Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อำนาจจิต (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 05 เม.ย.2006, 9:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

อำนาจจิต
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓



เช้าย่ำรุ่งวันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้าเขียนหนังสืออยู่ในห้อง เด็กเข้ามาบอกว่ามีคนขอพูดโทรศัพท์ด้วย ข้าพเจ้าต้องลุกจากโต๊ะด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก กลัวจะเป็นเรื่องเศร้า เพราะหลายครั้งเวลาเช้าตรู่รับข่าวโทรศัพท์ แจ้งถึงการสูญเสียเพื่อนรักและท่านที่นับถือหลายท่านอย่างเศร้าใจ เช้าวันนั้นเมื่อข้าพเจ้ายกหูโทรศัพท์ขึ้นพูด ก็ได้ยินเสียงบุตรชายของเพื่อนที่รักใคร่นับถือกันมากผู้หนึ่งพูดว่า

“คุณอาครับ คุณพ่อเข้าไปอยู่โรงพยาบาลแล้ว ผมต้องขอโทษที่บอกมาทางโทรศัพท์รบกวนคุณอาแต่เช้าตรู่ เพราะเมื่อวานผมไปหาที่ทำงาน คนที่นั่นเขาบอกว่าคุณอาออกไปรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อนๆ ตอนบ่ายผมไปหาอีกครั้งหนึ่งก็ทราบว่าคุณอายังไม่กลับ ผมจึงถือโอกาสโทรมารบกวนมาแต่เช้า คิดว่าถ้าสายคงจะไม่พบ ขออภัยให้ผมด้วย”

ข้าพเจ้าพอทราบข่าวเพื่อนไปอยู่โรงพยาบาลก็ไม่สบายใจ พูดขึ้นว่า “ไม่เป็นการรบกวนอะไร เพราะอาตื่นแต่เช้า บ่ายวานนี้อาไม่ได้กลับไปทำงาน อยากทราบว่าคุณพ่อเธอป่วยเป็นโรคอะไร ไปอยู่โรงพยาบาลไหน”

เสียงตอบมาว่า “ยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร หมอยังไม่บอก ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล.............. ตึก.......... ห้อง........... คุณพ่อสั่งให้ผมมาบอกว่า “ถ้าคุณอามีเวลาว่างพอ คุณพ่ออยากจะสนทนาด้วย”

ข้าพเจ้าตอบไปว่า “ขอบใจที่บอกให้อาทราบ อามีเวลาว่างสำหรับคุณพ่อเธอเสมอ คุณแม่เธออยู่ที่บ้านหรือเปล่า อาอยากพูดด้วย”

เสียงตอบว่า “คุณแม่ไปคอยดูแลคุณพ่อที่โรงพยาบาลครับ”

ข้าพเจ้าพูดไปว่า “ทำไมไม่จ้างนางพยาบาลพิเศษล่ะ”

เสียงตอบมาว่า “จ้างพยาบาลพิเศษแล้วครับ แต่คุณแม่ยังเป็นห่วงต้องไปนอนด้วย”

หลังจากรับโทรศัพท์แล้ว ข้าพเจ้าก็ตั้งใจว่าจะต้องรีบไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล และคิดว่าการป่วยของเพื่อนครั้งนี้คงมีอาการไม่น้อย เพราะตามธรรมดาเพื่อนผู้นี้เป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็งมาก ไม่ยอมแพ้การเจ็บป่วยง่ายๆ หากไม่มากคงจะไม่ยอมไปนอนโรงพยาบาลเป็น

วันนั้นหลังจากไปที่ทำงานตอนเช้าแล้ว พอสายหน่อยข้าพเจ้าก็ตรงไปโรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วง เมื่อไปถึงไม่ต้องหันหาตึกหาห้องให้ลำบากเพราะได้ทราบมาก่อน พอขึ้นไปบนตึกชั้นบนมองเห็นหมายเลขห้องและมีป้ายติดชื่ออยู่หน้าห้องอย่างถูกต้อง จึงใช้นิ้วเคาะบังตาเบาๆ พอคนข้างในได้ยินเสียงค่อยพอที่จะไม่รบกวนคนไข้

ทันใดนั้น หญิงผู้เป็นภรรยาของเพื่อนก็ผลักบังตาจากข้างในเดินออกมา พอเห็นก็จำได้ดีใจที่ข้าพเจ้ามาเยี่ยม และได้บอกให้ทราบว่าผู้ป่วยกำลังหลับสนิท เพราะเมื่อคืนคนไข้สนใจนอนอ่านหนังสือเรื่องธรรมะอยู่จนดึก ห้ามก็ไม่ฟัง เราจึงถือโอกาสนั่งสนทนาซักถามถึงอาการป่วยอยู่นอกห้อง ภรรยาของเพื่อนก็เล่าอาการป่วยให้ฟังนับเริ่มแต่แรก ตลอดจนนำมาศึกษาที่โรงพยาบาลอย่างถี่ถ้วน แล้วระบายความรู้สึกให้ทราบตามสมควร ข้าพเจ้าถามถึงนายแพทย์ที่รักษาประจำลงความเห็นว่าเป็นโรคอะไรแน่

ทันใดนั้น ก็เห็นภรรยาของคนไข้ได้เปลี่ยนสีหน้าเป็นสลดลงและเศร้ามาก เสียงที่พูดก็ค่อยลงจนกลายเป็นเสียงกระซิบ ทำให้ข้าพเจ้านึกรู้ว่าคงเป็นโรคที่ร้ายแรงแน่ แล้วก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ว่า “หมอลงความเห็นว่าเป็นโรคมะเร็ง และเข้าขั้นอันตรายมีทางรักษาน้อยมาก คงอยู่ได้ไม่นานถ้ามาเร็วหน่อยก็ยังมีหวัง”

เสียงนั้นเจือปนด้วยเสียงสะอื้น ข้าพเจ้าต้องสะดุ้งใจหายวาบขึ้นมา เพราะไม่คิดว่าจะมาได้ยินโรคร้ายเช่นนี้ เกิดสลดสะเทือนใจขึ้นมาทันที ข้าพเจ้าต้องนิ่งสงบใจเพื่อปรับปรุงตัวเองให้ความรู้สึกเข้าสู่ปรกติ

เมื่อสมัยก่อนสงคราม คำว่า “มะเร็ง” ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจเพราะยังไม่คุ้นเคยรู้เรื่องว่า “มะเร็ง” ร้ายแรงเพียงไร ภายหลังโรคมะเร็งร้ายได้ทำลายชีวิตเพื่อนๆ ที่รักใคร่นับถือสนิทสนมไปหลายท่านแล้ว ต่อมาเมื่อใครป่วย ได้ยินว่าเป็นโรคมะเร็งก็เกิดความเศร้าสลดใจ พูดอะไรไม่ถูก บัดนี้โรคมะเร็งได้เกิดขึ้นกับเพื่อนที่ข้าพเจ้ารัก ที่ข้าพเจ้านับถือ มันทำให้ร่างกายตื่นเต้นเย็นชา กระทบกระเทือนในทางความรู้สึก

ข้าพเจ้าไม่อยากให้เพื่อนดีๆ ต้องจากไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ยังเสียดายอาลัยความดีของเพื่อน อยากให้มีชีวิตอยู่ไปนานๆ สมองงงความรู้สึกปั่นป่วนทางจิตใจทั้งรักและมีความเสียดาย เพราะความรู้สึกของข้าพเจ้ายังเป็นมนุษย์ปุถุชนที่ยังอยู่ในกิเลสตัณหา ย่อมอ่อนไหวไปตามอารมณ์ของมนุษย์ธรรมดาทั่วๆ ไป จนภรรยาของคนป่วยพูดอะไรบ้างข้าพเจ้าก็ไม่ได้ยิน เพราะใจลอยไปครู่หนึ่ง ต้องพูดเตือนทวนคำจึงรู้สึกตัว ได้ยินเสียงกระซิบว่า

“ที่ดิฉันบอก อย่าไปพูดบอกให้คนป่วยรู้เรื่องเป็นอันขาดทีเดียวนะ ประเดี๋ยวรู้แล้วจะเกิดช็อกขึ้นมา เพราะเสียกำลังใจ เคยเห็นมาหลายรายแล้ว พอรู้ว่าตัวเป็นโรคร้ายรักษาไม่หายเท่านั้น ก็ตกใจ หน้าตาเปลี่ยนสีซีดเผือดลงทันที ซึมไปเลยกลายเป็นใบ้ ไม่ยอมพูดจากินไม่ได้นอนไม่หลับเสียกำลังใจหมด ทำให้ร่างกายทรุดโทรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พอที่อายุจะยืนยาวไปอีกก็สั้นลง กำลังใจไม่ดีโรคน้อยก็กลายเป็นโรคมาก ถ้ากำลังใจดี โรคมากก็กลายเป็นโรคน้อย ดิฉันกลัวมาก อยากให้แกอยู่ได้นานที่สุดที่จะนานได้ ยังจะมีโอกาสที่จะได้เห็นหน้ากัน”

ข้าพเจ้าพยักหน้ารับคำ ว่าจะไม่บอกกับคนไข้ตามสัญญา ภรรยาของคนไข้ขอตัวเข้าไปดูในห้องว่าคนไข้ตื่นหรือยัง ครู่หนึ่งก็ผลักบังตาออกมาพยักหน้าบอกว่า

“ตื่นแล้วค่ะ เชิญเข้ามาได้”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นเดินตามเข้าไป มองเห็นผู้ป่วยกำลังหนุนหมอนสูงครึ่งนั่งครึ่งนอนโบกมือ ยิ้มต้อนรับอยู่บนเตียง ยังไม่ทันถามอะไรคนไข้ก็คว้ามือให้เข้าไปนั่งใกล้ๆ โดยให้นางพยาบาลพิเศษช่วยยกเก้าอีตั้งไว้ใกล้เตียงนอน ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณก่อนนั่งลงแล้วพิจารณา ดูหน้าตาท่าทางของคนป่วย แม้จะมีหน้าซีดเซียวลงบ้าง แต่กิริยาท่าทางไม่บอกว่ามีความวิตกทุกข์ร้อนในการป่วยครั้งนี้ ยังมีกิริยาท่าทางร่าเริงเช่นเดิม ทำให้ข้าพเจ้าสงสารอย่างจับใจ นึกแต่ในใจว่า เพื่อนคงยังไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคร้ายแรง มองดูหน้าเพื่อนแล้วอดกลั้นความรู้สึกเศร้าสะเทือนใจไว้ไม่อยู่ เพื่อนยิ้มแล้วก็พูดว่า

“นั่งลงทำจิตใจให้สบายเถิด คุณเข้ามาในบริเวณโรงพยาบาล ซึ่งสถานที่เต็มไปด้วยความทุกข์ก็จริง แต่คุณทำจิตใจให้สบายเป็นปรกติได้อย่าไปพลอยทุกข์กับเขาด้วยเลย คิดว่าการเจ็บป่วยเป็นของธรรมดาเป็นธรรมชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วใจเราก็จะสบาย”


(มีต่อ ๑)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 7:48 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 05 เม.ย.2006, 10:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้ายังไม่ทันจะได้พูดโต้ตอบอะไรออกไป ก็ได้ยินคนไข้สั่งภรรยาให้ไปหาซื้ออาหารตามเหลาหรือภัตตาคารที่มีชื่อ และได้กำชับว่าต้องไปซื้อตามที่สั่ง อย่าไปซื้อที่ภัตตาคารอื่นเป็นอันขาด ก่อนจะออกจากห้อง ภรรยาผู้ป่วยหันมาสั่งให้ข้าพเจ้านั่งสนทนาไปพลางก่อน อย่าเพิ่งรีบกลับจนกว่า เธอจะกลับมาจากซื้ออาหาร ข้าพเจ้าพยักหน้ารับคำ

เมื่อภรรยาของเพื่อนออกไปแล้ว ผู้ป่วยก็ขอร้องให้นางพยาบาลพิเศษหาน้ำอะไรเย็นๆ มาให้ข้าพเจ้าดื่ม แล้วบอกว่าอยากจะสนทนากับข้าพเจ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ช้าภายในห้องก็เหลือเราเพียงสองคนเท่านั้น ข้าพเจ้าสงสัยถามขึ้นว่า

“คุณคงอยากทานอาหารเหลาจึงให้คุณนายไปหาซื้อที่ไกลๆ เช่นนี้ กว่าจะกลับมาก็เสียเวลาเป็นชั่วโมงๆ”

เพื่อนผู้ป่วยหัวเราะอย่างขบขันแล้วพูดว่า “เปล่า เรื่องอาหารผมไม่สนใจ ไม่อยากกินอะไรเลย แต่ที่ใช้ให้ภรรยาผมไปซื้อไกลๆ ก็เพื่อเราจะได้มีเวลาสนทนาเป็นส่วนตัวได้นานๆ เพราะถ้าแกอยู่ก็คอยเป็นห่วงผมทุกฝีก้าว เราคงคุยกันไม่สะดวกแน่”

ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “แต่เราก็ไม่เคยมีความลับอะไรที่จะต้องปิดบังคุณนายนี่ครับ”

เพื่อนหัวเราะแล้วพูดว่า “มีชิ คราวนี้มี คุณอยากรู้ว่าผมป่วยเป็นโรคอะไรไหมล่ะ ? แต่ถ้ารู้แล้วก็ต้องปิดเป็นความลับนะ อย่าบอกภรรยาผมหรือใครรู้ไม่ได้เป็นอันขาดทีเดียว”

ข้าพเจ้านึกสงสัยจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตกลงครับ ผมจะไม่พูดบอกใคร” เพื่อนแสดงความพอใจแล้วก็ยื่นหน้ามากระซิบว่า

“ผมเป็นมะเร็งร้ายแรง ไม่ช้าผมก็จะจบฉากแสดงละครชีวิตกันเสียที”

ข้าพเจ้าต้องสะดุ้งตกใจอีกครั้งหนึ่ง แล้วคนไข้พูดต่อไปว่า “คุณไม่ต้องตกใจมันไม่ใช่ของแปลกประหลาดอะไร ทำจิตใจให้ปรกติมันเป็นเรื่องเกิด ดับ ทั่วไป เรารู้ความจริงแล้วก็เป็นของธรรมดาไม่ต้องกลัว”

ข้าพเจ้าฟังแล้วประสาทชางงไปหมด นี่เป็นความจริงหรือความฝันกันแน่ ที่คนไข้เป็นโรคร้ายแรงที่มีคนหวั่นกลัวกันทั่วโลก แต่แกคุยด้วยท่าทางตลกคะนองเหมือนคนปรกติไม่ป่วยไข้ กิริยาท่าทางมิได้สะดุ้งหวาดกลัว มีใจเยือกเย็นสุขุม กลับพูดปลอบขวัญผู้คนที่มาเยี่ยมไม่ให้วิตกทุกข์ร้อน ข้าพเจ้าเกือบไม่เชื่อหูที่ได้ยิน ไม่เชื่อตาที่ได้เห็น อดที่จะเอามือลูบคลำลำคอ ลูบใบหน้าตัวเอง ดูบางส่วนของร่างกายที่อยู่บริบูรณ์อย่างไม่เชื่อใจ แล้วก็หยิกใบหูว่าจะเจ็บหรือเปล่า

เพราะยังสงสัยว่านี่เป็นความจริง หรือเราฝันกันแน่ เพราะเป็นเรื่องผิดปรกติ บุคคลธรรมดาคล้ายฝัน ซึ่งข้าพเจ้าเกิดมายังไม่เคยพบเคยเห็นบุคคลที่มีจิตใจเข้มแข็งเยือกเย็นเช่นนี้มาก่อน ทำให้ประสาทตื่นเต้นงงงวยจนพูดอะไรไม่ถูก แต่แล้วก็ได้ยินเสียงผู้ป่วยหัวเราะอย่างขบขัน แล้วพูดต่อไปว่า

“ดูคุณยังมีความวิตกทุกข์กังวลในการป่วยไข้ของผมมาก ผมขอร้องให้คุณทำจิตใจให้สบาย แต่ผมก็ต้องขอขอบคุณที่มีใจเป็นห่วงรักเพื่อนฝูง มีความอาลัยด้วยความหวังดี ต่อไปนี้ผมขอให้คุณหายวิตกกังวลได้แล้ว ดูผมชิ เป็นคนเจ็บไข้แท้ๆ แต่ผมก็ไม่วิตกทุกข์ร้อนกังวลอะไรเลย การเจ็บป่วยเราห้ามไม่ได้ก็ปล่อยไปตามทางของหมอเขา แต่จิตของเรานั้นห้ามได้ ไม่ให้รับความรู้สึกไว้ให้เป็นวิตกกังวลจะเกิดทุกข์ร้อน”

ข้าพเจ้าได้ฟังก็ค่อยหายงง แต่ก็อดนึกไม่ได้ที่เคยเห็นคนป่วยและเยี่ยมได้มามากมาย ซึ่งเป็นโรคชนิดร้ายแรง ความรู้สึกแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน บางท่านมีความวิตกกังวลในความเจ็บไข้ ทำให้มีอารมณ์ฉุนเฉียวใจน้อยโกรธง่าย ใครทำอะไรไม่ถูกใจก็ดุดาว่าไปตามอารมณ์ บางท่านเมื่อมาอยู่โรงพยาบาลทำให้อารมณ์หงุดหงิด เพราะอยู่ในบ้านของตัวเคยเป็นใหญ่ทำอะไรได้ตามใจชอบ เมื่อมาอยู่โรงพยาบาลต้องอยู่ในระเบียบไม่เป็นอิสระเหมือนอยู่บ้าน ทำอะไรได้ตามใจตัวเอง ใครทำอะไรให้ไม่ถูกใจก็โกรธง่าย ญาติพี่น้องลูกหลานเข้าหน้าไม่ติด

แต่ไม่เคยพบเห็นผู้มีจิตใจเยือกเย็น ไม่มีความสะดุ้งสะเทือน มนุษย์ทุกคนเข้าใจว่าความตายเป็นภัยใหญ่ที่สุดในสิ่งที่มีชีวิตของสัตว์โลก เพราะความตายจะต้องพลัดพรากจากความรัก จากทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดทั้งญาติพี่น้องบุตรภรรยาสามีที่หวงแหน ตลอดในทรัพย์สินสมบัติเงินทองทุกสิ่งทุกอย่างก็สูญสิ้นหมดไป

บางครอบครัวมีกรรม หัวหน้าบ้านป่วยหนักสังขารร่างกายยังไม่ทันจะแตกดับ วิญญาณยังไม่ออกจากร่าง ทรัพย์ที่เคลื่อนไหวได้ก็ถูกฉกชิงยื้อแย่งกัน จิตใจของมนุษย์ทุกวันนี้ส่วนมากต่างเห็นแก่ตัวแม้ในหมู่ญาติ ความสนใจในการเจ็บป่วยของคนไข้บางรายนั้นมีน้อยกว่าทรัพย์สมบัติ ข้าพเจ้าปล่อยให้สมองรู้สึกฟุ้งซ่านไกลออกไปจากการสนทนา ต่อเมื่อคนป่วยพูดขึ้น ข้าพเจ้าจึงตื่นจากภวังค์ เพื่อนพูดว่า

“คำว่า ตาย นั้นมีอำนาจร้ายแรงสั่นสะเทือนจิตใจให้คนหวาดกลัว คนส่วนมากไม่อยากได้ยินคำว่าตายด้วยกันทั้งนั้น ต่างก็นึกว่าความตายจะต้องเจ็บปวดทุกขุมขน ต้องทนทุกข์เวทนาแสนสาหัสกว่าจะสิ้นใจ คนเรานึกกันอย่างนี้มาแต่โบราณ ทำให้น่ากลัว น่าหวาดเสียว น่าสยดสยองที่สุด พวกกลัวตายต่างวาดภาพความรู้สึกไว้หลอกตัวเองอยู่ตลอดมา ความกลัวมากจนไม่กล้าสู้กับความจริง ส่วนมากต่างก็ไม่รู้จักความตายดีเพราะไม่เคยตาย และไม่ได้ศึกษาว่าความตายเป็นของที่น่ากลัวจริงหรือไม่

ทั้งที่เราต่างก็รู้ว่าความตายไม่มีใครหนีพ้น แต่คนเราก็ยังหวาดกลัวไม่อยากได้ยินได้ฟังว่าความตายเข้ามาใกล้ตัว บางคนหลับตาปิดหูหันหลังอยากจะวิ่งหนี เมื่อเราหนีไม่พ้นทำไมเราไม่หันหน้ามาสู้ความจริง ศึกษาให้รู้ถึงแก่นก็จะรู้ความจริงว่า ความตายเป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัว เพราะคนเราต้องตายด้วยกันทุกคน ในปัจจุบันนี้วันนี้ (พ.ศ. ๒๕๐๓) พลโลกทุกชาติทุกภาษาในโลกทั้งผิวขาวผิวเหลืองผิวแดงดำ ทั้งทารกแรกเกิดหญิงชายเด็กผู้ใหญ่รวมทั้งหมดประมาณสามพันกว่าล้านคน จะต้องตายหมดไม่มีเหลือที่จะได้มีโอกาสอยู่เห็นงานฉลองปีใหม่ พ.ศ. ๒๗๐๐”


ข้าพเจ้าได้ฟังไม่ทันคิด ก็ตกใจรีบถามว่า “ถ้าไฟประลัยกัลป็มาล้างโลกกระมัง ?” เพื่อนหัวเราะพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล มันเป็นหลักของความจริง ไม่ใช่การทำนายล่วงหน้าอะไรทั้งหมด”

เมื่อข้าพเจ้าหวนคิดตามหลักธรรมชาติก็เห็นจริง ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสในความรู้สึกไม่หวาดหวั่นพรั่นกลัวของเพื่อนผู้นี้ยิ่งนัก รู้สึกจิตใจของตัวพลอยเข้มแข็งไปด้วย นึกว่าคนเรานั้นได้พบคนกล้าก็ทำให้จิตใจพลอยกล้าไปด้วยเหตุผล นอกจากนั้นข้าพเจ้าได้ยินคนป่วย พูดต่อไปว่า

“ผมเตรียมจิตใจไว้พร้อมแล้ว จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่แปลกอะไร”


(มีต่อ ๒)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 7:50 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 05 เม.ย.2006, 10:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อข้าพเจ้าได้ยินก็มีความรู้สึกศรัทธาในตัวเพื่อนยิ่งนัก จึงซักถามว่า

“คุณไปได้หลักอะไรมาปฏิบัติถึงได้ผลเช่นนี้”

เพื่อนผู้ป่วยหัวเราะด้วยความพอใจว่า “ให้ถามปัญหาถามตัวเองอย่างใจคนธรรมดาดูบ้างว่า ถ้าเราป่วยไข้รู้ตัวว่าจะต้องตาย ความรู้สึกของเราจะเป็นอย่างไร เราทำจิตให้ความรู้สึกเหมือนคนป่วยจริง บางทีเราอาจตกใจกลัวตายหรือช็อกขึ้นเกิดความทุกข์หนัก เป็นมารร้ายก็จะมาเข้าสิงในความรู้สึกที่ทรมานจิตใจ เกิดมีความเป็นห่วงเสียดายทุกอย่างที่คิดว่า เป็นของตัวทั้งบุตร ภรรยา หรือสามี ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงแล้ว เกิดจิตหวั่นไหวกลัวความตายใจหายขึ้นมาเป็นทุกข์เป็นร้อน

บางท่านที่เป็นคนใหญ่คนโตก็เกิดเสียดายตัว เสียดายความสุขความสบาย เสียดายบ้านช่อง ทั้งสมบัติมากมาย เสียดายอำนาจตำแหน่งที่มีคนเคารพกราบไหว้ เอาใจพะเน้าพะนอด้วยความเกรงกลัว ยิ่งคิดยิ่งเสียดาย เสียใจ คนประเภทในสมองปั่นป่วน จะเป็นบ้าที่สุดความรู้สึกก็ครึ่งฝันครึ่งตื่น ครึ่งดีครึ่งบ้าสติฟั่นเฟือน ความรู้สึกห่างไกลจากโลกมนุษย์ เหมือนถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวห่างจากความสุขสบายทั้งปวง ไม่รู้โมงยาม ไม่รู้กลางวันกลางคืน ความรู้สึกทางประสาทมันแตกกระจายหมด เลอะเลือนจับต้นชนปลายไม่ถูก ที่สุดก็ไม่รู้ว่าตัวเป็นใคร กำลังเป็นอะไร นอนตาค้างรอเวลาตาย

นี่ก็เพราะยังนึกว่าสังขารร่างกายยังเป็นของเรา ตัดไม่ขาดยังหลงใหลไม่อยากจากโลกมนุษย์ ยังไม่อยากตาย ทั้งที่กำลังจะตายก็ยังโลภหลง ผู้ที่ยังหลงในกิเลสก็มีความรู้สึกเป็นเช่นนี้แหละครับ ถ้าเราไม่ประมาท ศึกษาหาความรู้ให้รู้เห็นความจริงด้วยสติปัญญา รู้ว่าความตายเป็นการจากโลกนี้ไปอย่างธรรมดาไม่น่ากลัว

สังขารร่างกายที่เรียกว่าตัวเรามันก็ไม่ใช่ของเรา เป็นของที่ไม่เที่ยงแท้เกิดแล้วก็ดับ อย่ายึดถือว่าเป็นของเรา เหลือแต่จิตและความรู้สึกที่ยังเป็นของเรา บังคับด้วยหลักธรรมให้อยู่ในความสงบ ไปตามธรรมชาติว่า เราจะอยู่หรือเราจะตายไม่สนใจไม่เดือดร้อนตัดความรู้สึกทางโลกหมด ทำจิตให้บริสุทธิ์ไม่เศร้าหมองเมื่อจิตจะดับก็อยู่ในความสงบวิญญาณก็คงต้องเข้าสู่สุคติ”

เมื่อข้าพเจ้าได้สนทนากับเพื่อนผู้ป่วยที่ไม่กลัวมรณภัยแล้ว ทำให้เกิดกำลังใจเมื่อได้รับคำชี้แจง ก็มองเห็นความจริงว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตายด้วยกันทุกคน แล้วเราจะมามัวหวาดสะดุ้งกลัวความตายอยู่ทำไม เมื่อเราได้ศึกษารู้ถึงแก่นความจริงแล้วก็ไม่น่ากลัว ทั้งเมื่อเรามีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้สร้างอะไรร้ายแรงไว้ในโลกมนุษย์มาก พอจะสะดุ้งกลัวว่าจะมีคดีเป็นเงาติดตามไปสู่โลกหน้า เมื่อคิดได้เช่นนี้จิตใจก็สบายขึ้น แต่แล้วก็มานึกเปรียบเทียบชีวิตของบุคคลแต่ละคน ย่อมมีจิตใจไม่เหมือนกัน

ทำให้นึกถึงเรื่องนักการเมืองในสมัยหนึ่ง ไม่นานนักได้ถูกตัดสินให้มีการประหารชีวิตที่คุกบางขวาง ในหมู่ที่ถูกประหารนั้นมีอยู่สองท่านที่ข้าพเจ้าเคยรู้จัก คือท่านผู้หนึ่งเมื่อทราบว่ากำหนดโทษประหารก็เป็นลมช็อกทันที อีกท่านหนึ่งพอทราบการประหารก็ยิ้มรับโดยไม่มีความหวาดหวั่น หรือมีความสะทกสะท้านประการใด มีจิตใจเข้มแข็ง เมื่อถึงเวลาประหารก็เดินร้องเพลงไปตามทางเข้าสู่ที่ประหาร มิได้สะดุ้งหวาดกลัวต่อมรณภัย เห็นจะเป็นเพราะได้พิจารณาถึงความจริงว่าความตายเป็นของธรรมดา

ส่วนอีกท่านหนึ่งมีความหวาดกลัวจนสติเสีย เห็นจะเป็นเพราะยังมีความอาลัยเสียดายความสุขและทรัพย์ จนประสาทเสียหมดความรู้สึกก่อนที่จะประหาร เมื่อถึงเวลาเข้าที่ประหารต้องมีผู้พยุงแขนสองข้างค่อยๆ ก้าว ความรู้สึกเหมือนตายก่อนถึงที่ประหาร

นี่ก็ชี้ให้เห็นว่าบุคคลย่อมมีจิตใจเข้มแข็งและอ่อนแอแตกต่างกัน
ส่วนผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งย่อมไม่ตายง่าย จะเห็นได้หลังจากเพชฌฆาตได้ปล่อยกระสุนปืนกลตรงเป้าไปหนึ่งตับแล้วท่านผู้มีใจเข้มแข็งนั้นยังไม่ตาย ตะโกนร้องบอกว่า อั๊วยังไม่ตายขอให้ยิงซ้ำอีก นี่เป็นเรื่องน่าคิดนำมาประกอบ ข้าพเจ้าขอรับว่าได้ยินจากผู้เล่าให้ฟังและเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ ข่าวนี้ได้รับหลังจากได้ประหารนักโทษการเมืองแล้วในวันรุ่งขึ้น จะเท็จจริงประการใด คงจะมีผู้ทราบเหตุการณ์ในเวลานั้นอีกจำนวนไม่น้อย เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นเพื่อนผู้ป่วยพูดมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วก็อยากให้พัก จึงบอกว่า

“คุณได้ใช้เวลาสนทนากับผมมานานแล้ว ควรจะมีการพักผ่อนเสียบ้าง เพราะมันจะทำให้เกิดความเหน็ดเหนื่อยมากเปล่าๆ ผมมารบกวนนานแล้ว”

เสียงเพื่อนหัวเราะโบกมือห้ามแล้วพูดว่า “ผมรู้ตัวรู้กำลังของผมดี คุณไม่ต้องเตือนผม เพราะผมอยากจะใช้เวลาเหลืออยู่อีกไม่นานนัก ขอใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะได้ คุณอย่าห่วงผมเลย แม้โรคจะร้ายแรง แต่จิตผมเข้มแข็ง ถ้าคุณมีความข้องใจเรื่องอะไร ถามมาผมตอบได้ก็จะตอบ ถ้าไม่รู้ก็บอกตรงๆ ว่าตอบไม่ได้”

ข้าพเจ้าตอบขอบใจ แล้วรู้สึกว่าความสงสาร ความรัก ความอาลัยเพื่อนเมื่อแรกก็ค่อยๆ คลายลง เพราะเพื่อนไม่ประสงค์จะให้ข้าพเจ้ายึดถือจริงจังว่าเป็นตัวเป็นตน กลัวจะทำให้เกิดทุกข์ขึ้นในความรู้สึก นึกภูมิใจที่ข้าพเจ้ามีเพื่อนรักที่มีคุณธรรมสูงได้ช่วยจูงจิตใจสูงไปด้วยกำลังนึกคิดก็ได้ยินเสียงเพื่อนถามซ้ำว่า

“คุณมีเรื่องอะไรถามผมไหม ?”

ข้าพเจ้ารีบตอบขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง และรู้สึกว่าตัวมัวคิดเพลิน จึงรีบพูดขึ้นว่า “ผมอยากทราบว่าธรรมบทใดที่เป็นประโยชน์ทั่วไป เพื่อเตือนความรู้สึกของสังคมเราทุกวันนี้กำลังเมามัวหลงงมงาย เพื่อให้ผู้ที่ยังหลงผิดเป็นชอบหูตาสว่างขึ้นบ้าง”

เพื่อนผู้ป่วยหัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นอยากจะชักตัวอย่างใกล้ๆ ในโรงพยาบาลนี่แหละไม่ต้องไปไกล ทางธรรมะสอนให้เราเห็นความทุกข์ เพื่อจะได้พิจารณาด้วยสติปัญญา คนเราเวลาทุกข์ใจมีมากเวลาสบายใจมีน้อย ชี้ให้เห็นความจริงจะได้เตือนเราให้ดับความโลภ ความรัก ความหลง ความโกรธอย่างงมงาย

ผมอยากจะให้คุณไปเที่ยวเดินดูในโรงพยาบาลนี้ตามตึกตามห้องคนไข้ให้ทั่ว แล้วก็ใช้สติปัญญาพิจารณาตามหลักธรรมะว่า ทุกรูปทุกนามเกิดมารับทุกข์ร่วมกันนั้นเป็นความจริงเพียงไร ลองไปเดินดูตามห้องคนป่วยก็จะพบความจริงว่าท่านผู้อยู่ห้องพิเศษก็ดี หรืออยู่ห้องชั้นหนึ่ง หรือตึกอนาถามีเตียงเป็นทิวแถว มีคนไข้นอนกันแน่นหมดทุกเตียงทุกห้อง มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ หญิงชาย หนุ่มสาวและคนแก่คนเฒ่า ทั้งไทยและต่างภาษา

ทุกคนที่เข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลต่างก็มีความทุกข์ด้วยกัน เป็นทุกข์หนัก เพราะคนป่วยที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาลส่วนมากก็มีอาการหนัก เพราะไม่หนักส่วนมากก็ไม่ค่อยยอมมารับการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นทางผ่าตัดหรือรักษาทางยา ก็มีอยู่สองทางคือ ถ้าไม่หายก็ตาย ฉะนั้นทั้งคนไข้และญาติพี่น้องเพื่อนฝูงต่างก็มีหน้าเศร้ากลัวจะตายด้วยกันทุกคน นี่ก็ชี้ให้เห็นมุมหนึ่งของความทุกข์

คราวนี้เราแยกจากโรงพยาบาล ใช้สติปัญญามองด้วยความรู้สึก ตามศาลสถิตยุติธรรมก็ดี ตามเรือนจำก็ดี ตามสถานีตำรวจก็ดี ความทุกข์มีความรู้สึกแตกต่างกัน ต่างแฝงไว้ซึ่งความทุกข์อยู่ทุกหนทุกแห่ง ตลอดจนที่ทำการทั่วๆ ไปก็ยังแฝงไว้ซึ่งความทุกข์ เกิดด้วยความอิจฉาริษยาค่อยแย่งชิงตำแหน่งหน้าที่ ตลอดในที่บ้านเมืองที่อยู่อาศัยของประชาชนพลเมือง ความทุกข์ก็เข้าแฝงไว้ทุกแห่ง ตลอดทั้งนี้สุดทางวัดซึ่งเป็นที่สอนพระธรรม ให้ผู้หลุดพ้นกิเลสตัณหาก็ยังมีทุกข์แฝงอยู่ นี่เพียงให้เห็นอย่างหยาบๆ ถ้าอยากทราบละเอียดโปรดไปพิจารณาดูเอาเอง ทุกข์มีอยู่ทั่วทุกตัวคนที่ยังอยู่ในกิเลสตัณหา”

ข้าพเจ้าถามขึ้นว่า “ถ้าคนเรารู้แจ้งถึงความทุกข์และความตายแล้ว จิตก็คงจะท้อถอยทำให้ไม่อยากได้ลาภและยศ อำนาจและทรัพย์ เงินทองเพราะเห็นไม่จำเป็น ความรู้สึกเช่นนี้มิทำให้คนเกียจคร้านหรือ เขาจะพูดกันว่าคนเรียนธรรมะแล้วเป็นคนขี้เกียจไม่รักความก้าวหน้า”

คนไข้หัวเราะอย่างถูกใจแล้วพูดว่า “นั่นเป็นการเข้าใจผิดมาก ธรรมของพระพุทธเจ้ามิได้สอนให้คนขี้เกียจ แต่สอนให้เรามีศีลธรรมสัมมาอาชีวะในทางสุจริต โลกกับธรรมยังต้องพึ่งกันอยู่ตลอดไป ลาภ ยศ อำนาจ ได้มาด้วยความสุจริต ตกอยู่กับผู้อยู่ในศีลธรรม ย่อมจะนำไปทำเป็นประโยชน์แก่สัตว์โลกที่เกิดมาร่วมทุกข์ด้วยกัน จะก่อให้เกิดเป็นสาธารณสุขกุศลย่อมจะเป็นประโยชน์นำความสุขมาสู่ประชาชน ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขเพิ่มพูนบารมีของท่านผู้นั้นต่อไป แต่หากว่าลาภยศอำนาจไปตกอยู่กับคนพาลสันดานชั่วเช่นกัน ก็จะนำไปใช้ในทางทุจริตผิดศีลธรรมชั่วร้าย ประชาชนก็จะเดือดร้อน เพราะการเห็นแก่ลาภยศอำนาจไม่รู้อิ่มของผู้ครองอำนาจ”


(มีต่อ ๓)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 7:54 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 05 เม.ย.2006, 10:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้าถามต่อไปว่า “การทำบุญให้ทานในสมัยนี้ทำอย่างไรจึงจะได้ผลสมบูรณ์ จะไม่ผิดอย่างที่เรียกว่า ทำดีได้ชั่ว”

เพื่อนคนไข้ตอบว่า ก็ตามความรู้สึกของผมคิดว่า “ถ้าเราจะทำบุญก็ต้องหาพระสงฆ์ที่มีศีลบริสุทธิ์ เราก็จะได้บุญกุศลสมบูรณ์ตามความตั้งใจจะอุทิศกุศลให้ผู้ใดก็สมตามความประสงค์ ส่วนบุคคลที่เราจะประกอบทานช่วยเหลือพิจารณาดูให้ดี ผมเคยให้เงินช่วยเหลือเป็นทานแก่ชายผู้หนึ่งเขาอ้อนวอนอ้างถึงความทุกข์ยาก ผมก็คิดว่าเขาคงจะยากจนและเงินคงจะช่วยต่อชีวิตของเขาและครอบครัว แต่ตรงข้ามกลับทำให้ชีวิตเขาสั้นลง คือภายหลังได้ทราบว่า เมื่อเขาได้เงินจากผมแล้วก็เดินเข้าโรงเหล้าดื่มเมาเป็นครั้งสุดท้าย

เพราะหลังจากเขาดื่มเหล้าเมาตุปัดตุเป๋ไปตามถนน แล้วก็ถูกรถยนต์ชนตาย และรถยนต์คันนั้นก็ขับหนีไปต้องนอนตายเปล่าข้างถนน นี่ก็เรียกได้ว่า ทำดีแต่ได้ชั่ว และยังมีตัวอย่างอีกมากมาย ต่อมาผมตั้งใจไว้ว่าจะไม่ยอมช่วยคน ๒ ประเภทชนิดหนึ่งคือ นำเงินไปซื้อสุราเครื่องดองของเมา หรือพวกยาเสพติดชนิดร้ายแรง เช่น เฮโรอีน เป็นต้น อีกชนิดหนึ่งคือ คนอกตัญญู เป็นคนชั่วที่ไม่รู้จักบุญคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณ คนพวกนี้ให้อยู่ในบ้านใคร บ้านนั้นก็จะเป็นเสนียดจัญไร ถ้าพบคนชนิดนี้ให้หลบหลีกให้ไกล คนอกตัญญูไม่มีความซื่อกับใคร ผมเห็นมามากแล้ว”


เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังเช่นนั้น ก็มีความรู้สึกว่าเพื่อนผู้นี้ช่างมีความรู้ประกอบเหตุผล การปฏิบัติจิตใจได้ดีจึงพูดว่า “ผมมีความเลื่อมใสในตัวคุณมาก ไม่เคยรู้เลยว่าคุณได้ศึกษาธรรม ได้ค้นคว้าหาเหตุผลจนได้เห็นความจริง ทำให้ผมเกิดมีกำลังใจเข้มแข็งไปด้วย ผมดีใจจริงๆ เมื่อก่อนผมไม่เคยรู้ และคุณไม่เคยบอกผมเลย”

คนไข้หัวเราะอย่างขบขันแล้วพูดว่า “คนที่เขาศึกษาการปฏิบัติธรรมจริงๆ ไม่มีใครเขาไปเที่ยวคุยโอ้อวดฟุ้งซ่าน และผมก็ยังรู้ไม่พอที่จะโอ้อวดใคร หรือยังไม่รู้พอที่จะไปสั่งสอนใคร ยิ่งคนในสมัยนี้เขาเชื่อก็ดี ถ้าเขาไม่เชื่อเขาก็กลับหัวเราะเยาะให้ว่าเป็นคนงมงาย ผมเพียงแต่ศึกษาไว้เมื่อถึงคราวจำเป็นก็นำมาใช้ เพื่อเป็นประโยชน์สามารถทำให้จิตใจสงบดีไม่มีความเศร้าหมอง”

ข้าพเจ้าพูดขึ้นว่า “รู้สึกว่าคุณปฏิบัติได้ดีมาก เห็นจะหลุดพ้นจากทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คงจะไม่ต้องมาเกิดอีก”

เพื่อนหัวเราะแล้วตอบว่า “ยังหรอกคุณ” ผมปฏิบัติเพียงหลุดพ้นเป็นบางส่วน หรือปลีกย่อยเท่านั้น ยังมีอีกมากที่ผมเรียนไม่ถึง ผมยังต้องมาเกิดในโลกมนุษย์อีก ธรรมของพระพุทธเจ้านั้นละเอียดอ่อนมาก ผู้ปฏิบัติต้องมีความศรัทธาสนใจจริงๆ ต้องใช้สติปัญญาและความเพียรมีความพยายาม มีความอดทนทำให้จิตใจเพลิดเพลินในธรรมะ เมื่อได้พิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่า ธรรมะเหมือนดวงแก้วใสสะอาดบริสุทธิ์ถ้าเราค้นคว้าจะมองเห็น จะพบกับความชุ่มชื่นอิ่มเอิบ เกิดความสุขทางใจด้วยความสงบ

ตลอดเวลาสนทนา ข้าพเจ้าสนใจในคำพูดของเพื่อนผู้นี้มาก จึงถามปัญหาที่สงสัยว่า “ในยุคปัจจุบันนี้มีผู้ใดสำเร็จเป็นพระอรหันต์เข้าสู่นิพพานหรือเปล่า”

เพื่อนตอบว่า “ตราบใดที่พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังส่องแสงอยู่ในโลกมนุษย์ ตราบนั้นโลกจะไม่ขาดพระอรหันต์”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “การที่คุณศึกษาธรรมจนเกิดผลขึ้นทางจิตใจเช่นนี้ ได้มีใครรู้บ้าง ตัวผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน เพราะเราก็รักใครสนิทสนมกันมาก แต่ไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าคุณไม่พูดผมก็ไม่รู้”

เพื่อนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่มีใครรู้ แม้แต่ภรรยาผมก็ไม่เคยสนทนาเรื่องนี้ เพียงแต่รู้ว่าผมชอบอ่านหนังสือธรรมะเท่านั้น มีรู้แต่คุณคนเดียว”

ข้าพเจ้าบอกว่า “ผมขอขอบคุณที่ให้เกียรติแก่ผมสูงยิ่งถึงเพียงนี้ บัดนี้ผมรู้แล้วว่าทุกวันนี้ยังมีพระอรหันต์อยู่ในโลก เพราะพระที่ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ท่านไม่ไปเที่ยวโอ้อวดเช่นเดียวกับคุณ ถ้าเราไม่อยู่ใกล้ชิดได้ฟังได้เห็นการปฏิบัติของท่านก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน”

เพื่อนพูดต่อจากข้าพเจ้าว่า “นั่นเป็นความเข้าใจที่ไม่ผิด ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และนิพพานนั้น ทุกท่านสำเร็จเมื่อยังมีชีวิตอยู่ อย่าเข้าใจผิดว่าเมื่อตายแล้วจึงจะสำเร็จ และอย่าเข้าใจว่า ถ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจะมีรัศมีออกมาแสดงให้เห็น พระอรหันต์ก็พระธรรมดาที่ดูด้วยตาไม่รู้ เหตุเมื่อสมัยพระพุทธกาล ทำไมจึงรู้ว่าองค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ องค์นี้ยังไม่สำเร็จก็เพราะพระพุทธเจ้าท่านเห็นด้วยญาณ ท่านมองด้วยตาทิพย์ ท่านรู้แจ้งเห็นจริงทั้งโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ โลกนรก และทั้งสมัยพุทธกาลผู้อุปสมบทก็ล้วนแต่ผู้เลื่อมใสจริงๆ เมื่อได้ฟังพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาแล้วก็ซาบซึ้งในรสพระธรรม มองเห็นทุกข์ เห็นทางกำจัดทุกข์ จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์กันมาก ผิดกว่าสมัยปัจจุบันนี้ ผู้ที่จะอุปสมบทยังไม่ทราบซึ้งในพระธรรมพอ เพราะส่วนมากจำพรรษาเพียงสามเดือนเพื่ออุทิศกุศลให้บิดามารดา จึงยากที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้”

เมื่อเพื่อนพูดมาถึงเพียงนี้ ก็หยุดนึกครู่หนึ่งแล้ว ก็พูดต่อไปว่า ขอให้คิดดูว่า “โลกมนุษย์ที่เราอยู่นี้มีอายุตั้งล้านๆ ปีมาแล้ว และจะอยู่ต่อไปอีกกี่ร้อยปีกี่พันปีก็ไม่มีใครรู้ ส่วนมนุษย์เราที่เป็นชาวโลก เมื่อเปรียบเทียบอายุแล้ว ส่วนมากอยู่ได้ไม่เกินร้อยปี รู้สึกว่ามนุษย์เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้น้อยเหลือเกิน เมื่อเปรียบเทียบกับโลกที่มีอายุล้านๆ ปี ทำไมคนเราไม่ใช้ชีวิตที่กำลังเป็นมนุษย์อยู่ในโลก ใช้เวลาประกอบคุณงามความดี รักษาศีลรักษาใจให้มีธรรม เพื่อเป็นบารมีติดตามไปในโลกหน้า อย่าเอาเวลาที่มีน้อยแล้วไปมัวเมากับความสุขอย่างจอมปลอม มัวเมาด้วยตัณหาราคะ คอยแก่งแย่งชิงดีอิจฉาริษยา ใช้อำนาจข่มขู่ข่มเหงเป็นจุดด่างแห่งความชั่วเศร้าหมองของชีวิต

เพราะชาวพุทธเราเชื่อแน่ในสัจธรรมว่า ตายแล้วก็ต้องเกิดมาใหม่ในชาติต่อไป ถ้าเรายังไม่บรรลุเป็นอรหันต์ ยังไม่ถึงนิพพาน การสร้างกุศลบารมีด้วยการทำดีมีศีลประจำใจนั้นเป็นสิ่งประเสริฐ จะนำให้เรากลับมาเกิดในที่ดีในตระกูลดี ฉะนั้นผมจึงขอร้องให้คุณมานี่ ก็เพื่อจะได้ระบายความรู้สึกในอารมณ์ออกมาได้บ้าง ก็ทำให้ผมสบายใจ และคุณก็เป็นคนช่างจดช่างจำชอบเขียนถ้าจะบันทึกเรื่องการสนทนาครั้งนี้ผมขอร้องแต่เพียงสิ่งเดียว ขออย่าได้แจ้งชื่อเสียง มันจะเป็นต้นเหตุให้เกิดความไม่สงบแก่ตัวผม เวลานี้ผมต้องการความสงบในบั้นปลายของชีวิต คุณคงจะไม่ขัดข้องตามที่ผมขอร้องนี้”

เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็รู้สึกเกิดความเคารพนับถือเพื่อนผู้นี้ยิ่งขึ้น ทำให้นึกว่า ผู้ที่ประกอบกรรมดี ปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว ท่านย่อมไม่ประสงค์ในสิ่งตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นลาภยศสรรเสริญ และชื่อเสียงก็มิได้สนใจ ข้าพเจ้าอดนึกภูมิใจมิได้ว่า ตัวเองคงจะสร้างบุญกุศลทำความดีอะไรไว้ในชาติก่อน จึงไม่ได้พบคนใจชั่วที่จะชักนำไปสู่ฝ่ายต่ำ ทำให้เห็นผิดเป็นชอบ สร้างเวรกรรมทำบาป ได้พบแต่คนดีมีศีลธรรม เข้าสุภาษิตว่า “คบพาลๆ พาไปหาผิด คบบัณฑิตๆ พาไปหาผล” ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเยาวชนในปัจจุบันนี้ แล้วก็เศร้าใจที่คบเพื่อนที่เป็นพาลมาก จึงพากันประพฤติตนเป็นที่เสื่อมเสีย ดังข่าวมีอยู่ประจำวัน

วันนั้นหลังจากภรรยาของเพื่อนกลับจากซื้ออาหารแล้ว เราก็ใช้เวลาสนทนากันอย่างธรรมดาอีกเป็นเวลาอันสมควร ก็ได้จากมา แต่เวลาลากลับจิตใจของข้าพเจ้าแปลกกว่าเมื่อเวลาไปอย่างตรงกันข้าม จะเป็นด้วยอำนาจของจิตที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ไม่กลัวความตาย หรือธรรมะเป็นโอสถที่สามารถหยุดยั้งพยาธิภัยไม่ให้เจริญงอกงามในสังขาร จึงทำให้ท่านผู้นี้มีชีวิตอยู่ในโลกต่อมาอีกหลายปี จึงคิดว่าควรจะนำเรื่องนี้มาพิจารณาด้วยหลักธรรมและเหตุผล หากว่าเรื่องนี้เกิดกุศลและความดี ข้าพเจ้าขออุทิศความดีและกุศลอันนั้นให้แก่เพื่อนผู้มีจิตใจเข้มแข็ง ผู้ไม่หวาดหวั่นในมรณภัย ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว



..................... เอวัง .....................
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง