Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ความหลอกลวง (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 8:00 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ความหลอกลวง
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๔



ข้าพเจ้าอยากจะพูดถึงเรื่องที่มีผู้ถามมาว่า ทำไมคนเรารู้ดีรู้ชั่วแล้วยังทำชีวิตให้ตกต่ำ เช่นรู้ว่ายาเสพติดให้โทษ เช่น เฮโรอีน เป็นต้น มีโทษร้ายแรงทางสุขภาพทางร่างกาย ใครติดก็เท่ากับประหารชีวิตตัวเอง แต่ก็ยังมีคนเอาชีวิตเข้าแลก

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ชาวโลกก็รู้ว่าพวกแดงเป็นพวกที่ชั่วร้ายอสัตย์ ชอบหลอกลวง ไม่มีสัญญาอะไรแน่นอนจากพวกแดง ใช้ระบบทาสทารุณกดขี่ประชาชนพลเมืองของตัวเองอย่างสาหัส ถึงกับประชาชนพลเมืองทนไม่ไหว ต้องดิ้นรนเสี่ยงกับความตายหนีภัยออกมาหาความอิสระ แต่ก็ยังมีคนเห็นดีเห็นชอบด้วย

ผู้ที่ถามมานี่คงนึกว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตอบปัญหา และให้ความรู้ยกย่องเป็นครูอาจารย์ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกไม่สบายและละอายใจ ความจริงข้าพเจ้ารู้ตัวดีว่าตัวเองมีความรู้แค่หางอึ่งไม่อยากให้ท่านเข้าใจผิด ว่าเป็นผู้มีความสามารถเชี่ยวชาญตามที่เข้าใจ บางครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเองก็ยังแก้ไม่ค่อยตก ขอให้ทราบว่าข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงนักสะสมของเก่าและของใหม่ แต่ไม่ใช่เล่นเครื่องลายคราม หรือนักสะสมเล่นแสตมป์เพื่อความเพลิดเพลินไปวันหนึ่งๆ

ข้าพเจ้าเป็นเพียงแต่เก็บสะสมเรื่องเก่าและใหม่ ที่มีคติธรรมตัวอย่างดีและชั่ว เกิดขึ้นมาแล้ว เพื่อจะนำมาเล่าให้ลูกหลาน และอนุชนรุ่นหลังฟังเล่นเท่านั้น ปกติเด็กก็ชอบนิทานอยู่แล้ว เล่าเรื่องชีวิตที่เป็นสาระเกิดผลทางใจก็คงจะมีประโยชน์บ้าง เรื่องแรกก็พอมีตัวอย่างที่รู้พอจะเล่าให้ฟัง เพื่อจะได้พิจารณาดูเปรียบเทียบกับปัจจุบัน เพื่อจะให้รู้เหตุผลอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ อย่างงมงายที่เขาหลอกลวง เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว

วันหนึ่ง ยายแม่ครัวที่บ้านข้าพเจ้ากลับจากจ่ายกับข้าวที่ตลาด มากระซิบกระซาบให้คนในบ้านฟังว่า ลูกสาวยายซิ้ม ร้านขายยาที่ตลาดหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ถูกปั่นหัว โดยการโฆษณาเงียบแอบกระซิบว่าเวลานี้ทางแผ่นดินใหญ่แดง กำลังเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไปมาก มีโรงงานทั่วทั้งประเทศ มีมหาวิทยาลัยใหญ่โตหลายแห่ง บ้านเมืองสมบูรณ์พูนสุข ผู้คนอยู่ดีกินดีทุกคน

ใครอยากไปเล่าเรียนศึกษาในมหาวิทยาลัย จะเรียนอะไรก็ได้ วิทยาศาสตร์ อักษรศาสตร์ หรือการแพทย์หรือการเมือง การค้ามีทุกอย่าง รัฐบาลมีความยินดีคอยต้อนรับชาวจีนที่อยู่โพ้นทะเล ให้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยได้โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย รัฐบาลออกให้ทั้งหมด ตลอดทั้งเครื่องนุ่งห่มและกินอยู่หลับนอนอย่างสุขสบายไม่ต้องเดือดร้อน

โดยเฉพาะคนจีนที่ไปจากเมืองไทย จะได้สิทธิพิเศษไม่ว่าหญิงหรือชาย เมื่อไปถึงก็จะได้เข้าไปศึกษาในมหาวิทยาลัยทันทีทุกคน การโฆษณาลับๆ แบบกระซิบนี้ได้ผลมาก เพราะสิ่งใดเป็นความลับยิ่งลับก็มีคนสนใจอยากรู้มากขึ้น รู้สึกว่าจะเป็นนิสัยของคนส่วนมาก ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุเมื่อรู้แล้วก็เชื่อ ถ้าได้ใช้สติปัญญาหาเหตุผลก็คงรู้ว่า การเข้ามหาวิทยาลัยได้ง่ายๆ โดยไม่เลือกผู้มีความรู้สูงต่ำเพียงไรยังไม่เคยมีประเทศใดปฏิบัติ เท่าที่ได้รู้การโฆษณาเงียบโดยไม่มีเหตุผล เหมือนเชื้อโรคติดต่อลุกลามไปได้ไกลอย่างรวดเร็ว

ทำให้ผู้เยาว์วัยอ่อนความคิดเอาแต่อารมณ์ตัวเอง ฟังแล้วก็เคลิบเคลิ้มหลงใหล นึกเห็นไปว่าแผ่นดินใหญ่เป็นเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ ผลก็คือทำให้พวกหมวยสาวเสี่ยหนุ่มวัยรุ่นลูกจีนที่เกิดในเมืองไทย ฝังจิตฝังใจหลับหูหลับตาเชื่อว่าเป็นความจริงอย่างงมงาย ขาดความกตัญญูรู้คุณบิดามารดาบังเกิดเกล้า มองเห็นพ่อแม่เป็นคนล้าสมัยโบราณ หมดความเคารพนับถือเพราะคอยขัดขวางไม่เห็นดีเห็นชอบด้วย ไม่ยอมตามใจตนที่หลงใหลใฝ่ฝัน อยากจะเดินทางไปเข้ามหาวิทยาลัยแดงแทบจะเป็นบ้าเป็นหลัง

ฝันถึงแต่ความสุขความสบายในอนาคตที่แจ่มใสอย่างลมๆ แล้งๆ ไม่ยอมนึกถึงจิตใจว่าพ่อแม่มีความรักมีความเป็นห่วงจะยอมให้ไปหรือไม่ ยายแม่ครัวไปจ่ายตลาดถ้าไม่แวะยายซิ้มจะวิ่งออกมาร้องเรียกให้เข้าไปในร้าน แล้วตัวแกจะหยุดขายของหน้าร้าน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกจ้างและเถ้าแก่ผู้เป็นสามีช่วยกันหยิบของขาย แล้วแกจะจูงมือยายแม่ครัวเข้าไปนั่งหลังร้านที่ไม่มีคนพลุกพล่านแล้วก็ปรับทุกข์ระบายความคับใจเรื่องลูกสาวลูกชายวัยรุ่นให้ฟัง เล่าพลางร้องไห้พลางน่าสงสารว่า

“เวลานี้เราเลี้ยงลูกได้แต่ตัว ไม่สามารถจะบังคับตักเตือนสั่งสอนเขา มันไม่ยอมฟังคำเราเลย มันไปฟังไปเชื่อคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ของมัน มันไม่เคยคิดเลยว่าใครจะหวังดีกับมันเหมือนพ่อแม่ เชื่ออ้ายพวกหลอกลวงอย่างงมงาย ฉันคิดแล้วน้อยใจจริงๆ ถ้าไม่นึกว่าจะเลี้ยงลูกมาจนโต กลับมาเป็นควายให้คนอื่นเขาจูงจมูกหลงลมปากเห็นจริงเห็นจังทุกอย่างไป มันเจ็บใจจริงๆ เวลาพวกมันมาก็กระซิบกระซาบกันมันไม่พูดดัง กลัวเราจะรู้จะขัดคอ”

ยายซิ้มเล่าตอนนี้แล้วก็สะอึกสะอื้นมากขึ้น ยายแม่ครัวก็สงสารพูดปลอบโยนแกว่า

“เมื่อเขาไม่นับถือเชื่อฟังเราก็หักใจเสียบ้าง อย่ามัวไปรักเขาข้างเดียวทำไม”

ยายซิ้มร้องไห้แล้วบอกว่า “ดิฉันคิดหักใจเหมือนกันนะป้า เพราะมันเกิดมาดีชั่วก็เป็นลูกของเรา ฉันใจไม่แข็งเหมือนลูก มันตัดพ่อแม่ได้ แต่พ่อแม่ตัดลูกไม่ได้ ฉันนอนไม่หลับกินไม่ได้มาหลายวันแล้ว มันก็ไม่สนใจเหมือนฉันไม่ใช่แม่ที่เลี้ยงดูมันมาจนเติบโต ทั้งพี่ทั้งน้อง”

ยายแม่ครัวปลอบต่อไปว่า “ปล่อยให้เขาเรียนรู้เองสักพักหนึ่ง พอได้รับความลำบากแล้ว เมื่อรู้ว่าเขาหลอกลวง ก็คงนึกถึงพ่อแม่ได้”

ยายซิ้มเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า “ปล่อยไม่ได้หรอกป้า มันบอกจะไปแผ่นดินใหญ่ทั้งพี่ทั้งน้อง” พูดแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น พลางพูดต่อไปว่า

“ฉันรู้ดี ถ้าไปที่โน้นแล้วก็ไม่มีหวังจะได้กลับมาเห็นหน้ากันอีก เหมือนตายจากกันไป พูดเท่าไหร่ บอกเท่าไหร่ อธิบายเท่าไร มันก็ไม่เชื่อ มันงมงายฝังหัวมัน ช้ำใจจริงๆ เลี้ยงลูกในเวลานี้ไม่เหมือนสมัยก่อน พวกเราอยู่ในโอวาทพ่อแม่”

ต่อจากนั้นข้าพเจ้าไม่ได้ข่าวจากยายแม่ครัว แต่ได้ทราบข่าวทางหนังสือพิมพ์ลงข่าวพวกวัยรุ่น พากันเดินทางไปผืนแผ่นดินใหญ่ โดยทางเรือเดินทะเล และมีคนไปสังเกตการณ์ที่ท่าเรือ พวกแม่ๆ ทั้งหลายพากันไปร้องไห้อาลัยรักลูกๆ ที่บนเรือ แต่พวกวัยรุ่นเหล่านั้นแทนที่จะเห็นใจพ่อแม่ กลับหัวเราะคุยเล่นกับพวกเพื่อนๆ อย่างสนุกสนาน ไม่สนใจในความห่วงใยของแม่คล้ายจะเห็นแม่ของตัวเองเป็นลาแก่ๆ ที่ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะนำความรำคาญใจมาให้

แม้แต่แม่ร้องไห้ก็เห็นเป็นการขบขัน ผู้ที่ไปเห็นเหตุการณ์มาแล้วก็เศร้าใจ แต่ข้าพเจ้าคิดเอาเองว่าบุตรสาวบุตรชายของยายซิ้มคงเดินทางไปพร้อมกันในเที่ยวเรือนั้นด้วย ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็ไม่เห็นยายแม่ครัวนำข่าวจากตลาดมาเล่าให้ฟังอีก คิดว่าเหตุการณ์คงจะลงเอยเพียงแค่นี้ เวลาก็ล่วงเลยมาเป็นปีๆ


(มีต่อ)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 07 ส.ค. 2006, 5:51 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 8:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วันหนึ่งก็มีข่าวตื่นเต้นซึ่งยายแม่ครัวรับข่าวมาจากยายซิ้มที่ตลาดเล่าให้ฟังว่า วันนี้ยายซิ้มแกเรียกเข้าไปหลังร้านบอกว่าได้รับจดหมายจากลูกสาว แอบฝากพวกที่หลบหนีมาจากแผ่นดินใหญ่ แล้วส่งมาทางไปรษณีย์จากฮ่องกงถึงแก ลูกสาวรำพันมาในจดหมายเล่าถึงความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสให้แกฟัง ตอนหนึ่งมีใจความว่า

พอหนูไปถึงแผ่นดินใหญ่ เหตุการณ์ที่นึกฝันไว้ว่าจะได้รับความดูแลอย่างเป็นสุขสบาย ตามที่ตัวแทนรับรองในเมืองไทยก่อนจะออกเดินทาง ก็พังทลายลง เหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาโฆษณาเงียบแบบกระซิบเมื่ออยู่เมืองไทยนั้นตรงกันข้ามหมด พลเมืองที่แผ่นดินใหญ่เห็นมีแต่หน้าเศร้าๆ ยิ้มไม่ออกเป็นส่วนมาก ทุกคนต้องทำงานหนักจึงจะมีข้าวกินแต่อาหารไม่พออิ่มท้อง ที่อยู่ที่นอนเหมือนรังหนู ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเหมือนอย่างว่า

ตัวลูกสาวยายซิ้มก็มีเวลาเรียนวันหนึ่งเพียงสองชั่วโมง แต่ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยเรียนแพทย์หรือวิชาอื่นๆ เขาบังคับให้เรียนเกี่ยวกับเปลี่ยนจิตใจให้เป็นแดง นอกนั้นตัวต้องทำงานแลกอาหารมื้อหนึ่งๆ พอกันตายเท่านั้น ไม่มีอนาคต ไม่มีอิสระ


พอมีแขกเมืองพวกแดงด้วยกันมาเยี่ยม ตัวลูกสาวของยายซิ้มหน้าตาหมดจด ก็ถูกเกณฑ์นำไปเป็นเครื่องสังเวยเป็นเครื่องเล่นบำรุงบำเรอความสุขของพวกแขก ล้วนแต่ขาดความสุภาพเรียบร้อย แล้วก็บอกว่าพี่ชายหรือน้องชายข้าพเจ้าลืมเสียแล้ว ต้องถูกแยกออกไปทำงานที่อื่น จะเป็นตายร้ายดีไม่มีโอกาสได้พบกันอีกเลย ที่นั่นมันตายกันง่ายๆ เพียงแต่ข้อหาว่าทรยศเท่านั้น

ลูกสาวยายซิ้มแกบอกว่า แกต้องนอนร้องไห้ตลอดคืน คิดถึงแต่เมืองไทย คิดถึงความสุขความสบายที่เคยได้รับ คิดถึงอาหารการกินสมบูรณ์ที่เมืองไทย คิดถึงคำตักเตือนของพ่อแม่ เวลานี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดแต่จะหลบหนีเพราะคิดถึงบ้านใจจะขาดแต่ไม่รู้ว่าจะหลบหนีได้อย่างไร การหลบหนีก็ต้องเสี่ยงกับความตาย ถ้าเขาจับได้ว่าคิดจะหลบหนี มันก็จะต้องทำการทารุณจนตาย ที่หนีรอดพ้นไปถึงฮ่องกงได้ก็นับว่าเป็นคนโชคดี รอดตายเป็นอิสระ เพราะพวกหนีไม่พ้นก็ถูกทารุณ แต่ก็มีคนหนีกันเสมอ

พวกนี้เขาคิดว่าหนีไปหาความอิสระ หรือมิฉะนั้นก็ตายเสียดีกว่า จะเป็นทาสแรงงานที่คอยถูกกดขี่ข่มเหง ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่เป็นอิสระแกตัวเอง แม้จะเป็นขอทานที่ฮ่องกงก็มีความสุขสบายเหมือนสวรรค์ ผิดกับเมืองนรกบนแผ่นดินใหญ่ ยายซิ้มหายร้องไห้มานานปีแล้ว พอได้รับข่าวจากลูกสาวก็ร้องไห้สงสารลูกอีก นี่พ่อแม่ตัดลูกไม่ขาด นี่ถ้าลูกไปรับสุขอย่างที่เขาโฆษณา ก็คงจะลืมพ่อลืมแม่ ลืมบ้านเมืองที่ให้ความอบอุ่นสุขสบาย

เมื่อไปได้รับความลำบากทุกข์ยากแสนสาหัส หวนกลับมาคิดถึงพ่อแม่และเมืองไทย นึกถึงคำตักเตือนของพ่อแม่ นึกถึงความรักอันอบอุ่นอันสูงสุดของพ่อแม่ ในโลกนี้เห็นจะไม่มีความรักใคร่เอ็นดูลูกเท่าพ่อแม่รักลูก เมื่อลูกร้องไห้พ่อแม่ก็จะปลอบโยนเช็ดน้ำตาให้ ความทุกข์ของลูกก็เหมือนความทุกข์ของพ่อแม่ จะไม่มีการหลอกลวงทารุณเกิดขึ้นจากพ่อแม่ที่มีต่อลูกเป็นอันขาด นี่ก็เข้าได้กับกฎแห่งกรรม

ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงข่าวทางวิทยุและหนังสือพิมพ์ว่า พวกพลเมืองเยอรมันตะวันออกแดงได้ขุดอุโมงค์ หนีรอดข้ามเขตออกมาสู่เยอรมันตะวันตกได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ได้เสียชีวิตลงบ้างเพราะถูกพวกแดงฆ่า ความพยายามดิ้นรนของเยอรมันในเขตตะวันออก ที่ต้องดิ้นรนเสี่ยงชีวิตหนีออกมาจากสถานที่ทารุณกรรมมีเพียงสองประตู โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันหนีรอดหรือตายเท่านั้น การหนีมีมานับแต่พวกแดงเข้าแบ่งเขตดินแดนตะวันออกตะวันตกตลอดมา

แล้วหวนมานึกถึงพวกญวนในเมืองไทย ที่ขออพยพกลับไปอยู่กับญวนแดง ข้าพเจ้าก็อดคิดไม่ได้ว่า คงจะโดนโฆษณาเงียบแบบกระซิบ จึงพากันหลงใหลใฝ่ฝันถึงความสุขที่จะได้รับจากรัฐบาลแดง มองเห็นเช่นเดียวกับหนุ่มสาวลูกจีนในกรุงเทพฯ และญวนใต้มีโฆษณาชวนเชิญหลอกลวงเพราะเป็นเมืองอิสระเสรี

ต่อมายายแม่ครัวขอลาออกจากบ้านข้าพเจ้า เดิมแกตั้งใจจะฝากผีฝากไข้เพราะอยู่กันมานานจนรู้ใจกัน แต่แล้วก็ตัดสินใจลาออก เหตุเพราะลูกชายซึ่งบัดนี้เป็นหลักเป็นฐานแล้ว มาขอรับตัวไปเลี้ยงดูให้มีความสุข ลูกชายแกเคยมาอ้อนวอนขอรับไปอยู่ด้วยหลายครั้งแล้วแต่แกไม่ยอมไป แต่คราวหลังนี้แกตกลงใจจะไปอยู่ด้วยเห็นจะเป็นเพราะแกภูมิใจที่ลูกชายของแกยังมีความกตัญญูรู้บุญรู้คุณ ไม่เหมือนลูกยายซิ้มที่ตลาด หรือแกจะกลัวลูกชายไปโดนโฆษณาเงียบ จึงรีบไปป้องกันเสียก่อนจะสายเกินไป ข้าพเจ้าก็เดาไม่ถูก

ต่อจากนั้นก็สูญสิ้นการได้ทราบข่าวเรื่องลูกสาวลูกชายยายซิ้มต่อไป ส่วนร้านค้าของยายซิ้มนั้นไม่รู้ว่าย้ายไปอยู่ที่ไหนเพราะร้านเก่าแก่ที่แกอยู่มานมนานก็ถูกรื้อปลูกตึกสร้างตลาดใหม่ เรื่องนี้จะเท็จจริงอย่างไรข้าพเจ้าเพียงแต่ได้เรื่องมาจากยายแม่ครัวกับยายซิ้มที่ตลาด ครั้งละเล็กละน้อยเป็นเวลานานหลายปีปะติดปะต่อมาประกอบขึ้น ขอฝากไว้ให้อยู่ในความพิจารณาในความรู้สึกของท่านนึกเอา

การที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ บางทีจะเป็นเครื่องเตือนใจเยาวชนของชาติ จะได้มีโอกาสใช้สติปัญญาพิจารณาดูเหตุผลก่อนที่จะถูกลวง พอมีเวลาที่จะยับยั้งชั่งใจ อย่าเชื่ออะไรทำอะไรลงไปตามอารมณ์อย่างงมงาย ให้สมกับเราอยู่ในพระพุทธศาสนารับพระธรรมเป็นที่พึ่ง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ แม้แต่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนก็ให้พิจารณาด้วยสติปัญญาหาเหตุผล เมื่อเห็นว่ากระจ่างแจ้งปราศจากข้อสงสัยใดๆ แล้วจึงค่อยเชื่อเป็นความไม่ประมาท

เปรียบเหมือนภัยในท้องถนนปัจจุบัน คนข้ามถนนทางม้าลาย ถ้าผู้ข้ามไม่ประมาทย่อมจะหยุดมองดูทั้งซ้ายทั้งขวา เมื่อเห็นปลอดภัยไม่มีรถผ่านมาในระยะใกล้เราจึงเดินข้าม ถ้าเห็นรถวิ่งไปมาขวักไขว่ เราก็หยุดรอ แม้จะช้าเสียเวลาหน่อย ก็ดีกว่าที่จะวิ่งข้ามโดยเสี่ยงภัย ผู้มีสติไม่ประมาทย่อมจะปลอดภัยเสมอผิดกับผู้ประมาณเวลาข้ามถนนกไม่ดูซ้ายขวาเหมือนคนไม่มีสติอยากข้ามก็ข้ามอย่างวิ่งก็วิ่ง ความประมาททำให้ถูกรถชนบาดเจ็บ หรือจบชีวิตลงด้วยความประมาทเช่นเดียวกับในเรื่อง “ความหลอกลวง”

นี่เป็นการเตือนสติอย่าหลงเชื่อคนง่ายๆ เมื่อได้รับฟังแล้วใช้สติปัญญาพิจารณาหาเหตุผล เพื่อความไม่ประมาท อย่าหลงลมปากเห็นแก่ลาภยศที่ยกขึ้นอ้างหลอกลวง ถ้าเชื่อคนง่ายๆ หลงเชื่อฝ่ายอธรรมก็ทำลายชีวิตอนาคตพินาศลง ดุจเรื่องตัวอย่างเพียงเรื่องหนึ่งในจำนวนผู้ถูกหลอกลวงมากมายที่มิได้นำมาเล่า น่าเสียดายชีวิตและอนาคตที่จะรุ่งเรืองเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติต่อไป ก็ต้องถูกทำลายลงอย่างมีค่าเหมือนชีวิตสัตว์ต่ำๆ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร กลับเป็นภัยต่อชาติ และเป็นที่รังเกียจชิงชังของสังคม

เสียดายที่เกิดมาในพุทธศาสนา ควรจะตั้งมั่นในใจว่าจะใช้ชีวิตให้มีค่าสูง ให้เป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองมากที่สุด แม้จะต้องเสียสละก็เพื่อศีลธรรม เพื่อชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์เป็นหลักที่ควรเคารพบูชาสูงค่ายิ่งชีวิต พระสงฆ์ท่านเคยเทศนาถึงผู้ประกอบกรรมดีมีเมตตาธรรมผู้เสียสละ มีความกตัญญูกตเวที ท่านเหล่านี้ย่อมจะเป็นที่รักใคร่นับถือทั้งมนุษย์และผีสางเทวดาทั่วไป หากจะอยู่แห่งใดก็มีเทวดาคอยคุ้มครองป้องกันรักษา มิให้อันตรายใดๆ เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุคอยพิทักษ์รักษาจนกว่าจะสิ้นอายุขัยตามกรรมลิขิต

และข้าพเจ้าก็อดคิดไม่ได้ว่า นอกจากเทวดาคอยรักษาแล้ว ยังมีเทพเจ้าอีกองค์หนึ่งคอยเตือนสติอยู่เสมอเทพองค์นั้นก็คือ “เทพเจ้าแห่งความไม่ประมาท” ผู้คุ้มครองอยู่เบื้องหน้า เทวดาคอยคุ้มครองอยู่เบื้องหลัง จะผิดถูกประการใด เป็นความนึกคิดของข้าพเจ้า ว่าเทพเจ้าองค์นี้คงจะคอยปัดเป่าให้ความคุ้มครอง ให้ความปลอดภัยพ้นจากความหลอกลวงชั่วร้าย และภัยบนท้องถนนหลวงในยุคปัจจุบันนี้ ขอให้เรานึกถึงเทพเจ้าแห่งความไม่ประมาท ซึ่งอยู่ในตัวของเรา ทุกครั้งก่อนที่จะทำอะไรลงไป ก็จะเกิดเป็นสิริมงคลแก่ตัวเราตลอดไป



......................... เอวัง .........................
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
ไม้อ่อน
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2007
ตอบ: 62

ตอบตอบเมื่อ: 04 พ.ค.2007, 6:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนา สาธุ
 

_________________
Image
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
suvitjak
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2008, 12:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ขอบคุณกับบทความดีๆครับ แลบลิ้น
 

_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 24 ส.ค. 2008, 4:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปรียบเหมือนภัยในท้องถนนปัจจุบัน คนข้ามถนนทางม้าลาย ถ้าผู้ข้ามไม่ประมาทย่อมจะหยุดมองดูทั้งซ้ายทั้งขวา เมื่อเห็นปลอดภัยไม่มีรถผ่านมาในระยะใกล้เราจึงเดินข้าม ถ้าเห็นรถวิ่งไปมาขวักไขว่ เราก็หยุดรอ แม้จะช้าเสียเวลาหน่อย ก็ดีกว่าที่จะวิ่งข้ามโดยเสี่ยงภัย ผู้มีสติไม่ประมาทย่อมจะปลอดภัยเสมอผิดกับผู้ประมาณเวลาข้ามถนนกไม่ดูซ้ายขวาเหมือนคนไม่มีสติอยากข้ามก็ข้ามอย่างวิ่งก็วิ่ง ความประมาททำให้ถูกรถชนบาดเจ็บ หรือจบชีวิตลงด้วยความประมาทเช่นเดียวกับในเรื่อง “ความหลอกลวง”

นี่เป็นการเตือนสติอย่าหลงเชื่อคนง่ายๆ เมื่อได้รับฟังแล้วใช้สติปัญญาพิจารณาหาเหตุผล เพื่อความไม่ประมาท อย่าหลงลมปากเห็นแก่ลาภยศที่ยกขึ้นอ้างหลอกลวง ถ้าเชื่อคนง่ายๆ หลงเชื่อฝ่ายอธรรมก็ทำลายชีวิตอนาคตพินาศลง ดุจเรื่องตัวอย่างเพียงเรื่องหนึ่งในจำนวนผู้ถูกหลอกลวงมากมายที่มิได้นำมาเล่า น่าเสียดายชีวิตและอนาคตที่จะรุ่งเรืองเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติต่อไป ก็ต้องถูกทำลายลงอย่างมีค่าเหมือนชีวิตสัตว์ต่ำๆ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร กลับเป็นภัยต่อชาติ และเป็นที่รังเกียจชิงชังของสังคม

เสียดายที่เกิดมาในพุทธศาสนา ควรจะตั้งมั่นในใจว่าจะใช้ชีวิตให้มีค่าสูง ให้เป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองมากที่สุด แม้จะต้องเสียสละก็เพื่อศีลธรรม เพื่อชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์เป็นหลักที่ควรเคารพบูชาสูงค่ายิ่งชีวิต พระสงฆ์ท่านเคยเทศนาถึงผู้ประกอบกรรมดีมีเมตตาธรรมผู้เสียสละ มีความกตัญญูกตเวที ท่านเหล่านี้ย่อมจะเป็นที่รักใคร่นับถือทั้งมนุษย์และผีสางเทวดาทั่วไป หากจะอยู่แห่งใดก็มีเทวดาคอยคุ้มครองป้องกันรักษา มิให้อันตรายใดๆ เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุคอยพิทักษ์รักษาจนกว่าจะสิ้นอายุขัยตามกรรมลิขิต

เป็นความรู้และเตือนสติอย่างยิ่ง ขอบคุณท่านเจ้าของเรื่อง และท่าน admin สาธุ อนุโมทนาสาธุ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง