Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 คู่ปรับ (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2006, 7:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

คู่ปรับ
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑



เช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าทำงานอยู่ก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนซึ่งไม่เคยพบกันบ่อยนัก และเป็นคนค่อนข้างจะถือตัว ถามว่า “ได้รับเชิญไปรดน้ำสังข์ในงานมงคลสมรสที่..... หรือเปล่า ?”

ข้าพเจ้าตอบว่า “ได้รับแล้ว และจะไปแน่”

เสียงบอกมาอีกว่า “นี่ไปก่อนรดน้ำสักชั่วโมงได้ไหม ?”

ข้าพเจ้ามานึกดูสถานที่รดน้ำเป็นสโมสร แม้จะไปเร็วก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นบ้านคงไม่เหมาะ แต่ยังสงสัยจึงย้อนถามว่า “จะให้ไปช่วยเจ้าภาพทำอะไรหรือ ?”

ก็ได้รับตอบว่า “เปล่า ! ผมเองต้องการพบคุณ หาเวลาพบกันยากเหลือเกิน เลยนึกขึ้นมาได้ว่าคุณชอบพอกับเจ้าภาพคงไปในงานด้วย จะถือโอกาสนัดพบเลย ไม่ต้องเสียเวลา ตกลงนะ”

ข้าพเจ้าตอบว่า “ตกลง” แต่นึกสงสัยว่าเพื่อนผู้นี้จะมีเรื่องอะไรสำคัญที่จะสนทนากับข้าพเจ้า คิดดูแล้วไม่เห็นมีอะไร แต่ก็ไม่อยากเดาให้เสียเวลา เมื่อถึงวันงานคงรู้เอง

พอถึงวันงาน ข้าพเจ้าก็ออกจากบ้านก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมงกับยี่สิบนาที ครั้นไปถึงยังไม่มีแขกที่รับเชิญมา นอกจากเพื่อนผู้นัดพบกำลังคอยมองดูข้าพเจ้า พอเห็นก็แสดงความดีใจ ลุกขึ้นมาพาข้าพเจ้าไปนั่งสุดเก้าอี้ที่เขาจัดไว้รับรองแขก พอนั่งเรียบร้อยแล้วแกก็เอ่ยขึ้นว่า

“ขอบใจที่ส่งหนังสือไปให้ หนังสือของคุณอ่านแล้วสบายใจดี ถ้ามีอีกก็อย่าลืมส่งไปให้อีกนะ ผมชอบอ่าน ที่บ้านทั้งเด็กผู้ใหญ่คนแก่คนเฒ่าก็ชอบ”

ข้าพเจ้าบอกขอบใจที่ชอบหนังสือของข้าพเจ้า และถามว่ามีเรื่องอะไรสำคัญที่ข้าพเจ้าจะรับใช้ได้บ้าง ก็โปรดบอกมาเถิด เพื่อนผู้นั้นบอกว่า “ผมมีเรื่องเหมือนกัน นัดมานี่ก็ตั้งใจจะเล่าให้ฟัง บางทีจะเป็นประโยชน์บ้าง ผมจะเล่าอย่างเปิดอก และจิตใจอันแท้จริงในความรู้สึกของผม จะไม่มีสิ่งใดที่จะอับอายปิดบังสำหรับคุณ แม้เรื่องที่จะเล่านี้มันจะเก่าไปหน่อย แต่คิดว่าดีกว่าไม่เล่าเสียเลย”

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเลิกใหม่ๆ ผมเห่ออยากจะขับรถยนต์รุ่นแรกหลังสงคราม ซึ่งเป็นรุ่นใหม่เข้ามาในประทศไทย ผมจึงไปหาผู้ขายบอกว่าผมต้องการรถรุ่นใหม่คันหนึ่ง ในเที่ยวเรือที่จะถึงนี้ คนขายเอาบัญชีคนจองมาเปิดให้ดูมีผู้จองมากมาย แม้จะจองต่อทั้งปีก็ยังไม่มีโอกาสได้รถแน่ และเวลานั้นผมมีนิสัยอยากได้อะไรแล้วต้องได้ เสียเงินเท่าใดไม่ว่า ผมจึงเรียกคนขายมากระซิบว่าราคาขายธรรมดาเท่าใด เมื่อคนขายบอกราคาให้ทราบแล้ว รู้สึกว่าราคาขายธรรมดานั้นก็สูงมากอยู่แล้ว ผมบอกกับคนขายว่า

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมเพิ่มพิเศษจากราคาขายให้คุณอีกสามพัน”

คนขายทำท่าคิดแล้วพูดว่า “ผมยังรับปากไม่ได้หรอกครับ ต้องไปถามผู้ที่เขาจองไว้ว่าเขาจะสละสิทธิ์หรือไม่”

ผมไม่ยอมให้ล่าช้าจึงพูดขึ้นว่า “ผมต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ว่าจะได้หรือไม่ได้ ผมรู้ว่าคุณทำได้ ผมเพิ่มให้พิเศษอีกสองพันบาทเป็นห้าพัน ถ้าคุณบอกว่าไม่ได้ ผมก็ไม่เอาจะได้ไปหายี่ห้ออื่นต่อไป เพราะไม่อยากคอยให้เสียเวลา” ผมนึกยิ้มในใจว่าผมต้องชนะแน่ การจองก่อนจองหลังนั้นหมดความหมายสำหรับผม จริงอย่างใจนึก พอคนขายทำท่านึกคิดสักครู่ก็พูดออกมาว่า

“ตกลงครับ คุณจะได้รถใหม่แน่นอนที่มาในเรือเที่ยวนี้ จากราคาขายเพิ่มพิเศษอีกห้าพันบาท”

ต่อจากนั้นผมก็นั่งรถเก๋งรุ่นใหม่หลังสงครามตามราคาที่ตกลงกันไว้ เมื่อได้รถตามความประสงค์แล้ว ผมก็นึกอิ่มใจและภูมิใจ ชวนเพื่อนไปเที่ยวกันตามสถานที่ต่างๆ เพื่อจะอวดว่า อั๊วนี่แหละนั่งรถรุ่นใหม่หลังสงคราม ความจริงผมมารู้ว่าคนอื่นส่วนมากเขาไม่เอาใจใส่ แต่ใจของเราต่างหากที่นึกภูมิใจไปเอง ทำให้ผมมองเห็นรถรุ่นเก่าเป็นรถที่ล้าสมัยคนละชั้น

เช้าวันนั้นเราตกลงว่าจะไปเที่ยวลพบุรี จึงออกรถตอนช้า พอสายหน่อยกเราก็มองเห็นรถคันหนึ่งวิ่งไปข้างหน้า รถคันนั้นเร่งความเร็วทำให้ควันออกทางท่อไอเสียข้างหลังดำฟุ้งตลบไปหมดทั้งถนน เพื่อนของผมนั่งอยู่ข้างหลังได้กลิ่นไอเสียก็โกรธ ผมเร่งเครื่องวิ่งขึ้นหน้า เพื่อนของผมยื่นหน้าออกมาตะโกนว่า

“เฮ้ย ! ขับรถภาษาอะไรกันวะ ปล่อยควันไอเสียนิวแซนรถคันอื่นเขา”

รถคันนั้นนั่งอยู่เพียง ๒ คนทั้งคนขับ แม้ว่าจะถูกตะโกนใส่หน้าเช่นนั้น แกกลับตอบอย่างสุภาพ และขอโทษที่เติมน้ำมันเครื่องมากไป แล้วแกก็ค่อยผ่อนความเร็วลงควันก็ออกกน้อยลง เรามองเห็นรถคันนั้นช่างโกโรโกโสจะพังมิพังแหล่ เมื่อจะเปรียบเทียบกับรถของเราเปรียบกันไม่ได้


ส่วนความเร็วนั้นจะเปรียบก็เหมือนกระต่ายกับเต่าเราดีๆ นี่เอง เมื่อเราถึงประตูน้ำพระอินทร์ เราก็แวะพักทานอาหารเช้าจนเกือบจะอิ่ม เจ้ารถโกโรโกโสคันนั้นเพิ่งจะผ่านไป ครั้นเราทานอาหารและน้ำชากาแฟเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางต่อไป

ไม่ช้าเราก็ไล่ทันรถโกโรโกโสคันนั้น พอจะผ่านเพื่อนๆ ในรถต่างก็โห่ร้องเยาะเย้ยมองดูอย่างสมเพชสงสารว่า รถวิ่งแทบไม่ไหวแล้วยังอุตส่าห์หอบโครงมาเที่ยวทางไกลกับเขาด้วย อีกคนก็ว่า “อ้ายรถเกือบจะเป็นศพอยู่แล้ว ควรเข้าป่าช้าเชียงกงได้” ต่างพูดเยาะเย้ยหัวเราะกันเล่นกันอย่างสนุกสนาน ตามความคะนองของคนปากอยู่ไม่สุข เวลานั้นผมอยากสารภาพว่า ผมได้ดูถูกและเหยียดคนขับรถเก่าโกโรโกโสคันนั้น ไม่แพ้พวกเพื่อนรุ่นคะนองปากของผม แต่ผมไม่แสดงกิริยาออกมานอกหน้า

ส่วนคนในรถโกโรโกโสคันนั้นรู้สึกว่าไม่สนใจอะไร ได้แต่ยิ้มรับถ้อยคำที่คะนองปากของพวกเรา เขาขับไปตามสบาย ไม่สนใจใคร เมื่อผ่านแล้วเพื่อนผมยังพูดอย่างขบขันว่า “โธ่ อ้ายรถจะเป็นศพแล้ว ยังอุตส่าห์เอามาใช้ ประเดี๋ยวมันก็จะพังลงกลางทาง จะได้สมน้ำหน้าและดีใจ” ต่างก็แช่งให้รถโกโรโกโสคันนั้นพัง และเพื่อนอีกคนหนึ่งว่า “หากว่ารถมันเกิดพังขึ้นมากลางทางจริงอย่างเราแช่งล่ะ เราจะช่วยนำมันไปโรงพยาบาลไหม ?” เราต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกัน ”ไม่” แล้วต่างก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

เมื่อรถเราวิ่งเที่ยวในเมืองลพบุรีจนจุใจแล้วก็กลับ พอถึงสระบุรีเราก็แวะเข้าไปเพื่อเที่ยวตลาด ผมจอดไว้ข้างทาง กำลังจะหมุนกระจกขึ้น ได้ยินเพื่อนที่เดินล่วงหน้าไปก่อนร้องตะโกนบอกว่า

“เฮ้ย ! ดูอ้ายเต่ามาจอดอยู่นี่เอง ดันอุตส่าห์มาถึงสระบุรีเหมือนกัน” พูดแล้วก็พากันหัวเราะ ทั้งที่คนขับก็นั่งทานอาหารหรือดื่มกาแฟอยู่ในร้านที่จอดรถนั่นเอง เมื่อเราเที่ยวตลาดสระบุรีพอสมควรแล้วก็ออกจากสระบุรี เดินทางกลับกรุงเทพฯ เจ้าเต่าคันนั้นก็ยังจอดอยู่หน้าร้านอาหารนั่นเอง

เราต่างมองดูเจ้าเต่าแล้วพากันหัวเราะ แล้วก็พูดถึงคุณภาพรถใหม่ของเราด้วยความภูมิใจ เครื่องเดินเงียบสนิท สปริงอ่อน เบาะนิ่มไม่กระเทือน ไม่มีทางที่เครื่องจะเสียง่าย แต่เวลานั้นถนนสายกรุงเทพฯ สระบุรี ยังไม่สู้จะเรียบร้อยนัก บางแห่งกำลังลงหินใหญ่ หลายครั้งเราต้องผ่านหินก้อนใหญ่ๆ และครูดใต้ท้องรถไปบ้าง แต่เราก็วิ่งได้สะดวก


(มีต่อ ๑)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 7:47 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2006, 7:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต่อจากนั้นวิ่งเลยตำบลบางปะอินมาได้ไม่นานนัก รถก็หยุดวิ่งเครื่องก็ไม่ยอมติด พวกเราต่างมองหน้ากันด้วยความไม่สบายใจ เพราะทุกคนไม่มีความรู้ในทางเครื่องยนต์ มีผมผู้เดียวที่ขับได้และพอจะถอดหัวเทียนแล้วขูดเขม่าออกแล้วใส่กลับอย่างเดิมเท่านั้น นอกเหนือกว่านั้นก็หมดปัญญา

ต่อจากนั้นผมก็ลงไปเปิดฝากระโปรงเครื่องดูว่าเพราะเหตุใดมันจึงไม่ติด โดยเป็นช่างจำเป็น แข็งใจถอดโน่นถอดนี่มาดู แล้วก็รีบใส่กลับเข้าไปอย่างเดิม แล้วก็ขึ้นไปสตาร์ทเครื่อง แต่รู้สึกว่าเหนื่อยเปล่า เหงื่อเต็มหน้า เครื่องก็ไม่ติด นานๆ จะมีรถผ่านมาสักคันหนึ่ง คนในรถที่ผ่านไปก็พากันหัวเราะ ไม่มีใครมีแก่ใจลงมาถามเลย แต่ผมก็มีทิฐิไม่ยอมขอความช่วยเหลือใคร

และผมก็อดเริ่มคิดในใจไม่ได้ว่า นี่เป็นกรรมของเราที่ได้หัวเราะเยาะเย้ยอ้ายเต่าคันนั้นว่าเป็นรถเก่าแก่ คนอื่นที่หัวเราะเรานั้น เขาคงเห็นรถใหม่รุ่นหลังสงครามไม่น่าจะมาเสียเช่นนี้ บัดนี้เวลาพระอาทิตย์ใกล้จะตก ผมเองก็หมดปัญญา เจ้าเพื่อนอีกสามคนซึ่งเคยปากมาก บัดนี้หน้าซีดเซียวไปตามๆ กัน พูดได้แต่เพียง “มีหวังไหม” พอผมสั่นหัวแทนคำตอบ แกก็ยิ่งหน้าซีดลงไปอีก ผมเข้าใจแกคงหิวข้าวหรืออยากดื่มเหล้า แต่ความจริงแกกลัวถูกจี้ปล้น เพราะแถวนั้นในระยะนั้นเคยมีรถยนต์ถูกจี้ปล้นกันบ่อยๆ ผมเองเวลานั้นก็หมดทิฐิแล้ว

คิดว่าถ้ามีรถใครผ่านมาก็จะโบกมือให้หยุดแล้วอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ถ้าใครแก้ให้เครื่องติดได้เรียบร้อยจะเอาสัก ๕๐๐ บาท ก็จะทูนหัวให้ทันที หรือมากกว่านั้นผมก็ยินดีให้ ขอให้ได้รถกลับบ้านวันนี้เป็นแล้วกัน ในใจผมเวลานั้นคิดวุ่นวายไปหมด หากว่าคนที่ผมขอความช่วยเหลือเขาแก้ไม่ตกล่ะ จะทำอย่างไรดี

ผมก็คิดว่าจะขอโดยสารกลับกรุงเทพฯ ด้วยกันทั้งหมด และทิ้งรถไว้ที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยให้คนที่อู่มาแก้ไขแล้วนำกลับ แต่ก็ไม่สะดวกใจเพราะรถที่เห็นผ่านๆ ไปแล้วมีแต่รถบรรทุกของเต็ม ที่จะขอแทรกนั่งก็ไม่มี คิดแล้วก็กลุ้มใจที่เวลาล่วงไปทุกที คะเนดูไม่เกินครึ่งชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะตก ความมืดก็จะปกคลุมท้องทุ่งอันมหาศาลทั่วไป พยายามมองดูทั้งซ้ายและขวา ทั้งไปและกลับยังไม่เห็นจุดหรือเงาว่าจะมีรถผ่านไปหรือผ่านมา

ผมมีความร้อนใจเป็นกำลัง เวลานั้นมีเงินก็ทำอะไรไม่ได้ นึกถึงถ้าค่ำลงรถยังเสียอยู่ไปไม่ได้อาจถูกจี้ถูกปล้นก็ได้ใครจะไปรู้ ชักจะกลัวขึ้นมา ถ้าไม่ตายพรุ่งนี้ก็คงเหลือกางเกงในคนละตัวก็เป็นบุญ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์หนัก เจ้าเพื่อนทั้งสามบัดนี้ก็มีตาขาวเป็นเจ้าเรือน มันคิดกันวุ่นวายว่าจะบุกผ่านทุ่งไปขออาศัยชาวบ้านหรือกำนันผู้ใหญ่บ้านนอน เพราะมันกลัวถูกจี้ แต่แล้วผมก็เห็นจุดทางเหนือแสดงว่ามีรถกำลังผ่านมาจะวิ่งเข้ากรุงเทพฯ จิตใจผมมาเป็นกอง เพราะเป็นความหวังของเราที่จะช่วยเหลือ พอระยะใกล้เข้ามาเห็นชัดจำได้ว่าคือ “อ้ายเต่า” ที่เราหัวเราะเยาะกันนั้นเอง

ผมเองก็เสียใจ หมดหวังตามเดิม ความจริงตัวเองใจชั่วแล้ว ก็นึกว่าคนอื่นเขาคงใจชั่วเหมือนตัว ผมจึงไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากเจ้าของรถคันที่เราตั้งชื่อว่าอ้ายเต่านี้เด็ดขาด เพราะคิดว่าถึงจะขอความช่วยเหลือเขาอย่างไร เขาก็คงไม่ช่วย เขาคงสมน้ำหน้าจะให้เขาเยาะเย้ยเราอายเขาเปล่าๆ คราวนี้เป็นโอกาสที่เขาจะเยาะตอบเราแล้ว เขาว่าคนหัวเราะทีหลังนั้นย่อมหัวเราะดังและนานกว่า

รถคันนั้นใกล้เข้ามาแล้วจะทำอย่างไรล่ะ ไม่อยากมองหน้าเขา ผมอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี คิดได้ผมก็เอาหัวซุกเข้าไปในกระโปรงเครื่อง หันหลังให้ถนน หลบไม่ได้เห็นหน้า เอามือหยิบโน่นฉวยนี่ ทำเป็นแก้เครื่อง เหมือนไม่เอาใจใส่กับใครพอให้อ้ายเต่าผ่านพ้นไป ส่วนเพื่อนสามคนรีบโดดขึ้นไปนั่งรถหลับตาพิงเบาะเพราะขายหน้า เราต่างมีใจตรงกันคืออยากให้อ้ายรถคันนั้นผ่านไปเสียเร็วๆ มันเป็นนาทีที่นานแสนนานและทรมานที่สุด เมื่อผมได้ยินเสียงรถใกล้เข้ามาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมอง รู้สึกกลั้นหายใจภาวนาขอให้มันผ่านไปเร็วๆ

แทนที่จะได้ยินรถผ่านไปพร้อมกับตะโกนหัวเราะเยาะ ผมได้ยินเสียงเครื่องยนต์เข้ามาใกล้ รู้สึกว่ารถได้หยุดลงข้างๆ รถเรา ผมก็นึกว่านี่มันจะหยุดรถหัวเราะใส่หน้ากันหรือนี่ เมื่อได้ยินเครื่องยนต์หยุดแล้ว ก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูรถลงมา ผมเองใจระแวงไปในทางไม่ดี ว่านี่มันจะมาท่าไหนกันแน่ นอกจากนั้นก็ได้ยินเสียงถามอย่างสุภาพว่า

“รถคุณเป็นอะไรครับ มีทางจะให้ผมรับใช้บ้างไหม ?” ผมเองพอได้ยินเสียงเท่านั้นเกือบจะร้องไห้ เพราะตื้นตันใจขึ้นมา เสียงนั้นคิดว่าคงไม่ใช่คนชั้นต่ำอย่างที่เข้าใจ ไม่มีการเยาะเย้ยแฝงปนอย่างที่เราคิด เป็นเสียงบริสุทธิ์จริงๆ เมื่อนึกถึงตัวเองและพวกทำอะไรลงไปแล้ว ก็อายมองหน้าไม่สนิท

แม้ตัวผมเองไม่ได้แสดงออกมา แต่เหมือนปลาข้องเดียวก็ต้องเน่าด้วยกัน ข่มใจแล้วนึกเกลียดตัวเองที่มัวแต่นึกว่า รถตัววิเศษไม่เสีย ไม่ต้องพึ่งใครดูถูกคนอื่น แต่คำพูดของชายผู้นี้สุภาพและนิ่มนวล ทำให้ผมค่อยกล้าขึ้นหายกลัวอาย แข็งใจตอบ “ขอบใจมากครับที่ช่วย รถผมเป็นอะไรก็ไม่ทราบ แล่นมาดีๆ ก็หยุดลงเฉยๆ แก้เท่าไหร่ก็ไม่ตก”

ชายผู้นั้นเดินเข้าไปดูเครื่องหน้ารถแล้วพูดว่า “ผมขอตรวจดูหน่อยซิครับ บางทีผมอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง”

ผมก็เดินหลีกออกมาตีหน้าไม่สนิทนัก เชิญให้เขาเข้าไปตรวจดู เพราะผมไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านั้น แต่แล้วก็เกิดความยินดีขึ้นมาที่ว่า ชายผู้ซึ่งผมคิดว่าเป็นศัตรู แท้จริงก็เป็นมิตรที่ดีที่ผมไม่เคยพบมาก่อน เมื่อเขาเข้าไปตรวจโน่นตรวจนี่แล้วก็บอกว่า น้ำมันไม่ขึ้นหม้อน้ำมันเบนซิน (คาบิวเรเตอร์) และจับโน่นจับนี่อยู่พักหนึ่งแล้วหันมาบอกผมว่า

“สงสัยว่าน้ำมันหมดถัง”

ผมจึงตอบว่า “เห็นจะไม่ใช่แน่ เพราะน้ำมันยังเต็มถังอยู่ ดูเข็มยังไม่ตกเลย”

เขาบอกว่า “เข็มอาจจะค้างก็ได้ครับ ผมตรวจดูแล้ว อะไรก็ดีหมด น้ำมันไม่ขึ้นอย่างเดียว ผมจะทดลองให้คุณดู” พูดแล้วเขาก็เดินไปที่รถโกโรโกโสคันนั้น ครู่หนึ่งก็ถือกระป๋องเล็กๆ ใส่เบนซินพร้อมด้วยเครื่องมือ แล้วถอดคอต่อทางเข้าสายท่อคาบิวเรเตอร์ กรอกเบนซินลงไป ผมยืนดูแล้วนึกชมความชำนาญของเขาอยู่ในใจ เสร็จแล้วบอกให้ผมขึ้นไปลองสตาร์ทดู ทันใดเครื่องยนต์ติดขึ้นมาทันที ทำให้ผมดีใจมีหวังขึ้นมาคิดว่าอย่างไรรถคันนี้ต้องไปได้ แต่เครื่องยนต์ติดไม่นานก็ดับ เขาชี้แจงว่า น้ำมันเบนซินไม่มาจากถังใหญ่ พอหมดเบนซินที่เติมใส่ทางคาบิวเรเตอร์แล้วเครื่องก็ดับ

หลังจากตรวจดูด้วยความชำนาญและเอาใจใส่ อุตส่าห์นอนตรวจดูใต้ท้องรถ ทางท้ายถังเบนซินโดยไม่มีความรังเกียจ ก็จับต้นเหตุได้ว่าใต้รถถูกหินกระแทกถังน้ำมันทะลุ น้ำมันไหลออกมาหมดถัง ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า ได้กลิ่นน้ำมันอยู่พักหนึ่ง เมื่อหลังจากถูกหินข้างทางกระแทก แต่แล้วกลิ่นก็หายไป ไม่ช้ารถก็หมดกำลังเครื่องหยุดลง ผมไม่ได้นึกเฉลียวใจว่าน้ำมันจะรั่ว เมื่อเขาบอกว่าน้ำมันรั่วหมดถัง ผมก็ตกใจไม่ทราบว่าจะไปซื้อที่ไหน และถังรั่วก็ไม่รู้จะไปปะอย่างไร กลางทุ่งนาสุดสายตาเช่นนี้ ได้แต่รำพึงว่า


(มีต่อ ๒)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 7:51 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2006, 7:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“แย่แน่น้ำมันก็ไม่มี ถังน้ำมันก็รั่ว ผมจะทำอย่างไรดี” ตอนนี้ผมหมดทิฐิถือตัว กำลังจะอ้อนวอนขอความเห็นใจช่วยเหลือ เพราะจนปัญญาจริงๆ เขาเหมือนจะรู้ใจ ยิ้มแล้วพูดปลอบใจผมขึ้นว่า

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะจัดการให้เรียบร้อย คุณจะต้องกลับถึงกรุงเทพฯ ในคืนนี้แน่นอน”

ผมได้ยินเช่นนั้นรู้สึกมีหวังขึ้นมา แต่ยังมองไม่เห็นทางว่าเขาจะจัดการอย่างไรให้เรียบร้อยไปได้ แต่แล้วก็เห็นเขากลับไปที่รถของเขาหยิบเอาสบู่ขึ้นมาจากใต้เบาะนั่งก้อนหนึ่ง แบ่งครึ่งแล้วก็เอาไปขยำนวดกับน้ำข้างทางให้เหนียว และหยิบผ้าเก่า ๆ ไปด้วยผืนหนึ่ง แล้วก็นอนหงายใต้ท้องรถ เขาทำด้วยความเต็มใจ

สักครู่หนึ่งก็บอกว่าเรียบร้อย พอจะไปถึงกรุงเทพฯ ได้ และสั่งว่าเมื่อถึงกรุงเทพฯ ก็เข้าอู่บัดกรีถังให้เรียบร้อย ไม่มีอะไรเสียเป็นแต่ถังรั่วและบุบไปบ้างและยังบอกว่า “ตอนนี้คุณอย่าให้ใครไปจุดบุหรี่สูบใกล้ท้ายรถ หรือจุดไม้ขีดไฟ เพราะยังคงมีน้ำมันซึมออกมาบ้าง จนกว่าจะเอาไปเข้าอู่บัดกรีให้เรียบร้อยเสียก่อน”

แล้วเขาก็เดินไปเปิดท้ายรถของเขา หยิบเอาถังเบนซินแบบของทหารอังกฤษอเมริกาใช้อยู่เวลานั้น เปิดเติมลงไปในรถของผมกว่าครึ่งเสร็จแล้วก็บอกว่า “น้ำมันผมเติมนี้ คุณกลับไปถึงกรุงเทพฯ ได้สบาย ถ้าไม่ไว้ใจจะแวะเติมระหว่างทางอีกก็ได้ คุณขึ้นไปสตาร์ทเครื่องได้แล้ว”

เมื่อผมขึ้นไปสตาร์ทเครื่องยนต์ติดเดินเรียบร้อยเหมือนเดิม ผมดีใจมากหายห่วงหายหนักใจเหมือนพระมาโปรด ผมดับเครื่องลงมาจากรถเพื่อขอบใจเขา และจะให้รางวัลพร้อมทั้งจะชำระค่าเบนซินให้ด้วย พอผมล้วงเอาซองธนบัตรยังไม่ทันหยิบออกมาก็ได้ยินเสียงพูดว่า

“ขอโทษเถิด ที่ช่วยเหลือรับใช้คุณนี้ ผมไม่ต้องการสิ่งใด ตอบแทนทั้งสิ้น โปรดเก็บไว้เถิดครับ เคยตั้งใจไว้แล้ว ถ้าใครทุกข์ร้อนผมก็จะช่วยโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และเป็นเวลาพักผ่อนของผมไม่ใช่เวลางาน และทั้งผมก็ไม่ได้หากินทางแก้รถ”

ผมอ้อนวอนเท่าไหร่ เขาก็ไม่ยอมรับ ผมจึงบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นผมขอให้ค่าเบนซิน ซึ่งคุณต้องซื้อเขาเหมือนกัน”

เขาบอกว่า “ไม่มีการซื้อขาย มีแต่ให้และช่วยให้คุณกลับกรุงเทพฯ ผมก็ได้ความสบายใจและความพอใจ เป็นการตอบแทนแล้ว”

เวลานั้นผมพูดอะไรไม่ถูก เพราะมันตื้นตันใจในความดีของชายผู้นี้ ผมมีนิสัยผิดคนอื่นอยู่อย่างหนึ่งคือ ใครไม่รับผมยิ่งอยากจะให้ ใครไม่ขายผมยิ่งอยากจะซื้อ ผมยิ่งรักน้ำใจของชายผู้นี้ขึ้นมาทันที ผมจึงถามไปว่า

“คุณนับถือศาสนาอะไรครับ”

ผมเห็นเขาหัวเราะและตอบว่า “ผมนับถือศาสนาพุทธครับ ปู่ย่าตายายถือพุทธตลอดมา” เขาพูดพร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจ

ผมจึงเอามือล้วงไปในคอเสื้อหยิบพระที่ห้อยคอไว้ ปลดออกมาจากคอผม พร้อมทั้งสายสร้อยส่งให้เขาพลางพูดว่า “ผมขอให้คุณเป็นที่ระลึกเพื่อบูชาความดี ถ้าคุณรับไว้ผมจะยินดีมาก”

เขายิ้มแต่ไม่ได้ยื่นมือออกมารับ ตามความเข้าใจของผม คิดว่าเมื่อเขาเห็นพระของผมแล้ว เขาคงอยากจะได้เพราะเป็นของเก่าหายาก แต่ผมต้องผิดหวังอีก เขาเพียงแต่มองดูแล้วพูดว่า “นั่นพระสมเด็จเลี่ยมทองคำ เป็นพระเก่าของแท้หายากมาก สายสร้อยทองคำก็เส้นโตคงหนักมาก คุณจงเก็บไว้ใช้เถิดครับ ของมีราคาทั้งนั้น พระของผมมีแล้ว ผมรู้ว่าคุณให้พระผมครั้งนี้ให้ด้วยใจบริสุทธิ์ แต่ผมต้องขอโทษที่ผมรับของคุณไม่ได้ เพราะมันจะเสียความตั้งใจเดิมของผมไป” เขาไม่ยอมรับซ้ำพูดอย่างสุภาพ

ผมจึงถามว่า “พระของคุณคงจะไม่ใช่พระสมเด็จแน่ โปรดรับของผมไว้สักองค์เถิดครับ อย่าให้ผมเสียความตั้งใจเลย”

เขาเห็นผมพูดเช่นนั้นก็ยิ้ม “จริงครับ ของผมไม่ใช่พระสมเด็จอย่างของคุณ แต่ของผมเป็นพระปิดทวาร เรามีเพียงองค์เดียวก็พอถมไป ขอให้เรามีใจสุจริตเคารพท่านจริงๆ พวกปล้นมีพระห้อยคอเป็นพวงใหญ่ แต่ก็ป้องกันอะไรไม่ได้ เพราะใจไม่สุจริต หากินโดยปล้นสะดม ของผมมีเพียงองค์เดียว แต่ผมเคารพท่าน เพราะท่านมีความหมายหลายอย่าง ผมบูชาไว้ที่บ้าน เกิดมีเรื่องอะไรก็นึกถึงท่าน เช่นผมได้ยินเสียงที่ไม่ดี ก็นึกถึงท่านก็เห็นท่านปิดหู ผมก็ไม่ฟังเสียงนั้นเป็นสาระ เอามาใส่ใจ เมื่อมีเพื่อน มาชวนอ้อนวอนให้ผมดื่มสุรายาเมา ผมก็นึกถึงท่าน เห็นท่านปิดปาก ผมก็ไม่ยอมดื่ม เพราะน้ำเมาเป็นของชั่ว ผิดศีลข้อ ๕ ถ้าผมมีสิ่งใดไม่ดีผมก็นึกถึงท่านทุกครั้ง ท่านสอน ให้อดทน ผมก็สบายจิตใจ ไม่มีอะไรกังวล จิตอยู่สงบ” พูดแล้วก็หัวเราะอยู่อย่างสบายใจ

ผมได้ฟังแล้วรู้สึกตัวขึ้นมาใจคอปั่นป่วน เคยนึกว่าตัวเองดีกว่าวิเศษกว่าคนอื่น มีเงินจะทำอะไรก็ทำได้ แต่ชายผู้นั้นมีความสูงเกินกว่าเงินทองของมีค่าที่จะซื้อน้ำใจเขาได้ หลงเข้าใจผิดคิดว่าศัตรู ซึ่งจิตใจนึกแต่ในทางต่ำ ก็มองคนอื่นในแง่ต่ำไปด้วย แท้จริงเขาเป็นมิตรที่ประเสริฐของทุกคนที่ได้คบหา ซึ่งผมไม่เคยพบเห็นเลยใจชีวิต ถ้าผมได้พบคนอย่างนี้มาก่อนและคบหาสมาคมด้วย ผมคงจะดีทั้งจิตใจและศีลธรรม มันทำให้ผมตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนถูกความร้อนแล้วมาสู่ความเย็น ใจนั้นอยากจะร้องไห้ อยากจะเอาผ้าปูแล้วลงกราบเคารพความดีของชายผู้นี้ แต่ผมก็ยังไม่กล้าทำเช่นนั้น

สังเกตดูตลอดเวลาทั้งกิริยาท่าทาง ตลอดทั้งคำพูดทั้งสุภาพมีเหตุผลและศีลธรรม ไม่น่าจะขับรถโกโรโกโสเดินทางไกลมาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้เลย สงสัยว่าคงมีอะไรแฝงอยู่จึงอยากจะรู้และรู้สึกว่า คนผู้นี้ชอบพูดกันตรงๆ ผมจึงถามว่า

“เหตุใดคุณต้องเอารถอย่างนี้มาขับเดินทางไกล มองไม่เห็นความจำเป็น และมีทางอื่นอีกหลายทางที่มาสระบุรี ได้ปลอดภัยกว่านี้ ถ้าไม่เป็นความลับกรุณาให้ผมทราบด้วยจะขอบคุณมาก”

ชายผู้นั้นหัวเราะอย่างเปิดเผย และพูดขึ้นว่า “สำหรับผมเป็นคนไม่มีความลับอะไร แต่อย่าให้เสียหายกับผู้เป็นต้นเรื่องนี้ก็แล้วกัน ถ้าคุณไม่สืบถึงชื่อเสียงของต้นเหตุในเรื่องนี้ ผมก็พอจะเล่าให้ฟังได้ คือเรื่องมีว่าผมมีเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะผู้ใหญ่ของเราทั้งสองฝ่ายชอบพอกันมาก บ้านเรามีรั้วติดกัน ตอนสงครามโลกครั้งที่สองเราต้องจากกันเพราะผู้ใหญ่ของผมต้องจากบ้านเก่าไปอยู่บ้านใหม่ซึ่งห่างไกลกันมาก นานๆ จะได้พบกันสักครั้ง ต่อมาผู้ใหญ่ฝ่ายเพื่อนก็ถึงแก่กรรมลงทั้งคู่ ในเวลาไม่ไกลกันทั้งบิดาและมารดา แกจึงเป็นผู้ปกครองบ้านเรือน

หลังจากนั้นผมสังเกตดู ระยะที่ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมเป็นครั้งคราว ทราบว่าแกมีนิสัยเปลี่ยนแปลงไปมีการเห็นแก่ตัวมากขึ้น การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นน้อยลง จะทำอะไรก็เอาแต่อารมณ์ใจตัวเองเป็นใหญ่ และไม่ว่าแกจะมีความเห็นอย่างไร ก็คิดว่าความเห็นของแกถูกเสมอ ถ้าคนอื่นขัดแย้งแกก็จะโกรธ จะผิดถูกอย่างไร ก็ต้องเห็นตามแกไปด้วย บังเอิญที่บ้านแกมีหญิงแก่คนหนึ่ง ซึ่งแกเคยเป็นแม่นมเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กๆ


(มีต่อ ๓)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 7:57 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2006, 8:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

แม่นมคนนี้ คุณแม่ผมบอกว่าเมื่อผมเล็ก บางครั้งคุณแม่ไม่ค่อยมีนมให้ผมดื่ม ก็อุ้มไปขอนมของแม่นมคนนี้ดื่มเหมือนกัน จึงทราบว่าผมเคยดื่มนมเต้าเดียวกับเพื่อนของผมคนนี้ เพราะเรามีอายุแก่อ่อนกว่ากันไม่กี่วัน แม้ว่าผมจะดื่มน้ำนมแกเป็นบางครั้งบางคราวก็ดี ผมก็ยังนึกว่าแม่นมคนนี้ก็เคยเอาเลือดในอกให้ผมดื่มเหมือนกัน ผมจึงถือโอกาสไปเยี่ยมแกด้วย

เมื่อพูดถึงใจจริงแล้วผมตั้งใจไปเยี่ยมแม่นมมากว่าเยี่ยมเพื่อนของผม เพราะระยะหลังนี้รู้สึกว่า เพื่อนมีจิตใจเปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อผมไปครั้งนี้ก็ได้ข่าวว่า เพื่อนของผมกำลังคิดเสือกไสไล่ส่งให้แม่นมคนนี้ไปอยู่ที่อื่น เพราะแม่นมเคยตักเตือนแกเสมอว่า อย่าเห็นผิดเป็นชอบ แกเตือนเพราะครามรักใคร่ที่เคยเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ผมถือว่าแม่นมเป็นผู้มีคุณอยู่กับผมเหมือนกัน”

ผมจึงถามว่า “เพราะเหตุใดถึงได้คิดเช่นนี้ แกเป็นผู้เลี้ยงดูให้ดื่มนม เมื่อหย่านมแล้วก็เลี้ยงดูตลอดมา และใช้ชีวิตอุ้มชูอยู่ในบ้านตั้งแต่สาวจนแก่ ก็ควรจะนึกถึงความดีของแกบ้าง เวลานี้ญาติพี่น้องแกก็ไม่มี”

แต่เพื่อนผู้นั้นอ้างว่า “การที่เลี้ยงดูเมื่อเด็กๆ นั้นก็ไม่ใช่แกจะเลี้ยงให้เปล่าๆ แกก็ได้รับค่าจ้างเป็นการทดแทนแล้ว บัดนี้แกก็ทำงานไม่ไหวแล้วก็ไม่ควรอยู่ และไม่ควรจะได้รับค่าจ้างด้วย และถ้าจะเลี้ยงแกไว้ก็ต้องหมดเปลืองไปด้วยเหตุไม่จำเป็น ซ้ำจะต้องปฏิบัติคนแก่มันเป็นการยุ่งยาก”

ผมเองก็พูดไม่ออกได้แต่พูดว่า คนสมัยเก่านั้นเขาถือความกตัญญูเป็นที่ตั้ง เราก็มีฐานะดี การเลี้ยงคนที่เคยเลี้ยงเรามาแต่เล็กแต่น้อยนั้นมันก็ไม่ทำให้หมดเปลืองทำให้ล่มจมไปได้ มีตัวอย่างที่ดีมามากแล้วผมจึงเล่าให้ฟังว่า

“ในสมัยหนึ่ง มีเศรษฐีมั่งมีผู้หนึ่ง ชื่อเสียงโด่งดังในเมืองไทยท่านผู้นั้นเป็นชาวจีน ซึ่งมาจากประเทศของท่านด้วยความยากจนเมื่อมาถึงครั้งแรกท่านก็ได้ใช้แรงงานเลี้ยงชีพ ต่อมาเมื่อท่านพอมีทุนก็รับซื้อและแลกของเก่า โดยมีตะกร้าและไม่คานหาบขึ้นบ่าไปตามบ้าน ต่อมาฐานะก็ดีขึ้นเป็นลำดับจนเป็นนายอากร และเป็นเศรษฐีใหญ่ มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองไทยสมัยนั้น แต่ท่านเศรษฐีผู้นี้ไม่ยอมทิ้งไม้คานคู่ยากอันนั้นเอาทองปิดแล้วเชิญไปบนแท่นทะนุถนอมตลอดมา และได้เล่าเรื่องหนหลังให้ฟังเกี่ยวกับชีวิตของท่านคู่กับไม้คาน มิได้ปิดบังฐานะเดิม ทั้งเจ้านายและข้าราชการทุกท่านรู้เรื่อง ต่างก็ชมเชยที่ท่านไม่ลืมตัว ต่อมาก็มีความรุ่งเรืองยิ่งขึ้นชื่อเสียงโด่งดังตลอดชีวิตของท่าน”

นี่ก็แสดงว่าคนสมัยเก่ามีความกตัญญูเพียงไร เพียงแต่ไม้คานเท่านั้น ท่านก็ปิดทองเมื่อยามสุข นี่ถ้าเป็นคนสมัยนี้ คงจะโยนไม้คานทิ้งหรือทำลาย แล้วก็ไม่ยอมพูดเรื่องเก่าๆ เป็นแน่ คนที่เดินทางเมื่อก่อน เมื่อเหนื่อยอ่อนก็เข้าพักใต้ร่มไม้ พักพอหายเหนื่อยเมื่อจะเดินทางต่อไปก็ยกมือไหว้ นึกถึงคุณร่มไม้ชายคาที่ได้อาศัยพักร้อน นี่แหละผมได้ชักตัวอย่างมาพูดให้เขาเข้าใจ แต่เขาก็ไม่พยายามเข้าใจ เพราะเขาฝังใจว่าจะทำอะไรต้องถูกเสมอ

เวลานี้คนชนิดนี้มีอยู่ไม่น้อยที่คิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่น ความเห็นของคนอื่นนั้นผิด ถ้าคนอื่นไม่คล้อยตามความเห็นของตัวก็โกรธ ไม่เป็นที่พอใจ มันเป็นช่องทางของพวกประจบสอพลอยกยอสนับสนุน คนสอพลอมากขึ้น ตัวเองก็นึกว่าตัวเองวิเศษไปจริงๆ แต่เพื่อนผู้นี้มีนิสัยเสียอย่างหนึ่งคือชอบพนันขันต่อ ฉะนั้นทุกสิ่งถ้ามีการต่อรองย่อมเป็นที่พออกพอใจ รถคันนี้ก็เป็นรถที่บ้านเขาใช้ เมื่อสงครามเขาได้ซื้อรถรุ่นสุดท้ายก่อนสงครามจะเกิด ฉะนั้นรถคันนี้จึงถูกทิ้งไว้ตากแดดตากฝนเพราะโรงรถมีโรงเดียว และเฉพาะรถเพียงคันเดียวผมเคยพูดเล่นกับเขาว่า

“พอได้ใหม่ก็ลืมเก่าเชียวนะ ปล่อยให้ตากแดดตากฝนไม่นึกถึงเวลาใช้งานบ้างเลย”

เขาตอบว่า “รถคันนี้มันเก่าแก่แล้วไปไหนไม่ไหว จะเอาไว้ทำไมไม่สมควรจะอยู่ในโรงรถ เพราะได้แต่ใช้วิ่งในเมืองซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ถ้าจะไปนอกเมืองคงจะกลับไม่ได้”

แต่ผมบอกว่า “เครื่องและยางอะไหล่ก็ยังดีอยู่ทุกอย่าง ทำไมจะเดินทางไกลไม่ได้ ถ้าจำเป็นก็ได้แน่”

แล้วเขาก็พูดว่า “มาพนันกันไหมล่ะ ถ้าลื้อขับรถคันนี้ไปถึงอยุธยาแล้วกลับถึงกรุงเทพฯ ลื้อชนะ มาเดิมพันกันเท่าไรก็ได้ อั๊วว่าลื้อไปไม่ถึงแน่” เวลานั้นผมก็ไม่ชอบการพนันขันต่อ บัดนี้ผมคิดขึ้นใหม่ว่า ไม่มีอะไรดีกว่าเอนเอียงไปในทางที่เขาชอบจึงพูดกับเขาว่า

“เอาอย่างนี้ไหม อั๊วจะพนันกับลื้อด้วยการขับรถคันนี้”

เพื่อนตาลุกขึ้นมาทันที “นี่ลื้อพูดเล่นหรือพูดจริง ลื้อไม่เคยชอบเรื่องการพนันขันต่อนี่วะ”

ผมจึงพูดว่า “ลื้อเคยท้าอั๊วไว้นี่ มาคราวนี้อั๊วขอสู้ละ”

“แล้วจะเอาเดิมพันยังไงบอกมาซิ อั๊วตกลงทั้งนั้น ขอให้มันจริงเถิดวะ"

ที่สุดผมก็เสนอเดิมพันพร้อมทั้งข้อตกลงบางอย่างคือ ถ้าผมชนะเขาจะต้องเลี้ยงดูแม่นมไว้ตามเดิมและให้ความสุขแกให้เพียงพอ และเงินเดิมพันที่ผมชนะจะไม่เอา ถ้าผมแพ้ก็สุดแต่ใจแกจะเสือกไสไล่ส่งไปตามอารมณ์ของแก แล้วผมก็จะจ่ายค่าเดิมพันให้ทันที และจะยืดการเดินทางให้ไปถึงสระบุรีเลย แกก็ตกลงข้อเสนอของผมทันที แล้วเราก็เริ่มนัดวันแข่งขันกัน เมื่อตกลงกันเรียบร้อยผมได้แอบไปหาแม่นม พอแม่นมเห็นหน้าผม แกก็ร้องไห้พูดว่า

“ทำไมคุณถึงลำบากเพราะอิฉันเล่าคะ คุณไม่ควรลำบากเลยอิฉันแก่แล้ว ถ้าไม่ให้อิฉันอยู่ที่นี่อิฉันจะไปอาศัยวัดก็ได้ ตัวคนเดียวไม่ลำบากหรอกค่ะ โถ ! ทูนหัวของบ่าว ต้องมาพลอยลำบากไปด้วย”

ผมตอบว่า “นมอย่าร้องไห้ ผมจะดัดสันดานคนคนนี้ให้ได้ ผมแพ้หรือชนะก็ไม่สำคัญ นมอยู่ที่นี่ตั้งแต่สาวจนแก่และคงอยากจะอยู่ที่นี่ต่อไปผมรู้ นมไม่ต้องไปอยู่วัด ถ้าเขาไม่ให้อยู่ที่นี่จริงๆ ก็ไปอยู่บ้านผมๆ เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว นมอย่าบอกใครนะ ผมว่านมต้องอยู่ในบ้านนี้ต่อไปแน่ๆ จงเชื่อผม”

ความคิดของผมก็ไม่ผิดนัก เพราะตั้งแต่วันตกลงสัญญาอีกสามวันต่อมาก็จะเป็นวันเริ่มเดินทาง เพื่อนผมรู้สึกกระสับกระส่าย เพราะระยะที่สนทนาโต้ตอบกันถึงเหตุผล แกคงเอาไปคิดและคงเห็นจริงตามผมพูด แกคงกลับใจ แต่แกยังมีมานะไม่กล้ารับว่า แกคิดได้เพราะอายผม แทนที่แกเกรงว่าผมจะชนะ กลับเกรงว่าผมจะแพ้ อุตส่าห์มาหาผมแต่เช้าแล้วก็พูดว่า

“ที่ลื้อขันอาสาพนันจะขับรถบุโรทั่งคันนั้นให้ไปถึงสระบุรี อั๊วมาคิดดูมันไม่ยุติธรรมเลย อั๊วเอาเปรียบลื้อมาก คราวก่อนนี้อั๊วเสนอลื้อเพียงอยุธยา แต่ลื้อกลับเสนอไปถึงสระบุรี มันไกลออกไปอีกมาก อั๊วมานอนคิดดูแล้ว ก็ว่าไม่ควรเอาเปรียบเพื่อนเคยกินนมร่วมเต้ามาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ รู้สึกอายใจมากที่เอาเปรียบเช่นนี้ อั๊วขอเปลี่ยนให้ลื้อขับไปเพียงรังสิต แล้วก็กลับมาถึงกรุงเทพฯ เป็นอันชนะก็แล้วกัน”

แกพูดเสียงอ่อยๆ มองเห็นชัดว่า ได้หมดพยศรู้สึกตัวแล้ว ผมจึงพูดว่า “อั๊วไม่ต้องการเอาเปรียบเพื่อนเหมือนกัน สัญญาที่ให้ไว้ต้องเป็นไปตามสัญญาจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้” รู้สึกเขากลับไปด้วยความผิดหวัง ต่อจากนั้นผมยังทราบว่า เขาได้ให้คนมาตรวจดูยาง สงสัยอะไรก็ให้จัดการเปลี่ยน เขาพยายามทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผมแพ้ ผมได้ชนะใจเขาแล้วที่ผมต้องขับรถคันนี้มาทางไกลก็เพราะเหตุผลอันนี้เอง”

เขาพูดอย่างอารมณ์ดีและมีความสุขใจ ผมถามว่า “คนที่นั่งบนรถนั้นเพื่อนของคุณหรือครับ”

เขาตอบว่า “เปล่า ! แกนั่งมาเป็นพยานว่าผมจะถึงจุดหมายปลายทางจริงหรือไม่ แต่ความจริงผมรู้ว่าเพื่อนได้ให้ช่างผู้ชำนาญทางเครื่องยนต์คุมมาด้วยจะได้ช่วยเหลือเมื่อมีอะไรขัดข้อง” และเขาพูดต่อว่า “บัดนี้เวลาก็ย่ำค่ำแล้ว คุณก็รีบกลับได้และไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ส่วนคุณก็วางใจได้ว่าถึงกรุงเทพฯ โดยเรียบร้อย ถ้าจะมีอะไรขัดข้องขึ้นอีกคุณก็นอนใจได้ว่า ยังมีรถผมตามหลังมาอีกคันหนึ่งเป็นพี่เลี้ยงคงไม่ทอดทิ้งให้คุณลำบากแน่”

เมื่อผมได้ยินเขาพูดเช่นนั้นไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะตั้งแต่ได้สนทนากัน ก็รู้สึกว่าผมชอบนิสัยใจคอคนผู้นี้มาก สนทนาอย่างไม่รู้เบื่อ แต่เวลาใกล้ค่ำแล้วผมจึงบอกว่า “ผมต้องขอโทษเถิดครับ ที่รบกวนเวลาคุณมาก และผมขอทราบนามและตำบลที่อยู่ของคุณด้วย”

ผมเห็นเขาหยิบกระดาษเขียนตัวอักษรลงไป แล้วส่งมาให้ผม ผมก็หยิบนามบัตรส่งให้เขา แล้วผมก็ลาขึ้นรถจากมาด้วยความอาลัยและรู้คุณ ในระยะที่เราสนทนากันนั้นเจ้าเพื่อนผมมันทำหลับอยู่ตลอดเวลา ส่วนชายอีกคนซึ่งอยู่ในรถของเขาก็ไม่ยอมลุกออกจากรถ เมื่อผมออกรถจากเขามาแล้วก็เห็นเขายังยืนโบกมืออยู่ รถของผมก็ค่อยๆ หายมาจนลับตา ส่วนเพื่อนผมที่ทำเป็นหลับนั้น บัดนี้คิดว่าจะหลับเอาจริงๆ เพราะตั้งแต่ผมเริ่มออกรถมาห่างไกลนานแล้ว แต่ก็มิได้ยินเสียงพูดตามความคะนองอย่างที่เคยเป็นมา


(มีต่อ ๔)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 8:00 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2006, 8:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รู้สึกว่าทุกคนนั่งนิ่งเงียบเหมือนจะรู้สึกตัว เรากลับมาถึงบ้านโดยเรียบร้อยในคืนนั้นดังที่ชายผู้นั้นบอก ผมได้นำรถไปบัดกรีที่อู่ในวันรุ่งขึ้น จากนั้นผมก็ไปหาเขาตามชื่อและตำบลที่จดไว้ให้พร้อมทั้งเลขบ้าน แต่แล้วผมก็แปลกใจว่าชื่อนั้นเลขบ้านนั้นไม่มีในตำบลนั้น แต่ผมก็ไม่ละความพยายามได้เขียนจดหมายลงทะเบียนบอกว่าผมได้ไปหาแต่ไม่พบ อยากจะสนทนาด้วย แต่แปลกเพราะไม่นาน จ.ม. ของผมทางไปรษณีย์ก็ได้ส่งคืนมาให้ผม พร้อมด้วยข้อความว่าไม่มีชื่อผู้รับตามตำบลและเลขบ้านนี้ ที่ประหลาดก็คือมีจดหมายส่งทางไปรษณีย์มาถึงผมหนึ่งฉบับ มีใจความย่อๆ ว่า

“ผมขอขอบคุณ ที่คุณได้พยายามตามหาผม ทั้งได้ส่งจดหมายมาถึงผมอีกหนึ่งฉบับ ถ้าคุณจะขอบใจผมอีก ก็อย่าไปนึกถึงมันอีกเลยในวันนั้น คุณก็ได้แสดงความขอบใจผมมากพอแล้ว และผมก็พอใจเมื่อทราบว่าจิตใจของคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางดี”

นี่ซิครับ ผมแปลกและประหลาดใจว่า เขารู้ได้อย่างไรว่าผมไปหาก็ไม่พบ จดหมายก็ไม่ถึงต้องส่งกลับมา ถ้าจะว่าเขาเป็นนักเดาล่วงหน้าก็นับว่าเดาเก่งพอใช้ทีเดียว ส่วนเจ้าเพื่อนของผมที่เคยคนองปากพูดอะไรไปโดยไม่ได้นึกคิดนั้น บัดนี้ก็พูดน้อยระวังในการพูดมากขึ้น ได้ถามว่าหมู่นี้ทำไมพูดน้อยไป ก็ได้รับตอบทั้งสามคนว่า “ได้รับบทเรียนมาแล้ว”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าวันนั้นเราสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน ครั้นมองนาฬิกาก็เห็นเลยเวลารดน้ำมานาน แต่เขาทุกคนยังนั่งเป็นปกติ ได้ทราบข่าวท่านผู้ใหญ่ที่เจ้าภาพเคารพนับถือที่จะมารดน้ำสังข์เป็นคนแรกนั้นยังมาไม่ถึง เห็นจะเป็นเพราะติดงานรดน้ำสังข์หลายแห่งจึงได้ล่าช้าไป เราจึงได้มีโอกาสสนทนาจนจบเรื่อง ยังมีโอกาสสนทนาเรื่องอื่นกันอีกพอสมควร ต่อมาท่านผู้ใหญ่มาถึง พวกเราต่างก็รอเข้าคิวกันรดน้ำสังข์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาวแล้ว

ข้าพเจ้าก็ถือโอกาสลาเจ้าภาพกลับ เนื่องด้วยรถของข้าพเจ้าจอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อบังร่ม เพราะเมื่อเวลามาแดดยังร้อนจัดจึงต้องเดินไกลออกไปจากสถานที่ของงาน ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินออกมานั้น ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อข้าพเจ้าอยู่ข้างหลัง จึงหยุดหันไปดูเห็นเพื่อนผู้หนึ่งรีบร้อนเดินตามข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าหยุดคอยแล้วก็ค่อยๆ เดินสนทนากันมา เพื่อนผู้นั้นขอให้ข้าพเจ้าไปส่งเขาที่บ้าน ข้าพเจ้าตกลงด้วยความยินดี แล้วเพื่อนก็เริ่มถามเวลา

“คุณคุยกัน เรื่องอะไรนะ เห็นคุยกันไม่รู้จบสักที แต่ผมเห็นคุณเป็นคนฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เห็นจะโม้เรื่องอะไรสำคัญให้คุณฟังกระมัง”

ข้าพเจ้าตอบว่า “เป็นเรื่องส่วนตัว และคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญและแปลกดี” เพื่อนผู้นั้นเริ่มระบายความรู้สึกออกมาว่า

“อ้ายหมอนี่ผมไม่ชอบหน้ามันเลย มันทั้งหยิ่งทั้งจองหอง มันเคยพูดว่า มันจะทำอะไรเอาเงินฟาดเรื่องก็สำเร็จ มันดูถูกคน ผมเคยเป็นเพื่อนมันมาตั้งแต่เล็กๆ เวลามันรวยเคยพบกันในงานหลายแห่ง ผมเข้าไปทักมัน มันก็พูดด้วยอย่างเสียไม่ได้เห็นเราเป็นตัวอะไรที่น่ารังเกียจ ต่อมาผมก็ไม่อยากทัก มันเองก็ทำเป็นไม่เห็นผม เดินเฉียดกันไปหลีกกันมาเหมือนคนไม่เคยรู้จัก มันมองดูคนอื่นเป็นคนต่ำมันสูงคนเดียว มันคิดว่ามันมีเงินเป็นเทวดา ต่อจากนั้นมันกับผมก็อยู่คนละโลก ผมเป็นมนุษย์เดินดินคบกับเทวดาไม่ได้มันสูงไป ผมก็ถือว่าผมไม่ได้ขอข้าวใครกิน ไม่ได้ของเงินใครใช้ บ้านผมก็ไม่ได้ขอใครอยู่”

ข้าพเจ้าสังเกตดู และยิ่งพูดยิ่งระบายอารมณ์ความรู้สึกเดือดดาลภายในออกมา ทั้งท่าทางและคำพูด ผมเห็นว่าควรตัดบทเพื่อให้อารมณ์แกดีขึ้นจึงบอกว่า

“เมื่อก่อนนี้ผมเชื่อว่าคุณพูดมานั้นเป็นความจริง แต่เดี๋ยวนี้ได้เปลี่ยนแปลงจากคนเดิมไปแล้วเป็นคนละคน”

คำพูดของข้าพเจ้าได้เปลี่ยนอารมณ์ของเพื่อนผู้นี้ไปได้บ้าง เพราะเมื่อเขาฟังข้าพเจ้าพูดแล้ว เขาก็หัวเราะออกมาได้ แล้วว่า “คุณอย่าพูดตลกเล่นหน่อยเลย คุณเชื่อคนเดียวเถิด ผมไม่เชื่อหรอก สันดานคนมันเปลี่ยนยาก ต่อให้คุณอมพระมาพูดผมก็ไม่เชื่อว่าเป็นจริง” พูดแล้วก็หัวเราะใส่หน้าข้าพเจ้าเหมือนจะขบขันจริงๆ

ข้าพเจ้าจึงได้ย้ำว่า “ที่ผมบอกนี้เป็นเรื่องจริงนะ แกกลับตัวเป็นคนดีจริงๆ”

เขาทำท่าหัวเราะจนตัวงอ แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้หยุดหัวเราะ แล้วกระซิบว่า “ผมเคยรู้เรื่องดีมาครั้งหนึ่งตอนสงครามเลิกแล้วนี่แหละ เจ้าลูกน้องของแกไปทำเบ่งอวดโตหรือทำผิดอะไรผมก็ไม่ทราบแน่ ถูกตำรวจจับเอาไป เจ้าลูกน้องยังอวดโต ใจเย็นนึกว่าอย่างไรลูกพี่ก็คงจะช่วยได้ เมื่อเข้าไปอยู่ในห้องขังก็ตั้งตาคอยลูกพี่ พอลูกพี่ไปถึงก็ขอพบกับสารวัตร นายสิบเวรก็พาไปห้องสารวัตร สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงทางห้องสารวัตรพูดเสียงดังอย่างโกรธจัดว่าว่า “เงินของคุณนึกว่าจะซื้อจิตใจของคนได้ทั่วไปหรือ ถึงผมจะอดตายก็ไม่ยอมเอาเงินสกปรกคุณ นี่ถ้าผมมีพยานรู้เห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น ผมจะเอาคุณเข้าห้องขังเดี๋ยวนี้”

ทันใดนั้นลูกพี่ก็รีบผลุนผลันออกจากห้องสารวัตรไปเลย เจ้าลูกน้องมองตาค้างอย่างหมดหวัง มันถูกใจผมเหลือเกิน มันได้สำนึกตัวหายหยิ่งเสียบ้าง แต่แล้วก็ไม่เห็นมันหาย แล้วคุณจะให้ผมเชื่อว่าจริงอย่างไร” แต่แล้วแกก็หยุดหัวเราะและพูดต่อไปเพราะมีมือมาโอบเอวเขาไว้ เหมือนเพื่อนที่รักใคร่กันอย่างสนิทสนมและมีเสียงพูดว่า

“คุยอะไรกันเพลินถ้าจะสนุกดี ขอผมมาคุยด้วยคนซิ” พอเพื่อนคนนั้นได้ยินเสียงเงยหน้าขึ้นก็ตาเหลือกเหมือนถูกผีหลอกกลางวันก็อ้าปากค้าง เพราะปรากฏว่าผู้ที่กำลังถูกนินทาเพลินอยู่นั่นเองมาอยู่ข้างหลังนานเท่าใดไม่มีใครรู้ แต่ผู้ถูกนินทานั้นไม่ได้แสดงกิริยาว่าได้ยินคำนินทา หรือโกรธแค้นที่ถูกนินทา หรือได้ยินแต่ไม่มีเอาใจใส่ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ เห็นแต่ยิ้มแล้วหันมาพูดกับข้าพเจ้าเป็นเชิงแนะนำว่า

“นี่เพื่อนเก่าแก่ของผม รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ” แล้วหันไปพูดกับเพื่อนคนนั้น ซึ่งกำลังยืนงงสงบสติอารมณ์พูดอะไรไม่ออกว่า

“วันนี้ขอให้อั๊วมีเกียรติไปส่งเพื่อนเก่าที่บ้านสักหน่อยนะ” ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า บัดนี้เพื่อนผู้นั้นไม่ผิดอะไรกับตุ๊กตาไขลานเดินขาแข็งๆ ปล่อยให้เพื่อนครึ่งลากครึ่งจูงไปขึ้นรถไม่ยอมให้ปฏิเสธ ก่อนที่จะขึ้นนั่งบนรถ เขาหันมามองข้าพเจ้าเหมือนกับรูปหุ่นแล้ว รำพึงออกมาว่า

“ถ้าจะจริงแฮะ” แล้วรถก็วิ่งออกไปจากสถานที่นั้น ข้าพเจ้ามองตามไปจนรถลับสายตาและอดนึกขำไม่ได้ ต่อจากวันงานประมาณเดือนเศษ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพูดโทรศัพท์กับเพื่อนผู้นั้น เมื่อพูดธุระเสร็จข้าพเจ้าจึงถามว่า “งานนั้นได้ยินเราคุยกันเรื่องอะไรหรือเปล่า ?”

เสียงหัวเราะตอบมาทางสายโทรศัพท์ว่า “ได้ยินรู้ว่าเกี่ยวกับตัวผมในทางไม่ดี”

ข้าพเจ้าถามว่า “แล้วคุณไม่โกรธหรือ” เสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีตอบว่า “แต่ก่อนผมอาจจะโกรธ แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่สนใจ ผมนึกถึงพระปิดทวาร”

ข้าพเจ้าชักสงสัยถามว่า “คุณได้พระปิดทวารมาจากไหน รูปร่างอย่างไร”

เสียงหัวเราะอย่างขบขัน ตอบว่า “เปล่า ผมไม่มี แต่ผมเคยเห็นท่านปิดหู ตา จมูก ปากและทวารหนัก ทวารเบา ก่อนผมไม่เคยสนใจ บัดนี้ผมสนใจและระลึกถึงท่านทางใจ องค์ที่อยู่บ้านคุณ..... ผมอยากจะบอกว่า เพื่อนผมผู้นั้นเวลานี้เขาได้ยกย่องชมเชยผม แทนที่จะนินทาด่าผมเหมือนแต่ก่อน”

เมื่อข้าพเจ้าวางหูโทรศัพท์แล้วก็ยังรู้สึกงงเหตุการณ์ของโลกนี้ ย่อมจะมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นเสมอ คิดว่าที่ข้าพเจ้าไม่รู้คงมีอีกมาก



.................... เอวัง ....................
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 8:02 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2006, 8:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขับรถใหม่ราคาแพงแซงขึ้นหน้า
รถเก่ามาเคียงใกล้ให้หลีกหนี
แถมเยาะเย้ยขับเป็นเต่าเก่าสิ้นดี
ขับเร็วรี่เสียกลางทางอ้างว้างใจ
เจ้าของรถคันเก่าผ่านมาพบ
ได้ประสบเหตุการณ์ช่วยแก้ไข
แม้รถเก่าขับเป็นเต่าไม่แล้งใจ
โปรดจำไว้ควรวัดคนที่ผลงาน
อย่าวัดคนที่วัตถุสดุดี
อย่าวัดที่ความจนไร้หลักฐาน
คนรวยทรัพย์แล้งน้ำใจไม่ให้ทาน
คนรวยนานรวยน้ำใจและความดี

ท.เลียงพิบูลย์
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง