก็ลองกับแมวก่อน”

รสสุคนธ์แนะนำเทียมอุษา

“พระราชาสงสัย เลยเพิ่งจะเอามาสอบสวน ถามว่า

พวกเจ้าไม่ได้อะไรจากเราหรือ ถึงได้ทำอย่างนี้

มฆมานพถามว่า ทำอย่างไหน

เขาว่าเจ้าคุมกันเป็นพวกโจรอยู่ในป่า

ใครกราบทูลอย่างนั้น พระเจ้าข้า

ผู้ใหญ่บ้าน

มฆมานพก็อ๋อเลย ทูลพระราชาว่า ผู้ใหญ่บ้านใส่ความ

ชวนแต่ทำเรื่องอกุศล ให้ฆ่าสัตว์ ให้ต้มเหล้า

พวกตนชอบทำที่พักฟรีให้คนเดินทางต่างหาก เนี่ย

ผู้ใหญ่บ้านโกรธจึงมาใส่ความ

พระราชารู้เรื่องหมดแล้วก็ขอโทษ

แล้วยกผู้ใหญ่บ้านกับลูกเมียให้มาเป็นทาสรับใช้ของมฆมานพซะเลย

ช้างที่จะมาเหยียบก็ยกให้ไปขี่

แล้วยกหมู่บ้านนั้นให้ด้วย ทั้งหมู่บ้านเลย”

“ต้องยังงี้ซี เท่ซะไม่มี” รสสุคนธ์ชอบใจ

“ชายหนุ่มทั้ง ๓๓ คน ดีใจว่าได้ผลบุญทันตาเห็น

เปลี่ยนกันขี่ช้างไปปรึกษากันอยู่เสมอว่า

พวกเราน่าจะทำอะไรให้ยิ่งขึ้น

ตกลงว่าจะสร้างศาลาแบบถาวรตรงสี่แยกถนนใหญ่

ให้หาช่างไม้มาสร้างศาลานั้น

มีข้อห้ามว่าไม่ให้มีผู้หญิงมาเอี่ยวในการสร้างศาลา”

“อ้าว” เทียมอุษาร้อง

“ว่าแล้ว” รสสุคนธ์เบ้ปาก “ธรรมดา”

“มฆมานพมีเมีย ๔ คนชื่อ สุนันทา สุจิตรา สุธรรมา

และสุชาดา

สุธรรมาอยากจะร่วมกุศลในการสร้างศาลาบ้าง

เลยจ้างช่างไม้ให้ทำช่อฟ้าให้ พอทำเสร็จก็เอาไปซ่อนไว้

แล้วเขียนชื่อที่ช่อฟ้านั้นว่า ศาลาสุธรรมา”

“โอ้ เจ๋งสะดุด สุดเจ๋งเลย” รสสุคนธ์ร้อง

เทียมอุษาหัวเราะก๊าก

ทั้งสามสาวเดินมาถึงร้านอาหารปากทางสวนสาธารณะ

เป็นร้านจัดแบบสวนเหมือนกัน มีน้ำตกเล็กๆ อยู่ด้านข้าง

“เอายำศาลาทอง” รสสุคนธ์สั่ง บ๋อยยิ้มๆ

อย่างรู้ทันว่าโดนแซวอะไรสักอย่าง แต่ก็ตอบอย่างสุภาพว่า

“ศาลายังไม่มาครับวันนี้ มีแต่ปลากระบอกนึ่ง”

“เฮ้อ เอามาสักกระบอกหนึ่งก่อนก็ได้นะจ๊ะ”

รสสุคนธ์สั่งต่อ พิมลยุพาสั่งอาหารจนครบ

เทียมอุษาเท้าคางตาแป๋ว อยากรู้ว่า

แล้วจะเอาช่อฟ้าไปติดศาลาได้ยังไง

ในเมื่อพวกผู้ชายเขาสั่งห้ามอยู่

พิมลยุพาอธิบายวิธีการว่า

“ช่างไม้เป็นใจ แกล้งทำเป็นลืมทำช่อฟ้า

พอศาลาเสร็จใช่มั้ย จะทำพิธียกช่อฟ้า

ทำเป็นตกใจว่าช่อฟ้าไม่มี ลืมทำ พวกมฆมานพบอกไม่เป็นไร

พวกเราจะหาช่อฟ้าเอง เขาก็อ้างโยเยว่า ไม่ด้ายยยย

ทำช่อฟ้าด้วยไม้ตัดใหม่ๆ ไม่ได้

ต้องได้ไม้ช่อฟ้าที่ถากไว้ดีแล้ว ทิ้งให้แห้งดีเลย

จึงจะใช้ได้

พวกผู้ชายไม่รู้จะทำยังไง

ช่างไม้แนะนำว่ามีขายอยู่ที่หนึ่ง ไปขอซื้อดีกว่า

ทั้งหมดเดินหาบ้านที่ขายช่อฟ้า มาพบที่บ้านสุธรรมา

ขอซื้อ นางก็ไม่ยอมขาย บอกว่าจะให้เปล่า จะทำบุญ

พวกมฆ-มานพก็ยืนยันว่าจะจ่าย ไม่ยอมให้ร่วมบุญ”

“แหม...แหม...แหม....” รสสุคนธ์คำราม

ยกแก้วน้ำมะนาวขึ้นดูดแก้คันหัวใจ

“ช่างไม้บอกว่า ยกเว้นพรหมโลกแล้ว

ไม่มีที่ไหนเลยจะไม่มีผู้หญิง รับช่อฟ้าไปเถอะ

งานจะได้สำเร็จ พวกมฆมานพเลยยอมรับช่อฟ้า”

เทียมอุษายิ้มชอบใจ และโล่งอก

“ศาลานั้นแบ่งเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งสำหรับคนทั่วไป

ส่วนหนึ่งสำหรับคนยากจน อีกส่วนหนึ่งสำหรับคนป่วย

พวกเขาปูกระดาน ๓๓ แผ่นใหญ่ แล้วสั่งช่างไว้ว่า

แขกมานั่งบนแผ่นกระดานของผู้ใด จงพาแขกไปบ้านของผู้นั้น

วันนั้น ผู้นั้นจะเป็นคนรับรอง

ให้ความสะดวกสบายกับแขกทุกอย่าง

แล้วเขาปลูกต้นทองหลางไว้ต้นหนึ่งใกล้ๆ ศาลา

แล้วทำเก้าอี้หินไว้โคนต้นไม้ให้คนนั่งเล่น

คนที่มาพบศาลาบอกกันว่า ไปศาลาสุธรรมา

เลยไม่มีใครรู้ชื่อสหาย ๓๓ คนเลย”

“สมควร” รสสุคนธ์ เสียงราบเรียบมาก

พิมลยุพากับเทียมอุษาหัวเราะ

เทียมอุษาตบหลังตบไหล่รสสุคนธ์ พลางโบกมือพัดให้ “ใจเย็น

ใจเย็น ให้อภัย”

พิมลยุพาเล่าต่อ

“สุธรรมาเป็นคนฉลาดในการทำบุญ และหาชื่อเสียง

ฝ่ายนางสุนันทาก็คิดว่า เราควรจะมีส่วนบ้าง

ธรรมดาคนมาพักผ่อน ย่อมต้องการน้ำดื่มน้ำอาบ

เราควรให้ขุดสระมีบัว เลยให้ขุดสระโบกขรณีขึ้น

ชื่อสระสุนันทา

นางสุจิตราให้สร้างสวนดอกไม้อันสวยงาม

คนทั้งหลายเรียกกันว่า สวนสุจิตรา”

“ตกลงทุกคนได้ถูกเรียกชื่อกันหมดเลย เพราะมีสวนมีสระ

เป็นรูปธรรมให้เรียกชื่อเจ้าของได้” เทียมอุษาสรุป

“เอ๊ เขามีเมีย ๔ คนนี่ คนสุดท้องชื่ออะไรนะ”

รสสุคนธ์นับ พิมลยุพาตอบว่า

“ชื่อสุชาดา คนนี้เป็นหลานด้วย

เธอก็คิดว่าตัวเองเป็นทั้งหลานทั้งเมีย

ฉะนั้นรับผลประโยชน์ร่วมกัน

มฆมานพทำอะไรก็ชื่อว่าฉันทำด้วย ทำนองนั้น

เลยไม่ได้ทำอะไรเลย วันๆ แต่งตัวอย่างเดียว”

“อ้อ ดี แล้วไป” รสสุคนธ์ยอมแพ้

“ไม่ใช่งั้นซี พอตายไป ไปเกิดเป็นนกยาง

ร้อนถึงท้าวสักกะมาช่วยเหลือ ด้วยการให้รักษาศีล

ทำจิตใจให้มีเมตตากรุณา ตอนหลังได้ไปเกิดเป็นเทพอัปสร”

“เหรอ งั้นคนอื่นๆ ล่ะ ต้องได้เกิดดีหมดแน่ๆ เลย”

เทียมอุษารำพึง รสสุคนธ์แย้ง

“เกิดดีๆ จ้ะ ไม่ใช่เกิดดีหมด ดีหมด แล้วจะไปเหลืออะไร”

พิมลยุพาชี้แจง “มฆมานพไปเกิดเป็นท้าวสักกะในภพดาวดึงส์

สหาย ๓๒ คน ก็เกิดที่ดาวดึงส์เหมือนกัน

นายช่างเกิดเป็นวิศวกรรมเทพบุตร นางสุธรรมา สุนันทา

สุจิตรา ก็ไปเกิดเป็นเทพอัปสร ที่ดาวดึงส์ ส่วนช้าง

จำช้างได้มั้ย ช้างไปเกิดเป็นเทพบุตรชื่อเอราวัณ”

“เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้” รสสุคนธ์จบธรรมกถา

พิมลยุพาสรุปว่า “พระพุทธเจ้าสอนว่า

เราควรสั่งสมบุญด้วยความไม่ประมาท”

เทียมอุษาเอ่ยสาธุ รู้สึกอิ่มใจกับเรื่องราวที่ได้ฟังมา

“วันนี้มีความสุขจังได้ฟังเรื่องดีๆ สบายใจ”

รสสุคนธ์สอนว่า “เดี๋ยวกลับไปบ้าน

ยกศาลามาไว้หน้าบ้านนะ ให้คนมาพักผ่อน

แล้วอย่าลืมติดป้ายด้วยว่า ศาลาเทียมอุษา”







 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระโกณฑธานเถระ





วันชนะกับพิณไพเราะ ไปงานแต่งงานเพื่อนซึ่งจัดในสวน

สีของไฟตามจุดต่างๆและไฟประดับต้นไม้ทำให้บรรยากาศสดใส

เด็กหญิงเล็กๆ แต่งตัวน่ารักเหมือนนางฟ้า

สวมชุดกระโปรงพองฟูกับเพื่อนอีกคนกำลังดึงเชือกลูกโป่งที่ผูกตามเก้าอี้เล่น

พลางส่งเสียงหัวเราะชอบใจ

เสียงเพลงจากนักสีไวโอลินแว่วหวาน ทำให้ค่ำคืนงดงาม

พิณไพเราะรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศยามค่ำ

วันชนะเดินมาที่โต๊ะพร้อมกับเครื่องดื่ม

แล้วนั่งลงเล่าให้ฟังว่าไปแกล้งเพื่อนเจ้าสาวคนหนึ่ง

โดยทำตัวเป็นแฟนเก่าให้คู่หมั้นของเพื่อนหึงเล่น

พิณไพเราะ บอกว่าเป็นเรื่องไม่ดีที่ทำอย่างนั้น

เดี๋ยวเขาเกิดไม่เชื่อใจกันทีหลังจะเดือดร้อน

วันชนะยักไหล่

“ล้อเล่นน่ะ ก็บอกความจริงไปแล้วว่าไม่ใช่”

“ตอนนี้เขาก็ยอมรับล่ะว่าเธอไม่ใช่

แต่วันหลังอาจจะมีอะไรสะกิดใจ

ทำให้เขาคิดว่าเธออาจจะแกล้งบอกว่าไม่ใช่”

“อะไรจะระแวงกันขนาดนั้น ยังงี้เป็นแฟนกันยาก”

วันชนะยังไม่ยอมแพ้

“บาปกรรมนา” พิณไพเราะว่า วันชนะมองหน้าอย่างสงสัย

พิณไพเราะหัวเราะเบาๆ

“เดี๋ยวจะยกตัวอย่างในนิทานให้ฟังนะ มีพระรูปหนึ่งชื่อ

โกณฑธาน พอบวชวันแรก

ก็มีคนเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งคอยเดินตามท่านไปอยู่เสมอ

เวลาคนตักบาตรเขาก็จะบอกว่าให้ท่านส่วนหนึ่ง

อีกส่วนหนึ่งให้ผู้หญิงที่ติดตามท่าน”

วันชนะงง “แล้วผู้หญิงไปตามท่านทำไมล่ะ”

พิณไพเราะ หัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า

“ไม่มีผู้หญิงติดตามท่านจริงๆ หรอก เป็นภาพลวงตา

ตัวท่านเองไม่เห็น แต่ใครๆ จะเห็นอย่างนั้นกันหมด”

“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ” วันชนะเริ่มสนใจ

“เป็นเพราะกรรมที่เคยทำมาน่ะ

เป็นกรรมเก่าตั้งแต่สมัยที่ยังมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า

กัสสป

เป็นพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้าพระพุทธเจ้าของเราองค์นี้นะ”

“โอ้โห นานจัง” วันชนะร้อง

“สมัยนั้น มีพระสองรูปเป็นเพื่อนกัน

สนิทสนมกลมเกลียวกันเหมือนพี่น้องเลย

วันหนึ่งก็จะไปทำอุโบสถ เดินๆ ไปพระองค์หนึ่งก็ปวดท้อง

ขอหลบไปหลังพุ่มไม้ทำธุระหน่อย อีกองค์ก็ยืนคอย

ตอนนั้นมีเทวดาตนหนึ่งก็เห็นพระสององค์นี้สนิทสนมกันจัง

อยากให้แตกแยกกัน”

“อ๊ะ เทวดาเกเร” วันชนะว่า

“พอพระทำธุระเสร็จเดินกลับออกมา เทวดาก็ปลอมเป็นหญิงสาว

เดินตามออกมา

ทำเป็นจัดผ้าจัดผ่อนเกล้ามวยผมใหม่ให้เรียบร้อย

แล้วก็เดินแยกไป

พระที่ยืนคอยเห็นอย่างนั้น ก็ว่าท่านผิดศีลแล้ว

เห็นกับตานี่ พอไปที่โรงอุโบสถ ก็ไปเล่าให้ใครๆ ฟัง

แล้วไม่ยอมร่วมอุโบสถด้วยแล้ว”

“ไหนว่ารักกันไง” วันชนะเหน็บ

“ทีนี้เทวดาเห็นท่าไม่ดี เรื่องชักจะไปกันใหญ่

วุ่นวายไปทั้งโรงอุโบสถแล้ว

เลยเหาะมาปรากฏตัวเล่าความจริงให้ฟัง จนเรื่องสงบลง

แต่พระทั้งสองยังไม่ค่อยสนิทใจกันดีเท่าไหร่พอตายลงพระสององค์ก็ไปเกิดในเทวโลก

แต่เทวดาสิตายลงไปตกนรกอยู่นานพุทธันดรหนึ่งเลย”

“นานเท่าไหร่” วันชนะถาม

“พุทธันดรหนึ่ง ก็จากพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง

ตรัสรู้และประกาศศาสนานานจนศาสนาของท่านเสื่อมไปหมด

แล้วไม่มีพระพุทธเจ้าไปอีกนาน

จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งมาตรัสรู้มาประกาศศาสนาใหม่

เรียกว่านานมากเลยทีเดียวล่ะ”

“โอ้โห ตายยยยเลย” วันชนะคราง

“ก็จนมาถึงยุคพระพุทธเจ้าของเรานี่เลยล่ะ

เทวดาองค์นั้นถึงได้มาเกิดใหม่ พอโตก็บวช

พอบวชก็มีคนเห็นว่ามี ผู้หญิงมาเดินตามต้อยๆ

พอใครๆ เห็นอย่างนั้น ก็นึกรังเกียจ

ไปฟ้องอนาถปิณฑิกเศรษฐี เจ้าของวัดเชตวัน

ให้ไล่พระโกณฑธานออกไปจากวัด เศรษฐีถามว่า

พระพุทธเจ้าประทับอยู่ไม่ใช่หรือ

พอทราบว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ เศรษฐีบอกว่า

พระองค์คงจะทรงทราบดี

แล้วไปฟ้องนางวิสาขา เจ้าของบุพพาราม อย่างนั้นอีก

นางวิสาขาตอบแบบเดียวกัน

พวกพระไปหาพระเจ้าปเสนทิโกศล ขอให้ไล่ออกจากแคว้น”

“อะไรจะขนาดนั้น ตามไม่เลิกเลยหรือ” วันชนะรำคาญ

“พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จมาที่วัดเชตวัน

ให้ทหารล้อมกุฏิพระโกณฑธานไว้ ทรงประทับหน้ากุฏิ

พระโกณฑธานออกมาต้อนรับ แล้วนั่งลง พระราชาเข้าไปหา

แต่ไม่เห็นผู้หญิง ถามว่า

สตรีที่อยู่ข้างหลังท่านตอนนี้ไปไหน พระตอบว่า

อาตมาไม่เห็นสตรีนั้นเลย

แต่พระราชาทรงยืนยันว่าเห็น

เลยลองนิมนต์ให้ท่านไปยืนที่หน้ามุข

เห็นผู้หญิงยืนอยู่ข้างหลัง พอกลับมานั่งที่เดิม

ผู้หญิงก็หายไป พระราชาก็ เอ๊ะ หายไปไหน

ลองทำอย่างเก่าใหม่อีกรอบ ก็เหมือนกัน

เลยรู้ว่าเป็นภาพหลอน จึงกล่าวกับพระเถระอย่างกรุณาว่า

พระคุณเจ้า การมีรูปอันเศร้าหมองแก่สมณเพศ

มาเที่ยวติดตามอย่างนี้ไม่เป็นมงคล ใครๆ

จะไม่ถวายอาหารท่าน

ขอท่านเข้าไปในวังรับอาหารบิณฑบาตของข้าพเจ้า

แล้วก็เสด็จกลับ”

วันชนะหัวเราะครึกครื้น

“เอาละซี กลายเป็นอย่างนั้นไป มิยุ่งกันใหญ่รึเนี่ย”

พิณไพเราะ พยักหน้า

“เป็นเรื่องเลยทีเดียวล่ะ

พระภิกษุไปป่าวร้องว่าพระราชากลายเป็นคนชั่วไปแล้ว

ไปปวารณาด้วยปัจจัย ๔ แทนการไล่ออกจากวัด

ฝ่ายพระโกณฑธานก็กำเริบใจ ถือว่ามีพระราชาหนุนหลัง

เริ่มเถียงกับพระอื่น เวลามีใครมาว่า ก็ไปว่าพระอื่นๆ

ว่า พวกท่านนั้นแหละทุศีล พวกท่านนั่นแหละชั่วช้า

พวกท่านพา ผู้หญิงเที่ยวไป

ภิกษุพากันไปฟ้องพระพุทธเจ้า ทรงเรียกมาทั้งสองฝ่าย

ตรัสถามโกณฑธานก่อนว่าทำไมพูดอย่างนั้น เขาตอบว่า

พระอื่นๆมาว่าข้าพระพุทธเจ้าก่อน

ทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่าไปว่าเขาก่อนทำไม ภิกษุทูลว่า

เพราะข้าพระพุทธเจ้า เห็น

ผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามหลังพระโกณฑธานอยู่เสมอ พระเจ้าข้า

พระศาสดา จึงตรัสกับโกณฑธานว่า

“ภิกษุเหล่านั้น เห็นหญิงเที่ยวไปกับเธอ

จึงกล่าวเช่นนั้น

แต่เธอไม่เห็นหญิงเที่ยวไปกับภิกษุเหล่านั้น

ไฉนจึงไปด่าว่าเขา

การที่เธอมีภาพหญิงเที่ยวติดตามไปข้างหลัง

ก็เพราะกรรมอันเลวของเธอในอดีต มาตอนนี้ยังจะมีทิฏฐิผิดๆ

อีก”

ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น

ขอให้พระพุทธเจ้าเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง

พระองค์ทรงเล่าแล้วตักเตือนพระโกณฑธานว่า

“อาศัยที่เธอเคยทำชั่วอย่างนี้มา

จึงได้รับผลอันแปลกประหลาดอย่างนี้ บัดนี้

การถือทิฏฐิชั่วก็ไม่ควร เธออย่าโต้เถียงภิกษุอื่นอีกเลย

จงสงบปากสงบคำ เหมือนกังสดาลที่เขาเลาะเอาปากออกเสียแล้ว

ถ้าทำได้อย่างนี้ เธอจะบรรลุนิพพาน”

พระพุทธเจ้าแสดงธรรมต่อไปอีกว่า

“ท่านอย่าพูดคำหยาบกับใครๆ เมื่อเขาถูกด่าว่า

ก็จะด่าว่าท่านตอบมา

การพูดจาแข่งดีกันนั้นเป็นเหตุให้เกิดทุกข์โทษต่างๆ

หวนกลับมาถูกท่าน

ถ้าท่านทำตัวไม่ให้หวั่นไหว อยู่อย่างสงบเสงี่ยม

ไม่มีปากไม่มีเสียง เหมือนกังสดาลปากขาดแล้ว

ท่านจะถึงนิพพาน การพูดแข่งดีก็จะไม่มีแก่ท่าน”

พระโกณฑธานอยู่ในโอวาทของพระพุทธเจ้าไม่นานนัก

ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์”

“แหม จริงเหรอ” วันชนะกึ่งดีใจกึ่งสงสัย พิณไพเราะ

ตอบว่า

“จริงซี เราก็เอามาใช้ได้เหมือนกัน บางทีมีปัญหาอะไร

ถ้าเราสงบใจได้ อย่าไปสนใจปัญหานั้น

มุ่งแต่งานที่เป็นจุดมุ่งหมายของเราไป

งานของเราก็สำเร็จได้อย่างที่ตั้งใจไว้

ส่วนปัญหานั้นให้กาลเวลาเป็นคนจัดการแทนเราไป”

“อืม ก็ดีเหมือนกันนะ จะลองทำดู

แต่ไม่รู้จะสำเร็จหรือเปล่า” วันชนะทำท่าตรึกตรอง

“ยังไงก็อย่าไปแกล้งใครเขาเล่นอย่างเรื่องนี้ก็แล้วกัน

คนแกล้งน่ะสนุก แต่คนที่โดนแกล้งเขาไม่สนุกด้วยหรอก

เขาลำบาก”

วันชนะแกล้งทำหน้างอ

ที่โดนย้อนกลับมาต่อว่าอีกครั้งที่ไปแกล้งเพื่อน

พิณไพเราะหัวเราะเบาๆ ยื่นแก้วเครื่องดื่มให้ แล้วว่า

“เอ้า ปลอบใจ กินแล้วเปลี่ยนเป็นคนดีซะ”





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระจูฬปันถก





วันนี้ตุ๊ยตุ่ยไปห้องสมุด

เจอหนังสือเล่มหนึ่งเล่าถึงเรื่องของเด็กชายที่ระลึกชาติได้

มีรูปถ่ายเด็กกำลังชี้บ้านเดิมของตัวเองอยู่ด้วย

แล้วก็ลงรายละเอียดได้ด้วยว่าใครเป็นพ่อแม่ คนนี้ป้า

คนนี้อา ว่ากันครบ

ตุ๊ยตุ่ยกลับมาเจอแจ่มเจรียง ก็เล่าให้ฟัง

แล้วบอกความสงสัยของตัวเองว่า

การระลึกชาติได้นั้นจริงหรือ แจ่มเจรียงพยักหน้ารับ

รู้แล้วว่าวันนี้เจอศึกหนัก

ถ้าจะต้องพูดเรื่องไม่น่าเชื่อกับคนที่ตั้งป้อมจะไม่เชื่อ

“งั้นก็แปลว่าชาติก่อนมีจริง ถึงจะระลึกได้”

ตุ๊ยตุ่ยว่า

“ก็มี” แจ่มเจรียงรับอีก “คนเราที่ยังเป็นปุถุชน

เราต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่ชาติ

แล้วก็ไม่ได้เกิดเป็นคนตลอดนะ เกิดเป็นหมาแมวก็ได้

ทำดีเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ทำชั่วเกิดเป็นเปรตก็ได้”

“รู้ได้ยังไง” ตุ๊ยตุ่ยถาม

“มีเล่าไว้ในชาดก

พระพุทธเจ้าท่านจะบอกได้ว่าอดีตชาติของคนนั้นคนนี้เป็นยังไง

เพราะอะไร ถึงมาทำให้เวลานี้มาเกิดเรื่องอย่างนี้ๆๆ”

ตุ๊ยตุ่ยเอนตัวลงนอน

บอกแจ่มเจรียงเล่าตัวอย่างให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง

แจ่มเจรียงจึงเล่าเรื่องของพระจูฬปันถกให้ฟัง





“มีเศรษฐีอยู่ที่กรุงราชคฤห์ เขามีลูกสาวคนหนึ่ง

ลูกสาวของเขาได้เสียกับคนใช้

ทั้งสองคนก็เลยรักกันหนาพากันหนี ทีนี้พอตั้งท้องขึ้น

ตามธรรมเนียมโบราณ เขาก็มักจะกลับไปบ้านพ่อแม่

เพราะจะได้รู้สึกอบอุ่น แล้วก็มีคนดูแล

พอใกล้คลอดก็เลยบอกแฟนให้พากลับบ้าน”

“กลับไปก็โดนตีหัวเดะ” ตุ๊ยตุ่ยว่า แจ่มเจรียงหัวเราะ

“ใช่ เจ้าประคุณสามีเลยไม่กล้าไปไง เมียก็เลยหนีไป

แต่ก็ไปคลอดระหว่างทาง ผัวมาตามเลยพากลับบ้าน

ตั้งชื่อลูกชายคนโตว่า มหาปันถก

แล้วลูกคนเล็กก็มีเรื่องอย่างเดียวกันนี้แหละ

ก็ตั้งชื่อคนเล็กว่า จูฬปันถก

พอเด็กทั้งสองคนโตขึ้น

เห็นเด็กคนอื่นเขาเรียกคนนั้นว่าตา คนนี้ว่าลุง

ตัวเองไม่เห็นมีใคร มีแต่พ่อแม่อยู่แค่นี้ พอถาม

แม่บอกว่ามีตาอยู่กรุงราชคฤห์โน่น เด็กๆ อยากไปหา

พ่อบอกว่าไปก็ได้ แต่พ่อจะไม่เข้าไปหาตานะ

ก็พากันไป พอถึงประตูเมือง

พ่อแม่พักอยู่ที่ศาลาหน้าเมือง บอกทางให้ลูกๆ

ไปหาตากันเอง

เศรษฐียังโกรธอยู่ แต่ยังเห็นใจว่าลูกเป็นผู้หญิง

จึงให้เงินไปก้อนหนึ่ง บอกจะไปอยู่ที่ไหนก็ตามใจ

แต่รับเลี้ยงหลานไว้”

“พ่อเลยรอดจากการหัวแตก” ตุ๊ยตุ่ยแซวยิ้มๆ

แจ่มเจรียงแก้ตัวแทนให้ว่า

“ตานี่ดีนา”

“ใช่ แต่โมโหนาน” ตุ๊ยตุ่ยหัวเราะ

“ตาแกดี เป็นคนธรรมะธัมโม เวลาไปฟังเทศน์ก็พาหลานไปด้วย

หลานฟังไปนานๆ เข้า ก็นึกอยากบวช คุณตาก็ให้บวช

บวชได้ไม่นานก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

เสร็จแล้วเขาคิดถึงน้องชาย เลยขอคุณตาให้บวชน้องชาย

น้องชายนี่เป็นคนโง่ พอบวชแล้ว ให้ท่องข้อความว่า

“ดอกบัวโกกนุท มีกลิ่นหอม บานแต่เช้า

กลิ่นย่อมหอมกรุ่นอยู่เสมอฉันใด

เธอจงมองพระพุทธเจ้าผู้รุ่งโรจน์อยู่ดุจพระอาทิตย์ส่องแสงในกลางหาวฉะนั้น”

นี่ เขาให้ท่องแค่นี้แหละ ท่องอยู่ ๔ เดือนจำไม่ได้”

“เอ๊ เราจะจำได้มั้ยเนี่ย” ตุ๊ยตุ่ยสงสัย เกาหัวแกรกๆ

แจ่มเจรียงเขกหัวลงไปทีหนึ่งเบาๆ

“ทีนี้พี่ชายก็ท้อใจ บอกว่าไปสึกซะดีกว่ามั้ง”

“อ้าว ไล่กันง่ายๆ ยังงี้เลยนะ” ตุ๊ยตุ่ยประท้วง

“ใช่” แจ่มเจรียงพยักหน้า “เรื่องโง่นี่นะ

เดี๋ยวต้องเล่าคั่นก่อนว่าโง่เพราะอะไร

จะได้เข้าใจว่ามันมีที่มาที่ไป”

“เจาะเวลาหาอดีต” ตุ๊ยตุ่ยเดา แจ่มเจรียงหัวเราะ



“ใช่ ชาติก่อนนี้ เขาเป็นคนฉลาดนะ เรียนหนังสือหัวไวมาก

แต่มีพระอีกรูปหนึ่งเป็นคนโง่ เรียนช้า

เขาก็ไปหัวเราะเยาะไง ทำให้พระรูปนั้นอายมากเลยสึกไปเลย

นี่เป็นบาปกรรมนะ ทำให้เขาเกิดมาชาตินี้เป็นคนโง่”

“โอ๊ยโย่

นี่ข้าพเจ้าไปหัวเราะเยาะใครไว้มั่งหรือเปล่าเนี่ย

ตายแหล่ว” ตุ๊ยตุ่ยว่า แจ่มเจรียงเล่าต่อ



“เอ้า ต่อนะ วันนั้นก็มีหมอชีวกโกมารภัท

คนนี้เป็นหมอประจำตัวของพระพุทธเจ้า เป็นหมอที่เก่งมาก

ชาวบ้านยกย่องให้เป็นหมอเทวดา

วันนั้นหมอชีวกก็มาถามมหาปันถก ถามว่ามีพระกี่รูป

เขาจะนิมนต์ไปฉันที่บ้านพรุ่งนี้

มหาปันถกนี่เขามีหน้าที่คือคอยจัดพระเวลาใครจะมานิมนต์ไง

เขาก็ตอบว่ามีพระ ๕๐๐ รูป แต่มีรูปหนึ่งโง่

ไม่ต้องเอาไปหรอก

จูฬปันถกบังเอิญได้ยินเข้า

ที่เสียใจอยู่แล้วว่าพี่ชายไล่ให้สึก

ก็ยิ่งเสียใจใหญ่ว่าพี่ชายไม่เอื้ออาทร แม้แต่รับนิมนต์

พระตั้ง ๔๙๙ รูป เว้นตัวไว้คนเดียว ก็เสียใจร้องไห้

วันรุ่งขึ้นเลยเดินไปแต่เช้า เพื่อจะไปสึก”

ตุ๊ยตุ่ยทำเสียงสะอื้นฮือๆ แจ่มเจรียงหยิกหยอกเบาๆ

“ปกติตอนเช้าตรู่ พระพุทธเจ้าท่านจะแผ่ข่ายพระญาณ

ออกไปสำรวจดูว่าวันนี้ควรจะโปรดใครบ้าง”

“แผ่ยังไง” ตุ๊ยตุ่ยฟังไม่รู้เรื่อง

“คล้ายๆ เข้าสมาธิแล้วส่งจิตออกไปตรวจดู พระพุทธเจ้า

มีพระญาณสูงมากกกก... สามารถรู้ได้หมดถ้าทรงอยากรู้อะไร

ไม่มีใครในโลกนี้ทำได้อย่างท่านหรอกจ้ะ”

ตุ๊ยตุ่ยพยักหน้าหงึกหงัก เข้าใจ ๒๓.๕๔ เปอร์เซ็นต์

“พระพุทธเจ้าเห็นจูฬปันถกในข่ายพระญาณ เสด็จมาดักไว้

แล้วปลอบใจว่า เมื่อพี่ชายไล่ก็ให้มาอยู่กับพระองค์

แล้วยังทรงเอาพระหัตถ์ลูบศีรษะจูฬปันถกด้วยความกรุณา

ทำให้จูฬปันถกปลื้มมากเลย

พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาดูว่าอะไรจะทำให้จูฬปันถกบรรลุธรรม

ทรงทราบด้วยพระญาณแล้วประทานผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้

แล้วให้จูฬปันถกนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก

ให้นั่งลูบผ้าเช็ดหน้าและบริกรรมว่า รโชหรณัง แปลว่า

ผ้าเช็ดธุลี

จูฬปันถกทำตาม บริกรรมไปเรื่อยเลย มองดูผ้าบ่อยๆ

เห็นผ้ามันเริ่มสกปรก คิดว่า

“ผ้านี้สะอาดแท้ๆ แต่เพราะมือเราจึงสกปรกไป

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ

แล้วก็เลยเกิดมองเห็นความสิ้นความเสื่อมของสังขารทั้งปวง”

“แปลว่าอาราย” ตุ๊ยตุ่ยถาม

“สังขารก็คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ประกอบกันขึ้นมา

ตัวเราก็เป็นสังขาร จูฬปันถกก็เป็นสังขาร

ผ้าเช็ดหน้าก็เป็นสังขาร ตุ๊ยตุ่ยก็เป็นสังขาร

เก้าอี้ก็เป็นสังขาร

ไม่เที่ยงก็คือ เปลี่ยนแปลงไป

เช่นผ้าเช็ดหน้าขาวเปลี่ยนเป็นดำ

การมองเห็นความสิ้นความเสื่อมของสังขาร ก็คือ

การมองเห็นการเปลี่ยนแปลงไปของสิ่งทั้งหลาย

การมองเห็นก็คือเราเกิดตระหนักขึ้นมาได้น่ะ

สะกิดใจเฉลียวใจ บางอย่างเราเห็นแต่เรามองผ่านๆ

ไม่ได้ตระหนักขึ้นมา

แต่นี่พระจูฬปันถกเกิดตระหนักขึ้นมาว่าเออ อะไรๆ

มันก็ไม่เที่ยงนะ”

“แล้วไงต่อ” ตุ๊ยตุ่ยพากลับเข้าเรื่อง

“ตอนนั้นพระพุทธเจ้ากำลังเสวยอยู่ที่บ้านหมอชีวก

แต่ท่านส่งพระญาณมาตามดูจูฬปันถกว่าไปถึงไหนแล้ว

ทรงทราบว่าจิตของจูฬปันถกสงบและเห็นตามความเป็นจริง

ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว

พระพุทธเจ้าเปล่งพระรัศมีมา

เหมือนกับว่าท่านมายืนอยู่ตรงหน้าของพระจูฬปันถก

แล้วสอนว่า

จูฬปันถก เธออย่าคิดเพียงว่า ผ้านี้สกปรกเปื้อนฝุ่นธุลี

แต่ให้คิดถึงฝุ่นธุลีภายใน คือราคะ โทสะ โมหะที่อยู่ในใจ

เธอจงเอาฝุ่นธุลีในใจออกเสีย

ราคะ โทสะ โมหะ เราเรียกว่าธุลี

พวกฝุ่นละอองเราไม่เรียกว่าธุลี

คำว่าธุลีเป็นคำที่เราเรียกราคะ โทสะ โมหะ

ภิกษุผู้ละธุลีคือ ราคะ โทสะ โมหะ ได้แล้ว

ย่อมอยู่เป็นสุข ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี

พอสอนจบ พระจูฬปันถกก็บรรลุเป็นอรหันต์เลย”

“แต่ตุ๊ยตุ่ยยังไม่บรรลุ หมายความว่า

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า

ฝุ่นที่ผ้าเช็ดหน้าไม่ต้องไปสนใจมากนัก

สนใจแต่ฝุ่นในใจเราใช่มั้ย

คอยเช็ดใจให้ไร้ฝุ่นว่างั้นเถอะ”

“ใช่แล้ว” แจ่มเจรียงดีใจในพุทธิปัญญาของตุ๊ยตุ่ย

“แล้วทำไมพระพุทธเจ้าถึงให้ผ้าเช็ดหน้าล่ะ”

ตุ๊ยตุ่ยแวะกลับไปเจาะเวลาหาอดีตภาคสอง



“เพราะว่าชาติก่อน มีอยู่สมัยหนึ่ง จูฬปันถก

เคยเกิดเป็นพระราชา วันหนึ่งตอนทำพิธีประทักษิณพระนคร

เป็นธรรมเนียมของพระราชาน่ะ ทีนี้พอร้อนเหงื่อออก

พระราชาเอาผ้ามาเช็ดหน้า ผ้าสะอาดๆ พอเช็ดไปผ้าสกปรก

ก็ได้สังเกตความไม่เที่ยงว่า ผ้าสะอาดๆ อย่างนี้

พอเอามาเช็ดก็สกปรกได้ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ

คำว่าไม่เที่ยง แปลว่าอยู่เหมือนเดิมไม่ได้

ไม่มีอะไรอยู่เหมือนเดิมได้ ผ้าสะอาดเช็ดแล้วก็สกปรก

เหมือนอย่างตุ๊ยตุ่ยนอนอยู่นี่ ก็ต้องลุกไปจนได้

จะนอนอย่างนี้ชั่วนิรันดรไม่ได้ หรือแค่แป๊บเดียว

เมื่อยต้องพลิกไปพลิกมา นี่คือความไม่เที่ยงเหมือนกัน

มันเกิดทุกข์ ต้องพลิกให้หายเมื่อย

อย่างนี้เขาเรียกสังขารไม่เที่ยง

สังขารของผ้าเช็ดหน้าก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน

สะอาดแล้วเปลี่ยนเป็นสกปรก”

“เหมือนเราไม่สวยแล้วเปลี่ยนเป็นสวย”

ตุ๊ยตุ่ยบิดขี้เกียจ

“ส่วนเธอไม่อ้วนแล้วเปลี่ยนเป็นจะอ้วน”



“ทีนี้กลับไปที่บ้านหมอชีวก เลี้ยงพระจนเสร็จแล้ว

เขานำน้ำเข้าไปให้พระพุทธเจ้า เพื่อให้อนุโมทนา

แต่ท่านไม่รับ ตรัสถามว่า ที่วัดยังมีพระอยู่อีกมั้ย”

พระมหาปันถกทูลว่าไม่มี แต่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่ามี

หมอชีวกเลยให้คนไปดู

ข้างพระจูฬปันถกตอนนี้เป็นพระอรหันต์แล้ว ผลพลอย

ได้ของการเป็นพระอรหันต์คือจะมีญาณ มีฤทธิ์

อะไรหลายอย่าง เรียกว่าครบสูตร

พระจูฬปันถกรู้ด้วยญาณแล้วคราวนี้ว่ามีคนจะมาดูที่วัด

ก็เนรมิตโคลนนิ่งตัวเองออกมาเป็นพันรูปเลยอยู่เต็มวัดไปหมด

คนนี้ซักผ้า คนนั้นเทศน์ คนโน้นยังโง้นยังงี้ไป

คนของหมอชีวกกลับไปบอกว่ามีพระเต็มวัดไปหมดเลย

พระพุทธเจ้าให้ไปหาพระจูฬปันถกมา พอคนนั้นกลับไปถาม

พระทุกรูปบอกว่าตัวเองชื่อ จูฬปันถกหมดเลย”

“ขี้เกียจตั้งชื่อใหม่แนะ เยอะ” ตุ๊ยตุ่ยหัวเราะ

“พระพุทธเจ้าให้กลับไปอีก ตรัสบอกว่า รูปใดเอ่ยขึ้นก่อน

ให้จับมือไว้ รูปอื่นๆ จะหายไปหมด เขาทำตาม

ก็ได้พระจูฬปันถกมา

พระพุทธเจ้าให้หมอชีวกรับบาตรของพระจูฬปันถก

เป็นเชิงให้พระจูฬปันถกเป็นผู้อนุโมทนา”

“แฮปxxxเอ็นดิ้ง” ตุ๊ยตุ่ยตบมือสองสามแปะ “พอตอนเย็น

พระทั้งหลายจะมาคุยกันที่ธรรมสภา

วันนี้เลยคุยเรื่องนี้กันว่า

พระพุทธเจ้าช่วยให้จูฬปันถกบรรลุเป็นพระอรหันต์

พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้วตรัสเล่าว่า

ไม่ใช่เพียงชาตินี้หรอกที่พระองค์เป็นที่พึ่งของจูฬปันถก

แม้ในอดีตก็เคยเป็นที่พึ่งให้แก่จูฬปันถกมาแล้ว

ต่างกันแต่ว่าคราวนี้ให้โลกุตรทรัพย์

คือให้สมบัติทางธรรม แต่ชาติก่อนให้สมบัติทางโลก

แล้วทรงเล่าเรื่องคราวนั้นให้ฟังว่า

ในอดีต มีชายหนุ่มชาวพาราณสีคนหนึ่ง ไปเรียนที่

ตักกสิลา เป็นคนดีมาก ปรนนิบัติอาจารย์ทุกอย่าง

แต่โง่มาก เรียนอะไรไม่ได้เลย

เรียนมาหลายปีจำอะไรบ่ได้เล้ย เลยลากลับบ้านดีกว่า

อาจารย์สงสารเลยผูกมนต์ให้บทหนึ่ง สั่งว่า

นึกขึ้นมาได้เมื่อไหร่ก็ให้ท่องเมื่อนั้น

พระเจ้ากรุงพาราณสี ตอนนั้นคิดว่า

จะออกไปดูแลทุกข์สุขราษฎร เลยปลอมตัวไปลำพัง

คืนหนึ่งเห็นโจรเข้าไปขโมยของในบ้านหลังหนึ่ง

ตอนโจรเที่ยวดูของในบ้านอยู่ เจ้าของบ้านก็สาธยายมนต์ว่า

ฆเฏสิ ฆเฏสิ กิงการณา ฆเฏสิ อหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ

แปลว่า เจ้าพยายามไปเถิด พยายามไปเถิด

เจ้าพยายามเพื่ออะไร เรารู้ เรารู้ความพยายามของเจ้า

โจรได้ยินก็เผ่นหนีไปเลย

วันรุ่งขึ้น พระราชาก็ให้ชายเจ้าของบ้านเข้าเฝ้า

แล้วขอเรียนมนต์บทนั้น

ตอนนั้น เสนาบดีคิดทรยศ

นัดแนะกับช่างตัดผมของพระราชาว่า ถ้าเวลาโกนหนวด

ให้เอามีดโกนปาดคอเลยนะ ถ้าสำเร็จเขาจะได้เป็นพระราชาแทน

แล้วให้ช่างตัดผมเป็นเสนาบดี”

“อะไร เสนาบดีกระทรวงตัดผมเหรอ” ตุ๊ยตุ่ยขำกลิ้ง

“เออ” แจ่มเจรียงว่า หัวเราะไปด้วย

“ทีนี้ พอช่างตัดผมเตรียมโกนหนวด ก็ไปยืนลับมีดโกนอยู่

พระราชานึกถึงมนต์ได้ท่องขึ้นมาอย่างนั้นแหละ

แต่ช่างตัดผมได้ยินแล้ว

นึกว่าพระราชารู้แกวของตนว่าจะทำร้าย ขาอ่อนทรุดหมอบลงไป

พระราชาฉลาด

เห็นอาการผิดปกติอย่างนั้นก็รู้ว่ามีอะไรไม่ดีแหง

เลยตวาดว่า

“เฮ้ย xxxนึกว่ากูไม่รู้ความพยายามของxxxหรือ”

ช่างตัดผมสารภาพหมดเลยเกลี้ยงเกลา

พระราชาเลยให้เนรเทศเสนาบดีไป

แล้วให้ชายหนุ่มเจ้าของมนต์มาเป็นเสนาบดีแทน”

“อ๋อ เสนาบดีกระทรวงสวดมนต์” ตุ๊ยตุ่ยกลิ้งไปอีกตลบ

“พระพุทธเจ้าตรัสว่า ชายหนุ่มก็คือจูฬปันถก

ส่วนพระอาจารย์ คือพระองค์เอง

แล้วพระองค์ก็สอนพวกภิกษุว่า

คนมีปัญญาควรทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเองได้

ด้วยการประพฤติธรรม คือขยันไม่ประมาท มีความสำรวม

และฝึกกายใจของเราให้ดี

จะฝึกยังไง ตุ๊ยตุ่ยก็ต้องไปเรียนธรรมะ

แล้วก็จะรู้วิธีฝึกเอง เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้”

แจ่มเจรียงจบเรื่อง ตุ๊ยตุ่ยสาธุเบาๆ ก่อนจะหลับไป





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อุตตรา อุบาสิกา





ฝนแรกยกถาดกับข้าวเดินตามหลังคุณยายลงไปที่ท่าน้ำในตอนเช้า

บรรยากาศชื้นน้ำค้างชื่นใจ

ขณะที่แสงแดดอ่อนค่อยเรื่อเรืองขึ้น ไม่นานนัก

พระสงฆ์ก็พายเรือมาบิณฑบาต

คุณยายจบอาหารด้วยท่าทางอันสงบ แล้วถวายอาหารอย่างบรรจง

ฝนแรกมองพระสงฆ์ค่อยๆ พายเรือต่อไป

และรู้สึกพอใจในบรรยากาศนั้น

หลังจากตักบาตรจนครบ ๓ องค์แล้ว

คุณยายยังคงนั่งเล่นอยู่ที่ท่าน้ำ ฝนแรกนั่งข้างๆ

รู้สึกสบายใจ มองไปข้างหน้าเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ริมน้ำ

มีหญิงคนหนึ่งกำลังตักบาตรเหมือนกัน

“บ้านนั้นคงมีแต่อาหารดีๆ นะคะคุณยาย”

คุณยายยิ้ม “อาหารของเรา ก็ดีที่สุดของเราแล้ว

ไม่ต้องเทียบกับใคร”

“คนยากจนจะมีโอกาสทำบุญมั้ยคะ คุณยาย”

“มีสิจ๊ะ”

“แล้วการทำบุญนี่ ทำยังไงถึงจะได้บุญมากล่ะคะ”

“ถ้าตามตำรา

ท่านก็บอกว่าใส่บาตรพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติ

จะได้บุญเห็นผลทันตา เพราะท่านเข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน

ถึงจะออก ไม่ได้ฉันอาหารเลย

อย่างเรื่องของนายปุณณะเป็นต้น”

“คุณยายเล่าเรื่องให้หนูฟังมั่งซีคะ” ฝนแรกอ้อน

คุณยายยิ้มสบายใจ แล้วเริ่มเล่าเรื่องให้หลานฟัง

“ในเมืองราชคฤห์ มีคนยากจนอยู่คนหนึ่ง เขาชื่อปุณณะ

อยู่กับเมียกับลูกสาว เขาเป็นลูกจ้างของสุมนเศรษฐี

ตอนนั้นในเมืองราชคฤห์เขาจะจัดงานรื่นเริง ๗ วัน

สุมนเศรษฐีก็ถามว่า ปุณณะจะมาร่วมงานด้วยมั้ย

ปุณณะบอกว่าตัวเองยากจน ขอไปไถนาตามปกติดีกว่า

เศรษฐีก็ให้วัวเขาไปไถนา เขาสั่งเมียว่าให้ต้มผักไปส่ง

ต้มไปเยอะๆ

วันนั้นพระสารีบุตรท่านเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ

ท่านทรงตรวจดูว่าควรจะไปสงเคราะห์ใครดี

เพราะคนที่ให้อาหารแก่พระที่ออกจากนิโรธสมาบัติจะได้บุญมาก

แล้วท่านก็เห็นนายปุณณะด้วยญาณของท่าน

ท่านใคร่ครวญว่า เขามีศรัทธามั้ย ทราบว่าเขามีศรัทธา

ท่านจึงถือบาตรไปหานายปุณณะ

นายปุณณะเห็นพระสารีบุตรแล้วก็วางไถมาไหว้ท่าน

แล้วคิดว่าท่านคงต้องการไม้สีฟัน เขาทำถวาย

พระเถระนำบาตรและผ้ากรองน้ำมาให้เขา

เขาคิดว่าท่านต้องการน้ำดื่ม

จึงรับเอามาแล้วกรองน้ำไปถวาย

พระสารีบุตรคิดว่า บ้านของนายปุณณะอยู่หลังบ้านคนอื่น

ถ้าท่านไปที่บ้านเมียของเขาก็จะไม่เห็นท่าน

ท่านเลยคอยอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ทราบด้วยญาณว่า

เมียของปุณณะกำลังเดินมา ท่านถึงได้เดินไป”

“ไปพบกันกลางทางหรือคะ” ฝนแรกถาม

“ใช่ พอพบกัน เมียของปุณณะคิดว่า

บางครั้งเมื่อมีของจะถวาย ก็ไม่ได้พบพระ

บางครั้งพบพระก็ไม่มีของถวาย

คราวนี้พบพระด้วยมีของถวายด้วย เลยวางของลง

นั่งไหว้แล้วพูดว่า

ท่านผู้เจริญ โปรดอย่าคิดว่าอาหารนี้ดีหรือเลว

โปรดรับอาหารนี้สงเคราะห์แก่ทาสของท่านด้วยเถิด”

“แหม มีศรัทธา น่าชื่นใจนะคะ คุณยายขา” ฝนแรกชื่นชม

“พระสารีบุตรท่านน้อมบาตรเข้าไปรับ

นางตักอาหารใส่ลงได้ครึ่งบาตร ท่านก็เอามือปิด

ทำนองว่าพอแล้ว นางบอกว่า อย่าสงเคราะห์นางในโลกนี้เลย

กรุณาสงเคราะห์ในโลกหน้าเถิด ดิฉันขอถวายทั้งหมด”

“แปลว่าอะไรคะ คุณยาย”

“ก็แปลว่า ไม่ต้องสงเคราะห์

คือเหลือข้าวไว้ให้นางกินวันนี้หรอก วันนี้ยอมถวายหมดเลย

บุญที่ได้จะได้ไปคุ้มครองนางในชาติหน้า

ให้ไม่ต้องอดอยากยากจนอย่างนี้”

“อ้อ เป็นอย่างนี้เอง” ฝนแรกเข้าใจ คุณยายเล่าต่อ

“ใส่บาตรเสร็จ ก็อธิษฐานว่า

ขอดิฉันได้เห็นธรรมที่พระคุณเจ้าเห็นแล้วด้วยเถิด

พระสารีบุตรท่านอนุโมทนาว่า ขอจงสำเร็จเถิด

แล้วท่านก็ไปฉัน

นางกลับบ้านไปหุงข้าวมาใหม่ นายปุณณะหิวจนตาลาย

ทำงานต่อไม่ไหว เลยไปนั่งคอยที่ใต้ต้นไม้

ฝ่ายเมียมาสาย กลัวผัวหิวมากเดี๋ยวเกิดมาทุบตี

เลยรีบชิงบอกว่า ให้เขาทำใจให้เลื่อมใส

ที่มาช้าเพราะได้ถวายอาหารแก่พระสารีบุตรไป

นายปุณณะก็ยินดี บอกว่าดีแล้ว ฉันก็ทำไม้สีฟันแก่ท่าน

และถวายน้ำด้วย

สองคนกินข้าวกันไป นายปุณณะเหนื่อยมาก กินแล้วก็หลับไป

พอตื่นขึ้นมา ดินที่ไถอยู่ในนาก็กลายเป็นทอง”

“โอ้โฮ อย่างนั้นเชียวหรือคะ” ฝนแรกหัวเราะชอบใจ

“ใช่ซี ผลบุญใหญ่มากเลย

นายปุณณะก็เลยเอาทองใส่ถาดไปถวายพระราชา ทูลให้ทรงทราบ

แล้วขอให้ส่งคนไปขนมา พระราชาสั่งให้คนเอาเกวียนไปขนมา

แต่พอไปถึง คนนั้นเขาพูดว่า นี่ทองของพระราชา

ทองก็กลายเป็นดินไป”

“อ้าว เหรอคะ” ฝนแรกว่า “แล้วทำยังไง”

“เขาก็ไปทูลพระราชาว่า สงสัยสองคนนี่จะโกหก พระราชา

ถามว่า เธอพูดยังไง

เขาตอบว่าพูดว่าทองของพระราชาพระราชาเลยให้กลับไปใหม่

ให้พูดว่า ทองของนายปุณณะ ทีนี้ทองก็เป็นทอง ขนมาที่วัง

ได้ทองกองสูง ๘๐ ศอก”

“โอ้โห เยอะจัง กองเท่าบ้านหลังใหญ่ๆ เลย” ฝนแรกคำนวณ

“พระราชาถามว่า ใครมีทองมากเท่านี้บ้าง ไม่มี

ก็ทรงตั้งให้เป็นเศรษฐีชื่อพหุธนเศรษฐี

สมัยก่อนใครจะเป็นเศรษฐีนี่ ต้องให้พระราชาแต่งตั้งนะ

ไม่ใช่พอรวยแล้วเป็นเอง ไม่ได้

แล้วพระราชายังพระราชทานฉัตรสำหรับเศรษฐี

แล้วให้ของอีกเยอะแยะ และให้ที่ดินสำหรับปลูกบ้านด้วย

เพราะนายปุณณะอาศัยบ้านของเจ้านายอยู่

พอปลูกบ้านเสร็จ ก็มีงานฉลองขึ้นบ้านใหม่

ฉลองฉัตรพระราชทาน ถวายทาน มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาด้วยอนุปุพพิกถา พอเทศนาจบ

ทั้งพ่อแม่ลูกก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน”

“แหม ดีจังเลยนะคะ ชื่นใจ” ฝนแรกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“คุณยายจำเรื่องได้หมดเลยนะคะนี่ ฟังสนุกดีค่ะ”

“ยังไม่จบนะ” คุณยายหัวเราะ

“อ้าว เหรอคะ มีอะไรอีกคะ” ฝนแรกดีใจได้ฟังนิทานต่อ



“ลูกสาวของปุณณะ ชื่ออุตตรา

สุมนเศรษฐีมาขอไปให้กับลูกชาย ตอนแรกปุณณะไม่ยกให้

เพราะเห็นลูกชายเศรษฐีเป็นมิจฉาทิฏฐิ

ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย

แล้วจะอยู่กับลูกสาวของตัวซึ่งเลื่อมใสได้ยังไง

แต่แล้วก็โดนคนนั้นคนนี้หว่านล้อมมากเข้าๆ เลยให้แต่งไป

แต่งงานแล้วนางอุตตราก็เลยไม่เคยได้ทำบุญทำทาน

ไม่เคยได้ฟังเทศน์ฟังธรรมอีกเลย”

“อ้าว แย่เลย ทำไมพ่อทำอย่างนี้ทั้งๆ ที่รู้ก่อนแล้ว”

ฝนแรกหงุดหงิด คุณยายหัวเราะ

“พอเกือบจะออกพรรษา นางอุตตราก็เลยส่งข่าวไปบอกพ่อว่า

โอ๊ย ให้ลูกเสียโฉมยังดีกว่ามาเป็นเมียคนมิจฉาทิฏฐิ

นี่ลูกไม่เคยได้ทำบุญเลย ไม่เคยได้ฟังธรรม

ไม่เคยได้เห็นพระสงฆ์เลย นายปุณณะสงสารลูก

เลยส่งเงินมาให้ ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ บอกลูกสาวว่า

ในเมืองนี้มีหญิงโสเภณีคนหนึ่งชื่อสิริมา

ให้ไปจ้างมาวันละ ๑,๐๐๐ กหาปณะมาบำเรอสามี

ลูกจะได้ไปทำบุญ

นางทำตามพ่อบอก ฝ่ายสามีเห็นสิริมาสวยก็เลยตกลง

ยอมให้เมียไปเลี้ยงพระ

นางอุตตราดีใจไปนิมนต์พระพุทธเจ้า

ขอให้ทรงรับอาหารที่บ้านของนาง ๑๕ วันติดต่อกัน

พระพุทธเจ้าทรงรับ

นางดีใจ ลงมือสั่งคนใช้เอง ลงไปในครัวเอง

จนถึงวันจะออกพรรษา สามีของนางอุตตรามายืนดูที่หน้าต่าง

เห็นอุตตรามอมแมม เปื้อนเถ้าเปื้อนฝุ่นก็หัวเราะว่า

นางไม่รู้จักทำตัวสุขสบายให้สมกับเป็นเศรษฐี ลงไปทำอะไรๆ

เอง จนมอมแมมเหมือนพวกทาส

นางสิริมายืนดูแล้วสงสัยว่าเขาหัวเราะอะไร

ไปดูที่หน้าต่าง

เห็นนางอุตตราก็คิดว่าสามีของตัวยังพอใจนางอุตตราอยู่”

“สามีของตัวอะไรกันคะคุณยาย ก็เขาจ้างมาแค่ ๑๕ วันเอง”

ฝนแรกแย้ง

“ก็ลืมไปไง” คุณยายเล่าหัวเราะ “นึกว่าคนของตัว

ทีนี้ก็เลยโมโห รี่ลงไปในครัวเลย

ไปเอาทัพพีตักเนยใสในหม้อต้มกำลังเดือด

ถือไปจะไปราดหัวนางอุตตรา”

“โอย ทำไมดุจัง” ฝนแรกคราง

“นางอุตตราเห็นแล้วล่ะ ก็แผ่เมตตาไปให้ว่า

หญิงคนนี้มีอุปการะต่อเรามาก จักรวาลยังแคบไป

พรหมโลกยังต่ำไป สำหรับบรรจุบุญคุณของเธอ”

ฝนแรกฟังด้วยใจจดจ่อ เพราะถ้อยคำที่คุณยายเล่า

ผิดคาดไปจากความเข้าใจของเธอ คุณยายยังพูดต่อ

“เราได้อาศัยเธอแล้ว จึงมีโอกาสถวายทานและฟังธรรม

ถ้าเรามีความโกรธต่อสิริมา ขอให้เนยใสนี้จงลวกเรา

ถ้าไม่มี ขอเนยใสอย่าลวกเรา

พอสิริมาราดเนยใสลงมา ก็เย็นเหมือนน้ำ

สิริมาเข้าใจว่าเนยใสคงจะเย็นแล้ว เลยจะกลับไปตักใหม่

พอดีพวกทาสทั้งหลายเข้ามารุมเธอใหญ่ นางอุตตราห้ามไว้

แล้วพาไปอาบน้ำแล้วทายาให้”

“แหม อะไรจะดีขนาดนั้น ถ้าเป็นหนูเห็นทีจะม่ายไหว”

ฝนแรกหัวเราะ

“นางสิริมาเริ่มรู้ตัว ขอขมา

แต่นางอุตตราบอกว่าฉันเป็นคนมีบิดา เมื่อบิดาอภัยแล้ว

ฉันจะอภัยให้

นางสิริมาบอกว่าจะไปหาเศรษฐีปุณณะ แต่นางอุต-ตรา

บอกว่า ท่านปุณณะเป็นบิดาในวัฏฏะคือในทางโลก

แต่พระพุทธเจ้าเป็นบิดาในวิวัฏฏะ

คือในทางไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก เมื่อพระองค์อภัย

ฉันจะอภัยให้

นางสิริมาก็บอกว่า ไม่คุ้นเคยกับพระพุทธเจ้า

นางอุตตราบอกไม่เป็นไร ฉันจะช่วย

พรุ่งนี้พระองค์จะเสด็จมา

เธอจงหาสักการะเท่าที่หาได้มาแล้วขอให้พระองค์ให้อภัย

สิริมาเต็มใจ กลับไปบ้านเตรียมอาหารอย่างประณีต

รุ่งขึ้นก็นำเครื่องสักการะมา

แต่ไม่กล้าเข้าไปใส่บาตรพระสงฆ์

นางอุตตราจึงรับเอาไปจัดแจงให้”

คุณยายพักเหนื่อย ฝนแรกเข้าไปนวดคุณยาย พลางพูดว่า

“คนดีก็ดีไปทุกเรื่องเลยนะคะ คุณยายขา”

คุณยายยิ้มรับ “พอเสวยเสร็จ

สิริมาหมอบลงแทบพระบาทพระพุทธเจ้า ท่านทรงถามว่า

เธอมีความผิดอะไร สิริมาก็เล่าเรื่องถวาย

จริงหรืออุตตรา

จริงอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาในการทำของอุตตรา

แล้วจึงทรงตรัสสุภาษิตว่า

พึงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ

พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี

พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้

พึงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วยความจริง”

“จบแล้วใช่มั้ยคะคุณยาย” ฝนแรกว่า นวดให้คุณยายอีก

“เหนื่อยมั้ยคะ หนูฟังสนุกไปเลยค่ะ แต่สอนใจดีนะคะ”

คุณยายยิ้ม “แต่เราต้องเอาไปเตือนใจเราด้วยนะหลาน

ไม่ใช่เก็บเอาแต่ความสนุกไปอย่างเดียว

แล้วทิ้งคติธรรมไป”

“ค่ะคุณยาย”ฝนแรกรับคำและหอมแก้มคุณยายเป็น การขอบคุณ





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2005, 3:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระนันทะ





รุ่งภิรมย์ กําลังจะเป็นเจ้าสาวในวันพรุ่งนี้

เจ้าบ่าวจะมารับตอนตีห้า

จึงเป็นธรรมดาที่คืนนี้จะไม่มีใครได้นอน เพื่อนๆ

มะรุมมะตุ้มกันอยู่ในห้องเจ้าสาว พร้อมของว่าง

กินไปคุยไป จัดข้าวของไป แต่งหน้าเจ้าสาวไป

จิปาถะรวมทั้งนวดกันเองไปด้วย

ชบาฉายถามว่า “พระเอกบวชหรือยัง”

“บวชแล้ว ก็เขาว่าต้องบวชก่อนเบียดไม่ใช่เหรอ”

วจีมาศตอบแทนเจ้าสาว

“ไม่รู้คํานี้มันจะมีสาเหตุมาจากเรื่องพระนันทะหรือเปล่านะ”

ผอบร่ำ (อ่านว่า พะ-อบ ไม่ใช่ผอบ) สงสัย

“คงไม่ใช่” วจีมาศตอบ “เขาแค่หมายความว่า

คนบวชแล้วจะได้เป็นคนสุก ไม่ได้บวชนี่เขาเรียกคนดิบ

บวชเรียนแล้วรู้ดีรู้ชั่ว

รู้บาปบุญคุณโทษจะได้มาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี”

“สาธุ” ชบาฉายหัวเราะ “ผู้คงแก่เรียนทั้งสอง

เริ่มจะปาฐกถาธรรมแล้ว”

“เรื่องพระนันทะเป็นยังไงเหรอ” รุ่งภิรมย์สนใจ

“เป็นเจ้าชาย เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า” ผอบร่ำ

เล่า “ตอนแต่งงานก็ทูลเชิญพระพุทธเจ้ามาเสวย

พอเสวยเสร็จจะเสด็จกลับ

ทรงยื่นบาตรให้นันทะถือและไม่ทรงรับคืน

เจ้าชายต้องถือเดินตามไปเรื่อยจนถึงวัด

แต่ไม่กล้าขอให้พระพุทธเจ้าทรงรับคืน

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า จะบวชได้มั้ย ก็ไม่กล้าตอบปฏิเสธ

ทูลว่าบวชก็ได้ เลยต้องบวชไปเลย”

“โหย ยังงี้เจ้าสาวทํายังไง” ชบาฉายร้อง

“เพื่อนเจ้าสาวก็ไปบอกเจ้าสาวว่าพระพุทธเจ้าพาเจ้าบ่าวไปแล้ว”

วจีมาศเล่า “เจ้าสาวก็วิ่งมาร้องว่า ขอให้รีบกลับ

ทําได้เท่านั้นแหละ”

“แล้วเป็นไง พระจะบวชเรียนรู้เรื่องเหรอ” ชบาฉายถาม

วจีมาศเล่าว่า “ตอนแรกก็ไม่รู้เรื่องหรอก

จิตใจหมกมุ่นอยู่แต่เจ้าสาว

ได้ยินแต่เสียงเรียกว่าให้รีบกลับ ทรมานใจจะตาย

อยากจะสึกวันละสองเวลาหลังอาหาร

เที่ยวได้บอกพระอื่นว่าอยู่ไม่ไหว อยากจะสึกเหลือหลาย”

ผอบร่ำต่อให้ว่า

“พระพุทธเจ้าเลยพาเหาะไปบนสวรรค์เลย ไปดูนางฟ้า

ตอนเหาะขึ้นไป ผ่านลิงตัวหนึ่งนั่งอยู่บนตอไม้ที่ไฟไหม้

นางลิงนั้นก็หูขาด จมูกขาด หางขาด โดนไฟ

พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามนันทะว่า เป็นยังไง นางชนบทกัลยาณี

นี่ชื่อเจ้าสาวของนันทะ กับนางฟ้า

คราวนี้พระนันทะบอก โอย นางฟ้าสวยกว่าเยอะเลย

นางชนบทกัลยาณีเหมือนลิงตัวเมื่อกี้ไปเลย”

ชบาฉายหงายหลัง “อาราย ทําไมเปลี่ยนใจเร็วยังงี้”

ผอบร่ำเล่าอีก “พระพุทธเจ้าทรงถามว่า ต้องการมั้ยนางฟ้า

พระนันทะรับว่าต้องการ

ท่านจึงว่าก็ประพฤติพรหมจรรย์ให้ดี

เต็มใจและตั้งใจปฏิบัติ เราจะเป็นนายประกันให้เอง

ให้เธอได้เทพอัปสรเหล่านี้”

“แหม งั้นก็ปฏิบัติแลกนางฟ้าน่ะซี” รุ่งภิรมย์แย้ง

ผอบร่ำรับคํา

“ก็ใช่ พระอื่นๆ ก็พูดอย่างนี้เหมือนกัน

พูดกันไปปากต่อปาก พระนันทะก็เลยอาย

คราวนี้ตั้งใจบําเพ็ญจริงจังเลย”

“อ้าว จริงเหรอ” รุ่งภิรมย์ผิดคาด

“จริง” ผอบร่ำรับรอง “คืนที่บรรลุเป็นพระอรหันต์

เทวดาองค์หนึ่งมาที่วัดเชตวัน

กราบทูลพระพุทธเจ้าว่าพระนันทะบรรลุแล้ว

แต่พระพุทธเจ้าก็รู้แล้วด้วยพระญาณ

ตอนเช้า พระนันทะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

กราบทูลว่าที่พระองค์ทรงเป็นนายประกันให้ข้าพระองค์ได้นางอัปสรนั้น

พระองค์หลุดพ้นจากนายประกันนั้นแล้ว

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรารู้แล้ว

และเมื่อคืนมีเทวดาองค์หนึ่งมาบอกว่าเธอหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้ว

เมื่อจิตเธอพ้นแล้ว เพราะความไม่ยึดมั่นถือมั่น

เราก็พ้นจากภาวะผู้ประกัน

พระองค์ทรงเปล่งอุทานด้วยความชื่นชมยินดีว่า

เปือกตมคือกาม หนามคือกาม อันผู้ใดข้ามได้แล้ว

ผู้นั้นถึงความสิ้นโมหะ ย่อมไม่หวั่นไหวในสุขและทุกข์”

ชบาฉายส่งหวีกับไดร์เป่าผมให้วจีมาศ

“ทําผมให้หน่อยเดะ เล่าไปด้วยก็ได้

แต่ไม่เอาสเปรย์น้ำลายนะ”

วจีมาศเปลี่ยนอาชีพไปเป็นช่างทําผมในทันที

ปากก็เล่าไปเรื่อยๆ

“พระที่เคยถาม ก็ถามกันอีก อยากสึกมั้ย อยากสึกมั้ย

พระนันทะตอบว่า ไม่อาลัยในความเป็นคฤหัสถ์แล้ว

พระก็เข้าใจว่าพระนันทะโอ้อวด เลยไปทูลพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้ารับรองว่าพระนันทะพูดจริง ทรงตรัสว่า

เมื่อก่อนนี้จิตของนันทะเหมือนบ้านที่มุงไม่ดี

ฝนคือราคะรั่วรดได้

แต่ตอนนี้จิตของเขาเหมือนบ้านที่มุงดีแล้ว

นันทะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว

พระทั้งหลายก็ชื่นชมว่า

พระพุทธเจ้าสามารถหาอุบายให้พระนันทะสําเร็จมรรคผลได้”

“เอ้า เปลี่ยนวิก เปลี่ยนวิก ทางนี้เล่ามั่ง จบยัง”

ชบาฉายชี้ไปที่ผอบร่ำ

“ยัง

พระพุทธเจ้าทรงเล่าอดีตชาติของพระนันทะให้พระทั้งหลายฟัง

ว่าไม่ใช่เพียงชาตินี้ที่ถูกผู้หญิงล่อหลอกให้หลง

ชาติก่อนก็เคยแพ้ผู้หญิงมาแล้วเหมือนกัน”

“ของมันต้องแพ้กันอยู่แล้ว” ชบาฉายว่า

“ชาติก่อนเป็นยังไง” รุ่งภิรมย์ซัก





“ชาติก่อนเกิดเป็นลาของพ่อค้าชาวพาราณสี

บรรทุกสินค้าไปตักกสิลา

พอถึงแล้วก็ปล่อยลงให้เที่ยวหากินไปจนกว่าจะขายของหมด

ลาไปเจอนางลาเข้า ก็คุยกันว่า มาจากไหน มาจากพาราณสี

มาทําไม บรรทุกของมาขาย ของมากมั้ย มาก

ของมากนี่เดินไกลมั้ยกว่าจะหยุดทีหนึ่ง ก็เดิน ๗

โยชน์หยุดทีหนึ่ง มีนางลามาดูแลมั้ย ไม่มีเลย อุ้ย

น่าสงสาร พ่อค้าใจดํา คุยไปปิ๊งกันไปเรื่อย

พ่อค้ากลับมา ลาไม่ยอมไปด้วยเสียแล้ว

เขาก็เลยบังคับขู่เข็ญว่าจะเอาปฏักยาว ๑๖ นิ้วแทง

ลาก็ไม่กลัว บอกถ้าทําอย่างนั้น ฉันจะทิ้งของให้หมดเลย

พ่อค้าประหลาดใจ ทําไมลามันปฏิวัติ ดูไปรอบๆ เห็นนางลา

เลยรู้ว่า อ้อ เจ้านี่รักผู้หญิงซะแล้ว

จึงว่ามาเถอะ ไปด้วยกัน

เมื่อถึงที่แล้วเราจะให้นางลาแก่เจ้า

เป็นตัวที่สวยเลิศเชียวล่ะ

ลาดีใจรีบเดินเร็วขึ้นอีก ๒ เท่า

พอไปได้ ๒-๓ วัน ลาถามถึงนางลา พ่อค้าบอกว่า เออน่า

แล้วจะหาให้ แต่บอกก่อนนา เวลาเราให้อาหาร

เราจะให้เจ้าตัวเดียว ส่วนลูกเมียของเจ้านี่

เจ้าต้องไปหาให้กินกันเองนา”

ชบาฉายหัวเราะก๊าก ลงไปกลิ้ง วจีมาศดุ

“เฮ้ๆ เดี๋ยวผมเสีย ขี้เกียจหวีใหม่นะ”

ผอบร่ำสรุปว่า “ลาในครั้งนั้นก็คือนันทะ

นางลาคือนางชนบทกัลยาณี ส่วนพ่อค้าคือพระพุทธจ้า”

ชบาฉายลุกขึ้นมานั่งใหม่ วจีมาศหวีผมให้อีกนิดหน่อย

แล้วลุกไปดูผมเจ้าสาว ชบาฉายแซวว่า

“สวยแล้วน่า

วันนี้ยังไงเจ้าสาวก็สวยที่สุดสวยในซอยอยู่แล้ว

รับรองเช้านี้ได้แต่งแน่ ไม่ต้องกลัวว่า

เจ้าบ่าวจะไปบวชหรอก

เดี๋ยวนี้เวลาจะบวชต้องขออนุญาตผู้เกี่ยวข้องก่อน พ่อ

แม่ ลูก เมีย เจ้าหนี้ด้วย มีหนี้ก็บวชไม่ได้นะ”

“พูดไปเรื่อย” วจีมาศดุ

“ระวังเจ้าบ่าวของตัวเองไว้ดีกว่า

ไม่ต้องห่วงเพื่อนหรอก”

ชบาฉายยิ้ม “ไม่รู้จะระวังยังไง ยังไม่เจอ”





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง