Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 มารดาบิดามีความเมตตากรุณาต่อบุตรธิดา ยิ่งกว่าต่อชีวิตของท่าน อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
Iam
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2006, 8:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มารดาบิดามีความเมตตากรุณาต่อบุตรธิดา ยิ่งกว่าต่อชีวิตของท่านเอง

ความคิดที่ว่ามารดาบิดาครูอาจารย์ไม่มีบุญคุณนั้น กล่าวอย่างที่ทั่วไปเข้าใจกันก็เป็นบาปกรรม บาปกรรมก็คือกรรมไม่ดี ที่เป็นบาป และกรรมที่ไม่ดีก็เป็นผลของกรรมไม่ดี ที่เป็นผลของบาป ผู้ใดจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงก็ต้องเป็นเช่นนั้น ต้องเป็นบาปกรรม ต้องให้ผลไม่ดีเพราะเป็นผลของบาป

ผลของบุญเท่านั้นจึงจะเป็นผลดี ผลของบาปจะเป็นผลดีไม่ได้เลยเป็นอันขาด ใครจะเชื่ออย่างไรก็ตาม สัจจธรรมนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ต้องเป็นสัจจธรรมอยู่ตลอดไป

ทำไมจึงว่าความคิดที่ว่ามารดาบิดาครูอาจารย์ไม่มีบุญคุณเป็นบาป ก็เพราะมารดาบิดาครูอาจารย์ท่านเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง โดยเฉพาะมารดาบิดาด้วยแล้วเป็นผู้มีพระคุณต่อบุตรธิดาเป็นที่สุด

จนพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า มารดาบิดาเป็นพระอรหันต์ของบุตรธิดา พระพุทธองค์นั้นก็ทรงเป็นพระอรหันต์พระองค์หนึ่ง คือพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณเหนือท่านผู้ทรงพระคุณทั้งหลาย แต่กระนั้นก็ทรงกล่าวว่า สำหรับบุตรธิดาแล้ว มารดาบิดาเปรียบเหมือนพระอรหันต์ทีเดียว

คือทรงพระคุณต่อบุตรธิดาเหนือท่านผู้ทรงพระคุณทั้งหลายทีเดียว เช่นนี้แล้วบุตรธิดาใดคิดหรือพูดว่ามารดาบิดาไม่มีบุญคุณต่อบุตรธิดาจึงเป็นการทำบาปกรรมเป็นอย่างยิ่ง เพียงคิดเท่านั้นไม่ต้องพึงปฏิบัติต่อท่านสถานอื่นก็เป็นบาปกรรมหนักหนาแล้ว ยิ่งถึงกับแสดงออกทางกายกรรมต่อท่านด้วยแล้ว บาปกรรมนั้นก็พ้นประมาณ ถ้าทำให้ท่านถึงกับเสียชีวิตก็เป็นอนันตริยกรรม
การพูดก็ตาม การกระทำอื่นใดก็ตาม ที่ไม่สมควรกับมารดาบิดา ล้วนมีเหตุมาจากความคิดที่ว่ามารดาบิดาไม่มีบุญคุณทั้งสิ้น ดังนั้นจึงกล่าวว่าความคิดนั้นเป็นบาป เป็นเหตุแห่งบาปอกุศลอย่างยิ่ง ผลของบาปนั้นก็ดังได้กล่าวแล้ว เริ่มที่จิตใจของผู้เป็นเจ้าของความคิดที่ไม่ประกอบด้วยเหตุผล ไม่เป็นความจริง ไม่เที่ยงตรง เป็นความร้อนความวุ่น

มารดาบิดาทั้งหลายก็เป็นปุถุชน ย่อมมีเวลาที่ทำสิ่งที่อาจไม่ถูกต้อง ที่เป็นการพลาดพลั้งไปได้มากบ้างน้อยบ้าง หากบุตรธิดามีความคิดว่าท่านไม่มีบุญคุณเพราะไม่ได้ตั้งใจให้บุตรธิดามาเกิด เวลาท่านพลาดพลั้งไปบ้างหนักนิดเบาหน่อย บุตรธิดาก็มีปฏิกริยาต่อท่านอย่างรุนแรง

แต่ถ้ามีความคิดอยู่ว่ามารดาบิดาเป็นผู้ทรงพระคุณของบุตรธิดาแล้ว เวลาท่านพลาดพลั้งไปบ้างตามวิสัยปุถุชน ปฏิกิริยาที่รุนแรงก็จะไม่เกิด จะน้อยใจเสียใจก็จะเป็นไปแบบธรรมดาที่มีความเคารพรักในมารดาบิดาเป็นเหตุ ความรุนแรงอื่นๆ จะไม่ตามมา

ทุกวันนี้ มีข่าวบุตรธิดาประทุษร้ายมารดาบิดาบ่อยๆ จนบางข่าวก็แทบจะเหลือเชื่อ คือเป็นการแสดงความอกตัญญูจนเหลือเชื่อ หรือจะกล่าวว่าเป็นการไม่กลัวบาปกลัวกรรมที่หนักหนาจนเหลือเชื่อก็ถูกเช่นกัน

นี่ก็เป็นเพราะทุกวันนี้มีการคิดการพูดการชักชวนให้เกิดความเข้าใจว่า มารดาบิดาไม่มีบุญคุณ ไม่ได้ตั้งใจให้บุตรธิดามาเกิด ชักชวนให้เห็นไปว่ามารดาบิดาเป็นผู้เห็นแก่ตัวเท่านั้น ซึ่งที่จริงจะหาเหตุผลอะไรมายกให้เห็นว่าเป็นความจริงเช่นนั้นก็หามีไม่

ไม่มีผู้ใดอาจหาเหตุผลมายกประกอบได้เลย ตรงกันข้าม มีเหตุผลบริบูรณ์ที่แสดงว่ามารดาบิดามีความรักความเมตตากรุณาต่อบุตรธิดายิ่งกว่ามีความรักความเมตตากรุณาต่อชีวิตของท่านเอง

เพื่อป้องกันจิตใจตัวเองมิให้หวั่นไหวไปตามคำชักชวนที่มีค่อนข้างมากในระยะนี้ จึงควรที่ทุกคนจะพยายามหาเวลาสงบใจ ระลึกทบทวนถึงพระคุณของท่านผู้เป็นมารดาบิดา เริ่มแต่ความอดทนของท่านที่อุ้มท้องอยู่ถึง ๙ เดือน ๑๐ เดือน เป็นความหนักที่ไม่มีเวลาวางได้เลยตลอดระยะเวลานั้น

เราถือของหนักชั่วครั้งชั่วคราวยังอยากวาง ยังต้องวาง ยังไม่ประสงค์จะหยิบขึ้นถืออีก ถ้าไม่รู้สึกว่าของนั้นเป็นสิ่งสูงค่ายิ่งนัก นอกจากนั้น ทุกคนก็คงเคยรู้สึกแล้วว่าขณะที่บุตรธิดาอยู่ในครรถ์นั้นไม่ทำให้ท่านผู้เป็นมารดาบิดามีรูปลักษณงดงามน่าดู บางคนคงจะเคยรู้สึกถึงกับว่าน่าอาย แต่ท่านผู้เป็นมารดาบิดาเองหาได้มีความรู้สึกเช่นนั้นไม่

ความรู้สึกทั้งหมดของท่านไปรวมเป็นความรักความเมตตากรุณาในบุตรธิดา ที่แม้จะยังไม่ทันเห็นหน้าค่าตาก็ตาม นี้ประมาณได้จากการที่ท่านไม่ได้หลบหลีกปลีกตัวไปเสียที่ไหน ในระยะที่บุตรธิดาถือกำเนิดอยู่ในครรถ์ ท่านคงอยู่ในสังคมในสายตาของคนทั่วไปอย่างปรกติ และบางที่ก็อย่างภาคภูมิใจยิ่งกว่าปรกติเสียอีกด้วย

ทั้งหมดเป็นไปด้วยอำนาจความรักและเมตตากรุณาในบุตรธิดาจริงๆ ขอให้พยายามหาเวลาสงบใจคิดทบทวนให้ลึกซึ้ง จะเป็นการบริหารจิตที่ถูกต้อง

ความร่มเย็นเกิดจากระลึกรู้พระคุณท่าน

การทบทวนถึงพระคุณของท่านผู้ทรงพระคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น ซึ่งได้กล่าวมาบ้างแล้วถึงพระคุณของมารดาบิดา จะได้กล่าวต่อไป เพื่อเป็นแนวแนะให้ทุกคนผู้ล้วนมีบิดามารดา ผู้ล้วนมีบุตรหรือธิดาด้วยกันทั้งนั้น

ได้คิดทบทวนเป็นการบริหารจิต ยกจิตให้อยู่ในระดับสูงขณะเดียวกันยังจิตให้เกิดความสงบเยือกเย็นเป็นสุขได้อย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นเหตุให้ได้รับความสุขความเจริญอันเป็นวิบากคือผลของกรรมที่ดีสืบต่อไปอีกด้วย

ที่จริง ทุกเวลานาทีก็ว่าได้ ที่มีสิ่งอันอาจเตือนใจให้ทุกคนได้นึกถึงพระคุณของมารดาบิดาเป็นต้นว่า การไดเห็นผู้เป็นมารดาบิดาทั้งหลายปฏิบัติต่อบุตรธิดาของตนโดยเฉพาะบุตรธิดาที่ยังเล็กไร้เดียงสาไร้ความสามารถที่จะปกป้องคุ้มครองเลี้ยงดูตัวเอง การได้เห็นภาพเช่นนั้นก็มิได้แตกต่างจากการได้เห็นภาพในอดีตของตนเอง

เมื่อครั้งยังเยาว์ เมื่อครั้งมารดาบิดาปกป้องคุ้มครองรักษาเลี้ยงดูแบบที่กล่าวกันว่าชนิดริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ท่านต้องเสียสละเพียงใด ทั้งเหนื่อยกายทั้งเหนื่อยใจ กว่าบุตรธิดาจะเติบใหญ่นั้นแสนนาน

และเมื่อบุตรธิดาเติบใหญ่แล้วก็ใช่ว่าความยากลำบากของท่านผู้เป็นบิดามารดาจะสิ้นสุดลง ตรงกันข้ามดูเหมือนว่าจะทวีขึ้นเป็นอันมาก โดยเฉพาะในกรณีที่บุตรธิดาเป็นผู้ไม่ว่านอนสอนง่าย ไม่อยู่ในโอวาท หรือมิฉะนั้นก็เป็นผู้ต้องเผชิญอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต เป็นต้นว่าอุปสรรคในการเล่าเรียนศึกษาหรือในอาชีพการงานเป็นต้น

ความขัดข้องเดือดร้อนทั้งหลายที่บุตรธิดาต้องประสบล้วนเป็นความขัดข้องเดือดร้อนของมารดาบิดาด้วยเช่นเดียวกัน และความจริงนั้นท่านจะเดือดร้อนใจยิ่งกว่าบุตรธิดาเองเสียอีกด้วย กล่าวก็ไม่ผิดถ้าจะว่ามารดาบิดานั้นรักบุตรธิดามากกว่าบุตรธิดารักตัวเอง เรารักตัวเองเพียงใดท่านผู้เป็นมารดาบิดาของเรา ท่านรักเรายิ่งกว่านั้น อย่างประมาณมิได้

นี้เป็นความจริงที่อย่างน้อยผู้เคยมีบุตรธิดาแล้วย่อมรับรองได้ เพียงแต่ว่ารับรองในแง่ที่ว่า ตนเองรักบุตรธิดามากกว่าบุตรธิดารักตัวของเขาเอง มักไม่รับรองว่ามารดาบิดาของตนนั้น รักตนยิ่งกว่าตนรักตัวเองเหมือนกัน

ความคิดแคบๆ เช่นนี้ เป็นความคิดที่เรียกได้ว่าเห็นแก่ตัว คำนึงถึงจิตใจตัวเองเท่านั้น น่าจะได้บริหารจิตให้ความคิดนั้นกว้างขวางออกไป จนถึงแลเห็นถึงจิตใจของท่านผู้เป็นมารดาบิดาของตนด้วย และจะกว้างขวางต่อไปถึงท่านผู้เป็นมารดาบิดาของผือื่นด้วยก็จะดีเป็นอย่างยิ่ง จะก่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขได้อย่างยิ่ง

ทำไมจึงกล่าวว่า การระลึกถึงพระคุณของมารดาบิดาจะเป็นเหตุให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข คำตอบมีอยู่ และถ้าทุกคนพร้อมจะนึกดูก็จะเข้าใจ จะเห็นจริง

เมื่อนึกถึงพระคุณของท่านผู้เป็นมารดาบิดาว่ามีแก่ตนจริงเป็นอันมาก ก็ย่อมตระหนักไปพร้อมกันว่าท่านรักเรายิ่งนัก ท่านปรารถนาจะเห็นความเจริญรุ่งเรืองของเรายิ่งนัก ความเป็นคนดีของเราจะเป็นความสุขของท่าน ในทางตรงข้ามความเป็นความไม่ดีของเราก็จะเป็นความทุกข์ของท่าน

เมื่อความตระหนักใจเช่นนี้เกิดขึ้น ก็ย่อมจะเกิดความระมัดระวังตัวพอสมควรเป็นอย่างน้อย ที่จะทำความทุกข์ให้เกิดแก่ท่าน ซึ่งนั่นแหละจะเกิดผลโดยตรงแก่ตัวเองก่อนในทันที มารดาบิดาจะได้รับความสุขความสบายใจที่หลัง การที่คนแม้เพียงคนเดียวพยายยามทำคุณงามความดีเต็มความสามารถ อำนาจความดีนั้นก็อาจจะยังให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่คนอื่นๆ ได้เป็นอันมาก

อานุภาพของความดีเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ คิดให้ลึกซึ่งแม้เพียงพอสมควรจะเข้าใจ จะซาบซึ่ง และคิดให้ลึกซึ่งขึ้นอีก จะเห็นตระหนักชัดว่า คนดีทุกคนผู้สร้างอานุภาพแห่งความดีขึ้นนั้น ล้วนเป็นหนี้พระคุณของท่านผู้มีพระคุณเป็นต้นว่ามารดาบิดาครูอาจารย์ทั้งสิ้น และแม้คนไม่ดีทั้งหลายก็ตาม มีชีวิตอยู่ได้อย่างที่ตนเองรู้สึกพอใจนั่นแหละ ก็ล้วนเป็นหนี้พระคุณท่านผู้มีพระคุณดังกล่าวแล้ว เช่นกัน

คนดีย่อมไม่เลี่ยงหนีการทดแทนพระคุณ

ทุกคนในโลกนี้ล้วนเป็นหนี้พระคุณท่านผู้ทรงพระคุณทั้งหลาย อาทิท่านผู้เป็นมารดาบิดาครูอาจารย์ คิดให้ดีแล้วจะไม่อาจอ้างได้ว่าที่กล่าวนี้ไม่ใช่สัจจะ ไม่เป็นความจริง แต่จะเห็นด้วยว่าเป็นสัจจะ เป็นความจริง ที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปได้เลย ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างใดก็ตาม

เป็นต้นว่า ถึงแม้เหตุการณ์ของบ้านเมือง ของชีวิตประจำวัน จะผันแปรเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จนถึงแม้ว่าจะมีผู้โฆษณาชวนเชื่อมากมายเพียงไหนให้ลบล้างสัจจะดังกล่าวข้างต้น สัจจะนั้นก็จะต้องเป็นสัจจะอยู่อย่างมั่นคงตลอดไป

มารดาบิดาคือผู้มีพระคุณ ครูอาจารย์คือผู้มีพระคุณ เราผู้เป็นบุตรธิดาเป็นศิษยานุศิษย์คือผู้เป็นหนี้พระคุณ ยิ่งปฏิเสธพระคุณเพียงใด หนี้พระคุณก็ยิ่งใหญ่โตเพียงนั้น ความจริงย่อมเป็นเช่นนี้ น่าที่จะใช้เหตุผลพิจารณาให้เข้าใจพอสมควร เพื่อว่าจะได้สามารถทำตนให้เป็นลูกหนี้ที่ดี ที่มีโอกาสผ่อนหนี้ที่ยิ่งใหญ่ได้บ้าง

แม้ไม่กล่าวก็เป็นที่เข้าใจกันดีแล้วว่า ผู้เป็นลูกหนี้เงินทองทั้งหลาย แม้ปฏิเสธการใช้คืนหนี้นั้น ก็มีโทษทัณฑ์ที่จะต้องใช้แทน หนี้พระคุณก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย การพยายามทดแทนหนี้พระคุณ จึงเป็นสิ่งที่คนดีมีปัญญาไม่ปรารถนาหลีกเลี่ยง แต่ยินดีที่จะทดแทนชดใช้เต็มสติปัญญาความสามารถ

แต่ความจริงก็มีอยู่เช่นกันว่า คนกตัญญูกตเวทีคือรู้พระคุณที่ท่านทำแล้วแก่ตน และตอบสนองพระคุณท่านนั้นหายาก การจับพิจารณาถึงพระคุณของท่านผู้มีพระคุณให้จริงจัง เพื่อได้ตอบแทนพระคุณท่านให้จริงจัง จึงเป็นการบริหารจิตที่สำคัญยิ่ง

เพราะเป็นการยกจิตให้เป็นจิตของคนดีมีกตัญญูกตเวทีที่แม้พระพุทธองค์ก็ทรงกล่าวสรรเสริญว่าเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง

จับพิจารณาพระคุณท่านผู้ทรงพระคุณให้จริงจัง จนเกิดความซาบซึ่งจับใจแล้วกรรมใดๆ ที่จะประกอบกระทำต่อไปจะเป็นกรรมที่ดี อันจะยังให้เกิดผลดีแก่ตัวเองยิ่งกว่าผู้ใดอื่นทั้งสิ้น

ได้กล่าวถึงการพิจารณาพระคุณของท่านผู้เป็นมารดาบิดามาบ้างแล้วเพียงเล็กน้อย ยังมีพระคุณของท่านยิ่งกว่าที่ได้ยกมากล่าวแล้วอีกมากมายเหลือคณานับ ควรที่จะได้พยายามคิดนึกพิจารณาให้กระจ่างชัดแก่จิตใจด้วยดัยทุกคน จะไม่เป็นการเสียเวลาเปล่า จะไม่เป็นการกระทำของคนเขลาเบาปัญญา แต่จะเป็นการได้รับผลตอบแทนอย่างยิ่ง เป็นการกระทำของคนดีมีปัญญา

: การบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
 
ต้นหญ้า
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2006, 9:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



R2869-30.jpg


พระคุณบิดามารดา

พระคุณบิดามารดา

พ่อแม่แก่เฒ่า
พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จำจากเจ้าไม่อยู่นาน
จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววารของวันวาน
ใจจริงไม่อยากพราก เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
แต่ชีพมิทนนาน ย่อมร้าวรานสลายไป
ขอเถิดถ้าสงสาร อย่ากล่าวขานให้ซ้ำใจ
คนแก่ชะแรวัย ผิดเผลอไผลเป็นแน่นอน
ไม่รักก็ไม่ว่า เพียงเมตตาช่วยอาทร
ให้กินและให้นอน คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ
เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้ง ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ยามป่วยไข้ ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบปรน
เฝ้าเลี้ยงจนเติบใหญ่ แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียงจะได้ยล เติบโตจนสง่างาม
ขอโทษถ้าทำผิด ขอให้คิดทุกทุกยาม
ใจแท้มีแต่ความ หวังติดตามช่วยอวยชัย
ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง มีหรือหวังอยู่นานได้
วันหนึ่งคงล้มไป ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง



ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในสวนเชตวัน กรุงสาวัตถี โดยมีสงฆ์สาวก 1,250 รูป และเหล่ามหาโพธิสัตว์จำนวนมากมาร่วมชุมนุม

วันหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จนำเหล่าสาวกมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ทันใดทรงเห็นโครงกระดูกกองหนึ่ง กองอยู่ข้างทาง

องค์พระศาสดารีบทำความเคารพโครงกระดูกกองนี้อย่างนอบน้อม

พุทธจริยาเช่นนี้ของพระพุทธองค์ ทำให้บรรดาสาวกต่างประหลาดใจไปตามกัน เหตุไฉนพระบรมศาสดาจึงต้องทำเช่นนี้

พระอานนท์เถระประนมมือทำการคารวะแล้วทูลถามองค์พระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เป็นพระบรมศาสดาแห่งโลกทั้งสาม เป็นบิดาสัตว์โลกทั้งปวง เป็นที่เคารพสักการะของชาวโลก

ขอพระองค์โปรดตรัสแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเถิดว่า แท้จริงเป็นเพราะมูลเหตุและเหตุผลใด จึงได้กราบไหว้โครงกระดูกเหล่านี้

องค์พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เธอถามได้ดีมาก พวกเธอทุกคนล้วนแต่เป็นแขนขาของเราซึ่งได้ออกบวชมานานแล้ว แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่พวดนกเธอยังไม่ทราบ

โครงกระดูกเหล่านี้ อาจจะเป็นบิดามารดาหรือบรรพบุรุษในอดีตชาติของเรา เกิดเป็นคนไม่กราบไหว้บิดามารดาได้อย่างไร

ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกราบไหว้กองกระดูกนี้อย่างนอบน้อม

องค์พระศาสดาทรงตรัสอีกว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงแยกโครงกระดูกเหล่านี้ออกเป็นสองกอง ถ้าเป็นกระดูกของผู้ชายสีจะขาวกว่า และมีน้ำหนักมากกว่า หากเป็นกระดูกของผู้หญิง สีจะดำกว่าและมีน้ำหนักเบากว่า

พระอานนท์เถระทูลถามอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนี้ข้าพระองค์ไม่เข้าใจเลย ทำไมผู้ชายและผู้หญิงจึงแต่งกายต่างกัน ผู้ชายสวมหมวก สวมเสื้อยาวและสวมรองเท้า แต่งตัวเรียบร้อย พอเห็นก็รู้ว่าเป็นผู้ชาย

ส่วนผู้หญิงชอบทาแป้งและใส่น้ำหอม แต่งกายสวยงาม พอเห็นก็รู้ว่าเป็นผู้หญิง

แต่ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย หลังจากสิ้นชีวิตแล้วล้วนกลายเป็นกระดูกไม่แตกต่างกัน แล้วจะแยกแยะออกยังไง

พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า ผู้ชายขณะมีชีวิตอยู่ มักเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมถือศีล ไหว้พระสวดมนต์อยู่เสมอ ด้วยกุศลนี้หลังจากสิ้นชีวิตลงกระดูกจึงมีสีขาวเหมือนหยกและมีน้ำหนักมาก

ส่วนผู้หญิงนั้น ขณะมีชีวิตอยู่ ไม่ค่อยได้ไหว้พระสวดมนต์ มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับครอบครัว มีภาระอบรมเลี้ยงดูบุตรธิดา ซึ่งเลี้ยงด้วยน้ำนมของตนเอง

น้ำนมสร้างขึ้นจากโลหิตของมารดา เลี้ยงบุตรคนหนึ่งจะต้องกินน้ำนม 1,200 แกลลอนขึ้นไป แล้วร่างกายของมารดาจะไม่ให้ผ่ายยอมร่วงโรยได้อย่างไร

ดังนั้นผู้หญิง หลังจากสิ้นชีวิต กระดูกของนางจึงมีสีดำกว่า และน้ำหนักเบากว่ามาก

พระอานนท์ได้ฟังพระดำรัสขององค์พระศาสดา จิตใจปวดร้าวดังถูกมีดกรีดเฉือน กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ร่ำไห้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุญคุณของมารดาจะทดแทนได้อย่างไร

องค์พระศาสดาทรงตรัสว่า พวกเธอตั้งใจฟังเมื่อมารดาตั้งครรภ์ต้องใช้เวลาถึงสิบเดือน เรียกได้ว่าทุกข์ยากลำบากแสนสาหัส

ตั้งครรภ์เดือนแรก ชีวิตน้อย ๆยังเสมือนหยดน้ำค้างบนใบหญ้า ไร้ความแน่นอน ตอนเช้าก่อตัวตอนเที่ยงอาจสลายไปก็ได้

พอเดือนที่สองก็คล้ายกับการจับตัวของเนยเหลว

พอเดือนที่สาม คลับคล้ายกับการจับตัวของก้อนเลือด พอถึงเดือนที่สี่ จึงพอจะเป็นรูปร่างของคนขึ้นบ้าง

มารดาตั้งครรภ์เดือนที่ห้า อวัยวะต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ เช่น ศีรษะ แขน ขา จึงค่อยเป็นรูปเป็นร่างขึ้น

พอถึงเดือนที่หก ทวาร 6 อย่างของทารกในท้องมารดาก็เริ่มเปิด ทวาร 6 อย่าง คือ ตา หู จมูก ปาก ลิ้น ใจ

พอเดือนที่เจ็ด ทารกในครรภ์ก็มีกระดูกครบ 360 ชิ้น

...และยังมีแปดหมื่นสี่พันรูขุมขน พอถึงเดือนที่แปด ทารกในครรภ์ก็เกือบจะเป็นเด็กโดยสมบูรณ์ มีความรู้สึก มีชีวิตจิตใจ

ต่อมา ทวารทั้งเก้าในร่างกายก็เริ่มเปิด เช่น ตา หู จมูก ปาก และทวารขับถ่าย เป็นต้น

พอเดือนที่เก้า แขนขาของทารกในครรภ์มารดามักจะขยับตัว เตะถีบดั่งภูเขาหิมาลัยเคลื่อนไหวทำให้มารดารู้สึกเจ็บปวดตลอดเวลา

ทารกในครรภ์ตั้งแต่แรกเริ่มจนกระทั่งคลอดตลอดเวลาต้องดื่มกินโลหิตมารดาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต

พอถึงเดือนที่สิบ อวัยวะต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ก็ครบสมบูรณ์ พร้อมที่จะออกมาชมโลก

การตั้งครรภ์สิบเดือน ความทุกข์ยากลำบากของมารดาเหลือจะกล่าว เพื่อให้ทารกคลอดสะดวกโลหิตในกายมารดาหลั่งไหลดั่งสายน้ำ

ทำให้ทารกในครรภ์ลื่นไหลไปตามสายน้ำโลหิตการคลอดที่ปกติ ทารกจะงอมืองอเข่าเข้าหาตัว ศีรษะลงล่าง มารดาก็จะไม่เกิดอันตราย

ในรายคลอดยาก มือและเท้าน้อย ๆ จะเตะถีบดิ้นรน ทำให้มารดารู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง

เสมือนถูกหอกดาบทิ่มแทง หรือถูกยิงด้วยลูกธนูทะลุหัวใจ สลบแล้วสลบอีก ทุกข์ทรมานแสนสาหัส

ผู้เป็นบุตรต้องคิดถึงความเจ็บปวดทุกข์ยากของมารดาที่ให้กำเนิด มิเช่นนั้น นับว่าเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน

ผ่านความเจ็บปวดอย่งแสนสาหัส มารดาถึงได้คลอดลูกรักออกมา ถ้าหากแยกแยะ มารดาจะมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ไม่น้อยกว่าสิบประการดังนี้

ประการที่หนึ่ง พระคุณที่รักทนุถนอมปกป้องทารกในครรภ์ ประการที่สอง พระคุณที่ได้รับความเจ็บปวดในขณะคลอด

ประการที่สาม พระคุณที่ยอมทนทุกข์ทรมานเพื่อลูก และเมื่อคลอดลูกรักแล้ว ก็ลืมความทุกข์ทั้งปวงจนหมดสิ้น

ประการที่สี่ พระคุณที่เลี้ยงดู โดยสรรหาแต่อาหารที่ดีมีประโยชน์มาให้กิน

ประการที่ห้า พระคุณที่กล่อมลูกน้อยให้หลับและให้นอนในที่อบอุ่น โดยแม่ยอมทนรับความหนาวเย็นและเปียกชื้นแทนลูก

ประการที่หก พระคุณที่เลี้ยงลูกด้วยนมจากเต้า จนลูกอ้วนท้วน แต่ตนเองต้องผ่ายผอม

ประการที่เจ็ด พระคุณที่ซักล้างผ้าอ้อมให้ลูกโดยไม่หวั่นเกรงว่ามือจะสกปรก หรือผิวหนังจะแตก

ประการที่แปด พระคุณที่เฝ้าห่วงหาอาลัยจนหลั่งน้ำตา เมื่อยามลูกต้องจากอ้อมอกไปไกล

ประการที่เก้า พระคุณที่คอยให้ความช่วยเหลือและยอมทนลำบากเพื่อลูกทุกอย่าง

ประการที่สิบ พระคุณที่รักลูก สงสารลูกอย่างไม่มีเสื่อมคลาย

สรรเสริญ 1 พระคุณที่รักษาทารกในครรภ์การได้เกิดเป็นคนนี้แสนยากนัก ต้องวนเวียนอยู่ในหกภูมินับภพ นับชาติไม่ถ้วนกว่าจะได้เกิดมาเป็นคน

ขณะเดียวกันก็ต้องมีบุญสัมพันธ์กับพ่อแม่ในปัจจุบันชาติ จึงจะได้อาศัยครรภ์มารดามาเกิด

ในราวเดือนที่ห้า ทารกในครรภ์มารดาจึงเริ่มปรากฏมีอวัยวะต่าง ๆ ราวเดือนที่หก ทวารแห่ง ตา หู จมูก ลิ้น ปาก และใจ ก็เริ่มเปิด

ทารกในครรภ์น้ำหนักเพิ่มขึ้นทุกวัน มารดารู้สึกเสมือนแบกภูเขาไว้ทั้งลูก

ทารกในครรภ์มารดาดิ้นรนเตะถีบ ทำให้มารดารู้สึกเสมือนต้องลมพายุ หรือแผ่นดินไหว จิตใจหวาดผวา

ห่วงกังวลแต่ลูกในครรภ์ตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน ร่างกายและจิตใจก็เหนื่อยล้าจนไม่อยากแต่งตัว เสื้อผ้าที่สวยงามถูกเก็บขึ้นไว้ ไม่สนใจส่องกระจกหวีผม

สรรเสริญ 2 พระคุณที่ได้รับทุกข์ทรมานในขณะคลอดลูก โดยต้องตั้งครรภ์ถึงสิบเดือน จึงจะถึงเวลาคลอด

เช้ามารดาเหมือนคนเจ็บไข้ ไม่มีชีวิตชีวา ร่างกายอ่อนล้า ไร้เรี่ยวแรง

โดยเฉพาะจิตใจหงุดหงิด เต็มไปด้วยความหวั่นกลัวต่าง ๆ เพราะห่วงกังวลความปลอดภัยของลูกรักจนมักน้ำตาไหล

โดยมักจะบอกญาติมิตรด้วยอาการเศร้าหมองว่า สิ่งที่ฉันหวั่นกลัวที่สุดไม่ใช่ความปลอดภัยของตัวเอง แต่กังวลว่าพญามัจจุราชจะมาพรากเอาชีวิตลูกฉันไป

สรรเสริญ 3 พระคุณที่หลังจากคลอดแล้วลืมความเจ็บปวด ขณะที่มารดาคลอดลูกโดยเหตุที่ต้องใช้แรงมาก เสมือนอวัยวะภายในต่าง ๆ จะฉีกขาด

สุดแสนเจ็บปวด สลบแล้วสลบอีก โลหิตที่หลั่งไหลพุ่งออกเป็นน้ำพุเหมือนที่เขาเชือดคอสัตว์

มารดาที่รอดตายจากมหาภัยครั้งนี้ พอฟื้นสติขึ้นมา สิ่งแรกก็คือถามหากชลูกรักของตน

ครั้นรู้ว่าลูกรักปลอดภัยแล้ว รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก อุ้มลูกไว้แนบอก ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

ดีใจได้ขณะหนึ่ง ความเจ็บปวดสุดทนก็ประดังมาอีก เมื่อครู่ดีใจจนลืมความเจ็บปวด บัดนี้ต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดที่ร่างกายได้รับ

สรรเสริญ 4 พระคุณของพ่อแม่ที่ “หวานอมขมกลืน” พระคุณของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ยิ่งใหญ่ดุจฟ้ามหาสมุทร เอาใจใส่ ดูแลลูกทุกวันคืน

ไม่เคยบึ้งตึง ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกลึกซึ้งยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบ

ขอเพียงให้ลูกอยู่ดีกินดี แม้ตนเองจะหิวโหยก็ยินยอม เพียงให้ลูกมีความสุข พ่อแม่ก็พอใจแล้ว

สรรเสริญ 5 พระคุณที่อยู่กับความเปียกชื้น ความรักของมารดาที่มีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด ดึกดื่นลูกปัสสาวะรดที่นอนจนเปียกชื้น

มารดารีบอุ้มลูกไปอยู่ในที่แห้ง ส่วนตนแม้จะอยู่ในที่ชื้นและเย็น ก็ไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย

ขอเพียงให้ลูกได้หลับสบาย ส่วนตนเองจะหนาวเหน็บเพียงใดก็ยอมทน

นมสองเต้าของมารดา คือตำหนักของลูกที่ให้ความอบอุ่นและคุ้มครอง

เพื่อดูแลลูกน้อย มารดามักจะกางมือทั้งสองข้างเพื่อบังลมหนาว

การดูแลลูกน้อย พ่อแม่มักหาวิธีทำให้ลูกสนุกสนาน เพื่อจะได้โตไว ๆ แต่มารดามักจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ

สรรเสริญ 6 พระคุณที่เลี้ยงดูด้วยนมของตนบุญคุณของมารดาดุจดังแผ่นดินที่ให้กำเนิดสรรพสิ่ง

พระคุณของบิดาดุจดังแผ่นฟ้าที่ให้ความชุ่มชื่นแก่ชาวโลก พ่อและแม่ล้วนแต่รักลูก

พระคุณของพ่อแม่เหมือนกัน ขอเพียงให้เธอเป็นลูกของพ่อแม่ ไม่ว่าจะเกิดอมาอัปลักษณ์เพียงใด พ่อแม่ไม่มีวัน ที่จะรังเกียจ

และไม่เคยที่จะโกรธเกลียด แม้ลูกแขนขาจะหงิกงอเดินเหินไม่คล่อง พ่อแม่ก็ไม่เคยรังเกียจเดียดฉันท์

ตรงกันข้าม พ่อแม่กลับเพิ่มความรักและเอาใจใส่ลูกยิ่งขึ้น เพราะว่าลูกเป็นยอดดวงใจของพ่อแม่ พระคุณของพ่อแม่ยิ่งใหญ่กระไรปานนี้

สรรเสริญ 7 พระคุณที่คอยทำความสะอาดเดิมมารดามีร่างกายที่สะอาดหมดจด ใบหน้างดงามดั่งดอกบัว

เป็นหญิงสาวที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์

ใบหน้าแดงระเรื่อ บ่งบอกถึงวัยแรกรุ่นแห่งกุลสตรี

แต่ว่าไม่ทันเท่าไร เพื่อลูกจึงต้องตรำงานหนักใบหน้าที่เคยงดงาม กลับกลายเป็นร่วงโรยแก่เกินวัย

มือที่เคยอ่อนนุ่ม เมื่อต้องทำความสะอาดให้ลูกทุกวัน กลับกลายเป็นหยาบกร้าน เป็นริ้วเป็นรอย

มารดาที่น่าเคารพบูชาและน่าสงสาร ท่านยอมเสียสละช่วงชีวิตอันมีค่าของตน เพื่อบุตรธิดาโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแลกมาเป็นใบหน้าอันเหี่ยวย่นร่วงโรย

สรรเสริญ 8 พระคุณที่ห่วงหาอาลัย ญาติมิตรที่ตายจากไป ทำให้คนเศร้าโศกเสียใจ

เมื่อลูกรักจากไปไกล อาจทำให้พ่อแม่เสียใจ บุตรธิดาจากไปไกลบ้าน คงต้องผจญอุปสรรคนานา

พ่อแม่เป็นห่วงตลอดเวลา มักจะอธิษฐานขอให้พระคุ้มครอง ขอให้กลับบ้านเร็ววัน และโดยสวัสดิภาพ

ลูกบางคนจากบ้านไปหลายปีไร้ข่าวคราว พ่อแม่อายุมากอยู่บ้านเฝ้ารอคอยทุกวันคืนด้วยน้ำตานองหน้า

เหมือนดังพ่อแม่ลิงในป่าที่ลูกรักหายไป ส่งเสียงร้องโหยหวนดังว่าจะขาดใจ น่าสงสารเวทนายิ่งนัก

สรรเสริญ 9 พระคุณที่เอื้ออาทร บุญคุณของพ่อแม่ใหญ่หลวงนัก ผู้เป้นลูกยากจะหาสิ่งใดมาตอบแทนได้

เมื่อลูกกระทำความผิดและถูกลงโทษ แม่มักจะอธิษฐานขอรับกรรมแทนลูก

โดยหวังจะรับทุกข์แทนลูกทุกอย่าง โอ...ความรักของแม่ยิ่งใหญ่กระไรปานนี้

ยามลูกจากบ้านไปไกล ใจแม่ติดตามไปด้วยเสมอ โดยเป็นห่วงว่าลูกจะหนาวเย็น

และเกรงว่าลูกจะได้รับความทุกข์ยากลำบากถ้ารู้ว่าลูกได้รับความทุกข์แม้แต่น้อย แม่ก็จะนอนไม่หลับเป็นทุกข์ไปด้วย

สรรเสริญ 10 พระคุณที่สงสารลูก ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกประดุจแสงเดือนแสงตะวันที่สาดส่องพื้นปฐพีตลอดกาล

พ่อแม่คิดถึงและห่วงใยบุตรธิดาตลอดเวลา

ไม่ว่าจะอยู่บ้านหรืออยู่ไกลบ้าน ใจก็ติดตามไปอยู่ข้าง ๆ พ่อแม่ที่อายุ 100 ปี ก็ยังรักและห่วงใยลูกอายุ 80 ปีอยู่เสมอ

ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก จะสิ้นสุดลงต่อเมื่อความตายมาพรากจากกัน

เมื่อองค์พระศาสดาตรัสเรื่องพระคุณของพ่อแม่สิบประการจบลง ก็ทรงตรัสอีกว่า เราเห็นมวลหมู่ชาวโลก......

แม้บางคนจะมีจิตเดิมไม่เลวนัก แต่มีบางคนจิตใจถูกอวิชชาเข้าครอบงำ

ทรงตรัสต่อว่า มีบางคนไม่รู้จักเคารพและกตัญญูต่อพ่อแม่ เนรคุณต่อพ่อแม่ เป็นเรื่องน่าเศร้าใจยิ่งนัก

พวกเธอก็รู้ว่า มารดาตั้งครรภ์สิบเดือนในท้องเหมือนแบกของหนัก จะนั่งจะยืนก็ลำบาก กินก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ

ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนคนป่วยไข้ เมื่อตั้งครรภ์ครบกำหนดจวนจะคลอดยังต้องทนกับความเจ็บปวดต่าง ๆโลหิตไหลเต็มพื้น

เดี๋ยวสลบเดี๋ยวฟื้น ต้องประสบกับความทรมานต่าง ๆ ถึงจะได้คลอดลูก ทั้งกังวลว่าลูกจะปลอดภัยหรือไม่ ?

เมื่อทราบว่าลูกปลอดภัย แม่ถึงจะสบายใจเอาแต่อุ้มแนบอกไม่ยอมห่างกาย

เลี้ยงลูกด้วยนมของตัวเอง แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าเพียงใดก็ยินดี และยังต้องลำบากกับการซักล้างผ้าอ้อมของลูก

ลูกปัสสาวะรดที่นอน แม่ยอมนอนในที่เปียกชื้นขอให้ลูกได้นอนในที่สะอาดและอบอุ่นก็พอ ไม่เคยปริปากบ่นสักคำ

3 ปี ในอ้อมอกแม่ สิ่งที่ลูกได้ดื่มกิน คือนมแม่ที่มาจากโลหิตของแม่ จนกระทั่งแม่ผ่ายผอม

ตั้งแต่เป็นทารกแรกเกิดจนเติบใหญ่เป็นหนุ่มสาวไม่รู้ว่าพ่อแม่จะต้องสิ้นเปลืองเงินทอง แรงกายแรงใจไปเท่าไรในการชุบเลี้ยงและให้การศึกษาอบรมให้ลูกเป็นคนดีมีศีลธรรม

เมื่อลูกเติบใหญ่ พ่อแม่ยังต้องยากลำบากเพื่อเตรียมการให้ลูกมีครอบครัวและออกทุนรอนให้ลูกมีอาชีพหาเลี้องครอบครัว

พ่อแม่หวังให้ลูกสร้างฐานะได้โดยเร็ว ความรักและเอาใจใส่ต่อลูก แม้จะยากลำบากเพียงใดก็ยินดี

พ่อแม่ไม่เคยทวงบุญคุณกับลูก และก็ไม่หวังจะได้รับการตอบแทนจากลูก

ถ้าวันใดลูกป่วยไข้ พ่อแม่พลอยทุกข์กังวลจนไม่สบายไปด้วย

พ่อแม่เฝ้าแต่รอคอยจนกว่าลูกจะหายป่วยความทุกข์กังวลของพ่อแม่จึงค่อย ๆ หายไป

พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยความยากลำบาก เพื่อให้ลูกโตไว ๆ ลูกบางคนพอโตขึ้นกลับอกตัญญู เนรคุณ ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่

ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ หนำซ้ำกลับโต้เถียงกล่าวคำก้าวร้าว โดยเฉพาะมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

ไม่ยอมลดราวาศอก ทะเลาะวิวาทกับพี่น้องไม่เหลียวแลพ่อแม่ ไร้ศีลธรรม น่าสลดใจยิ่งนัก

แม้จะเคยเรียนหนังสือ แต่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่และครูบาอาจารย์ไม่เพียงเท่านั้น ยังเนรคุณอีกด้วย

เวลาเข้าบ้านหรือออกจากบ้านไม่บอกกล่าวพ่อแม่ กิริยาอาการยะโสโอหัง ไร้มารยาท

ทำสิ่งใดเอาแต่ใจตัว ไม่เห็นพ่อแม่อยู่ในสายตา ผู้ใหญ่สงสาร ลูกหลานว่ายังเด็ก จึงปล่อยปละละเลย

ต่อมานิสัยยิ่งเปลี่ยนยิ่งโหดร้ายไม่เพียงไม่เชื่อฟังยังกลับมีความโกรธแค้น

ในที่สุด ปลีกตัวไปจากญาติมิตร ไปคบเพื่อนนังเลง ถูกเพื่อนชักนำไปทางอบายมุข เป็นโทษแก่ตนโง่เขลายิ่งนัก

วันหนึ่ง ไปหลงเชื่อเพื่อนชั่ว ทอดทิ้งพ่อแม่และครอบครัว หนีออกจากบ้าน ระเหเร่ร่อนไปถิ่นอื่น

หรือว่าไปทำมาหากินต่างถิ่น ทำงานต่าง ๆ วันเวลาผ่านไป กระทั่งแก่เฒ่า ใบหน้าเศร้าหมอง

บางคนไปแต่งงานมีครอบครัวที่ต่างถิ่นไม่กลับบ้าน กระทั่งแก่ตาย โดยไม่ได้คิดว่าตนเองเกิดมาจากไหน

บางคนโชคร้ายยิ่งกว่านั้น ระเหเร่ร่อนไปต่างถิ่นไปคบเพื่อนชั่ว ที่สุดถูกคนลวงไปทำร้าย

.....หรือสมคบกันทำชั่ว ประกอบมิจฉาชีพ เป็นโจรปล้นจี้ ในที่สุดกรรมชั่วตามสนอง ถูกจับลงโทษ

หรือถูกลงโทษหนัก แก่ตายในคุก หรือถูกโรคร้ายรุมเร้า ทุกข์ทรมานแสนสาหัส

สารรูปดูไม่ได้ ถูกคนดูหมิ่นเหยียดหยาม ไร้คนเหลียวแล กระทั่งป่วยตาย ศพถูกปล่อยทิ้งจนเน่าเปื่อย

วิญญาณออกจากร่าง เร่ร่อนพเนจร ต้องจากญาติมิตรตลอดกาล เป็นการอกตัญญูต่อพ่อแม่ยิ่งนัก

ลูกที่อกตัญญูพอตายก็จบสิ้นทุกอย่าง หารู้ไม่ว่าหลังจากลูกจากบ้านไปแล้ว พ่อแม่เฝ้าแต่คิดถึงเป็นห่วงตลอดเวลา

เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไหร่ลูกจะกลับมา เนื่องจากคิดถึงลูก ร้องไห้มากเกินไปจนกระทั่งตาบอด

การที่ร้องไห้มากเกินไป ยังทำให้เป็นโรคหืดหอบ พ่อแม่บางคนห่วงกังวลเรื่องลูกจนไม่มีกะจิตกะใจทำมาหากิน จนทำให้กิจการงานไม่ก้าวหน้า

....หรือตรอมใจตาย ครั้นตายแล้วเป็นวิญญาณผีก็ยังไม่ลืมลูก ไม่อาจตัดขาดจากลูกรักนี้ได้ นี้คือความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่

ลูกบางคนไม่เพียงไม่ขยันเรียนหนังสือ ยังชอบไปมั่วสุมกับเพื่อนเกเร ตามเพื่อนไปกระทำความชั่ว

เป็นนักเลงหัวไม้ เกะกะระรานชาวบ้าน ลักเล็กขโมยน้อย

กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน กระทำแต่ควาชั่วผิดกฏหมาย ทำให้เลื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล

ทำให้พ่อแม่เศร้าเสียใจ ลูกออกจากบ้านไปเที่ยวแต่เช้า จนดึกดื่นจึงกลับบ้าน

ไม่เคยสนใจใยดีพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่รู้สึกหดหู่ใจ

ไม่ได้ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่ พ่อแม่อายุมากขึ้นหน้าตาร่วงโรย กำลังวังชาลดน้อยถอยลง ยังต้องมาถูกลูกกอตัญญูทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

ลูกบางคนมีแต่พ่อหรือแม่ ตามหลักควรจะต้องกตัญญูยิ่งกว่าธรรมดา แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ กลับไม่เหลียวแล ปล่อยให้ท่านต้องอดอยากหิวโหยและหนาวเหน็บ

ไม่สนใจใยดี ทำให้พ่อแม่เสียใจต้องแอบร้องไห้ได้แต่รำพึงรำพันว่า ตนช่างโชคร้ายที่มีลูกอกตัญญู

ผู้เป็นบุตรตามหลักมีหน้าที่ต้องทำนุบำรุงบิดามารดา แต่กลับไม่เหลียวแลเวลาพ่อแม่ถูกเหยียดหยามตัวเองกลับเกรงจะถูกหัวเราะเยาะไปด้วย

มีลูกบางคนไม่เกี่ยงต่อความยากลำบากในการทำมาหากิน เพื่อเลี้ยงดูลูกเมีย

โดยไม่เหลียวแลพ่อแม่ ยังกับเป็นคนอื่น แต่กับภรรยายอมเชื่อฟังทุกอย่าง

คำอบรมของพ่อแม่ ทำเป็นหูทวนลมหรือโต้เถียง ไร้ความเคารพยำเกรงแม้แต่น้อย ทำให้พ่อแม่เสียใจมาก

ลูกสาวบางคนขณะยังไม่ออกเรือน ยังรู้จักกตัญญู ต่อพ่อแม่อยู่บ้าง แต่พอแต่งงานแล้วกลับกลายเป็นคนอกตัญญู

พ่อแม่ว่าไม่กี่คำก็เกิดความโกรธแค้น

กับลูกผัวนั้น รักและเอาอกเอาใจ แต่กับพ่อแม่ยิ่งนานวันยิ่งเหินห่าง ทำให้พ่อแม่เสียใจอย่างยิ่ง

ลูกสาวอกตัญญูบางคน พอออกเรือนไปแล้วไม่เคยคิดถึงหรือสนใจพ่อแม่อีกเลย

เสมือนว่าตัดขาดจากพ่อแม่ พ่อแม่ได้แต่เฝ้ารอคอยทุกวันคืนสุดแสนสลดหดหู่ใจ

ความรักและห่วงใยของพ่อแม่ไม่เคยเสื่อมคลายพระคุณของพ่อแม่ที่มีต่อลูกยิ่งใหญ่ไพศาล

...ไร้ที่สิ้นสุด ยากที่จะบรรยายเป็นคำพูดได้ ผู้เป็นลูกถ้าหากอกตัญญู บาปกรรมนั้นแม้จะสารภาพบาปต่อหน้าพระก็เกรงว่ายากที่จะลบล้างได้

เมื่อองค์พระศาสดาแสดงธรรมเรื่องพระคุณของพ่อแม่จบลง ทุกคนต่างรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว บ้างก็ก้มลงกราบ

บ้างก็สำนึกผิด ตีอกชกหัว โดยเฉพาะที่เสียใจเกินขนาด โลหิตซึมออกจากรูขุมขนในตัว บ้างถึงกับสลบไป

ครั้นฟื้นขึ้นมา ก็ร้องขึ้นว่า น่าเศร้าสลดนัก ลูกอกตัญญูทำให้พ่อแม่เสียใจเกินไปแล้ว

เมื่อมาคิดดู เป็นบาปอย่างมหันต์จริงแท้เหมือนดั่งภูตผีปีศาจที่ล่องลอยไปมา

ปล่อยให้วันเวลาผ่านไปกับความลุ่มหลงมัวเมาไม่ได้คิดมาก่อนว่า บาปกรรมของตนเองมีเท่าไร

บัดนี้ได้ฟังพระโอวาทจากองค์พระศาสดาเสมือนตื่นจากความฝัน รู้สึกสำนึกผิดต่อความผิดพลาดที่ผ่านมา เมื่อคิดถึงความอกตัญญูของตนเอง แสนเจ็บปวดรวดร้าวสุดจะกล่าว

ขอพระองค์โปรดดเมตตาให้เหล่าข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้มีโอกาสในการแก้ตัวไถ่บาป ว่าจะทำอย่างไรถึงจะตอบแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ได้

องค์พระศาสดาทรงตรัสถึงธรรมวิธีอันล้ำลึกแก่เหล่าสาวกทั้งหลายว่า เมื่อพวกเธอต้องการจะตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ ข้าพเจ้าก็จะบอกแก่พวกเธอทั้งหลาย

ถ้ามีใครคนหนึ่ง บ่าข้างซ้ายหาบบิดา และบ่าข้างขวาหาบมารดา แล้วเดินวนรอบภูเขาหิมาลัยหาบนั้นทั้งหนักและเสียดสีผิวหนังจนแตก

และทะลุถึงกระดูก ก็ไม่นับว่ามาก โลหิตสด ๆ ไหลท่วมตาตุ่ม เป็นอยู่เช่นนี้ เป็นร้อย พัน หมื่นกัป ก็ยังไม่อาจทดแทนพระคุณของพ่อแม่ได้

ถ้ามีใครคนหนึ่ง เกิดในยุคแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพง เพื่อไม่ให้พ่อแม่หิวโหย จึงเฉือนเนื้อตัวเองทั้งหมดหั่นเป็นชิ้น ๆ

ถ้ามีใครคนหนึ่ง เกิดในยุคแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพง เพื่อไม่ให้พ่อแม่หิวโหย จึงเฉือนเนื้อตัวเองทั้งหมดหั่นเป็นชิ้น ๆ

ให้พ่อแม่กินแก้หิว แม้จะมีใจกตัญญูถึงเพียงนี้เป็นร้อย พัน หมื่นกัป ก็ยังยากที่จะทดแทนพระคุณของพ่อแม่ได้

ถ้ามีใครคนหนึ่ง เพื่อพ่อแม่ของตน ใช้มีดควักเอาหัวใจออกมา จนโลหิตไหลเต็มพื้น โดยไม่หวั่นเกรงความเจ็บปวด

ทำอยู่เช่นนี้เป็นเวลาร้อย พัน หมื่นกัป ก็ยังยากที่จะทดแทนพระคุณอันใหญ่หลวงของบิดามารดา

ถ้ามีใครคนหนึ่ง เพื่อพ่อแม่ของตน ยอมให้คมอาวุธเป็นพัน ๆเสียบบนร่างกายของตน เป็นเวลาร้อยพัน หมื่นกัป ก็ยังไม่อาจทดแทนพระคุณของพ่อแม่ได้

ถ้ามีใครบนบานให้พ่อแม่ปลอดภัยและอายุยืนโดยใช้ไขมันในร่างกายตนเป็นน้ำมันจุดตะเกียงหน้าพระ เป็นเวลาร้อย พัน หมื่นกัป ก็ยังไม่อาจทดแทนพระคุณของพ่อแม่ได้

ถ้าหากมีใคร เพื่อตอบแทนความเหนื่อยยากของพ่อแม่ จึงฝ่าน้ำร้อนลุยไฟจนกระดูกหลุดออกนอกเนื้อ เป็นเวลานับหมื่นกัป ก็ยังไม่อาจทดแทนพระคุณของพ่อแม่ได้

ถ้าหากมีใคร เพื่อทำหน้าที่ของลูกให้สมบูรณ์โดยยอมรับโทษแทนพ่อแม่ จนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเจ็บปวดสาหัสสากรรจ์

เป็นอยู่เช่นนี้เป็นเวลาร้อย พัน หมื่นกัป ก็ยังไม่อาจทดแทนพระคุณของพ่อแม่ได้หมด

ทุกคนได้สดับรับฟังการแสดงธรรมขององค์พระศาสดา เรื่องพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ ต่างพากันหลั่งน้ำตาด้วยความตื้นตันใจ คิดไม่ออกว่าจะทดแทนพระคุณของพ่อแม่โดยวิธีใด

จึงทูลถามพระพุทธองค์เป็นเสียงเดียวกันว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายรู้ว่าเป็นคนมีโทษ แต่ไม่ทราบว่าจะทำฉันใดถึงจะสามารถตอบแทนพระคุณอันใหญ่หลวงของพ่อแม่ได้

องค์พระศาสดาเห็นทุกคนสำนึกผิด จึงทรงตรัสว่า การที่จะทดแทนพระคุณของพ่อแม่นั้น

จะต้องเขียน (หรือพิมพ์) พระสูตรเล่มนี้ และสารภาพบาปที่ทำมาทุกอย่าง และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาตลอดไป

องค์พระศาสดาทรงตรัสอีกว่า และต้องถือศีล (ห้า) กินเจ ทำบุญให้ทาน เป็นลูกกตัญญู มิเช่นนั้นก็คือนักโทษในนรก

องค์พระศาสดาทรงตรัสต่อว่า ผู้ที่อกตัญญูต่อบิดามารดา เมื่อสิ้นชีวิตแล้วจะต้องตกสู่มหานรกอเวจี

นรกขุมนี้มีความกว้างยาวแปดหมื่นโยชน์ ล้อมรอบไปด้วยกำแพงเหล็กและตาข่ายเหล็ก พวกนักโทษไม่มีทางหลบหนีไปได้

ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยเปลวเพลิงลุกโชติช่วงตลอดเวลา มีน้ำโลหะหลอมละลายกรอกและราดไปที่ตัวนักโทษและมีสุนัขและงูเหล็กคอยไล่ขบกัดนักโทษ

แต่ละคนถูกไฟเผาจนไหม้เกรียมสุดเวทนากลางอากาศยังมีตะขอเหล็กและหอกดาบมากมาย

ส่วนที่พื้นเต็มไปด้วยปลายหอกและคมดาบคมขวาน และเครื่องทรมานต่าง ๆ

ที่สามารถประหารคนโทษได้ตลอดเวลา สัตว์นรกต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ตลอดไปไม่มีวันหยุด

เมื่อรับโทษทัณฑ์จากนรกขุมนี้เสร็จแล้ว ยังต้องถูกส่งไปที่นรกขุมอื่นอีก เพื่อรับทุกข์ทรมานจากรถเหล็กบดทับ

รถเหล็กบดทับไปมา จนร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี เจ็บปวดทรมานแสนสาหัส

นักโทษในนรกเหล่านี้ ล้วนแต่ตอนที่มีชีวิตอยู่ มีความผิดมหันต์ ข้ออกตัญญูต่อพ่อแม่ จึงต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้

ทุกคนสดับรับฟังการแสดงธรรมขององค์พระศาสดาจบลง ต่างรู้สึกทั้งเสียใจและละอายใจ ทูลถามพระพุทธองค์ทั้งน้ำตาว่า แล้วข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะทำฉันใดถึงจะสามารถทดแทนพระคุณของพ่อแม่ได้

องค์พระศาสดาทรงตรัสว่า การทดแทนพระคุณของพ่อแม่นั้น วิธีดีที่สุดคือ การพิมพ์พระสูตรเล่มนี้แล้วเผยแผ่ไปอย่างกว้างขวาง สามารถพิมพ์แจกหนึ่งเล่ม ก็จะได้พบพระพุทธเจ้าหนึ่งพระองค์

ถ้าพิมพ์แจกสิบเล่ม ก็จะได้พบพระพุทธเจ้สิบพระองค์ พิมพ์ร้อยเล่ม พันเล่ม หมื่นเล่ม ก็จะได้พบพระพุทธเจ้า ร้อยองค์ พันองค์ หมื่นองค์

ผู้ที่พิมพ์แจกหนังสือนี้แก่ผู้คนทั่วไป พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็จะคุ้มครองผู้นั้นอยู่เสมอ และใช้พุทธานุภาพทำให้เขาและพ่อแม่ของเขาจุติบนสวรรค์ ไม่ตกนรกรับทุกข์ทรมาน

พระอานนท์และผู้ร่วมชุมนุมทั้งหลาย เมื่อได้สดับรับฟังพระโอวาทของพระบรมศาสดา ต่างรู้สึกเสียใจมาก

ทุกคนต่างสารภาพบาปต่อพระบรมศาสดาอย่างจริงใจ นับแต่นี้เป็นต้นไปจนกระทั่งอนาคตกาลอันไร้ที่สิ้นสุด แม้จะเป็นพันหมื่นกัป

แม้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ร่างกายจะแหลกละเอียด เป็นผุยผง ก็จะยึดมั่นต่อพระโอวาทขององค์พระบรมศาสดา มิกล้าฝ่าฝืนแม้แต่น้อย

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายยอมให้ตะขอแหลมคมเกี่ยวเอาลิ้นออกมา และเอาคันไถเหล็กไถข้ามไปมาจนโลหิตสด ๆ ไหลนองเป็นสายน้ำ

เป็นอยู่เช่นนี้เป็นเวลานับร้อย พันกัป ก็จะไม่ฝ่าฝืนต่อคำสอนของพระบรมศาสดา หรือแม้จะอยู่ท่ามกลางวงล้อของคมดาบก็ตาม

หรือแม้ร่างกายจะถูกห่อหุ้มด้วยตาข่ายเหล็กอย่างแน่นหนา แสนเจ็บปวดทรมาน ก็จะไม่ฝ่าฝืนพระโอวาทของพระบรมศาสดา

แม้จะเอามีดโต้สับร่างกายเป็นชิ้น ๆ เป็นเวลาร้อยพัน หมื่นกัป ก็จะไม่ฝ่าฝืนพระโอวาทขององค์พระศาสดา

จนกระทั่งกระดูกเนื้อหนังจำไม่ได้ เป็นร้อย พัน หมื่นกัป ก็จะไม่ฝ่าฝืนพระโอวาทตลอดไป

พระอานนท์เถระทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสูตรเล่มนี้มีชื่อเรียกว่าอย่างไร ?

พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า พระสูตรนี้ชื่อว่า “พระคุณบิดามารดา” ขอให้ทุกท่านนำไปปฏิบัติให้จงดี

พระอานนท์และเหล่าสาวกทั้งหลายเมื่อได้สดับรับฟังการแสดงธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างก็บังเกิดความรู้แจ้ง ปิติยินดีเป็นอย่างมาก

ทุกคนต่างตัดสินใจแน่วแน่ว่า จะปฏิบัติตามพระโอวาทขององค์พระศาสดาตลอดไป โดยจะปฏิบัติตนเป็นลูกกตัญญูกตเวทีอย่างถึงที่สุด จากนั้นทุกคนก็กราบลาองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์


สาธุ ค่ะท่าน I am ขอนำบทความธรรมมะมาร่วมแสดงด้วยค่ะ




สวัสดีเช้าวันทำงานวันแรกค่ะ สาธุ
 
I am
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2006, 9:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เช่นกันครับคุณต้นหญ้า โมทนาด้วยนะครับ

เรื่องการภาวนาของคุณต้นหญ้า ทำไปเถอะได้แค่ไหนก็พอใจแค่นั้น ไม่ว่าจะเป็นขณิก อุปจาร หรืออัปปนาสมาธิ จะทำให้เราสะบายใจ เป็นปัจจัย เป็นนิสสัยตามส่งเราทุกภพทุกชาติ ครับ

ตอนนี้รออ่านธรรมของคุณบัวใต้อยู่ครับ
 
บัวใต้จ้า
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2006, 10:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ

569 วิธีตอบแทนคุณบิดามารดาที่ถูกต้อง

ปัญหา การที่จะตอบสนองบุญคุณมารดาบิดาได้อย่างถูกต้องและเต็มที่นั้น บุตรธิดาควรจะทำอย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่จะตอบแทนคุณแก่บุคคลทั้ง ๒ คือ มารดา ๑ บิดา ๑ เรากล่าวว่ากระทำไม่ได้ง่ายเลย

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุตรพึงแบกมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง แบกบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง เขามีอายุมีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และพึงปฏิบัติบำรุงทั้ง ๒ ด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการบีบนวดอวัยวะต่างๆ แก่ท่านทั้งสอง แม้ท่านทั้ง ๒ ก็พึงถ่ายอุจจาระบนบ่านั่นเอง ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนบุญคุณแก่มารดาบิดา

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง บุตรพึงตั้งมารดาไว้ในราชสมบัติ มีอำนาจยิ่งใหญ่ในแผ่นดินใหญ่ อันมีรัตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ แม้กระนั้นก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนคุณมารดาบิดา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก เป็นผู้บำรุงเลี้ยง เป็นผู้สอนให้ลูกรู้จักโลก

“ส่วนบุตรคนใด ทำให้มารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาให้สมาทานตั้งมั่นในสัทธาสัมปทา ให้มารดาบิดาผู้มีทุศีลสมาทานตั้งมั่นในสีลสัมปทา ให้บิดามารดาผู้มีความตระหนี่สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ให้มารดาบิดาผู้ทรามปัญญา สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านั้น และบุตรย่อมชื่อว่าเป็นผู้อันกระทำตอบแทนบุญคุณแก่มารดาบิดาแล้ว”


ป. ทุก. อํ. (๒๗๘)
ตบ. ๒๐ : ๗๘-๗๙ ตท. ๒๐ : ๗๐-๗๑
ตอ. G.S. ๑ : ๕๖-๕๗


602 พระพรหมของบุตร

ปัญหา ใครเป็นพระพรหม เป็นอาจารย์เบื้องต้นและเป็นสมณะของบุตร ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สกุลใดบุตรบูชาบิดามารดาในเรือนตน สกุลนั้นมีพรหม.... มีอาจารย์เบื้องต้น... มีอาหุไนยบุคคล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า “พรหม” คำว่า “บุพพาจารย์” คำว่า “อาหุไทยบุคคล” นี้เป็นชื่อของมารดาและบิดา เพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง สอนให้ลูกรู้จักโลกนี้

“มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร ท่านเยกว่าพรหมว่าบุพพาจารย์ ว่าอาหุไนยบุคคล เพราะฉะนั้นบัณฑิตพึงนมัสการและสักการะมารดาบิดาด้วย ข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การอบกลิ่น การให้อาบน้ำ และการล้างเท้าทั้งสอง เพราะการปรนนิบัติมารดาบิดานั่นแล บัณฑิตย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้เอง เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์....”


พรหมสูตร ติก. อํ. (๖๗๐)
ตบ. ๒๐ : ๑๖๗-๑๖๘ ตท. ๒๐ : ๑๕๐
ตอ. G.S. ๑ : ๑๑๔-๑๑๕

จาก
http://www.84000.org/true/602.html

สวัสดีค่ะ คุณ I am , คุณต้นหญ้า และก็คุณ........(บอกชื่อหน่อยค่ะจะได้ทักทายถูก) อนุโมทนากับธรรมของทุกๆ ท่านค่ะ
 
I am
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2006, 3:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุครับ..
 
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2006, 10:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง