Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 นิทานสาธก : ดาบสหัวดื้อ (เสฐียรพงษ์ วรรณปก) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 19 ก.พ.2006, 12:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



ฤาษี 2.jpg


นิทานสาธก : ดาบสหัวดื้อ


มีพระภิกษุสองรูปที่ได้ชื่อว่าหัวดื้อที่สุดในสมัยพุทธกาล รูปหนึ่งชื่อ ฉันนะ ฉันนะที่เคยเป็นมหาดเล็กคนสนิทของเจ้าชายสิทธัตถะนั่นแหละครับ ท่านถือว่าเคยเป็นคนสนิทกับพระพุทธเจ้ามาก่อน จึงมีทิฐิมานะไม่ยอมฟังใคร ไม่ยอมเชื่อใคร เชื่อมั่นในตัวเองสูง อย่าว่าไม่ฟังคำเตือนของพระเถระทั้งหลายเลย บางครั้งพระพุทธเจ้าทรงเตือนยังไม่ค่อยจะฟังเลย ได้ชื่อว่าหัวดื้อที่สุด

พระพุทธองค์ทรงปล่อยให้กาลเวลาผ่านไป จนกระทั่งเมื่อตอนใกล้จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระอานนท์กราบทูลถามว่า หลังจากพระพุทธองค์ล่วงไปแล้ว จะให้สงฆ์จัดการอย่างไรกับพระฉันนะจอมหัวดื้อ

พระพุทธองค์รับสั่งว่า ให้ทำ "พรหมทัณฑ์" แก่เธอ แล้วเธอจะสำนึกเอง พรหมทัณฑ์ ก็คือบอยคอตอะไรทำนองนั้น พระสงฆ์ไม่มีใครสนใจไยดีเธอ ทำเหมือนว่าไม่มีพระชื่อฉันนะอยู่ด้วย ไม่พูดจาด้วย ไม่โอวาท ไม่อนุศาสน์ ซึ่งก็น่าจะดี แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ฉันนะ เธอมีความรู้สึกถูกโดดเดี่ยว จึงอึดอัดใจ และในที่สุดสำนึกผิด จึงกราบขอขมาพระสงฆ์ ยอมทำตนอยู่ในโอวาทของพระเถระทั้งหลาย

อีกรูปหนึ่งนามว่า ติสสะ รายนี้ก็ไม่ฟังใครเหมือนกัน จนพระสงฆ์ทั้งหลายเอือมระอารายนี้ถูกปราบโดยวิธีใดผมก็ลืมเสียแล้ว จำได้แต่ว่าพระสงฆ์กราบทูลปรารภกับพระพุทธองค์ว่า ติสสะ หัวดื้อเหลือเกิน

พระพุทธองค์ตรัสว่า ติสสะเธอใช่จะหัวดื้อเฉพาะในปัจจุบันนี้เท่านั้น ในอดีตก็หัวดื้อเช่นนี้เหมือนกัน

เรียกว่าหัวดื้อข้ามชาติ ว่าอย่างนั้นเถอะ

เมื่อพระสงฆ์กราบทูลถาม พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าเรื่องแต่ปางก่อนให้พระสงฆ์ทั้งหลายฟังว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว ณ ศาลานอกเมืองแห่งหนึ่ง ดาบสเฒ่าท่านหนึ่งสัญจรมาพักอาศัยอยู่ก่อนแล้วหลายวัน วันหนึ่งมีดาบสหนุ่มมาจากทางไกล เข้ามาอาศัยพักอยู่ด้วย

ดาบสเฒ่ากล่าวว่า ที่นี่มีอยู่ห้องเดียว คุณพักอยู่ข้างในห้อง ผมจะอยู่ข้างนอก ว่าแล้วก็ยึดเอามุมหน้าประตูเข้าออกเป็นที่นอน ดาบสหนุ่มกำหนดทิศทางที่ดาบสเฒ่าพักอยู่เรียบร้อยก่อนเข้านอน กระนั้นก็พลาดจนได้ เพราะดาบสเฒ่ามิได้นอนที่จุดเดิม เมื่อดาบสหนุ่มลุกขึ้นมาเพื่อปัสสาวะตอนดึก ค่อยๆ ย่องๆ ออกประตู ท่ามกลางความมืด เท้าเกิดไปเหยียบมวยผมดาบสเฒ่าเต็มรัก

ผู้เฒ่าร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หาว่าดาบสหนุ่มแกล้งเหยียบศีรษะ

"ขอประทานโทษเถอะขอรับ ผมมองไม่เห็นขอรับ"

"มองไม่เห็นทำไมเหยียบถูกวะ" ผู้เฒ่าตอบยียวนหาเรื่อง "อย่างนี้มันแกล้งกันนี่หว่า"

"กระผมมิได้เจตนาเลยขอรับ มันมืด มองไม่เห็น ไม่นึกว่าท่านอาจารย์จะอยู่ตรงนี้"

"เอ็งอย่ามาแก้ตัว เอ็งแกล้งข้าก็บอกมาตรงๆ" ผู้เฒ่ายังไม่ยอมลดละ

ดาบสหนุ่มกล่าวขอโทษแล้วขอโทษอีกกว่าจะหยุดบ่น ดาบสผู้เฒ่าคิดว่า เราหันศีรษะมาทางนี้ไอ้หนุ่มถึงเหยียบเรา คราวนี้เปลี่ยนทิศใหม่ดีกว่า ไม่งั้นมันจะมาเหยียบเราอีก ว่าแล้วก็นอนหันศีรษะไปทางเท้าเดิม

ดาบสหนุ่มทำสรีรกิจ (ถ่าย) เสร็จแล้วก็คิดว่า ตะกี้นี้เราเดินไปทางนี้จึงเผลอเหยียบศีรษะท่านอาจารย์ คราวนี้เราจะเดินไปทางเท้าท่านดีกว่า แล้วก็ค่อยๆ ก้าวเท้าทางเท้าเดิมด้วยความระวัง แต่ก็เคราะห์ร้ายอะไรปานนั้น

คราวนี้เหยียบเอาตรงคอดาบสดแก่ดังอึ๊บ พร้อมเสียงร้องดังวัวถูกเชือดตามมา คราวนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว ดาบสแก่ไม่ยอมฟังทั้งนั้น อย่างนี้ไม่เรียกว่าแกล้งจะเรียกว่าอะไร

ดาบสหนุ่มก็ได้แต่นั่งยกมือไหว้ขอโทษขอโพย แต่ก็ไร้ผล ดาบสแก่เอ่ยคำสาปแช่งว่าให้ศีรษะแกแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงทันทีที่พระอาทิตย์อุทัย

ดาบสหนุ่มเป็นพระโพธิสัตว์ มีบารมีและฌานแก่กล้ากว่าดาบสแก่ รู้ด้วยญาณว่า คำสาปนั้นจะตกไปยังดาบสแก่แทนที่จะเป็นตน จึงกราบเรียนท่านไปว่า ท่านอาจารย์ครับ คำสาปนั้นจะตกแก่ท่าน ขอความกรุณาถอนคำสาปเถิด

ดาบสแก่โต้ว่า "ข้าสาปแก มันจะตกแก่ข้าได้อย่างไร"

"จริงๆ ครับ ท่านอาจารย์ คำสาปนั้นจะตกแก่ท่าน ศีรษะท่านนั่นแหละจะแตกเจ็ดเสี่ยงทันทีที่พระอาทิตย์อุทัย มีทางเดียวที่จะรอดพ้นได้คือ ให้ท่านกล่าวขอโทษผมเสียเถิด"

"เรื่องอะไรข้าจะขอโทษแก ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนถูกต้องหมด คือข้าสาปแกให้แกมีอันเป็นไป แล้วทำไมข้าจะกลายเป็นคนผิด ข้าไม่ผิด ข้าไม่ขอโทษ แกนั่นแหละถ้าไม่อยากตายก็คุกเข่าขอโทษข้าเสีย" ดาบสเฒ่าจอมหลักการเถียง

เมื่อเห็นว่ายังไงๆ ท่านอาจารย์ก็ไม่กล่าวคำขอโทษ ดาบสหนุ่มจึงมองหาทางจะช่วยจึงไม่ยอมให้พระอาทิตย์ขึ้น คืนนั้นกลายเป็นค่ำคืนที่ยาวนานมาก นานจนประชาชนชาวเมืองเดือดร้อนว่าทำไมมันไม่สว่างสักที มีเหตุร้ายแรงอันใดหนอ

ประชาชนพากันไปยังพระราชวัง ร้องทุกข์ต่อพระราชา เมื่อพระราชาทรงตรวจดูพระจริยาวัตรของพระองค์ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง ก็ทรงแน่พระทัยว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มิได้เนื่องมาจากพระองค์แน่ จึงสอบถามข้อมูลจากเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ได้รับรายงานล่าสุดว่ามีดาบสสองรูปพักอยู่ศาลานอกเมือง ท่านทั้งสองรูปใดรูปหนึ่งอาจรู้สาเหตุแห่งภาวะมืดมาราธอนนี้ก็ได้

พระราชาและชาวเมืองจึงพากันไปหาดาบสทั้งสอง ได้รับทราบจากดาบสหนุ่มว่า ท่านอาจารย์เข้าใจว่าท่านล่วงเกิน ได้สาปให้ศีรษะท่านแตกเจ็ดเสี่ยงตอนพระอาทิตย์ขึ้น แต่ท่านรู้ว่าคำสาปนั้นจะตกที่ท่านอาจารย์จึงไม่ยอมให้พระอาทิตย์ขึ้น

"แล้วเราจะทำอย่างไร พระคุณเจ้า ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ประชาชนเดือดร้อนแน่" คำถามสอดขึ้นมา

"มีทางเดียว ให้อาจารย์ขอขมาอาตมาให้ได้" ดาบสหนุ่มยืนยัน

ดาบสแก่ไม่ยอมขอขมา ชาวเมืองจึงจับศีรษะท่านก้มแทบเท้าดาบสหนุ่มบังคับให้กล่าวคำขอขมา กระนั้นเฒ่าหัวดื้อก็ไม่ยอมกล่าวออกมา ดาบสหนุ่มจึงบอกให้จับแกลงน้ำลึกถึงปลายคาง ให้เอาก้อนดินเหนียวโปะไว้บนศีรษะ แล้วดาบสหนุ่มก็ปล่อยอิทธิฤทธิ์ให้พระอาทิตย์ขึ้น

พอพระอาทิตย์โผล่ขึ้นขอบฟ้า กดให้ดาบสเฒ่ามุดลง ทันใดนั้นก้อนดินบนศีรษะดาบสเฒ่าก็แตกกระจายเป็นเจ็ดเสี่ยง แกดำน้ำไปโผล่อีกมุมหนึ่ง รอดชีวิตมาได้

พระพุทธองค์ทรงสรุป ติสสะ นั้นแต่ก่อนก็ดื้อด้านมาก่อนแล้ว ชาตินี้จึงดื้ออีกติดเป็นสันดานยากจะแก้ไข

คนเราถ้าเชื่อมั่นในตัวเองสูง มองแต่ในมุมของตัวเอง ก็มักจะไม่ฟังใคร เพราะคิดว่าตัวเองนั้นถูกแล้ว เมื่อไม่ผิดแล้วจะให้ขอโทษใคร ไม่ขอโทษแล้วใครจะทำไม

ไม่ทำไมดอกครับไม่ ก็เชิญดื้อด้านต่อไปถึงชาติหน้าตอนสายๆ ค่อยคิดกันอีกที


.............................................................

ที่มา : นสพ.มติชนรายวัน หน้า 6
คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10207
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
suvitjak
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ค.2008, 12:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ขอบคุณครับ ซึ้ง
 

_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง