Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กงกรรมกงเกวียน อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
อ้อม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 3:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เราเกิดมาทึกคนล้วนมีกรรมเป็นของตนเอง ถ้าเราโดนผู้อื่นกระทำแล้ว แต่ผลของกรรมนั้นก็กระทำผู้นั้นอีกเช่นกันอย่างนี้จะจบสิ้นกันได้อย่างไร เพราะถึงเราจะอโหสิกรรมเขาแต่ผลของการกระทำก็สนองเขาอยู่ดี อย่างนี้ก็ต่อเนื่องไม่มีวันจบสิ้นอย่างนั้นหรือ สาธุ
 
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 4:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ่านกฎแห่งกรรม เรื่องนี้ก่อนนะครับ

.............................................

เจ้ากรรมนายเวร

จากหนังสือ “โลกลี้ลับ”
ปีที่ ๒๑ ฉบับที่ ๒๓๒ เดือน เมษายน ๒๕๔๗
พิมพ์ส่งมาให้เป็นธรรมวิทยาทาน โดย คุณ Lilly

.............................................

ขอย้อนกล่าวถึงอดีตที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นอยู่ในทุกวันนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2524 ตอนนั้นข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคหนองคาย ปี 2 อายุก็อยู่ราวๆ 19-20 ปี เย็นวันหนึ่งข้าพเจ้าไปเดินเล่นกับเพื่อน พอขากลับก็ได้พบกับลูกสุนัขตัวหนึ่ง สีขาว ขนปุย อยู่ที่ข้างถนน ข้าพเจ้าเห็นมันน่ารักดีจึงร้องเรียกมันว่า เจ้านุ้ย ๆ และดูเหมือนว่ามันจะชอบชื่อนี้ พอเรียก “นุ้ย ๆ” มันก็วิ่งมาหาเลย และยอมให้อุ้มแต่โดยดี ข้าพเจ้าจึงนำเอาเจ้านุ้ยไปฝากให้แม่เลี้ยงที่ อ.ศรีเชียงใหม่ และจะกลับไปเยี่ยมเจ้านุ้ยที่ อ.ศรีเชียงใหม่ ทุกอาทิตย์

และแล้ววันหนึ่งแม่ก็โทรมาบอกข้าพเจ้าว่า “ไอ้นุ้ยโดนรถชน” โดยรถมอเตอร์ไซค์เหยียบบริเวณท่อนหลังของเจ้านุ้ย แต่ไม่ตาย มันเดินด้วยสองขาหน้า แล้วลากส่วนท้ายที่โดนรถเหยียบ และร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวดทรมานทั้งวันทั้งคืน

ตอนแรกที่รู้ข่าวว่าไอ้นุ้ยโดนรถเหยียบ ข้าพเจ้าไม่กล้ากลับบ้าน เพราะไม่อยากเห็นสภาพของเจ้านุ้ย แต่ก็อดคิดถึงมันไม่ได้ จึบงตัดสินใจไปหาเจ้านุ้ย และจะพยายามทำใจไม่ให้สงสารมัน พอข้าพเจ้าก้าวเท้าเข้าไปถึงหน้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงของเจ้านุ้ยร้องครวญครางเดินสองขาหน้าลากส่วนหลังที่กำลังจะเน่า เดินเวียนวนไปมา เนื้อตัวมอมแมม ลำตัวผอมกะหร่องด้วยความเจ็บปวดทำให้มันอยู่เฉยไม่ได้ ตลอดคืนยันเช้าเจ้านุ้ยมันไม่ได้หลับไม่ได้นอนเอาแต่ร้องครวญคราง

รุ่งเช้าข้าพเจ้าตัดสินใจมายืนดูเจ้านุ้ย “ใครหนอช่างใจร้ายขับรถเหยียบมันแล้วหนี” เจ้านุ้ยมันคงเจ็บปวดทรมานแทบขาดใจ จะช่วยมันอย่างไรดี เพื่อให้มันพ้นทุกขเวทนา ร่างกายลำตัวของมันส่วนล่างที่กำลังจะเน่ามีแมลงวันบินตอมเป็นกลุ่มๆ มันคงจะปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว มันจะทรมานอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่ถ้าหากมันตายไปตอนนี้ก็คงจะไม่ทรมานอีกต่อไป คงจะเจ็บอีกแค่ครั้งเดียว ข้าพเจ้ายืนคิดอยู่นาน คิดไปคิดมา คิดจนสับสน

ขณะนั้นเองความคิดอุบาทว์ก็เกิดขึ้นมาในสมอง ข้าพเจ้าเดินไปจับได้ท่อนตอไม้ไผ่อันหนึ่งความยาวประมาณเกือบศอกแล้วเดินตรงไปยังเจ้านุ้ยทันที ทันใดนั้นก็เงื้อตอไม้ไผ่ขึ้นสุดแขน น้าข้าพเจ้าร้องทักขึ้น “เฮ้ย นั่นจะทำอะไร” แต่ขณะนั้นเองตอไม้ไผ่ในมือของข้าพเจ้าก็ฟาดลงตรงขมับด้านซ้ายของเจ้านุ้ยอย่างแรงแล้วรีบหันหน้าหนี เสียงของเจ้านุ้ยร้องดังขึ้นอย่างแรง แต่มันไม่ตาย คราวนี้ข้าพเจ้าเหมือนถูกผีร้ายเข้าสิง หันหน้ามาหาเจ้านุ้ยแล้วกระหน่ำตอไม้ไผ่ลงไปที่ศีรษะของมันบริเวณเดิมแบบไม่ยั้ง เสียงของมันค่อยๆ เบาลงๆ อย่างช้าๆ มีเลือดไหลออกตามรูหู รูจมูก และปาก ลำตัวของมันกระตุก สั่น ปากเผยอเล็กน้อยจนสิ้นใจและแน่นิ่งไปในที่สุด

อนิจจา! ชีวิตของเจ้านุ้ยผู้น่าสงสาร ข้าพเจ้ามอบความตายให้มันเพื่อหวังจะช่วยมันหรือเป็นการก่อกรรม ก่อเวรกับเจ้านุ้ยกันแน่ ตอนนั้นทำเพราะคิดจะช่วยให้มันหายจากทุกข์ แต่ใจจริงรัก เมตตา และเสียดายเป็นที่สุด

นับจากวันนั้นเป็นต้นมาชีวิตของข้าพเจ้าก็ดำเนินแบบปกติสุขเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ ได้เดินทางไปเที่ยว น้ำตกธารทอง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ขณะที่นั่งดูเพื่อนเล่นน้ำอยู่นั้น ไม่ทราบว่าเป็นอะไร อยู่ๆ ข้าพเจ้าก็เกิดพลัดตกลงน้ำแล้วน้ำก็ไหลเข้าหูซ้ายทำให้มีอาการหูอื้อตลอดแต่ไม่มีหนอง นานๆ เข้าก็เริ่มปวดและปวดรุนแรงขึ้น จึงได้ไปพบแพทย์ แพทย์ก็ให้ยาหยอดหูและยามาทาน แต่ก็ไม่หายขาด มีอาการปวดร้าวไปหมดทั้งบริเวณแถบศีรษะด้านซ้าย ไม่ปวดมากแต่จะปวดตลอดทุกเวลา ทุกวินาที ปวดพอให้รำคาญ ปวดแบบนี้มาเป็นปีๆแล้ว

จนปี พ.ศ. 2528 อาการปวดเริ่มหนักขึ้น ทั้งเวียนศีรษะและหน้ามืดบ่อยครั้ง ในที่สุดข้าพเจ้าตัดสินใจไปหาหมออีกครั้งที่โรงพยาบาลศิริราช นครราชสีมา หมอใช้เครื่องส่องดูหูที่หูข้างซ้าย แล้วหมอก็พูดขึ้นว่า “โอ รูโบ๋เลย เยื่อแก้วหูทะลุต้องผ่าตัดเปลี่ยนเยื่อแก้วหูใหม่นะ”

ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกเสียวและกลัวมาก ผ่าที่ไหนไม่ผ่า มาผ่าที่หัวเรา ถ้าตายจะทำยังไง แล้วหมอก็นัดวันผ่า ตอนผ่ากลัวก็กลัว แต่ก็ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บมากนัก เพราะฤทธิ์ของยาชา แต่ก็ยังมีอาการเสียวๆ เย็นๆ ตรงที่ตอนคมมีดกรีด รู้สึกเย็นลงมาที่ลำคอในหลอดอาหาร แล้วข้าพเจ้าก็หมดสติไป จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกครั้ง รู้สึกเหนื่อยและเพลียมาก เพราะข้าพเจ้าวิ่งสุดกำลัง วิ่งหนีสิ่งที่น่ากลัวมาก ซึ่งไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน ด้านหลังของข้าพเจ้าคือสุนัขร่างผอมตัวหนึ่ง สีขาว รูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวมาก สูงประมาณเกือบศอก มันแยกเขี้ยวยาวคมกริบ ดวงตาทั้งคู่ของมันโตมากแดงเหมือนสีเลือด มันวิ่งเร็วมาก ข้าพเจ้าก็หนีสุดแรง ไม่ยอมหยุด เหมือนเกลียด โกรธ ชิงชังกันมาเป็นปีเป็นชาติ และในช่วงวินาทีนั้นข้าพเจ้าก็ขาอ่อน และทรุดลง สุนัขตัวนั้นก็ได้กระโดดขึ้นงับบริเวณศีรษะซีกซ้ายทั้งแถบ ข้าพเจ้าร้องและดิ้นจนสะดุ้งตื่น ทำให้เตียงข้างๆ หันมามอง และพูดกับข้าพเจ้าว่า

“อ้าวเป็นอะไร รู้สึกตัวแล้วเหรอ รู้ไหมคุณหลับอยู่นี่สองคืนแล้วนะ พยาบาลเขาเดินมาดูหลายรอบแล้ว คุณก็ไม่ตื่นสักที” ข้าพเจ้ายิ้มแล้วก็พยักหน้าให้เขาคิดย้อนหลังไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่ามันคืออะไร สักพักหนึ่งเหมือนอยากจะอ้วก รีบพยุงตัวเองไปที่กระโถน รู้สึกเหมือนมีอะไรไหลอยู่ในลำคอ ข้าพเจ้าอ้าปากปล่อยให้มันไหลออกมา ปรากฏว่าเป็นน้ำเลือดสีแดงสดๆ ไหลออกจากปากลงสู่กระโถน ข้าพเจ้านอนอยู่โรงพยาบาล 3 วัน แล้วหมอก็ให้กลับบ้านได้

หลังจากผ่าตัดหูแล้วก็ยังมีอาการปวดศีรษะด้านซ้ายอยู่ โดยเฉพาะตรงหูและขมับซ้ายปวดตลอดเวลา จึงไปให้หมอตรวจที่โรงพยาบาลอีก หมอบอกว่าเยื่อแก้วหูทะลุอีก แต่ไม่มากนัก ขนาดเท่าปลายปากกา ข้าพเจ้าถามว่า “จะได้ผ่าตัดอีกไหม”

หมอบอกว่า “ยังไม่ต้องหรอกเพราะยังไม่มาก” หมอให้ยามาหยอด และยาทาน อาการก็แค่พอทุเลาแต่ไม่หาย ระยะหลังๆ มานี้จะมีอาการปวดลูกตาซ้ายร่วมด้วย ปวดข้างเดียว ตาข้างขวาไม่เป็นอะไร และเวลานอนกลางคืนข้าพเจ้ามักจะฝันเห็นสุนัขตัวผอมรูปร่างน่าเกลียดตัวนั้นไล่กัดแทบทุกคืน ก็สงสัยนะว่ามันเป็นเพราะเหตุใด

จนกระทั่งวันหนึ่งข้าพเจ้าต้องพาแม่ไปนอนวัดเพื่อจำศีลอุโบสถที่ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ซึ่งเป็นวัดกรรมฐาน ตอนนั้นเป็นเวลาทำวัตรเย็น แม่ให้อยู่ทำวัตรเย็นด้วยกันก่อนค่อยกลับ พระเริ่มสวดมนต์ได้สักพักหนึ่งข้าพเจ้าก็เริ่มมีอาการง่วงนอน ง่วงมากจนทนไม่ไหว จะหลับท่าเดียว จนในที่สุดข้าพเจ้าก็ไม่ได้ยินเสียงพระสวดมนต์เลย จะว่าหลับก็ไม่ใช่เพราะรู้ว่าตัวเองนั่งพนมมืออยู่ ไม่รู้นานแค่ไหนแล้ว ข้าพเจ้าก็มองเห็นและได้ยินเสียงร้อยโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานของสุนัขตัวหนึ่ง มีขนสีขาว ตัวผอม ตอนนั้นข้าพเจ้าเหมือนลอยอยู่ มองดูข้างๆของสุนัขตัวนั้น มีชายคนหนึ่งกำลังถือตอไม้ไผ่อยู่ในมือยาวประมาณครึ่งศอก ข้าพเจ้าใจหายวาบ ขนลุก และกลัวจนตัวสั่น เพราะชายคนนั้นกำลังใช้ตอไม้ไผ่ตีลงไปที่หัวของสุนัขแบบไม่ยั้งมือ ข้าพเจ้ารีบร้องตะโกนใส่ชายคนนั้น “เฮ้ย! คุณฆ่ามันทำไม มันไปทำอะไรให้คุณ” ชายคนนั้นไม่ตอบ และเหมือนจะไม่ได้ยิน จนสุนัขตัวนั้นขาดใจตายและแน่นิ่งไป แล้วชายคนนั้นก็หันหน้ามา พอข้าพเจ้าเห็นหน้าเขาก็ตกใจหัวใจแทบหยุดเต้น

อนิจจา ชายคนที่หันหน้ามาเขาคือตัวของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าตกใจกลัวและรู้สึกตัวขึ้นมา ปรากฏว่าทำวัตรเย็นจบไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้คนอื่นๆ กำลังนั่งหลับตาภาวนาสมาธิกันอยู่ แต่หลายคนก็กลับไปแล้ว ข้าพเจ้าหันไปมองนาฬิกาที่ผนัง “โธ่ นี่เรานั่งอยู่ตรงนี้เกือบ 2 ชั่วโมงแล้วหรือ” แต่ไม่อยากรบกวนคนที่นั่งสมาธิอยู่ข้างๆ จึงนั่งต่อ ช่วงนั้นร่างกายรู้สึกปลอดโปร่ง รู้สึกว่าอาการปวดศีรษะจะไม่มีเลย จึงขยับตัวเปลี่ยนท่ามานั่งขัดสมาธิเหมือนที่คนข้างๆ เขาทำ แต่ไม่รู้หรอกว่านั่งแล้วต้องท่องคาถาอะไรหรือเปล่าเพราะไม่เคยนั่ง เห็นตัวเองกำลังรู้สึกสบายก็เลยอยากจะนั่ง

แต่เอ๊ะ! ที่ข้าพเจ้าเห็นผ่านไปเมื่อสักครู่มันคืออะไร และแล้วข้าพเจ้าก็รู้ และจำได้ทั้งหมดทุกขั้นตอนที่ทำกับเจ้านุ้ย มิน่าล่ะ ภาพนี้เหตุการณ์นี้มันจึงได้ตามหลอกหลอนข้าพเจ้าเรื่อยมา ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนี้กับใคร จนได้มาเจอ นิตยสารโลกทิพย์ และได้มาอ่านเจอคอลัมน์ “กรรมใดใครก่อ” จึงคิดที่จะเปิดเผยเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ที่สนใจ ได้อ่านและพิจารณาปฏิบัติตัวตามแนวทางที่เป็นจริง หลีกเลี่ยงจากการก่อกรรมทำเข็ญต่าง ๆ

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาข้าพเจ้าไม่คิดที่จะไปรักษาหูให้หายขาดจากความเจ็บปวดอีกเลย ข้าพเจ้ายอมรับความเจ็บนี้ แม้จะเจ็บปวดไปจนถึงวันตายก็ยอม บุญใด กุศลใดที่ข้าพเจ้าทำ ที่ข้าพเจ้าสร้าง ขอให้เจ้านุ้ยได้รับผลบุญกุศลที่ได้อุทิศไปให้ ไม่ว่าเจ้านุ้ยจะตกอยู่ ณ สถานที่แห่งใดก็ตาม ถ้าเจ้านุ้ยได้รับความทุกข์ทรมานก็ขอให้พ้นจากทุกข์ ถ้ามีสุขก็ขอให้มีความสุขยิ่งๆขึ้นไป อย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันอีกเลย ขอให้หมดเวรหมดกรรมต่อกันแต่เพียงชาตินี้

จากผู้สำนึกผิด

..............
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
DEV
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 155

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 4:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกคนต้องได้รับวิบาก จากกรรมที่ได้กระทำแน่นอนทั้งดีและชั่ว
เมื่อสร้างอกุศลกรรม ก้อย่อมต้องได้รับอกุศลวิบากฉันใด
หากสร้างกุศลกรรม ก้อย่อมได้รับกุศลวิบากเช่นกัน

หากปัจจุบัน เราหยุดสร้างอกุศลกรรมทับถมเข้าไปอีก
หมั่นสร้างกุศลกรรมยิ่งๆ ขึ้น
ผลภายหน้าก้อย่อมต้องเป็นกุศลวิบาก

ปล. ขอแสดงความเห็นคำว่า อโหสิกรรม นิดนึงนะคับ

อโหสิกรรม คือกรรมที่เลิกให้ผล...เรามักเข้าใจกันว่า เวลาเรายกโทษให้ใคร ไม่ผูกโกรธ ไม่พยาบาทใคร ก้อมักเรียกว่า อโหสิกรรมให้เค้าซะ

แต่เรื่องของกรรม คือการกระทำนั้น ใครทำอย่างไรไว้ต้องได้รับผล (วิบาก) เช่นนั้นด้วยตัวเค้าเองตามควรแก่เหตุเมื่อถึงวาระ เราไม่สามารถไปห้ามผลนั้นไม่ให้เกิดแก่ใครได้

การที่เราไม่ผูกโกรธ ไม่พยาบาทใคร แม้เค้าไม่ดีกับเรา จึงเป็นการไม่สร้างอกุศลกรรมต่อกันอีก ไม่คิดผูกเวรกระทำอกุศลกรรมแก่กันอีก เป็นอภัยทาน เป็นกุศลจิต

แต่อกุศลกรรมที่ได้กระทำต่อกันไว้แล้วนั้น ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขการกระทำนั้นได้ ซึ่งย่อมต้องให้อกุศลวิบากเมื่อถึงวาระ แต่เราสามารถกระทำกรรมใหม่ต่อกันให้เป็นกุศลกรรมมากขึ้นๆๆๆๆ ได้

หากเราทำกุศลกรรมแก่กันให้มากๆๆๆๆๆๆ จนแรงของกุศลกรรมนั้นมากกว่าแรงของอกุศลกรรม...อกุศลกรรมที่เคยกระทำไว้นั้นอาจจะยังไม่มีโอกาสที่จะส่งผลเพราะแรงน้อยกว่า (แต่ก้อยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน)

เปรียบเสมือนใส่เกลือ 1 ช้อน ลงไปในน้ำ 1 แก้ว ความเค็มย่อมมีมาก แต่หากเอาเกลือ 1 ช้อน ไปใส่ในน้ำ 1 โอ่ง ความเค็มย่อมเจือจางลงไปมาก (แต่เกลือก้อยังอยู่ในน้ำนั้นไม่ได้หายไปไหน)...แล้วถ้าเราเอาเกลือ 1 ช้อนนั้นไปใส่ในบ่อ ในอ่างเก็บน้ำล่ะ อิอิ

เปรียบเสมือนพยายามสร้างกุศลกรรมให้มากกว่าอกุศลกรรมนั่นเอง ซึ่งอกุศลกรรมบางชนิดเมื่อถึงวาระต้องให้ผล แต่ไม่สามารถให้ผลได้ ก้อจะกลายเป็น อโหสิกรรม คือเลิกให้ผลนั่นเอง

จึงเห็นได้ว่า ไม่ใช่อยู่ๆ เราไปบอกอโหสิกรรม (อย่างที่เราเข้าใจ) แล้วคิดว่าอโหสิกรรมให้เค้าแล้ว กรรมที่เคยกระทำต่อกันไว้นั้นจะได้เลิกแล้วไม่ให้ผล...แต่สิ่งที่เราทำนั้นถือเป็นการเลิกผูกเวรผูกโกรธต่อกัน เลิกทำอกุศลกรรมแก่กัน และสามารถจะสร้างกุศลกรรมใหม่แก่กัน

ส่วนอโหสิกรรมที่เป็นการเลิกให้ผลจริงๆ...ต้องด้วยกรรมนั้นเลิกให้ผลเองด้วยเหตุปัจจัย ไม่ใช่อยู่ๆ เราไปบอกอโหสิ แล้วกรรมนั้นไม่ให้ผล

ดังนั้น เรื่องของการไม่ผูกโกรธไม่ผูกเวรต่อกันจึงเป็นเรื่องหนึ่ง ที่เป็นการหยุดการสร้างอกุศลกรรมต่อกัน แต่ไม่ใช่อโหสิกรรม...ส่วนเรื่องของอโหสิกรรมนั้น ต้องมีเหตุปัจจัยทำให้กรรมนั้นเลิกให้ผล จึงเรียกว่า อโหสิกรรม

อาการที่จิตไม่คิดอาฆาต ไม่แค้น ยกโทษให้...นั่นเป็นเรื่องของจิตที่เป็นกุศล ประกอบด้วยพรหมวิหาร 4 เต็มเปี่ยม สามารถที่จะให้อภัยเพื่อเป็นทานได้ คือ ไม่คิดโกรธ ไม่คิดถือโทษ ไม่คิดอาฆาตแค้นพยาบาท...เป็นการทำทานโดยการให้อภัย...ให้อภัยทาน...แต่ไม่เกี่ยวกับคำว่าอโหสิกรรม

เข้าใจว่าเป็นการพูดติดปากและเป็นที่เข้าใจกันเอง ซึ่งเรามักจะบอกใครๆ ว่าอโหสิกรรมให้เค้าซะ...แต่ความจริงคือให้อภัยเค้าซะ อย่าไปโกรธแค้นเค้าเลย...อภัยทานให้เค้าซะ

ยิ้มเห็นฟัน เดฟ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 4:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
DEV
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 155

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 5:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ซ๊าทุๆๆๆๆ กะท่านสายลม

ในเรื่องที่ท่านสายลมยกมาเป็นตัวอย่าง
คุณอ้อมคงพอจะเห็นนะคับ
ว่าคนที่ตีเจ้านุ้ยก้อต้องได้รับวิบากที่เค้าทำ
แต่เค้าก้อไม่คิดโกรธเจ้านุ้ยเลย
นั่นแสดงว่าเค้าไม่กระทำอกุศลกรรมทับถมเข้าไปอีก
ตรงข้าม...เค้ากลับพยามยามทำกุศลกรรมมากขึ้น

เจ้ากรรม...ในเรื่องนี้ คือตัวคนที่ตีเจ้านุ้ย
ซึ่งต้องรับผลของการกระทำของตัวเอง ที่เคยไปตีเจ้านุ้ยไว้
(แต่ไม่ใช่เพราะเจ้านุ้ยบันดาลผล)

นายเวร...คือเจ้านุ้ย ที่ยังผูกโกรธ ผูกพยาบาทอยู่
ซึ่งหากเจ้านุ้ยอยู่ในภพภูมิที่สามารถรับรู้ได้ในบุญกุศลที่อุทิศให้
แล้วเจ้านุ้ยเกิดกุศลจิตอนุโมทนาในบุญนั้น
บุญกุศลนั้นก้อเกิดแก่เจ้านุ้ย เพราะจิตของเจ้านุ้ยเป็นกุศล
อันเป็นเหตุปัจจัย ให้อาจคลายความผูกพยาบาทลงได้
ไม่มีจิตเป็นอกุศลแก่กันอีก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 24 ส.ค. 2008, 3:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กงกรรมกงเกวียน ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ สาธุ สาธุ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง