Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กายนคร (แปลก สนธิรักษ์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 10:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

กายนคร

โดย นายแปลก สนธิรักษ์
เรียบเรียงใหม่โดย คนธรรมดา อธิมุตโต



สารบัญ

๑. บริเวณเมืองกายนคร
๒. ผู้ครองกายนคร
๓. ภายในเมืองกายนคร
๔. เตือนภัย
๕. เหตุร้ายเริ่มส่อเค้า
๖. มรณานคร
๗. เตรียมทัพ
๘. รุกคืบ
๙. คำแนะนำ
๑๐. ข้าศึกที่ไม่เห็นตัว
๑๑. พระสุบิน
๑๒. แก้พระสุบิน
๑๓. เปิดพระคลัง
๑๔. เตรียมต่อนาวา
๑๕. ขัดขวาง
๑๖. สู่อมตมหานคร
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 10:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑. บริเวณเมืองกายนคร

เมืองกายนคร (เมืองสังขาร) นี้ มีเนื้อที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ

มีกำแพง ๔ ชั้น

ชั้นที่ ๑ ชื่อ กำแพงตโจ (กำแพงหนัง)
ชั้นที่ ๒ ชื่อ กำแพงมังสัง (กำแพงเนื้อ)
ชั้นที่ ๓ ชื่อ กำแพงนะหารู (กำแพงเอ็น)
ชั้นที่ ๔ ชื่อ กำแพงอัฐิ (กำแพงกระดูก)

มีป้อม ๔ ป้อม
ป้อมที่ ๑ ชื่อ ปราการเกศา (ปราการผม)
ป้อมที่ ๒ ชื่อ ปราการโลมา (ปราการขน)
ป้อมที่ ๓ ชื่อ ปราการนะขา (ปราการเล็บ)
ป้อมที่ ๔ ชื่อ ปราการทันตา (ปราการฟัน)

มีประตูพระนคร ๙ ประตู
ประตูที่ ๑
ชื่อ มุขทวาร สำหรับนำอาหารเข้าไปบำรุงเลี้ยงภายในพระนคร

ประตูที่ ๒ ชื่อ อุจจารทวาร สำหรับนำอาหารที่เสียๆ ออก

ประตูที่ ๓ ชื่อ ปัสสาวทวาร สำหรับถ่ายน้ำเสียออก

ประตูที่ ๔ กับ ประตูที่ ๕ ชื่อ ฆานทวารซ้าย ฆานทวารขวา
สำหรับสูดลมเข้า ออก และรับกลิ่นที่ดีและไม่ดี

ประตูที่ ๖ กับประตูที่ ๗ ชื่อ โสตทวารซ้าย โสตทวารขวา
สำหรับคอยรับฟังข่าวสารต่างๆ จากภายนอกพระนคร

ประตูที่ ๘ กับประตูที่ ๙ ชื่อ จักษุทวารซ้าย จักษุทวารขวา
สำหรับคอยสอดส่องดูแลเหตุการณ์ ทั้งปวง

มีปราสาทอยู่ ๕ หลัง
หลังที่ ๑
ชื่อว่าจักษุปราสาท มีนางสนมชื่อ รูปา
มีรูปร่างสวยงาม คอยบำเรอ ผู้มาพำนักในปราสาทหลังนี้

หลังที่ ๒ ชื่อว่า โสตปราสาท มีนางสนมชื่อ สัททา
มีความสามารถด้านคีตกวี คอยขับกล่อมประโคมดนตรี
และถวายรายงานเหตุการณ์ต่างๆ ให้ผู้มาพำนักได้รับรู้

หลังที่ ๓ ชื่อว่า ฆานปราสาท มีนางสนมชื่อ คันธา
นางจะนำเครื่องสุคนธ์รสเข้าถวายผู้มาพำนักอยู่เสมอ

หลังที่ ๔ ชื่อว่า ชิวหาปราสาท มีนางสนมชื่อ รสา
มีความสามารทางด้านปรุงอาหาร จะคอยนำอาหารคาวหวาน
เข้าไปให้แก่ผู้ที่เข้ามาพำนักมิได้ขาด

หลังที่ ๕ ชื่อว่า กายาปราสาท มีนางสนมชื่อ ผัสสา
นางมีความสามารถเอาอกอาใจให้แก่ผู้มาพำนักเก่ง
นางจึงหมั่นปรนนิบัติให้ความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา


(มีต่อ >>>>> ๒. ผู้ครองกายนคร)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 10:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๒. ผู้ครองกายนคร

กษัตริย์จิตราช ทรงเป็นผู้ครองกายนคร มีมเหสี ๒ พระองค์ องค์หนึ่งพระนามว่า พระนางอวิชชา เป็นพระมเหสีฝ่ายขวา อีกองค์พระนามว่า พระนางตัณหา เป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย พระเจ้าจิตราชทรงลุ่มหลงในพระนางตัณหามาก ทรงให้เป็นผู้สำเร็จราชกิจ เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็นที่สุด

อีกทั้งมเหสีทั้งสองกราบทูลอะไร พระเจ้าจิตราชเป็นต้องทรงเห็นชอบกับพระนางทั้งสองทุกประการ

ในกายนครมีมหาอำมาตย์ผู้ใหญ่ ๔ คน คือ หลวงโลโภ หลวงโทโส หลวงโกโธ และหลวงโมโห หลวงโลโภกับหลวงโมโหทำหน้าที่รวบรวมทรัพย์เข้าพระคลัง หลวงโทโสกับหลวงโกโธ ทำหน้าที่ตีรันฟันแทง บุกรุกไม่คิดถอย

มีขุนคลังชื่อ ขุนมัจฉริยะ เป็นคนตระหนี่ถี่เหนี่ยวแน่นมาก ไม่ยอมจ่ายเงินทองให้แก่ใครง่ายๆ มีขุนทหารประสานพระนครไว้ ๔ นาย คือ ขุนปฐพี ขุนอาโป ขุนเตโช และขุนวาโย มีเสนาประจำพระนครเข้าเฝ้าพระเจ้าจิตราช ทุกวัน..... ๓ เหล่า คือ เหล่าเสนาอัญญสะมานา ๑ เหล่า, เหล่าเสนาโสภณเจตะสิก หรือที่เรียกว่า อนุศาสก ๑ เหล่า และเหล่าเสนาอกุศลเจตสิก ๑ เหล่า ซึ่งขึ้นตรงต่อพระนางอวิชชากับพระนางตัณหานั่นเอง


หมายเหตุ

๒.๑ เหล่าเสนา อัญญสะมานาเสนา มี ๑๓ นาย คือ

-- นายผัสสะ ตำแหน่ง หาเครื่องสัมผัส
-- นายเวทนา ตำแหน่ง หาอารมณ์ให้เสวย มีสุขทุกข์ อุเบกขา
-- นายสัญญา ตำแหน่ง กำหนดรู้อารมณ์

-- นายเจตนา ตำแหน่ง แสวงหาอารมณ์ตามความประสงค์
-- นายเอกัตคตา ตำแหน่ง ป้องกันการหวั่นไหวของอารมณ์
-- นายชีวิตินทรีย์ ตำแหน่ง คอยรักษาพยาบาลให้ดำรงอยู่

-- นายมนสิการ ตำแหน่ง ตรวจตรากิจด้วยความสุขุม
-- นายวิตก ตำแหน่ง ครองอารมณ์
-- นายวิจารณ์ ตำแหน่ง พิจารณาอารมณ์

-- นายอธิโมกข์ ตำแหน่ง ตัดสินอารมณ์
-- นายวิริยะ ตำแหน่ง สู้ตายไม่ถ้อถอย
-- นายปิติ ตำแหน่ง ให้ความปราบปลื้ม
-- นายฉันทะ ตำแหน่ง หาอารมณ์มาให้เกิดความพอใจ

๒.๒ เหล่าเสนา อนุศาสกเสนา มี ๒๕ นาย คือ

-- นายสัทธา คอยชี้แจงให้เกิดความเชื่อถือถึงหลัก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และเชื่อเหตุเชื่อผล
-- นายสติ คอยตักเตือนมิให้หลงลืม และให้ระมัดระวังก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนคิด
-- นายหิริ คอยเหนี่ยวรั้งให้เกิดความละอายในสิ่งที่ชั่ว

-- นายโอตตัปปะ คอยฉุดให้เกิดความเกรงกลัวต่อผลของการทำชั่ว
-- นายอโลภะ คอยสั่งสอนให้รู้ในคำว่าพอ
-- นายอโทสะ คอยฉุดรั้งไม่ให้คิดอาฆาตพยาบาท

-- นายตัตรมัชฌตา คอยเหนี่ยวรั้งให้วางเฉยในสังขาร
-- นายกายปัสสัทธิ คอยชี้ให้เห็นความสุขในการทำกายให้สงบ
-- นายจิตปัสสัทธิ คอยยึดเหนี่ยวไม่ให้เกิดความฟุ้งซ่าน

-- นายกายลหุตา คอยปลดเปลื้องภาระที่ต้องแบกหาม
-- นายจิตลหุตา คอยปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนให้หมดไป
-- นายกายมุทุตา คอยเฝ้าสอนให้รู้ในระเบียบแบบแผนที่ดี

-- นายจิตมุทุตา คอยตักเตือนไม่ให้ใจแข็งกระด้าง
-- นายกัมมัญญตา คอยเพิ่มให้เกิดกำลังกายสามารถทำงานได้ทุกอย่าง
-- นายจิตตุกัมมัญญตา คอยเพิ่มกำลังใจให้คิดอ่านทำกิจได้ทุกอย่าง

-- นายกายปาคุญญตา คอยฝึกกายให้ว่องไวรวดเร็วไม่เฉื่อยชา
-- นายจิตปาคุญญตา คอยฝึกให้คิดอะไรได้รวดเร็วคล่องแคล่ว
-- นายกายุชุกตา คอยฝึกกายให้ตรง คือไม่ให้ไปทำร้ายเขา
ไม่ให้ไปลักทรัพย์เขา ไม่ให้ไปผิดลูกผิดเมียเขา

-- นายจิตตุชุกตา คอยฝึกจิตให้เที่ยงตรง ดำรงอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทา
-- นายสัมมาวาจา คอยฝึกคำพูดให้พูดแต่ความจริง ไม่พูดเท็จ ให้พูดสมานสามัคคี
ไม่พูดส่อเสียด ให้พูดสุภาพ ไม่พูดคำหยาบ ให้พูดมีหลักมีผล ไม่พูดเพ้อเจ้อ
-- นายสัมมากัมมันตะ คอยฝึกให้ประกอยการงานในที่ชอบ

-- นายสัมมาอาชีวะ คอยฝึกให้หาเลี้ยงอาชีพในทางที่ชอบ เว้นมิจฉาชีพ
-- นายกรุณา คอยทำจิตให้เกิดความเอ็นดูสงสาร ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความทุกข์
-- นายมุทิตา คอยทำจิตให้พลอยยินดีในเมื่อผู้อื่นได้ดี เว้นการริษยา
-- นายปัญญา คอยฝึกให้เกิดความฉลาดรอบรู้ในกิจการทั้งปวง

๒.๓ เหล่าเสนา อกุศลเจตสิกเสนา มี ๑๔ นาย คือ

-- นายโมหะ คอยชักพาให้เกิดความลุ่มหลงมัวเมา
-- นายอหิริกะ คอยชักนำให้ทำชั่วโดยปราศจากความละอาย
-- นายอโนตตัปปะ คอยชักนำให้กล้าทำชั่วโดยไม่กลัวต่อผลบาป

-- นายอุทธัจจะ คอยชักพาให้เกิดความฟุ้งซ่าน จนขาดสติสัมปชัญญะ
-- นายโลภะ คอยชักพาให้เกิดความดิ้นรนอยากได้ไม่รู้จักพอ
-- นายทิฐิ คอยชักนำให้เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชอบเป็นผิด

-- นายมานะ คอยชักจิตให้เกิดความเย่อหยิ่ง ถือตัวว่าไม่มีใครเสมอเหมือน
-- นายโทสะ คอยชักนำให้จิตคิดประทุษร้าย ขาดเมตตากรุณา
-- นายอิสสา คอยชักชวนให้คิดตัดรอนคนอื่น ในเมื่อเห็นคนอื่นจะได้ดีกว่า
ไม่อยากให้ใครได้ดีกว่าตน

-- นายมัจฉริยะ คอยชักนำให้ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่อยากให้อะไรแก่ใคร แต่อยากได้ของคนอื่น
-- นายกุกกุจจะ คอยชักพาให้เกิดความรำคาญ หมดความสงบ
-- นายถีนะ คอยชักพาให้เกิดความหดหู่ซบเซา ไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรทั้งหมด

-- นายมิทธะ คอยชักให้ง่วงเหงาหาวนอน ไม่อยากจะทำอะไร ดีชั่วไม่เข้าใจ
-- นายวิจิกิจฉา คอยชักพาจิตให้ลังเลสงสัยตัดสินใจไม่ถูก


(มีต่อ >>>>> ๓. ภายในเมืองกายนคร)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 10:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๓. ภายในเมืองกายนคร

ภายในเมืองกายนคร มีพวกข้าเฝ้าเหล่าบริพาร ทั้งไพร่และผู้ดี เป็นจำนวนตั้งพันตั้งหมื่น รูปร่างเล็กบ้างใหญ่บ้างอาศัยอยู่ มีชื่อเรียกว่า เหล่ากิมิชาติหรือที่เรียกว่า พยาธิ เช่น พยาธิเส้นด้าย พยาธิใบไม้ พยาธิปากขอ พยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน เป็นต้น พวกนี้ไม่ค่อยจะซื่อตรงจงรักภักดีนัก มีแต่จะคอยทำลายบ้านเมืองให้พินาศ พระเจ้าจิตราชจะทรงคอยกำจัดให้ออกจากภายในเมือง ถ้ารู้ว่ามีพวกนี้อยู่ เพราะนอกจากจะทำลายบ้านเมืองแล้ว ยังคอยเป็นไส้ศึก ทำให้ข้าศึกเข้ามาโจมตีเมืองได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมี หลวงชาติ และขุนสมุทัย ซึ่งเป็นพระญาติของพระมเหสีทั้ง ๒ คือ พระนางอวิชา และพระนางตัณหา ที่ยังคอยแทรกแซงกิจการภายในเมืองอีก โดยหลวงชาติจะคอยเป็นผู้สร้างเมือง โดยมีขุนสมุทัยคอยแต่งเมือง

ทั้งนี้ กายนครแห่งนี้มีฤดูกาลผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ๓ ฤดู คือ ฤดูสุข ฤดูทุกข์ และฤดูเป็นกลาง (อุเบกขา) พระเจ้าจิตราช ทรงประทับอยู่ในสามฤดูนั้นตลอดกาล

นางอวิชชากับนางตัณหา ต่างพากันคอยยุยงส่งเสริมให้พระเจ้าจิตราช ทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง คอยกีดกันพวกฝ่ายกุศลมิให้เข้าใกล้ คนไหนดี มีสติ ปัญญา มีศรัทธา ก็คอยค้อนติง ขับไล่ให้ไกลพระเจ้าจิตราชไป ส่วนพวกพ้องที่เป็นพาลสันดานหยาบ นางก็ทูลให้เพิ่มบำเหน็จรางวัลเป็นความดีความชอบแทน พระเจ้าจิตราชทรงลุ่มหลง หลงใหล ใฝ่ฝันนางทั้งสองยิ่งนัก


(มีต่อ >>>>> ๔. เตือนภัย)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 10:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๔. เตือนภัย

ฝ่าย หลวงสติ ซึ่งเป็นโหราธิบดีผู้ใหญ่ ได้พิจารณาเห็นว่า ในไม่ช้าจะเกิดเหตุใหญ่ในเมือง เพราะท้าวจิตราชทรงลุ่มหลงในนางอวิชชาและนางตัณหา มากเกินไป นางทั้งสองก็ยั่วยุให้มีแต่เรื่องเดือดร้อน หลวงสติ เห็นว่าถ้าปล่อยไว้เช่นนี้เรื่อยไปจะเกิดเป็นภัยแน่ จึงเข้าเฝ้าพระเจ้าจิตราช กราบทูลว่า “เหตุร้ายจักเกิดแก่พระองค์ในไม่ช้า ขอให้พระองค์ทรงเตรียมการป้องกันพระนครไว้พระเจ้าค่า”

ท้าวจิตราชได้สดับโหราธิบดีมาทูลเตือนดังนั้น ก็ทรงร้อนพระทัย จึงตรัสถาม “ท่านหลวงสติ แล้วเราจะเตรียมป้องกันทหารอย่างไรเล่า ?”

โหราธิบดีจึงกราบทูลแนะให้ท้าวจิตราช ทรงป้องกันว่า “ขอพระองค์ทรงจัดทวารธรรมาวุธไว้ เลือกแต่ตั้งอยู่ในศีลในทาน มารักษาพระนคร ขอให้พระองค์สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาไปในสรรพสัตว์ อย่าหลงใหลในพระนางอวิชชาและพระนางตัณหามากเกินไป จะทำให้เสียเมือง อนึ่ง พวกพ้องของนางตัณหา ก็ไม่ควรจะให้เข้าเฝ้าบ่อยนัก เพราะจะทูลให้พระองค์ทรงเดินทางผิดอยู่เสมอ พวกนี้จะพลอยดีแต่เวลายังไม่มีภัยมาถึง ครั้นมีภัยเข้าก็จะพากันทิ้งขว้างพระองค์เป็นแม่นมั่น ไม่ยอมช่วยเหลืออะไรทั้งหมด จะปล่อยให้พระองค์ได้รับทุกข์ทรมานเพียงผู้เดียวเป็นแน่แท้”

ท้าวจิตราช ได้สดับหลวงสติ โหราธิบดี กราบทูลเหตุการณ์ดังนั้น ทรงรู้สึกละอายและเกรงกลัว อันตราย ทรงรับสั่งว่า “ถ้าอย่างนั้นเราจะคลายความลุ่มหลงในองค์มเหสีทั้งสองให้น้อยลง และรับที่จะปฏิบัติตามที่ท่านได้เตือนเรา ขอบใจมาก” แล้วพระเจ้าจิตราช ทรงมีพระดำรัสสั่งให้จัดตั้งเสนาธรรมาวุธ เพื่อป้องกันพระนครโดยกวดขัน


(มีต่อ >>>>> ๕. เหตุร้ายเริ่มส่อเค้า)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 10:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๕. เหตุร้ายเริ่มส่อเค้า

ฝ่าย ขุนทิฐิ ขุนมานะ ในเหล่าเสนาอกุศลเจตสิก ผู้มีความกล้า เมื่อทราบดังนั้นแล้วจึงเข้าเฝ้าเหนือหัวของตน และได้กราบทูลยุยงพระเจ้าจิตราช ว่า “ขอเดชะ พระองค์อย่าได้ทรงท้อถอย ไม่ต้องทรงเกรงกลัวอะไรทั้งหมด พระองค์จงทรงไว้ตัวตามเยี่ยงกษัตริย์ (ขัตติยะมานะ) ไม่ควรที่พระองค์จะทรงยอมทำตามคำเพ็ดทูลของใครง่ายๆ จะเป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติ พระองค์จะทรงกลัวอะไรกับข้าศึกเพียงหยิบมือ”

พระนางอวิชชาและพระนางตัณหา กราบทูลเสริมว่า “พระทูลกระหม่อมแก้ว”

นางอวิชชาเริ่มก่อน “พระองค์ทรงบุญญาธิการ จะหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ ทุกวันนี้พระองค์เสวยแต่ความสุข จะประสงค์สิ่งใดก็ได้สมประสงค์ทุกประการ หากพระองค์ไม่มีความมั่นคง ทำเป็นหลักที่ปักโคลน จะทำให้ราษฎรครหาได้เพค่ะ”

“ทูลกระหม่อมแก้ว” นางตัณหาเริ่มบ้าง “ขอพระองค์อย่าทรงเชื่อถ้อยคำของเจ้าโหราธิบดี ปัญญาโฉด แกล้งกล่าวคำร้ายให้แก่พระองค์และพระนคร ข้าศึกที่ไหนจะมารุกรานเราได้ ขอพระองค์ให้ทรงเชื่อหม่อมฉันทั้งสองเถิดเพค่ะ”

ท้าวจิตราช ได้สดับวาจาเป็นเครื่องกล่าวของพระนางทั้งสอง ดังนั้น ก็ทรงเห็นด้วยกับนาง แล้วพลอยไปโกธาใส่หลวงสติ โหราธิบดี ดำรัสรับสั่งให้ไล่ออกไปเสียให้พ้นจากเขตพระราชฐาน หลวงสติ เมื่อถูกขับไล่ ก็ออกไป บรรดาเสนาที่ซื่อสัตย์ต่างก็ไม่กล้าทูลเตือนพระเจ้าจิตราช หลบหน้าหนีออกไปจากพระนครจนหมด

พระเจ้าจิตราช ทรงลุ่มหลงในพระนางตัณหาและนางอวิชชา มากกว่าเดิม จนไม่ได้เสด็จออกตรวจตราพระนคร ทรงหมกมุ่นอยู่กับอบายมุข เช่น สุรา นารี กับเสนาที่เป็นพาล ไม่เป็นอันปฏิบัติราชกิจที่ถูกควรอันใดเลย

เหล่าพยาธิทั้งหลายก็ได้เริ่มแทรกเข้ามาในกายนครโดยง่ายดาย เรื่องร้ายๆ กำลังจะเริ่มเกิดขึ้น


(มีต่อ >>>>> ๖. มรณานคร)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 10:58 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๖. มรณานคร

จะกล่าวถึงเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่ง ชื่อว่า มรณานคร กษัตริย์มัจจุราช ทรงครองนครนี้

มัจจุราชกษัตริย์ พระนามนี้ได้ยินไปถึงไหน ก็เป็นที่ครั่นคร้ามขามขยาดไปทั่ว เพราะพระยามัจจุราชนี้ ลงโจมตีเมืองใดเข้าแล้วเมืองนั้นต้องย่อยยับทันที พระยามัจจุราชนี้ ไม่มีรัก ไม่มีเกลียดใคร ใครจะเอาเงินทองกอบโกยมาถวายเพียงใด ท้าวเธอก็ไม่ยินดี หรือใครจะไปหลบอยู่ที่ใด อยู่ที่ไหนๆ หากพระเจ้ามัจจุราชต้องการตัว ก็ไม่พ้นเงื้อมมือพระยามัจจุราชไปได้

ทหารเอกของมัจจุราชกษัตริย์ มี ๒ คน คือ หลวงชรา กับหลวงพยาธิ ทั้งสองทหารเอกนี้เป็นที่ครั่นคร้ามไปทั่วทุกทิศ เพราะทหารเอกทั้งสองนี้ซึ่งเปรียบเสือนมือซ้าย มือขวาของพระเจ้ามัจจุราช จะโจมตีไม่เลือกหน้า

พระเจ้ามัจจุราช ทรงดำริจะแผ่อำนาจไปตามหัวเมืองใหญ่น้อย ได้ออกบังลังก์ปรึกษากับเหล่าเสนาอำมาตย์ ซึ่งมีหลวงชรา กับหลวงพยาธิ เป็นมนตรีที่ปรึกษา และเป็นทัพหน้าของเจ้าแห่งมรณานคร

“ตอนนี้เมืองน้อยใหญ่ต่างๆ ต่างตกเป็นเมืองขึ้นของเราแล้ว จะเหลือเมืองใดบ้างหนอที่ยังไม่เป็นเมืองของเรา และได้เวลาที่เราจะไปโจมตีเอา” ทรงตั้งคำถามในที่ประชุม

“กายนคร พระเจ้าข้า” สุวรรณโหราธิบดี ได้กราบทูล “บัดนี้จิตราชราชา ลุ่มหลงในอบายมุขมาก จึงเป็นโอกาสที่เราจะไปยึดครองมาพระเจ้าข้า”

เหล่ามนตรีในที่ประชุมต่างเห็นพ้องกับ สุวรรณโหราธิบดี

มัจจุราชราชา จึงได้ปรึกษาถึงการจะไปโจมตีเมืองกายนคร ให้จัดกำลังนักรบเข้าตีป้อมกำแพงกายนครให้พินาศ แล้วจะเข้าไปจับท้าวจิตราชมัดนำออกไปไว้นอกพระนครต่อไป


(มีต่อ >>>>> ๗. เตรียมทัพ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 11:07 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๗. เตรียมทัพ

ในที่ประชุมมุขมนตรีภายในมรณานคร หลวงชรา ทหารเอกอาสา เดินทางไปดูลาดเลาก่อน โดยทูลว่า “ข้าแต่องค์มัจจุราช ข้าพระองค์ขออาสาเดินทางไปก่อน โดยจะไปตีสนิทกับขุนปฐพี ผู้ตรวจตรากายนคร ชวนเล่นให้สนุกเพลิดเพลินหามรุ่งหามค่ำ จนเขาลืมตรวจตราพระนคร จนเห็นว่าเมืองนั้นโทรมแล้ว จึงจะเข้าโจมตีหนักในภายหลังพระเจ้าข้า”

พระยามัจจุราช ทรงแย้มพระสรวลในแผนการของหลวงชรา

หลวงพยาธิ กราบทูลว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าจะขออาสายกทัพหนุนเข้าโจมตีกายนคร โดยจะขอให้ขุนระบาดไปด้วย จะได้ช่วยฝึกอาวุธกับขอขุนโรคาคุมไพร่พลร้อยแปด ไปตั้งล้อมป้อมค่ายเป็นชั้นๆ ไว้หลายๆ ชั้น เมื่อได้โอกาสแล้วก็จะโจมตีกายนครให้ย่อยยับเลยทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า”

หลวงมรณัง อำมาตย์ผู้ใหญ่อีกผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือไม่น้อยไปกว่าทหารเอกทั้งสองกราบทูลอาสาไปอีกว่า “ขอเดชะ หากกองทัพของหลวงชรา และหลวงพยาธิ กลับสู่พระนครเราแล้วไซร้ ข้าพระพุทธเจ้าจะขออาสายกพลไปโจมตีล้างผลาญกายนครให้พินาศ ไม่เลือกว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ แล้วจะจับท้าวจิตราช ผู้ครองกายนคร มาถวายพระองค์ให้จงได้พระพุทธเจ้าข้า”

มัจจุราชกษัตริย์ทรงสดับความคิดของแม่ทัพทั้ง ๓ จะอาสาไปตีกายนครดังนั้น ก็ทรงพอพระทัยยิ่งนัก จึงดำรัสให้สองทหารเอก คือหลวงชรา และหลวงพยาธิ เร่งระดมพลไปโจมตีกายนครทันที

หลวงชรา และหลวงพยาธิ รับพระบรมราชโองการจากพระยามัจจุราชแล้ว ก็ออกมาเกณฑ์พลไกรโดยพรั่งพร้อม ให้ ขุนเอดส์ ถือธงชัยนำหน้า ถัดมา ขุนตาลขโมย นายกองช้าง, ขุนบาดทะยัก นายกองม้า, ขุนอหิวาตกโรค นายกองพลธนู, ขุนริดสีดวง นายกองทหารราบ ตามด้วย นายรองเท้ามาร นายไส้เลื่อน นายกลาก นายเกลื่อน นายหิต นายต่อมพิษ นายงูสวัสดิ์ นายหวัดใหญ่หวัดน้อย ฯลฯ เดินตามกันเป็นแถว ปีกขวาขุนมะเร็ง ปีกซ้ายขุนวัณโรค

หลวงชรา ทัพหน้า ใส่เสื้อผ้าหนังวานร ใส่แว่นตา มือซ้ายถือสาก มือขวาถือไม้เท้า

หลวงพยาธิ ทัพหลัง ใส่เสื้อหนังวัวกระทิง มือทั้งสี่ ถือพร้า ขวาน จอบ คบเพลิง เป็นอาวุธ

นายกุฏฐัง เป็นผู้หาฤกษ์ พอได้ฤกษ์ก็ยกกองทัพไปสู่กายนคร


(มีต่อ >>>>> ๘. รุกคืบ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 11:15 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๘. รุกคืบ

ครั้นกองทัพเมืองมรณานคร เข้าใกล้จะถึงกายนคร หลวงชราก็สั่งให้หยุดกองทัพไว้ไม่ห่างจากกายนครไกลนัก แล้วตัวหลวงชรา จึงลอบเข้าไปดูลาดเลาในเมือง.........ในพระนคร ท้าวจิตราช ทรงลุ่มหลงนางตัณหาและนางอวิชชามาก จนไม่เป็นอันออกว่าราชการ ไม่คิดจะป้องกันพระนครอย่างไร

หน่วยจู่โจมของหลวงชรา จึงเข้าโจมตีกำแพงด้านนอกสุดคือ กำแพงตโจ (กำแพงหนัง) จนตกกระ ท้าวจิตราชก็ยังไม่รู้สึกพระองค์ ชาวเมืองกายนคร ก็เช่นกัน เพราะเห็นแต่มัวสนุกสนานเพลิดเพลิน ทะนงตนกันอยู่ หลวงชรา จึงสั่งให้ทหารเข้ารื้อกำแพงมังสา ชั้นที่สอง (กำแพงเนื้อ) ตีป้อมเกศา (ปราการผม) ซึ่งเคยดำกลับกลายเป็นขาว

ท้าวจิตราช พอรู้ข่าวว่า พระยามัจจุราช ส่งกองทัพมาโจมตีกายนคร พระองค์ทรงตกพระทัยยิ่งนัก เร่งเสด็จไปยังประตูจักษุประสาท เพื่อสังเกตเหตุการณ์ “นี่มันอะไรนี่” จิตราชราชา ทรงอุทานขึ้นเพราะเห็นแต่หมอกควันมืดมัว ที่เกิดจากการโจมตีของหลวงชรา พระองค์ทรงเสด็จไปดูกำแพงป้อมปราการ ประตูต่างๆ ก็วิกลวิกาลไปหมด จึงตรัสเรียกขุนปฐพี ผู้ตรวจตรากายนคร มาแล้วตรัสสั่งไป “ขุนปฐพี หน้าที่ของท่านคือตรวจตราบ้านเมือง ขณะนี้กองทัพของเมืองมรณัง เข้ามาโจมตีเมืองของเราท่านมัวแต่ทำอะไรอยู่ เพื่อไม่ให้เป็นการประมาท ท่านจงเร่งซ่อมแซมพระนครโดยด่วน”

ขุนปฐพี เมื่อได้รับประบัญชาเช่นนั้นแล้ว จึงเร่งซ่อมแซมบ้านเมืองโดยด่วน ด้วยการไปเอาแป้งปูนขาวมาแต้มแต่งกำแพงตโจ เอาเขม่าน้ำยามาช่วยฟื้นฟูป้อมเกศา แต่กว่าที่ขุนปฐพีจะมาซ่อมแซมก็ช้าเกินแก้ ยิ่งซ่อมก็ยิ่งชำรุด

หลวงชรา เมื่อโจมตีได้ผลมากก็ยิ่งได้ที “หึ หึ หึ ไม่นาน กายนคร ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของพระราชาของเราเช่นเมืองอื่นๆ” แล้วสั่งให้ทหารเข้ากระหมวดรูโซ่ ที่รึงรัดตัวเมืองให้มั่นคงอยู่ได้ ทำให้เป็นปุ่มปม ตีป้อมทันตา (ปราการฟัน) จนโยกคลอน หลุดร่วงพรู แม้ขุนปฐพีจะจัดการซ่อมแซม ดัดแปลงอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จึงเร่งมากราบทูลพระเจ้าจิตราช ให้ทรงทราบ “ไม่ไหว พระเจ้าข้า ขณะนี้สุดวิสัยที่ข้าพระองค์จะซ่อมแซมแล้ว พระเจ้าข้า”


(มีต่อ >>>>> ๙. คำแนะนำ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 11:26 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๙. คำแนะนำ

เมื่อขุนปฐพี มากราบทูลให้เจ้าจิตราช ฟังดังนั้น ความร้อนพระทัยของพระเจ้าจิตราชทรงเพิ่มมากยิ่งขึ้น ครั้นทรงนึกถึงคำที่หลวงสติ โหราธิบดี ได้เคยกราบทูลเตือนไว้ว่า จะมีภัยมาติดพระนครแต่นางตัณหา กับนางอวิชชาทูลทัดทานไว้ไม่ให้เชื่อ กลับให้ไล่โหราธิบดี ออกไปเสีย อีกบัดนี้ เหตุร้ายก็เกิดขึ้นเป็นจริงดังคำที่ สติโหราธิบดีกราบทูลไว้แล้ว จึงเพิ่มความร้อนพระทัยยิ่งนัก จึงดำรัสสั่งให้เรียกหลวงสติโหราธิบดีเข้าเฝ้า

ในครั้งนี้ สติโหราธิบดี เกรงว่า จะทูลให้พระเจ้าจิตราชราชาทรงเชื่อฟังตนไม่มั่นคงจึงพา หลวงสัมปชัญญะ ผู้เป็นราชครูประจำกายนคร เข้าเฝ้าอีกพร้อมตน เมื่อเข้าเฝ้าจิตราชราชาแล้ว พระเจ้าจิตราชทรงดีพระทัยมากเมื่อทั้ง ๒ คนเข้าเฝ้าโดยพร้อมกัน จึงตรัสว่า “ดูกร ท่านโหราจารย์ทั้งสอง บัดนี้ ป้อมกำแพงเมืองทั้งภายในและภายนอก ถูกข้าศึกโจมตีจวนจะพินาศอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งสองช่วยป้องกันพระนครไว้ให้ดีด้วยเถิด”

หลวงสติ จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ข้าศึกที่มาโจมตีกายนครครั้งนี้ เป็นทัพของพระยามัจราช ที่ล่วงหน้ามาก่อนนี้ มี ๓ ทัพ ด้วยกัน ทัพหนึ่ง เป็นทัพของ หลวงชรา จะบุกเข้าสู่กายนครก่อน... จากนั้นจะเป็นทัพของหลวงพยาธิ จะโหมกำลังเข้าตีกระหน่ำ... แล้วทัพของหลวงมรณัง จะเข้าทำลายเมืองจนแหลกลาญ พระองค์จะต้องถูกจับตัวไปถวายกษัตริย์มัจจุราช ขณะนี้เป็นทัพของหลวงชราเข้ามาโจมตีก่อน ทัพของหลวงพยาธิกับหลวงมรณังยังมาไม่ถึง ขอพระองค์ทรงหาวิธีป้องกันพระนครไว้เถิดพระเจ้าข้า”

ราชครูสัมปชัญญะ กราบทูลเสริมไปว่า “ขอเดชะ หากพระองค์ไม่ทรงป้องกันพระองค์ไว้ก่อน เมื่อถูกจับพระองค์ไปส่งกษัตริย์มัจจุราช พระองค์จะต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยประการต่างๆ เช่น ถูกนำไปขังไว้ในคุกนรกบ้าง นำไปอยู่กับพวกสัตว์เดรัจฉานบ้าง นำไปทรมานดั่งเปรตบ้าง ขอให้พระองค์โปรดมีกระแสรับสั่ง ให้ขุนศรัทธากับขุนปัญญา ช่วยคิดแก้ไขเหตุร้ายเถิดพระเจ้าข้า”

ขณะนั้น เสนาปัญจวีสติอนุศาสก ซึ่งหมอบเฝ้า อยู่ ณ ที่นั้น ด้วยต่างพากันกราบทูลสนับสนุน โหราธิบดีทั้งสอง ขอให้ท้าวจิตราชทรงปฏิบัติตาม

พระเจ้าจิตราช ทรงรับทำตามคำกราบทูลของโหราธิบดีทั้งสอง โดยให้ขุนศรัทธากับขุนปัญญาเตรียมกำลังพล ๕ กองพล คือ พลศรัทธา พลวิริยะ พลสติ พลสมาธิ พลปัญญา ไว้ต่อสู้กับกองทัพของหลวงชรา โดยมีอนุศาสกทั้ง ๒๕ คน ขออาสารบในครั้งนี้ และมีดำรัสสั่งให้ ขุนมัจฉริยะเจ้ากรมพระคลัง เตรียมเสบียงและขนราชทรัพย์ออกจากพระคลังหลวง เพื่อใช้จ่ายในทางที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง เพื่อรับทัพจากเมืองมรณนคร

ฝ่ายขุนมัจฉริยะ เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนี้ ก็ไปทูลพระนางตัณหาและพระนางอวิชชา เพื่อขอให้พระนางทั้งสองช่วยประวิงการเบิกจ่ายเงินจากท้องพระคลังหลวงไว้ก่อน เพราะขืนให้เบิกจ่ายมากๆ จะทำให้เงินในท้องพระคลังหลวงร่อยหรอ

พระนางตัณหาและพระนางอวิชชา ได้ฟังขุนมัจฉริยะมาทูลดังนั้นให้รู้สึกไม่สบายพระทัย จึงรีบพากันไปเฝ้าพระราชสวามี และกราบทูลว่า “พระทูลกระหม่อม ทำไมจึงทรงเชื่อคำของโหราธิบดี และอำมาตย์ ที่เพ็ดทูลในทางที่ไม่เป็นเรื่อง อันทรัพย์สินเงินทองที่เก็บไว้ยิ่งมากก็ยิ่งดี ถ้าทรงนำมาจับจ่ายก็จะทำให้พร่องไป หม่อมฉันทั้งสองอุตส่าห์ดิ้นรนหามาเก็บไว้ และคอยป้องกันมิให้เงินทองรั่วไหล ก็เพราะมีขุนมัจฉริยะเขาเป็นคนดีถี่ถ้วน ไม่ยอมนำออกไปใช้จ่ายง่ายๆ คอยเก็บหอมรอมริบ พระองค์อย่าทรงเชื่อโหรเฒ่าเจ้าเล่ห์ คอยแต่ประจบยุ ให้ทำบุญทำทาน ถ้าถึงคราวหมดทรัพย์ พวกเหล่านี้ก็จะเอาตัวรอด หม่อมฉันทั้งสองดอกที่จะจงรักภักดีต่อพระองค์อยู่ตลอดกาล ขอพระองค์ทรงยับยั้งการนำเงินออกจากพระคลังไว้ก่อนเถิด เพค่ะ”

ฝ่ายเสนาเหล่าอกุศลเจตสิก ๑๔ นาย ที่เป็นพวกพ้องของพระนางทั้งสอง ต่างกราบทูลสนองสนับสนุนถ้อยคำของนางทั้งสอง และทูลเสริมว่า “ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะขออาสาต่อต้านข้าศึก จะไม่ยอมให้ข้าศึกเข้าทำลายบ้านเมืองและจับพระองค์ไปได้ และขอให้ทรงพระสำราญประกอบกามสุขอย่าได้ทรงทุกข์ร้อนพระทัยไปเลย พระเจ้าข้า”

ท้าวจิตราชทรงสดับคำของเหล่าพระนางตัณหาและพระนางอวิชชาแล้ว ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงทำให้ทรงพิโรธพวกพระโหราธิบดี เป็นอันมาก “เฮ้ย ไอ้โหรา ปัญญาทราม” ท้าวจิตราชทรงตวาดใส่ โหราและกุศลเสนา “มึงจะมากล่าวร้ายให้ตัวกูแลพระนครพลอยฉิบหาย ไปๆ พวกมึงไปให้พ้นจากพระนครเดี๋ยวนี้” แล้วทรงขับไล่โหราธิบดีและอนุศาสกออกจากพระนคร

ท้าวจิตราช ทรงลุ่มหลงพระนางทั้งสองมากยิ่งขึ้น และตรัสขอบใจพระนางทั้งสองที่ทูลทัดทานไว้ พร้อมทั้งบำเหน็จรางวัลให้ขุนมัจฉริยะเป็นอันมาก


(มีต่อ >>>>> ๑๐. ข้าศึกที่ไม่เห็นตัว)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 11:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑๐. ข้าศึกที่ไม่เห็นตัว

ฝ่ายทัพ ขุนพยาธิ ซึ่งเป็นทัพหนุนของทัพ หลวงชรา พอทราบว่ากายนครถูกทัพของหลวงชรา ซึ่งเป็นกองหน้าเข้าจู่โจมจนบอบช้ำแล้ว จึงสั่งให้เคลื่อนทัพหนุนให้ ขุนโรคา เข้าประชิดพระนคร เตรียมคบเพลิงเพื่อเผากายนคร

เมื่อมาสมทบกับทัพของหลวงชรา ขุนพยาธิก็ยังไม่เห็นทหารจากกายนคร ออกมาป้องกันพระนคร จึงได้แต่มองหน้าหลวงชรา ว่า ทำไมมันง่ายอย่างนี้ พร้อมทั้งเริ่มโจมตีพระนครระลองสองอย่างหนัก ทันใดนั้น ทางประตูพระนคร ปรากฏ พวกกิมิชาติ พยาธิร้าย ต่างพากันเปิดประตู ฆานทวารซ้าย ขวา เพื่อต้อนรับขุนโรคา ทันที

ขุนโรคา ดีใจมากที่มีไส้ศึกออกมาต้อนรับ อันทัพของขุนโรคานี้ มีร่างกาย โปร่งบางเบา เป็นมนุษย์ล่องหน ไปหนทางใดก็ไม่มีผู้ใดพบเห็น เว้นแต่ผู้มีตาทิพย์เท่านั้นจึงจะเห็น และทัพของขุนโรคานี้เป็นผู้ชอบทรมานผู้อื่นมากกว่าการจับเป็นหรือจับตาย ชอบเห็นผู้อื่นมีความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ยิ่งเจ็บขุนโรคายิ่งชอบ ชอบทรมาน

ทัพของขุนโรคา เมื่อบุกเข้ากายนครได้ ก็เริ่มทรมานชาวเมืองด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ จนได้ยินเสียงร้องโอดครวญไปทั่วพระนคร สำหรับตัวขุนโรคา ได้เข้าไปในพระราชวังของท้าวจิตราช ได้เห็นท้าวจิตราชกับพระมเหสีทั้งสองกำลังบรรทมหลับสนิทอยู่ จึงเข้าตรงจู่โจมทำร้ายท้าวจิตราชโดยทันที

“โอ้ยยยยยยยยย” ท้าวจิตราช ทรงสะดุ้งจากพระบรรทม “มันเกิดอะไรขึ้น” ทรงรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วพระวรกาย มองเหลียวซ้าย แลขวา มองหาคนที่มาทำร้ายตนก็ไม่เห็นตัว ได้ยินเสียงหวิวๆ ระรัวคล้ายกลองสะเทือนสะท้านกังวาลไปทั้งโสตะ แลร่ายกายเจ็บปวดมาก

“น้องหญิงช่วยพี่ด้วย” ท้าวจิตราชตรัสเรียกมเหสีทั้งสองให้ตื่นจากบรรทมให้มาช่วยพระองค์

“เป็นไงบ้างล่ะ” ขุนโรคา นึกอยู่ในใจ

พระนางตัณหาและพระนางอวิชชา ทรงตื่นจากบรรทม เห็นพระอาการของพระสวามีแล้วทรงตกใจมาก ที่เห็นพระอาการของพระสามีสั่นสะท้านไปทั่วพระวรกาย ต่างเข้าประคองจิตราช ราชา “พระองค์เป็นอะไรเพค่ะ” พระนางอวิชชา ทรงตระหนกถามพระสวามีอย่างเสียงสั่น “พระองค์อยากเสวยอะไรหรือเพค่ะ” พระนางตัณหา ตรัสถาม ด้วยเข้าใจว่าท้าวจิตราชทรงหิวพระกระยาหาร “อยากเสวย สุรา ยาฝิ่น กัญชา หรือหมู เห็ด เป็ด ไก่ ก็มีไว้พร้อมแล้ว อย่าได้ทรงอดเลย ถ้าทรงอดของเหล่านี้แล้ว พระองค์จะซูบผอมได้ จะทำเหมือนไม่ทรงรักพระองค์เอง หรือจะทรงประสงค์สิ่งไรอีก ก็ขอได้ทรงบอกเถิด น้องจะจัดมาถวายตามพระประสงค์ทุกอย่าง”

ท้าวจิตราช ทรงปฏิเสธทุกอย่าง ตรัสว่าเบื่อไปหมดไม่อยากเสวยอะไรเลย

“เอาเหอะ เราจะไม่ฆ่าเจ้า ในตอนนี้หรอก เราจะให้เจ้าทรมาน ทรมาน จนกว่าเจ้าจะตายเอง” ขุนโรคา รำพึงในใจตนเองอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะมันได้วางยาบั่นทอนชีวิต ไว้ในตัวของท้าวจิตราช

“วันนี้ข้าไปก่อนล่ะ ขอให้เจ้าทรมานไปจนวันตายเถิด ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ขุนโรคา วางยาบั่นทอนชีวิตในร่างกายของท้าวจิตราชแล้ว ก็ได้ออกไปสมทบกับหลวงชรา เพื่อทำลาย ป้อม ประตู กำแพงทั้งหมดของกายนคร

ฝ่ายจิตราชราชา ทรงเจ็บปวดพระวรกายมากเพราะยาบั่นทอนชีวิตของขุนโรคา มเหสีทั้งสองเห็นอาการของพระสวามีให้แปลกใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นพระวรกายของของพระสามีเป็นอย่างนั้น จึงให้เรียกหมอหลวงมาพยาบาล ให้หมอผี แม่มดมาปัดรังควาน ก็ไม่หายไม่ทุเลา เพราะพิษของยาบั่นทอนชีวิตเป็นยาที่มีคนรู้จักน้อยนัก ท้าวจิตราชราชาจะทรมานไปถึงไหนกัน


(มีต่อ >>>>> ๑๑. พระสุบิน)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 11:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑๑. พระสุบิน

พระเจ้าจิตราชราชา ครั้นทรงบรรเทาอาการเจ็บปวดดังกล่าวไปได้พอสมควร อีกทั้งยังอ่อนเพลียด้วยพิษไข้จากยาบั่นทอนชีวิตของขุนโรคา จึงบรรทมหลับไป ได้ทรงพระสุบินว่า มีผู้วิเศษเหาะเข้ามาทางช่องพระแกล พระหัตถ์ซ้ายถือคันชั่ง พระหัตถ์ขวาถือค้อนที่ลุกโพลงไปด้วยเพลิงอันโชติช่วง แล้วได้ถามปัญหาพระเจ้าจิตราช ๒ ข้อ

“พระองค์นรราชาแห่งกายนครปัญหาสองข้อนี้มีว่า ๑. ยาวให้บั่น ๒. สั้นให้ต่อ ขอพระองค์ทรงตอบปัญหาสองข้อนี้ว่าคืออะไร ถ้าคิดไม่ออก ในสามวันจะมีอันตราย ถ้าคิดออกจะหายจากโรคาพาธ ความเกษมสำราญสวัสดีจะมีต่อพระองค์ทุกราตรีกาล” ครั้งถามปัญหาแล้ว ผู้วิเศษก็หายไปในทันที

พระเจ้าจิตราชตกพระทัย ผวาตื่น แลยังจำพระสุบินนิมิตนั้นได้เป็นอย่างดี จึงตรัสเรียกเสนาอนุศาสกทั้ง ๒๕ นาย ให้เข้าเฝ้าแล้วตรัสเล่าถึงอาการประชวรและพระสุบินนิมิต ที่มีผู้วิเศษมาถามปัญหาให้แก้ ๒ ข้อนั้นทุกประการ

อนุศาสกทั้ง ๒๕ นาย ปรึกษากันและเห็นพ้องต้องการจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ การที่พระองค์ต้องรับบาปเคราะห์กรรมถึงกับทรงประชวรครั้งนี้ ก็เพราะเหล่าเสนาพาล ๑๔ นาย ยุยงให้พระองค์เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชอบเป็นผิด การที่พระองค์ประชวรเพราะต้องยาบั่นทอนชีวิตของขุนโรคา เสนาของมรณานคร ที่ข้าศึกภายนอกเข้ามาโจมตีถึงภายในเช่นนี้ ก็เพราะภายในมีเสี้ยนหนามศัตรูอยู่ เปิดโอกาสให้ข้าศึกภายนอกเข้ามาได้โดยง่าย อนึ่ง สุบินนิมิตของพระองค์ที่ปรากฏขึ้นนั้น เป็นมงคลนิมิต และผู้ที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็เห็นอยู่แต่สมเด็จพระสังฆราช คือ พระธรรมมุนี ขอพระองค์ได้อาราธนาท่านมาวิสัชนาให้ฟังเถิด พระเจ้าข้า”

ท้าวจิตราทรงยินดียิ่งนัก จึงตรัสให้ขุนศรัทธาไปนิมนต์สมเด็จพระสังฆราชมาในวัง เมื่อสมเด็จพระสังฆราชมาถึง จิตราชราชาจึงถวายนมัสการ แล้วเล่าเหตุการณ์ที่ปรากฏแก่พระองค์ให้สมเด็จพระสังฆราชาฟังทุกประการ


(มีต่อ >>>>> ๑๒. แก้พระสุบิน)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 1:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑๒. แก้พระสุบิน

สมเด็จพระสังฆราชได้ฟังพระดำรัสตรัสเล่า ดังนั้น ก็ทราบความทุกประการ จึงถวายพระพรว่า “ขอมหาบพิตร อย่าได้ทรงพระวิตกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใดเลย อันสุบินนิมิตที่ปรากฏนั้นเป็นนิมิตดี เกิดขึ้นด้วยอำนาจกุศล แสดงว่าพระองค์จะทรงสำราญอยู่ต่อไป แต่ในชั้นต้นนี้ขอพระองค์จงสมาทานศีล ๕ ประการเป็นหลักเสียก่อน คือ ให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ให้มีเมตตาจิตต่อสรรพสัตว์ถ้วนหน้า ไม่ฉกชิงลักทรัพย์ของผู้อื่น ไม่ผิดลูกเมียของใครเขา ไม่พูดปดมดเท็จให้เขาเข้าใจผิด ไม่ดื่มเครื่องดองของเมาอันเป็นเหตุให้เสียสติ ศีล ๕ นี้เป็นเสมือนเกราะแก้วเป็นมงคลต่อผู้สวม สามารถประจันกับข้าศึกฝ่ายไม่ดีให้พ่ายแพ้ไป

สำหรับพระสุบินนิมิตที่กล่าวมาผู้วิเศษถือคันชั่งมา ก็ขอให้พระองค์ทรงเที่ยงตรงดั่งคันชั่งนั้น แลปริศนาธรรม ๒ ข้อคือ ยาวให้บั่น กับสั้นให้ต่อ จะขอแก้วิสัชนาเป็นข้อๆ ดังนี้

ที่ว่า ยาวให้บั่น คือ คนเรามีทุกข์ซึ่งมีมาจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเศร้าโศก เสียใจ แค้นใจ คับใจ พลัดพรากจากของรัก ปรารถนาสิ่งใดไม่สมหวัง ความทุกข์เหล่านี้ เกิดจากตัณหา ๓ ประการ คือ กามตัณหา ความอยากในกาม, ภวตัณหา ความอยากเป็นโน่น เป็นนี่, วิภวตัณหา ความไม่อยากเป็นอะไรสักอย่าง และอวิชชานี้ทำให้เกิดทุกข์ไม่สิ้นสุด จึงควรบั่นทอนให้หมดไป ถ้าไม่บั่นก็จะทำให้เกิดทุกข์ไม่สิ้นสุด ดังนั้นจึงว่า- - - ยาวให้บั่น

ที่ว่า สั้นให้ต่อ คือ คนเราเกิดมามีอายุน้อยนัก หากจะก่อกรรมทำอกุศล ก็จะหมดดีไม่มีชื่อเสียง เพราะสูญเสียความดีที่ควรทำไปพร้อมกับชีวิตอันสั้น ฉะนั้นจึงควรประกอบกรรมดี เพื่อให้ความดีดำรงยั่งยืน โดยละอกุศลกรรมเหล่านี้ คือ ละ

โมหะ ความหลง
โทสะ ความโกรธ
มัจฉะริยะ ความตระหนี่
ถีนมิทถะ ความง่วงเหงาซึมเซา

อหิริกะ ความหมดอาย
อโนตะตัปปะ ความไม่กลัวบาป
อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญ
อิสสา ความริษยา

โลภะ ความละโมบอยากได้ไม่สิ้นสุด
ทิฐิ ความเห็นนอกลู่นอกทาง
มานะ ความถือตัว
วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย

เมื่อละอกุศลเหล่านี้ได้ ก็ขอพระองค์ประกอบกุศล มีการให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น เมื่อทำเช่นนี้ได้ ก็จะทำให้อายุอันสั้นนี้ ได้ดำรงคุณงามความดีอยู่ได้ตลอดไป ดังปริศนาว่า- - -สั้นให้ต่อ”


จิตราชราชาทรงเลื่อมใสในวิสัชนาของสมเด็จพระสังฆราชยิ่งนัก มีพระทัยผ่องใส การที่พระเจ้าจิตราชทรงมีพระทัยผ่องใสทำให้ขับพิษของยาบั่นทอนชีวิตของขุนโรคา สลายไปในที่สุด


(มีต่อ >>>>> ๑๓. เปิดพระคลัง)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 1:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑๓. เปิดพระคลัง

ท้าวจิตราชทรงมีพระทัยผ่องแผ้วสดใสเพราะฟังคำแก้ปริศนาของพระธรรมมุนี (พระสังฆราช) จึงรับกับพระสังฆราชาว่า “ข้าพระองค์จะทำตามทุกอย่างตามที่ท่านถวายวิสัชนามา จะเริ่มบำเพ็ญ ศีล ทาน ภาวนา จะหลีกให้ห่างจากพวกอกุศล จะระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และตั้งจิตลงสู่ไตรลักษณ์ จะกำจัดอวิชชา ตัณหาให้พ้น” จากนั้นจึงรับสั่งให้เสนาอนุศาสก ให้คอยระแวดระวังอย่าให้นางตัณหา นางอวิชชา เข้ามาถึงหน้าฉานได้ ถ้ามาก็ให้ไล่ไปให้พ้น อีกทั้งพวกกาลี ๑๔ คน ก็อย่าให้เข้ามา

พระเจ้าจิตราชทรงมีพระพักต์ผ่องใส พระทัยผ่องแผ้ว เริ่มดำริที่จะบริจาคทาน จึงมอบอาญาสิทธิ์ให้ ขุนจาคะ เจ้ากระทรวงว่า “จาคะ ขอให้ท่านไปขับไล่ขุนมัจฉริยะ เจ้ากรมบัญชีพระคลังหลวงออกไปเสีย แล้วขนเงินทอง ข้าวของมีค่า ออกทำการสงเคราะห์ ประชาชนผู้ยากจนให้ได้รับโดยทั่วหน้ากันเถิด”

ขุนจาคะรับพระราชโองการแล้ว จึงเร่งตรงไปหาขุนมัจฉริยะ แล้วออกคำสั่งให้ขับขุนมัจฉริยะพ้นหน้าที่เจ้ากรมบัญชีหลวงทันที ขุนมัจฉริยะโกรธมาก ที่ถูกขับไล่ให้ออกจากตำแหน่งพระคลังหลวง จึงขัดขืนดื้อดึง อ้างว่า “ตัวข้า เป็นคนโปรดปรานของพระมเหสีทั้งสอง ทั้งได้รับการไว้วางพระทัยเป็นอย่างมาก ทั้งตนเองก็ได้เก็บหอมรอมทรัพย์ไว้จนเต็มท้องพระคลัง มิได้นำไปใช้จ่ายให้สิ้นเปลืองพระราชทรัพย์แต่ประการใด” แล้วโต้ขุนจาคะต่อไปว่า “เรามีความผิดอย่างไรหรือจึงมาขับไล่เรา”

ขุนจาคะจึงตอบโต้บ้าง “ท่านดีแต่อ้างเอานางตัณหามเหสีมาขู่ขวัญ เราจะบอกให้ว่า ที่เราออกคำสั่งขับไล่ท่านครั้งนี้ เพราะได้มีพระราชโองการจากพระเจ้าจิตราช ให้เรามาขับไล่ท่าน หากท่านยังขืนขัดคำสั่ง จะถูกพระราชอาญา”

ขุนจาคะมิฟังเสียงคัดค้านจากขุนมัจฉริยะอีกต่อไป ตรงเข้าไขกุญแจเปิดห้องพระคลัง ขนแก้ว แหวน เงิน ทอง ออกมากองไว้ภายนอกพระคลังจนหมดสิ้น ขุนมัจฉริยะโกรธแสนโกรธ ครั้นจะดื้อดึงแข็งขืน ก็เกรงว่าจะมีภัย มองดูทรัพย์สินเงินทองที่นำออกมากองไว้ รู้สึกเศร้าใจเพราะเสียดาย ที่อุตส่าห์เก็บไว้ตั้งแต่ปู่ย่า ตายาย จะต้องมาหมดสิ้นไปในครั้งนี้ จึงหันไปปรึกษา ขุนโลภะ รองเจ้ากรมว่าจะทำกระไรดี ขุนโลภะจึงหันเข้าต่อว่าขุนจาคะว่า “อวดดีอย่างไรจึงทำเช่นนี้ ของเหล่านี้เราเป็นฝ่ายหา ขุนมัจฉริยะเป็นฝ่ายเก็บ กลับจะนำออกไปใช้จ่ายหมดไปเช่นนี้ เราไม่ยอมเด็ดขาด”

ขุนจาคะเห็นท่าจะพูดดีๆ กันไม่ได้ จึงตวาดใส่ขุนมัจฉริยะและขุนโลภะ แล้วอ้างพระราชดำรัสให้มาจัดการครั้งนี้ จากนั้นจึงตรงเข้าจับคอขุนมัจฉริยะ และขุนโลภะ ไสตัวออกไป ขุนมัจฉริยะและขุนโลภะ เมื่อถูกคุกคามและขับไล่เช่นนั้น จึงพากับไปทูลพระมเหสีอวิชชา และพระมเหสีตัณหา ว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า ข้าพเจ้าทั้งสองถูกขุนจาคะ ขับไล่ไสส่ง ถอดจากตำแหน่ง และกล่าววาจาดูถูกพระแม่เจ้าทั้งสองด้วย มิหนำซ้ำยังขนทรัพย์สินเงินทองออกจากท้องพระคลังจนหมดสิ้น”

มเหสีทั้งสองได้ฟังเจ้ากรมและรองเจ้ากรมพระคลัง มาทูลความ พลันรู้สึกโกรธจนตัวสั่น ถลันลุกรีบไปเข้าเฝ้าพระสวามีทันที เห็นเหล่าอำมาตย์อนุศาสก แวดล้อมเจ้าจิตราชอยู่ จึงบริภาษอย่างหยาบช้าสามานย์ แล้วหันไปกราบทูลพระสามี ให้ขับไล่เหล่าอนุศาสกออกไปให้พ้น แล้วขอให้ขนทรัพย์สมบัติเข้าไว้ในท้องพระคลังอย่างเดิม

พระเจ้าจิตราชมิได้ตรัสตอบประการใด เพียงแต่รับสั่งให้ปิดประตูลงกลอนเสีย มิได้ทรงหวั่นไหวไปตามคำทูลขอ พวกอำมาตย์อนุศาสกต่างขับไล่มเหสีทั้งสองให้ออกไปให้พ้นพระราชฐาน ไม่ยอมให้เซ้าซี้ ก่อความวุ่นวายพระทัยพระเจ้าจิตราช

ขุนจาคะเจ้ากระทรวง เมื่อได้โอกาสจึงรวบรวมทรัพย์สินเงินทองที่กองไว้นั้น มาถวายพระเจ้าจิตราช เพื่อให้พระองค์นำไปบริจาค พระเจ้าจิตราช ทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก ทรงโสมนัสยิ่งในการที่จะได้บริจาคเป็นครั้งใหญ่ จึงรับสั่งประกาศแก่ชาวพระนครให้มารับของแจก และจัดภัตตาหารถวายพระสงฆ์เป็นประจำ พระราชทานรางวัลแก่ข้าราชบริพารที่ซื่อสัตย์สุจริต ส่วนผู้ที่ประพฤติผิดทำนองคลองธรรมทรงกำจัดออกจนหมดสิ้น

สำหรับสงครามภายนอกทรงแต่งตั้งให้ หลวงชีวิตินทรีย์ คอยรักษาป้องกันพระนคร ร่วมกับ ขุนปฐพี ขุนอาโป ขุนเตโช และขุนวาโย หากมีส่วนใดของพระนครชำรุด หลวงเภสัช จะเป็นผู้วินิจฉัยและซ่อมแซม พร้อม ขุนปฐพี ขุนอาโป ขุนเตโช และขุนวาโย เป็นส่วนๆ ไป

ส่วนข้าศึกภายในมอบหมายให้ ขุนปัญญา สอดส่องกำจัดเสีย


(มีต่อ >>>>> ๑๔. เตรียมต่อนาวา)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 17 ก.ย. 2006, 6:49 am, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 1:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑๔. เตรียมต่อนาวา

ทางด้านหลวงสติกับหลวงสัมปชัญญะ พระโหราธิบดีทั้งสองซึ่งถูกขับไล่ไป ครั้นทราบว่าพระเจ้าจิตราชทรงกลับพระทัยขับไล่พวกทุจริต เลี้ยงดูผู้สุจริต จึงกลับเข้าเฝ้า จิตราชราชาทอดพระเนตรเห็นโหราธิบดีทั้งสองกลับมาเฝ้า ก็ทรงชื่นชมโสมนัส ทรงมีพระราชปฏิสันถารเป็นอย่างดี ทั้งพระราชทานรางวัลให้จนเป็นที่พอใจ ทั้งยังรับสั่งให้พระโหราธิบดีทั้งสองหมั่นเข้าเฝ้าทั้งเช้า เย็น เพื่อทูลพระราชกรณีที่ถูกที่ควร

วันหนึ่งท้าวเธอได้เสด็จไปนมัสการสมเด็จพระสังฆราชา ระหว่างปฏิสันถารกัน สมเด็จพระสังฆราชจึงหันมาปรึกษากับพระฐานาชั้นพระครู ๔ องค์ คือ พระครูสมถะ พระครูวิปัสสนา พระครูขันติ พระครูตปะ ว่าสมควรจะต่อเรือพาพระเจ้าจิตราช ข้ามแม่น้ำใหญ่เพื่อหนีกองทัพพระยามัจจุราช เจ้าเมืองมรณานคร

พระเจ้าจิตราชทรงสดับวาจาของสมเด็จพระสังฆราชาที่ปรึกษาพระครูทั้ง ๔ นั้น ก็ทรงโสมนัสเป็นล้นพ้น จึงนมัสการพระครูทั้ง ๔ ขอให้เร่งตกแต่งนาวาพาข้ามแม่น้ำตามที่พระสังฆราชาว่ามา พระครูวิปัสสนาจึงถวายเทศนาว่า “นาวาที่จะข้ามให้ถึงฝั่งนั้น ได้แก่ ทศบารมี คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา สำหรับทศบารมีนาวานี้ มีวิริยะเป็นกองพลแวดล้อมไป เอาศีลและทานเป็นกองเสบียง สติเป็นต้นหน เมตตาเป็นหางเสือ กรุณาเป็นสายสมอ มุทิตาอุเบกขาเป็นกว้านชักใบ พระไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเสากระโดง ปัญญาเป็นกล้องส่องทาง กายคตาสติเป็นสายระโยง สมาธิเป็นที่ปรึกษา อนุศาสก ๒๕ นายเป็นทหารรักษาพระองค์ สัมมาสังกัปปะเป็นผู้บังคับกองพล บรรดาเหล่าอกุศลห้ามไปในเรือ เครื่องแต่งพระองค์เอากุศลกรรมบทเป็นภูษา เอาเวสารัชชกรณธรรม ๕ คือศรัทธา ศีล พาหุสัจจะ วิริยารัมภะ ปัญญาเป็นเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ปัญญาวุธเป็นพระศาสตรา คอยทำลายอวิชชา ตัณหา พร้อมด้วยวงศาคณาญาติ มี

อภิฌาวิสะมะโลภะ – ความโลภอยากได้
โกธะ – ความโกรธ
โทสะ – การคิดประทุษร้าย
อุปนาหะ – ผูกโกรธไว้

มายา – เจ้าเล่ห์
สาไถยยะ – โอ้อวด
สารัมภะ – แข่งดี
อิสสา – ริษยา

ปะลาสะ – การตีเสมอผู้อื่น
มักขะ – ลบหลู่ผู้อื่น
มานะ – การถือตัว
มัจฉริยะ – ความตระหนี่

อติมานะ – ดูหมิ่นท่าน
ถัมภะ – หัวดื้อ
ปมาทะ – ความประมาท
มะทะ – มัวเมา

ถ้าพวกเหล่านี้เข้ามาใกล้ก็ขอพระองค์จงทำลายให้สิ้นไป หากไม่ปราบพวกเหล่านี้ให้หมดไป ก็จะเป็นอุปสรรคในการข้ามให้ถึงฝั่ง”


กษัตริย์จิตราชพอพระทัยเป็นอันมาก จึงขอร้องให้พระครูทั้ง ๔ รีบแต่งนาวา และนิมนต์พระครูทั้ง ๔ ร่วมไปในเรือนั้นด้วย ทรงรับสั่งให้ขุนจาคะทำงบประมาณค่าใช้จ่ายในการต่อนาวา


(มีต่อ >>>>> ๑๕. ขัดขวาง)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 1:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑๕. ขัดขวาง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พระเจ้าจิตราชทรงเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เสด็จประทับนาวา มีสมเด็จพระสังฆราชาและพระครูทั้ง ๔ ร่วมด้วย กุศลเสนาทั้งหลาย เสด็จเดินทาง พอได้เวลานาวาธรรมก็แล่นออกจากท่ามุ่งตรงไปสู่ อมตมหานคร

ฝ่ายนางอวิชชา และนางตัณหา มเหสีทั้งสอง เมื่อทราบว่าพระเจ้าจิตราชพระสวามีเสด็จไปสู่อมตมหานคร นางโศกเศร้าเสียใจอย่างสุดแสนประหนึ่งว่าถูกศรมาเสียบอก จึงเรียกพวกสาวสวรรค์กำนัลใน พร้อมด้วยเหล่าเสนามาตย์ราชบริพารฝ่ายอกุศลจิต ให้รีบตามพระสวามี

ครั้นมาถึงท่าน้ำก็เห็นพระสามีนั่งอยู่บนเรืออันงามสง่า พร้อมด้วยพระสังฆราชาธรรมมุนี พระสงฆ์ฐานา ๔ รูปและเสนาฝ่ายกุศล นางอวิชชาและนางตัณหาจึงกู่ก้องร้องไห้คร่ำครวญ ร้องเรียกพระสามีให้เสด็จกลับ “หม่อมพี่เพค่ะ กลับมาหาน้องทั้งสองเถิด อย่าได้เสด็จห่างน้องเลย น้องทำอะไรผิดจะกลับตัวเสียใหม่เพื่อให้พอพระทัย อีกทั้งหม่อมฉันทั้งสองหมั่นปรนนิบัติหม่อมแก้วมาแต่ช้านาน จำไม่ไม่ได้หรือเพค่ะ เสด็จกลับมาหาน้องทั้งสองเถิดเพค่ะเสด็จพี่”

พระเจ้าจิตราชราชาได้สดับเสียงนางทั้งสองร้องเรียก ทรงรู้สึกขยะแขยงในเสียงของนางเป็นอย่างยิ่ง จึงตรัสตอบไปด้วยพระสุระเสียงอันเยาะเย้ยว่า “นี่แนะ แม่นางทั้งสอง เจ้าอย่ามาหน่วงเหนี่ยวเราให้เสียเวลาเลย เราไม่กลับไปลุ่มหลงในความยั่วยวนของเจ้าอีกแล้ว เจ้าทำให้เราวนเวียนอยู่ในความทุกข์ทรมานตลอดมา เราไม่ไปหาเจ้าอีกแล้ว เจ้าทั้งสองยังสาวยังสวยอยู่พอที่จะหาคู่ครองใหม่ได้ ขอให้เจ้าทั้งสองจงไปหาคู่ใหม่ได้ครองตามชอบใจเถิด”

นางอวิชชาและนางตัณหา ครั้นได้ยินคำเหน็บแนม เย้ยหยันจากพระสามีก็เศร้าโศรกเสียใจ ร้องไห้เป็นวักเป็นเวร คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะพระสังฆราชายุแหย่ชักชวนพระสามีให้หลีกลี้หนีไปจากนาง จึงตัดพ้อต่อว่าพระสังฆราชาว่า “ท่านเป็นชีบานาสงฆ์ ไม่ควรจะมาก่อกรรมทำเข็ญให้ชาวบ้านเดือดร้อน ทำให้ผัวเมียเขาพลัดพรากจากกัน ชาติหน้าขออย่าให้ท่านอย่าได้พบผู้หญิงเลย ขอให้ท่านส่งพระสามีของเรากลับมาเสียโดยดีเถิด มิฉะนั้นเราจักประจานท่านอยู่ตลอดไป”

พระสังฆราชาจึงตอบไปว่า “โธ่เอ้ย แม่สีกาตัณหามาก กับมาตุคามอวิชชาหน้าโง่ ดูเจ้าช่างไม่มียางอายเสียเลย ในเมื่อสามีเจ้าหมดอาลัยเสียแล้ว ยังมาขืนมาทำเป็นสำออยหวังจะให้กลับไปเชยชิด นางทั้งสองจงกลับไปเสียเถิด อย่ามาเซ้าซี้ให้เสียเวลาเลย ไม่มีหวังที่จะให้พระสามีของนางกลับไปได้แล้ว ที่ท่านสาปแช่งเรา ขออย่าให้พบผู้หญิงนั้น อันที่จริงถูกใจเรายิ่งนัก เราเห็นเป็นพรอันประเสริฐที่ท่านให้แก่เรามากกว่าจะเป็นคำสาปแช่ง เพราะที่เราบวชอยู่ได้จนบัดนี้ ก็เพราะเราไม่ปรารถนาผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ครอง แล้วเราก็พยายามจะอยู่ให้ห่างไกลจากผู้หญิง ไปให้ไกลแสนไกล ถึงหากจะบังเอิญพบเราก็ไม่ยินดีด้วยอำนาจราคะตัณหาเป็นอันขาด สีกาทั้งสองอย่ามาพูดจาข่มขู่เราเลย บาปกรรมจะกลับไปถึงตัว ตัดใจเสียเถิด”

สองมเหสีได้ฟังคำปรามาสของพระสังฆราชายิ่งเดือดดาลเป็นที่สุด ตะโกนแหว สั่งให้เหล่าเสนาอกุศล โจมตีทันที หลวงโลโภ หลวงโทโส หลวงโมโห ได้ฟังคำสั่งสองนาง ต่างก็ระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ บ้างก็พุ่งหอก หมายจะสังหารพระสังฆราชาและท้าวจิตราช พร้อมด้วยเสนาเหล่ากุศลให้พินาศไป ทั้งตั้งใจจะทำลายนาวาให้ล่มจมลงไปกลางวารี

แต่เดชะปาฏิหาริย์ ลูกเกาทัณฑ์ หอก ที่พุ่งไปนั้น กลับย้อนมายังนางทั้งสองและบริวาร ทำให้เหล่าเสนาอกุศลต้องเสียชีวิตทันที เหลือเพียงนางอวิชชาและนางตัณหามเหสียังมิเป็นไร

ท้าวจิตราชเห็นมเหสียังคงดิ้นรนร้องเรียกอยู่ริมฝั่ง จึงคิดกำจัดเสียเพราะขืนพูดดีอยู่ไม่ได้ อนุสัยเก่าจะกำเริบ จึงจับพระขรรค์ปัญญาวุธกวาดแกว่ง รวบรวมกำลังใจในจิตให้เต็มที่ นัยน์ตาจ้องมองนางทั้งสองอย่างเวทนา ข่มพระหทัย หลับพระเนตร ขว้างพระขรรค์ปัญญาวุธไปถูกอกนางทั้งสอง อวิชชามเหสีและตัณหาชายาต่างดิ้นด้วยความเจ็บปวด แล้วก็พลัดตกลงไปในแม่น้ำตายไปด้วยกันทั้งคู่ เมื่อปราบเหล่าอกุศลราบคาบแล้ว ท้าวจิตราชก็ทรงแล่นเรือต่อไปสู่อมตะมหานคร


(มีต่อ >>>>> ๑๖. สู่อมตมหานคร)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 1:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

๑๖. สู่อมตมหานคร

จะกล่าวถึงหลวงพยาธิและขุนโรคา ครั้นเห็นท้าวจิตราชล่องนาวาธรรม ทิ้งพระนคร มิมีท่าทีต่อกร จึงชวนหลวงชราไปเข้าเฝ้าพระยามัจจุราชราชา กราบทูลความ “ขอเดชะ เหล่าข้าพระพุทธเจ้า ได้ช่วยกันโจมตีกายนครได้แล้ว จิตราชราชาเสด็จล่องนาวาธรรมหลีกลี้หนีพระองค์ไปสู่ อมตมหานคร พระองค์รีบเสด็จตามไปเถิด พระเจ้าข้า”

พระยามัจจุราชกษัตริย์ได้สดับคำกราบทูลของเหล่าทแกล้วมรณานครดังนั้น จึงระสั่งระดมพลครั้งสุดท้าย ยกออกติดตามท้าวจิตราชทันที ครั้งถึงฝั่งมหานที ทัพของมัจจุราชบรมกษัตริย์ก็มิอาจยกไปให้ทันได้เสียแล้ว พระยามัจจุราชแค้นพระทัยมาก จึงรับสั่งให้ หลวงมรณัง ทหารเอกตามไปสังหารให้จงได้

หลวงมรณังทหารเอกเมื่อได้รับพระบัญชาดังนั้น จึงรีบเหิรเวหานภาอากาศติดตามจิตตราชราชา กับเหล่ายมบาลทหารกล้าของหลวงมรณัง ครั้นทัพของหลวงมรณัง ถึงนาวาธรรมของพระยาจิตราช ก็ต่างเร่งโจมตีหวังจะจู่โจมล่มเรือของท้าวจิตราชให้ได้ แต่ก็มิสามารถ แม้แต่จะเอื้อมไปจับเสากระโดงเรือได้ จะทำอย่างไรๆ ก็ไม่อาจล่มเรือได้ บรรดาเหล่ากุศลเสนาของจิตราชราชาที่อยู่ในเรือต่างก็หัวเราะอยู่อึงมี่ ที่กองทัพของพระยามัจจุราชมิอาจสามารถทำอะไรได้

ท้าวจิตราชทรงมีพระทัยผ่องแผ้ว ทรงสำรวลร่าเริง ที่ทัพของพระยามัจจุราชไม่สามารถทำอะไรได้ จึงมีพระวาจากู่ก้องนภากาศ กังวาลไปกระทบโสตของพระยามัจจุราช ที่ฝั่งมหานที ว่า “ดูกร ท้าวมัจจุราช ท่านอย่ามาราวีเสียให้ยากเลย พระองค์ท่านแลบริวารทำอะไรเราไม่ได้ดอก เรายกเมืองให้ท่านแล้ว เชิญเอาไปตามสบายเถิด ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในนั้นเรายกให้ เชิญกลับไปเถิดเราจะไม่เจอะเจอกับท่านอีกต่อไปแล้ว เชิญกลับไปเถิด”

พระยามัจจุราชเห็นว่าสุดกำลังที่จะติดตามไปได้แล้ว จึงรับสั่งเรียกหลวงมรณังพร้อมกองทัพยมบาล แลกำลังพลทั้งหลายกลับตีเมืองอื่นต่อไป

ท้าวจิตราชเมื่อเห็นข้าศึกกลับไปหมดแล้ว ก็แล่นนาวาต่อไป ท้องนทีธารเรียบเงียบสงัด ไม่มีคลื่น ไม่มีลม นภากาศแม้ค่ำมืดแต่ยังสว่างไปด้วยแสงธรรม ในไม่ช้านาวาธรรมก็ถึงอมตมหานคร

อมตมหานคร นี้ มีศีลเป็นกำแพงเมือง มีปัญญาเป็นหอรบ อินทรีย์สังวรเป็นทวารบาล อัษฎางคิกมรรคเป็นวิถีทางในนคร โพธิปักขิยธรรม ๓๗ เป็นพระคลังหลวง ภาวนาเป็นยอดปราสาท พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ เป็นพระราชอาสน์ พระไตรลักษณ์เป็นห้องบรรทม พระวิมุตติญาณทัศนะเป็นดวงประทีป เมตตาเป็นสระโบกขรณี กรุณาเป็นสายธารา มุทิตาเป็นต้นกัลปพฤกษ์ อุเบกขาเป็นเนินทราย เมืองนี้เป็นเมืองที่อยู่ของพระอริยะ เป็นเมืองบรมสุข ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย คติธรรมประจำเมือง คือ

นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ – พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
นตฺถิ สนฺติ ปรมํ สุขํ – สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ฯ


ท้ายสุด พระเจ้าจิตราชราชาบรมกษัตริย์แห่งมหาอมตมหานคร ทรงมีพระราชสารมายังทุกท่านว่า “ณ ที่นี้ เราคอยต้องรับพวกท่านอยู่ เพียงแต่ท่านพร้อมหรือยังที่จะมาสู่อมตมหานคร”



----- อวสาน กายนครา นิฏฐิตา -----

สาธุ สาธุ สาธุ

ที่มาของหนังสือ.....กายนคร
โดย นายแปลก สนธิรักษ์
เรียบเรียงใหม่โดย คนธรรมดา อธิมุตโต

http://www.thummada.com/
 

_________________
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง