Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ท่องแดนคนบาป (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 8:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ท่องแดนคนบาป
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓



คืนหนึ่ง ปลายเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปในงานเลี้ยงรับรอง และประสาทพรแด่คู่สมรสทั้งสองได้ร่วมชีวิตกันต่อไป ที่ห้องนภาลัย ในโรงแรมดุสิตธานี ห้องกว้างขวางใหญ่โตสวยงามก็แคบลงด้วยแขกผู้รับเชิญมากันอย่างคับคั่งมากมาย

ข้าพเจ้าได้พบกับผู้ที่เคารพนับถือหลายท่านและเพื่อนฝูงอีกมาก ทั้งที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ห่างเหินจากสังคม บางท่านก็จำกันไม่ได้ ต้องย้อนพูดถึงเรื่องเก่าๆ จึงนึกออกจำได้ เมื่อได้พบปะกันในงานนี้ก็มีความปิติยินดีเป็นธรรมดาของผู้ที่เคยชอบพอกันมาก่อน และนานๆ จะได้มีโอกาสพบปะสนทนากันสักครั้งหนึ่ง

คืนนั้น เพื่อนๆ ได้แนะนำให้รู้จักท่านผู้มีเกียรติอีกหลายท่าน บรรยากาศเป็นกันเอง ตลอดเวลาจำได้ว่าคุณศิริ อินทร เป็นผู้แนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักกับคุณสลับ วิสุทธิมรรค ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง เราได้สนทนากันในหมู่เพื่อนฝูงทั้งเก่าและใหม่และผู้เคารพนับถือ

คุณศิริ อินทรีได้เสนอว่า อยากจะให้ข้าพเจ้าหาโอกาสสละเวลา เข้าไปสัมภาษณ์นักโทษในเรือนจำบางขวาง เพื่อจะได้มีโอกาสเรียนถึงชีวิตจิตใจของนักโทษอุกฉกรรจ์ มาเป็นแนวเขียน และอยากให้สละเวลาไปเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มีหลายท่านต่างก็เห็นดีเห็นชอบสนับสนุน ว่าควรหาโอกาสเข้าไปดูสภาพในแดนที่คนสร้างกรรมทำชั่ว เข้าบทคนทำชั่วได้ชั่ว ต้องหมดอิสรภาพขาดการติดต่อจากสังคมทางโลกภายนอก เป็นดินแดนกักกันที่คนส่วนมากมีจิตใจเหี้ยมโหดดุร้าย สร้างกรรมทำชั่วต้องเข้าไปชดใช้หนี้กรรมที่เข้ากับบทข้อเขียนในชุด “กฎแห่งกรรม” เพื่อนำมาเขียนให้เป็นประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลัง

ท่านผู้บัญชาการก็เห็นชอบด้วยได้สนับสนุน รับว่าจะให้ความสะดวกทุกอย่างเท่าที่สามารถจะให้ได้ ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณทุกท่านที่ได้สนับสนุนให้เกียรติ ความจริงข้าพเจ้าก็เคยไดรับจดหมายของนักโทษจากเรือนจำในกรุงและต่างจังหวัด ได้ส่งจดหมายมาระบายความรู้สึกเมื่อได้อ่านหนังสือและสำนึกในชีวิตที่เคยผิดพลาด และกำลังจะกลับตัวและกลับใจให้เป็นพลเมืองดีของ ชาติต่อไป เมื่อมีมากท่านต่างก็เห็นดีเห็นชอบ สนับสนุนถึงการเข้าไปสัมภาษณ์นักโทษอุกฉกรรจ์ ทั้งท่านผู้บัญชาการเรือนจำรับว่าจะให้ความสะดวกเท่าที่ท่านจะให้ได้ และเพื่อนต่างก็คิดว่า เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนออกมาคงจะเป็นประโยชน์น่าสนใจมาก

ข้าพเจ้าเองเมื่อเพื่อนสนใจให้เกียรติมากเท่าใด ก็รู้สึกหนักใจมากเท่านั้น เพราะยังไม่รู้ว่าจะเริ่มงานอย่างไร ไม่แน่ใจว่าจะสัมภาษณ์ได้ดีเพียงไหน จะสมกับเพื่อนๆ ไว้วางใจหรือไม่ แต่ข้าพเจ้าก็รับปากว่าจะหาเวลาไปสัมภาษณ์ เท่าที่เวลาและความสามารถจะทำได้ หากเขียนไม่ดีข้าพเจ้าก็หวังว่าคงได้รับอภัยจากเพื่อนๆ และท่านผู้อ่านด้วย เพราะเป็นงานใหม่ที่ยังไม่เคยทำมาก่อน

เมื่อข้าพเจ้าบอกว่าตกลงใจจะไปสัมภาษณ์นักโทษเรือนจำบางขวางตามคำแนะนำของเพื่อน แต่เวลาไหนเมื่อใดข้าพเจ้าจะขอติดต่อกับท่านผู้บัญชาการเรือนจำแน่นอนภายหลังอีกครั้ง เพราะจะเดินทางไปต่างจังหวัดก่อน เพื่อนฝูงต่างก็แสดงความยินดีที่ข้าพเจ้าได้รับปากเช่นนั้น

การที่เข้าไปในเรือนจำครั้งนี้ เพื่อสัมภาษณ์นักโทษเป็นงานใหม่ เพราะข้าพเจ้ายังไม่รู้สภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำ ฉะนั้นครั้งแรกคิดว่าควรจะมีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยเพียง ๒ คนพอเหมาะ ถ้าไปมากคงไม่สะดวก ตกลงคุณมนูและคุณประวิต สมัครขอร่วมทางไปด้วย ข้าพเจ้าเองก็ตั้งใจจะขอร้องอยู่แล้ว ทราบภายหลังว่าคุณมนูและคุณประวัติ ได้ชอบพอกับท่านผู้บัญชาการ และเป็นเพื่อนสนิทสนมกันมาก่อน และเคยเป็นนักเรียนร่วมโรงเรียนเดียวกันมา

เมื่อตกลงกำหนดเวลาข้าพเจ้าขอร้องให้คุณประวัติช่วยติดต่อท่านผู้บัญชาการเรือนจำ ตกลงกำหนดเวลานัดวันแน่นอน ภายหลังมีหลายท่านเมื่อทราบเรื่องนี้ก็อยากจะขอร่วมทางไปด้วย ข้าพเจ้าต้องขอร้องว่าคราวนี้ขอไปเพียง ๒ คนก่อน ไว้ว่าคราวหน้าหากมีโอกาสขออนุญาตท่านผู้บัญชาการอีกก็คงมีโอกาสได้ร่วมกัน

เมื่อได้กำหนดเวลาแน่นอน เราจะเดินทางไปพบท่านผู้บัญชาการในเช้าวันที่ ๑ มีนาคม ในคืนวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ เราได้ไปงานเลี้ยงฉลองอายุครบ ๕ รอบภรรยาของเพื่อนที่รักใคร่นับถือ ที่บ้านซอยสายน้ำผึ้ง ได้พบคุณประดิษฐ์ พานิชการ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้มาร่วมงานคืนนั้นด้วย คุณมนูได้แนะนำว่าข้าพเจ้าจะเข้าไปสัมภาษณ์นักโทษในเรือนจำกลางบางขวางพรุ่งนี้เช้า และได้นัดกับผู้บัญชาการเรือนจำไว้แล้ว ท่านอธิบดีก็แสดงความยินดีสนับสนุนด้วย

รุ่งเช้าวันที่ ๑ มีนาคมเป็นวันนัด คุณประวัติได้นำรถมารับข้าพเจ้าที่บ้าน และบอกว่าที่ล่าช้าไปบ้างก็เพราะเมื่อออกมาแล้วก็ลืมเทปอัดเสียง ก็ต้องขับรถย้อนกลับไปบ้าน เพื่อนนำเอาเทปไปด้วย จากนั้นเราก็เริ่มเดินทางไปรับคุณมนูที่สำนักงาน และเปลี่ยนรถที่มีเครื่องทำความเย็นของคุณมนู ซึ่งเป็นทั้งผู้ขับรถและเจ้าของรถ

เราเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ประมาณเก้าโมงกว่าตรงไปสู่จังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นที่ตั้งของ เรือนจำกลางบางขวาง เรือนจำแห่งนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ และมีข่าวเป็นประวัติที่นักโทษต้องมาขีดเส้นชี้ขาดสิ้นชะตาชีวิต ต้องมาพบจุดจบเพราะถูกประหารชีวิตลง เพราะความเหี้ยมโหดดุร้ายฆ่าคนอย่างหมดความเมตตาปรานี เคยสร้างกรรมอันโสมม นักโทษต้องถูกประหารในสถานที่แห่งนี้มามากต่อมาก รวมทั้งนักโทษการเมืองหลายท่านได้ถูกประหารในสถานที่นี้

ทั้งยังเป็นที่คุมขังนักโทษการเมืองหลายยุค ก่อนจะส่งตัวไปคุมขังยังเกาะตะรุเตา นักโทษการเมืองเหล่านั้น ต่างก็เป็นชั้นปัญญาชน เคยมีอำนาจมาแล้วแต่ถูกหาว่าเป็นกบฏ ต้องมาถูกคุมขังในสถานที่นี้หลายปี ท่านเหล่านี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ทำให้คิดว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ย่อมจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ขอให้ผู้มีอำนาจแล้ว จงมีสติรักษาอำนาจไว้เพื่อสร้างความดี อย่าลืมตัวหลงอำนาจจะเกิดความประมาท ย่อมเป็นภัยแก่ตัวเองและชาติ

เมื่อเราไปถึงหน้าเรือนจำ จอดรถแล้วเราลงจากรถเข้าไปในตึก ถามถึงห้องทำงานของผู้บัญชาการ มีผู้ชี้ให้ขึ้นไปชั้นบนทางซ้ายมือ เมื่อเข้าไปถึงในห้องผู้บัญชาการ ก็รู้ดีกว่าท่านกำลังรอคอยเราอยู่แล้ว พวกเราต้องขออภัยท่านที่มาล่าช้าผิดตามกำหนดนัดหมายเอาไว้ ท่านผู้บัญชาการใจดีให้เรานั่งสนทนากันก่อน ข้าพเจ้านั่งมองผ่านจากหน้าต่างห้องผู้บัญชาการ ออกไปข้างนอก เห็นวิวลำน้ำเจ้าพระยา เรือแพนาวาขึ้นล่องไปมา ทิวไม้สีเขียวสดมีหมากไม้นานาชนิดเป็นทิวแถวเขียวสดงดงาม ตัดกับท้องฟ้าสีครามอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เป็นภาพที่ยิ่งดูยิ่งเพลิน


(มีต่อ ๑)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:06 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 8:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หันมาเห็นท่านผู้บัญชาการได้ให้เจ้าหน้าที่เอาแฟ้มประวัติอาชญากรรมของนักโทษ ที่ท่านเตรียมไว้ให้เราเข้าไปสัมภาษณ์ เห็นแฟ้มนั้นมีสีแดงสอดแทรกอยู่มากมาย ทำให้นึกว่านักโทษคนนี้คงจะเหี้ยมโหดดุร้ายไม่ย่อยนัก คิดว่าคราวนี้คงมีเวลาไม่มากนัก

การสัมภาษณ์นักโทษนั้น หากเวลามีน้อยคงจะไม่ได้ข้อความอะไรมาก เมื่อหันไปนั่งสนทนากับท่านผู้บัญชาการ เห็นท่านสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปเบิกตัวนักโทษที่เราจะได้สัมภาษณ์ จากแดน ๑ ถูกขังเดี่ยว เพื่อความปลอดภัยเพราะความดุร้าย ให้นำตัวไปรอเราอยู่ที่ร้านขายอาหารในเรือนจำภายในประเดี๋ยวจะไปพบ

ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า ในไม่ช้าเราก็จะได้ย่างเท้าเข้าไปในดินแดนซึ่งเหมือนอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่มนุษย์ได้สร้างกรรมทำชั่ว ต้องมารวมถูกจองจำ หมดเสรีภาพความอิสรภาพจำนวนมากมาย อยู่ในแดนจำกัด มนุษย์เหล่านี้มีสภาพเดียวกับเรา แต่ส่วนจิตใจและความประพฤตินั้นก็คงผิดแปลกแตกต่างจากบุคคลธรรมดา ส่วนมากมีจิตใจเหี้ยมโหดดุร้ายได้สร้างกรรมทำชั่วไว้มาก เป็นพวกที่ชาวสังคมรังเกียจ คนสมัยก่อนเขาเรียกว่าเป็นคนขี้คุกขี้ตะราง

ข้าพเจ้าคิดย้อนหลังไปนึกถึง เมื่อคืนที่ ๒๘ ปลายเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่งจะผ่านไปเพียงคืนเดียว เราได้ไปในงานวันเกิดครบห้ารอบภรรยาของเพื่อน ก่อนจะเข้าสู่บริเวณงาน ก็เห็นรถยนต์จอดเป็นทิวแถวมากมายมองเห็นแสงไฟสวางแต่ไกล เสียงดนตรีทำเพลงวันเกิดอย่างสนุกสนาน เมื่อเข้าใกล้ก็เห็นแสงไฟสีต่างๆ ที่ตกแต่งตามต้นไม้ในบริเวณบ้านอันกว้างใหญ่ทั่วไปสวยงามสว่างไสว เมื่อข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ เข้าไปในบ้านงาน เห็นผู้คนมาก่อนเรามากมาย แต่งกายตามสะดวกสบาย ในเขตบ้านจัดเก้าอี้และโต๊ะไว้รับรองผู้มีเกียรติอย่างเป็นระเบียบ

มีร้านแจกอาหารนานาชนิดสำหรับท่านผู้ที่มาในงาน ให้ความสะดวกเลือกกินได้ตามความชอบใจ ทุกร้านบริการอย่างดียิ่ง ทำให้รู้สึกว่าบรรยากาศในเขตนั้นมีชีวิตชีวา เพราะทุกคนต่างก็สรวลเสเฮฮา สนทนาอย่างจิตใจสดชื่นเป็นกันเอง มีเครื่องดื่มนานาชนิดไว้รับรอง มีเสียงดนตรีเสียงเพลงให้ศีลให้พรของพวกลูกๆ หลานๆ ร้องประสานเสียงไพเราะ เห็นมีระบำออกมาร่ายรำหน้าเวที มีการจุดดอกไม้เพลิงเป็นที่สนุกสนาน ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสกันตลอดเวลา

ทำให้ข้าพเจ้าอดนึกไม่ได้ว่า ผู้ที่เข้าไปในงานเลี้ยงล้วนแต่จิตใจสุจริต มีเมตตาธรรมจึงได้รวมอยู่ในสังคม เปรียบเทียบได้ว่านี่คือสวรรค์ในเมืองมนุษย์ คงไม่ผิด เป็นสถานที่มีอิสระทั้งกายและจิตใจ จะกินจะดื่มอะไร เหมือนเครื่องทิพย์ปรุงแต่งโดยรสฝีมือเป็นเลิศจัดมาบริการ เลือกได้ตามใจชอบ อิ่มตลอดเวลาไม่หิวโหยอดอยาก อาหารการกินมีมากมาย ไม่สามารถจะบรรยายชื่อออกมาให้หมดได้ นอกจากนั้นเรายังได้รับของแจกจากเจ้าภาพเป็นที่ระลึก

จะเป็นไปได้หรือ ชั่วระยะเวลาไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง เมื่อคืนข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ เข้าไปอยู่ในถิ่นเหมือนแดนสวรรค์ในเมืองมนุษย์ แต่พอรุ่งเช้าเราเดินเข้าไปในเขตเหมือนแดนนรกในเมืองมนุษย์ เหตุการณ์ประจวบอย่างพอเหมาะพอเจาะ หน้ามือเป็นหลังมือแทบไม่น่าเชื่อแต่ก็เกิดขึ้นแล้ว เหมือนจะให้ข้าพเจ้านำมาคิดเปรียบเทียบแดนคนบุญกับแดนคนบาปในเมืองมนุษย์

เมื่อท่านผู้บัญชาการสนทนากับพวกเรา จำได้ท่านเล่าย่อๆ ให้ฟังว่า ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน พระองค์ท่านห่วงใยนักโทษที่ถูกจำขัง มีพระราชดำรัสเป็นเวลานาน มีพระประสงค์ให้อบรมนักโทษเป็นพลเมืองดี ท่านอธิบดีกรมราชทัณฑ์กำลังรวบรวมแล้วจะจัดพิมพ์ขึ้น คงจะเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไป เมื่อสนทนาเล็กๆ น้อยๆ ไม่มากนัก เห็นสมควรแก่เวลาแล้ว ท่านก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานยิ้มและพยักหน้าพูดว่า “ไปกันเถิดทางโน้น เขาคงจะเบิกนักโทษมารอเราแล้ว”

พวกเราลุกขึ้นเดินตามท่านออกจากห้องทำงาน ลงบันไดมาข้างล่างเดินออกทางขวามือ ผ่านพ้นเขตที่ทำงานแล้วก็เลี้ยวซ้ายเห็นประตูเหล็กบานใหญ่ ภายในล้อมรอบไปด้วยกำแพงหนาสูงใหญ่ มีเจ้าหน้าที่คอยระมัดระวังรักษาอย่างเข้มแข็งและกวดขันการเข้าออก บัดนี้พวกเขากำลังเดินตามท่านผู้บัญชาการมาถึงประตูเหล็กบานใหญ่ เจ้าพนักงานรักษาประตูรีบทำความเคารพ แล้วพวกหนึ่งก็รีบจัดการเปิดประตูบานใหญ่ออกกว้างทั้งสองข้าง

ความรู้สึกของข้าพเจ้าว่า บัดนี้ตัวเรานี้ได้เหยียบย่างเข้าไปในเขต ซึ่งเป็นแดนของคนสร้างกรรมทำชั่ว ต้องถูกจองจำอยู่ในเขตจำกัด มิให้ติดต่อกับโลกภายนอก น่าเสียดายพวกที่ถูกจำกัดเขต ได้เอาเวลาของชีวิตมาทิ้งจมปลักอยู่ในแดนคนบาป ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไม่มีค่า ไม่ได้ทำประโยชน์ส่วนรวม หรือชาติและแก่ตนเอง

ข้าพเจ้ามองตามสองข้างทางภายในประตูเหล็กและกำแพงหนาสูงใหญ่ บริเวณภายในกว้างขวางใหญ่โต ซึ่งปัจจุบันนี้มีนักโทษต้องคุมขังไว้ประมาณสี่พันกว่า ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “คุก” ซึ่งคนสมัยก่อนทั้งเกลียดทั้งกลัว ทำบุญกรวดน้ำขอห่างไกลร้อยโยชน์พันโยชน์ อย่าให้พบให้เห็น

พวกเราเดินตามท่านผู้บัญชาการ เมื่อท่านผ่านไปทางไหน ก็เห็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในเรือนจำหรือนักโทษต่างยืนระวังตรงทำความเคารพ ท่านได้พาพวกเราตรงเข้าไปในร้านค้าหลังหนึ่ง นอกจากเครื่องดื่มแล้วยังมีของใช้เบ็ดเตล็ดประจำวันขาย ร้านนี้อยู่ภายในกำแพงเรือนจำ ข้าพเจ้ามองดูภายในร้านค้านั้น ก็เห็นมีผู้คุมได้นำนักโทษซึ่งที่เท้าใส่ตรวนขนาดใหญ่ คนโทษนุ่งกางเกงสั้นสีน้ำเงินแก่เสื้อสีเดียวกันนั่ง ยองๆ เมื่อเห็นผู้บัญชาการก็รีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพ เอามือรั้งโซ่ที่ติดตรวนใส่ขาขึ้นมาตลอดเวลา

พวกเจ้าหน้าที่ที่คอยอยู่ในนั้น เมื่อเห็นผู้บัญชาการเดินเข้ามา ต่างก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ ท่านเดินเข้าไปนั่งแล้ว ก็ได้เชิญให้พวกเรานั่งเก้าอี้ซึ่งทางร้านค้าได้จัดไว้พร้อมรอบโต๊ะอาหาร พวกเรานั่งเรียบร้อย แล้วท่านได้สั่งเครื่องดื่มมาแจกจ่ายพวกเรา และสั่งให้จัดเก้าอี้มาให้นักโทษ มานั่งดื่มอย่างเป็นกันเอง นักโทษรู้สึกตื่นๆ คงไม่เชื่อหูที่ได้ยิน ไม่เชื่อตาที่ได้เห็น ตัวเองก็ถูกขังเดี่ยวเพราะความเหี้ยมโหดดุร้าย บัดนี้ถูกเบิกตัวออกมาไม่รู้ว่าร้ายดีอย่างใด แต่ใจก็นึกหวาดกลัว ไม่เคยนึกฝันว่าจะได้รับเกียรติจากท่านผู้บัญชาการให้นั่งร่วมโต๊ะ ก็ยังงงๆ เมื่อท่านผู้บัญชาการเห็นกิริยาท่าทางตื่นๆ กลัวๆ ของนักโทษ คงจะเกิดความสงสาร จึงพูดให้กำลังใจว่า

“นั่งข้างบนตามสบาย”

ข้าพเจ้ามองเห็นนักโทษมองดูซ้ายขวาไปมาอย่างตื่นๆ งงๆ แล้วค่อยๆ ดึงโซ่ที่ติดกับห่วงวงแหวนที่สวมอยู่ที่ใต้ข้อเท้าให้ตึง เพื่อกันการเสียดสีกับเนื้อหนัง แม้ว่าข้อเท้าจะมีผ้าพันกันเหล็กกับเนื้อจะกระทบกันทำให้เกิดเป็นแผลขึ้นก็ดี แกก็ค่อยๆ นั่งบนเก้าอี้ตามคำของท่านผู้บัญชาการทำให้มองเห็นว่าการถูกตีตรวนนี้จะลุกนั่งยืนเดินแสนจะลำบาก เป็นการทรมานชดใช้หนี้กรรม แม้จะนั่งแล้วก็ยังตื่นๆ กลัวๆ ไม่รู้อะไรดีร้ายจะเกิดขื้นที่ถูกเบิกตัวออกมาพบผู้บัญชาการอย่างกะทันหัน ทั้งรู้ตัวดีว่ามีโทษหนัก มีความผิดอุกฉกรรจ์ เพราะความดุร้ายต้องถูกขังเดี่ยวในแดน ๑ ไม่ปะปนกับนักโทษธรรมดาเพื่อความปลอดภัย พนักงานผู้หนึ่งซึ่งคุมตัวนักโทษผู้นี้พูดกับข้าพเจ้าว่า


(มีต่อ ๒)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:07 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 9:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“นักโทษคนนี้เห็นท่าทางเชื่องๆ อย่างนี้ แต่ดุร้ายอันตรายมาก”

ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า งานหน้าที่ของผู้บัญชาการนี้ ไม่แต่จะใช้พระเดชอย่างเดียว แต่ก็ต้องใช้พระคุณด้วย บางครั้งก็ต้องแผ่เมตตาพร้อมกันไป ข้าพเจ้าได้ยินท่านผู้บัญชาการได้สั่งให้พนักงาน ไปเชิญอนุศาสนาจารย์ประจำเรือนจำมาหา และคงปล่อยให้นักโทษใช้เวลาผ่านไป ให้คลายความตื่นเต้น รู้ถึงเหตุผลที่เบิกตัวมา

เมื่ออนุศาสนาจารย์ได้เข้ามาในสถานที่นั้นพร้อมกับอีกหลายท่าน ท่านผู้บัญชาการก็เริ่มแนะนำให้ทุกท่านที่อยู่ในที่นั้น รู้จักข้าพเจ้าพร้อมกับเพื่อน บอกว่าเป็นผู้เขียนหนังสือชุด “กฎแห่งกรรม” ที่เคยส่งมาทางเรือนจำ และได้บอกว่าอาจารย์เอื้องพันธุ์ คุ้มหล้า ก็เคยได้จัดส่งหนังสือชุดนี้มาเป็นสมบัติของห้องสมุดเป็นประจำเสมอ และท่านผู้บัญชาการก็ได้มีจดหมายตอบรับไปทุกครั้ง

ท่านอนุศาสนาจารย์ท่าทางสมกับหน้าที่ รูปร่างท้วมๆ อารมณ์เย็นและยิ้มแย้มตลอดเวลา สมกับหน้าที่อบรมศีลธรรมแก่นักโทษ และมีท่านพัศดีเอกหรือหัวหน้าท่าทางใจดี (ภายหลังนักโทษได้ขอร้อง อยากไปอยู่รับใช้อย่างใกล้ชิด อ้างว่าท่านเคยให้ความเมตตามาก่อน) ท่านอยู่ในที่นั้นพร้อมด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้คุมมากท่าน

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้รับเกียรติ ที่ทุกท่านให้การต้อนรับข้าพเจ้าอย่างอบอุ่น และทราบว่าได้เคยผ่านการอ่านหนังสือชุด “กฎแห่งกรรม” ต่างก็แสดงความยินดีที่รู้จักกับข้าพเจ้า ท่านอนุศาสนาจารย์ แสดงความยินดีและสนใจพูดถึงหนังสือชุดนี้ ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณทุกท่านที่ได้ให้ความสนใจ ต่อจากนั้นบริเวณร้านค้าในเรือนจำ

นอกจากท่านผู้บัญชาการแล้ว ก็มีท่านพัศดีเอกซึ่งมีหน้าที่เป็นหัวหน้า และท่านอนุศาสนาจารย์ และพนักงานผู้คุมมากท่านด้วยกัน

ผู้บัญชาการเริ่มซักถามนักโทษเป็นการนำก่อนว่า : “เราเข้ามาอยู่ในที่คุมขังนี้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่”

นักโทษตอบว่า : “ผมถูกศาลตัดสินต้องโทษตั้งแต่อายุ ๑๗ ปี”

ผู้บัญชาการ : “ข้อหาคดีอะไร”

นักโทษ : “คดีฆ่าคนตาย”


ผู้บัญชาการ : “ศาลตัดสินจำคุกเท่าไหร่”

นักโทษ : “๒๐ ปีครับ”

ผู้บัญชาการ : “คดีเดียวหรือหลายคดี”

นักโทษ : “อีกคดีตัดสิน ๑๓ ปี กับ ๖ เดือน”

ผู้บัญชาการ : “ดูความประพฤติที่เขารายงานมา ไม่มีอะไรดีขึ้นมีแต่เลวลง เมื่อครั้งมีพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๑๔ เราเป็นนักโทษชั้นเลวก็ได้ลดเพียง ๑ ใน ๖ ครั้งพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.๒๕๑๕ เรากลับเป็นนักโทษชั้นเลวมาก ก็ได้ลดเพียง ๑ ใน ๗ นักโทษที่ถูกจำขังเก่าแก่เขาได้ประพฤติเป็นคนดี จนได้รับพระราชทานอภัยโทษออกไปหมดแล้ว เก่าก็เห็นมีแต่เราคนเดียว เขาโทษหนักกว่าเรา มาติดทีหลังเราก็ออกกันไปหมดแล้ว

ข้อบังคับของกรมราชทัณฑ์นักโทษเด็ดขาด มิได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวก็ให้ลดโทษ นักโทษที่ปฏิบัติตนดีประพฤติตนดีชั้นเยี่ยมได้ลดกำหนดโทษ ๑ ใน ๒ หรือครึ่งหนึ่งที่ต้องรับโทษต่อไป นักโทษชั้นดีมากก็ได้ลดโทษ ๑ ใน ๓ และนักโทษชั้นดีก็ให้ลดโทษ ๑ ใน ๔ ชั้นกลางมิได้ลด ๑ใน ๕ นักโทษปฏิบัติตนชั้นเลวได้ลด ๑ ใน ๖ และชั้นเลวมากก็ได้ลดโทษเพียง ๑ ใน ๗ ส่วนมากเขาเลื่อนชั้น จากชั้นเลวขึ้นไปเป็นชั้นกลาง เลื่อนขื้นชั้นดีและดีมากและชั้นเยี่ยมที่สุดก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากในหลวง

ในเมื่อมีพระราชพิธีหลวง แต่เรากลับตรงกันข้ามจากชั้นเลวอยู่แล้วก็ยิ่งเลวมาก เพราะมีแต่การสร้างคดีเพิ่มโทษให้แก่ตัวเองอยู่เสมอ มิได้ประพฤติตนดีเพื่อปลดเปลื้องโทษให้เบาบางและน้อยลง เวลานี้เรารู้หรือเปล่าว่าเราได้ถูกจำขังมานานเท่าไหร่แล้ว”

นักโทษ : “ผมจำได้ ผมถูกขังมา ๑๘ ปีแล้วครับ”

ผู้บัญชาการมองดูหน้านักโทษอย่างเศร้าใจและพูดว่า : “ครั้งก่อนหน้าจะไม่พูดถึง ได้ทราบว่าครั้งหลังสุดได้ทำคดีเพิ่มโทษอีก ๒ เดือน แต่ยังไม่ทันไรก็สร้างคดีทำร้ายนักโทษด้วยกันต้องเย็บถึง ๖๘ เข็ม นับว่าฉกรรจ์มาก เรื่องยังไม่ได้มีการไต่สวน นี่ก็สร้างทุกข์เพิ่มโทษให้แก่ตนเองไม่สิ้นสุด เจ้าหน้าที่ยังไม่ทันได้สอบสวน ฉะนั้นจึงต้องตีตรวนขังเดี่ยว เรื่องเป็นอย่างใดจึงคิดทำร้ายนักโทษด้วยกัน ใช้มีดอะไรเป็นอาวุธที่ใช้กรีดหน้านักโทษ เราก็อยู่กับหมอที่โรงพยาบาลนับว่าหมอได้พยายามช่วยเราส่วนหนึ่งแล้ว เหตุใดจึงเรียกเข้าไปทำร้ายร่างกาย ดึกดื่นค่ำคืน”

นักโทษนิ่งฟังแล้วตอบว่า : “ผมเองก็ตั้งใจจะไม่หาเรื่องกับใคร และจิตแท้ของผมก็ไม่อยากทำร้ายใคร แต่เหมือนผมเป็นคนมีกรรมติดอยู่ในสันดาน ทำร้ายเขาโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อรู้สึกตัวแล้วก็มีความเสียใจ ผมตั้งใจจะกลับตัวเป็นคนดี ผมรู้สึกเบื่อชีวิตเหลือเกิน”

ท่านผู้บัญชาการมองดู เห็นนักโทษแสดงกิริยาท่าทางหน้าตาเศร้าๆ จึงถามขึ้นว่า : “ที่ว่าไม่ตั้งใจ แต่ไปทำร้ายเขาต้องเย็บถึง ๖๘ เข็ม นับว่าหนักมากยังไม่ตั้งใจอีกหรือ เราใช้อาวุธอะไรทำร้ายเขา ทางเรือนจำเขาห้ามไม่ให้มีอาวุธติดตัว คอยค้นดูเสมอแต่เรากลับมีอาวุธทำร้ายร่างกายเขาสาเหตุมาจากเรื่องอะไร”

นักโทษ : “ผมใช้มีดเหล็กตะไบเลื่อยเป็นอาวุธครับ เหตุก็ไม่มีอะไรมาก คืนนั้นผมตื่นขึ้นมา ๒ นาฬิกาเศษ ผมรู้สึกหิวมาก ตอนเย็นไม่ได้กินข้าว จึงเรียกเขามาถามว่า ทำไมเขาไม่เรียกให้ผมไปกินข้าว เขาโต้ตอบไม่ถูกใจ ผมก็โกรธทำร้ายเขา แต่ผมรู้สึกเสียใจมากเหมือนกัน ผมตั้งใจจะไม่ทำร้ายใคร แต่ผมลืมตัวจริงๆ ครับ ทำร้ายโดยไม่รู้สึกตัว”

ท่านผู้บัญชาการพูดว่า : “เวลาดึกตี ๒ มันไม่ใช่เป็นเวลากินข้าว ทำไมเราจึงคิดว่าเขาควรเรียกไปกินข้าว ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย อยากรู้ว่าเราถูกจำคุกตั้งแต่อายุ ๑๗ จำมาตั้ง ๑๘ ปี รวมแล้วอายุเวลานี้ ๓๕ ปี นับว่าจิตใจเหี้ยมโหดแต่อายุวัยรุ่น แม้จะต้องโทษอยู่ในคุกก็ยังไม่มีอะไรแสดงท่าทางว่าจะดีขึ้น พวกที่เขามารุ่นเดียวกันและมาทีหลังเขาก็ถูกปลดปล่อยไปหมดแล้ว หรือยังมีเหลืออีกไหมรุ่นเดียวกับเราหรือรุ่นหลังเราที่มีโทษขนาดเราน่ะ”

นักโทษ : “พวกรุ่นเก่านั้นไม่มีเหลือเลยครับ เหลือผมอยู่คนเดียวครับ”

ผู้บัญชาการ : “นั่นซิ คราวพระราชทานอภัยโทษครั้งสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ได้รับพระราชทานอภัยโทษพันกว่าคน ดูชื่อแล้วไม่มีเราอยู่ด้วย แสดงว่าเราหาคดีเพิ่มโทษในเรือนจำอยู่เสมอ เสียดายเวลาที่ผ่านไป ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์เลย ต้องมาถูกกักขังหมดอิสรภาพอยู่ในเรือนจำเช่นนี้ ควรจะคิดทำความดีเพื่อตัวเองจะได้มีโอกาสได้ออกไปมีชีวิตอิสระในโลกภายนอกสร้างความดีเสียบ้าง แล้วเรื่องทำร้ายร่างกายเขานั้น คิดว่าทางฝ่ายเจ้าหน้าที่เขาคงจะสอบสวนเร็วๆ นี้”

นักโทษ : “ทางเจ้าทุกข์เขาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะเอาเรื่อง”

ผู้บัญชาการ : “หากเขาไม่ติดใจจะเอาเรื่อง ให้เจ้าหน้าที่เสนอรายงานบันทึกขึ้นมา เพื่อจะได้พิจารณาไปตามกฎของราชทัณฑ์ เท่าที่อำนาจของผู้บังคับบัญชาจะทำได้”


(มีต่อ ๓)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:11 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 9:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อท่านผู้บัญชาการหันไปพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาถึงความประพฤติและการปฏิบัติของนักโทษ ให้คอยเอาใจใส่พิจารณาอย่างใกล้ชิดว่าจะดีขึ้นหรือเลวลง

ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาฟังและสังเกตถึงกิริยาท่าทางของนักโทษ และถ้อยคำของท่านผู้บัญชาการตลอดเวลา พิจารณาดูรูปร่างนักโทษที่นั่งอยู่ตรงหน้านั้น ทำให้คิดอยู่ในใจไม่น่าเชื่อว่า ชายผู้นี้จะมีจิตใจเหี้ยมโหดดุร้ายเลย รูปร่างเล็กเอวบางร่างน้อย อายุยังไม่มาก แต่ทำไมจึงใจอำมหิต ข้าพเจ้าจะไม่ขอเอ่ยชื่อในที่นี้ เพื่ออนาคตของนักโทษชายผู้นี้เมื่อปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว จะได้มีโอกาสกลับเนื้อกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าหากยังมีนิสัยสันดานเป็นอันธพาลอย่างเดิมแล้ว เมื่อออกไปเป็นอิสระก็กลัวอายุจะสั้น ข้าพเจ้าได้แต่ภาวนาขอให้ชายผู้นี้ประพฤติตนเป็นคนดี เพื่อชาติจะได้พลเมืองดีไม่เป็นภัยต่อสังคม

เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าหวนไปนึกย้อนหลัง เมื่อครั้งนั้นชายผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอันธพาลตัวร้าย พวกย่านแถวถนนเยาวราชและราชวงศ์เป็นที่รู้จัก ประชาชนที่สุจริตทั้งเกลียดทั้งกลัว แม้ตัวจะเล็กอายุน้อยแต่ใจเป็นอันธพาลใหญ่ ใจเหี้ยม การฆ่าคนเล่นเป็นของธรรมดามาแต่ยังวัย จะเป็นด้วยความอยากเด่นอยากดังอยากมีชื่อเสียงเด่น อยากเป็นเจ้าแห่งความชั่วร้ายเหนืออันธพาลอื่นๆ ที่มีอยู่เวลานั้น กำลังอยู่ในวัยรุ่นย่อมไม่รู้ผิดรู้ถูก รู้ชั่วรู้ดี ทำอะไรไปตามอารมณ์รุนแรง เห็นดีเห็นเด่น ไม่นึกว่าผลกรรมจะตามสนอง

ในที่สุดก็หนีมือกฎหมายไม่พ้น เคราะห์ยังดีอยู่บ้างที่เพิ่งจะมีอายุเพียง ๑๗ ปี อายุยังน้อย ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่าหากอายุมากกว่านี้กฎหมายทางบ้านเมืองก็คงจะต้องตัดสินลงโทษถูกประหารชีวิตไปแล้ว

ข้าพเจ้าได้พิจารณานักโทษที่นั่งใกล้ชิด แล้วก็ได้ยินคุณมนูอบรมนักโทษด้วยหลักธรรม พูดถึง “ทางพระกับทางผี” มีใจความว่า คนโทษได้เดินหลงทางไปทางฝายผี จึงมีสภาพเท่าที่เป็นอยู่อย่างนี้ เมื่อรู้สึกกว่าเดินทางผิดแล้วก็หยุดพิจารณา กลับใจหันไปเดินทางที่ถูกคือทางพระ ก็จะพบแสงสว่างในทางสงบ เมื่อได้ปลดเปลื้องทุกข์ออกได้แล้ว ตั้งใจสร้างความดีไว้ก่อนที่เราจะตายจากโลกไป และต่อไปพูดว่าอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ฟังมัวแต่นึกคิดพิจารณาเหตุการณ์เฉพาะหน้า

ข้าพเจ้ากำลังนึกว่าได้ข้อคิดเมื่อข้าพเจ้าได้เหยียบย่างเท้าเข้าไปภายในเขตประตูเหล็กบานใหญ่มหึมา ปิดเปิดกั้นแดนอิสระกับแดนที่หมดอิสระ นึกเสียดายเวลาอันมีค่าของเหล่านักโทษเหล่านั้น ถูกกักขังให้เวลาผ่านไปโดยไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ชาติ นักโทษพวกนี้หากอยู่ภายนอกก็เป็นภัยแก่สังคมโดยทั่วไป ข้าพเจ้าคิดว่าพวกนักโทษเหล่านี้ ได้นำสมบัติอันล้ำค่ามาทิ้งหมกไว้ในแดนคนบาปอยางน่าเสียดาย

เรือนจำกลางบางขวาง เป็นที่คุมขังนักโทษอุกฉกรรจ์ หรือผู้ที่ต้องโทษตามคำพิพากษานานปี นับแต่อย่างน้อยก็คงเกินสิบปีขึ้นไปตลอดถึง ๕๐ ปีและตลอดชีวิต หรือนักโทษที่ถูกตัดสินชี้ชะตากรรมให้ประหารชีวิต นับว่าเรือนจำกลางบางขวางเป็นเรือนจำพิเศษเฉพาะนักโทษที่ต้องโทษนานและโทษหนัก นักโทษเหล่านี้มักดุร้ายต้องขังเดี่ยวและห้ามเยี่ยม ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเหล่านี้เกิดมาเพื่อทำลายสมบัติอันมีค่าภายในตัวให้หมดสิ้นประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะไม่รู้คุณค่าของเวลา

ข้าพเจ้าคิดว่า สมบัติอันสูงค่ายอดเยี่ยมของมนุษย์นั้น ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองหรืออำนาจวาสนา เมื่อพูดถึงในโลกมนุษย์ ส่วนมากมีของเป็นคู่ เช่น มีหญิงก็มีชาย มีกลางคืนก็มีกลางวัน มีมืดก็มีสว่าง เช่นนี้เป็นต้น สมบัติอันล้ำค่าของมนุษย์ก็ต้องมีคู่เช่นกัน สิ่งนั้นก็คือ "เวลากับปัญญา" สิ่งนี้เป็นค่าสูงสุดของมนุษย์เมื่อใช้คู่กันไป ถ้าท่านได้ใช้ความคิดพิจารณาดูเองแล้วก็คงจะได้เห็นจริง

ข้าพเจ้ากำลังเพลินคิดเรื่อง “เวลากับปัญญา” ก็ได้ยินท่านผู้บัญชาการ พูดขึ้นว่า “คุณ ท. มีอะไรที่จะพูดให้กำลังใจแก่นักโทษนิดๆ หน่อยๆ พอเป็นทางที่จะนำไปคิดปฏิบัติบ้าง ขอให้พูดสั้นๆ ไม่ต้องพูดกลอนสดก็ได้”

เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่า ท่านผู้บัญชาการได้ให้เกียรติขอให้พูดนิดๆ หน่อยๆ พอเป็นข้อคิดแก่นักโทษ ความจริงเพียงตั้งใจจะนำคำสัมภาษณ์ของนักโทษไปเขียนเท่านั้น เมื่อท่านขอร้องให้พูดเล็กๆ น้อยๆ ท่านคงรู้ว่าข้าพเจ้าไม่ชอบพูด ด้วยคำว่าเล็กๆ น้อยๆ อย่างธรรมดาข้าพเจ้าก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

วันนั้นข้าพเจ้าพูดอะไรไปบ้าง ไม่ได้จดจำเพราะจะหวังพึ่งอัดเทปเสียงของคุณประวัติ แต่ก็ผิดหวังเพราะภายหลังเปิดฟังแล้วเสียงอู้อี้ฟัง เสียงเหมือนคนจมูกบี้กำลังแบมือขอสตางค์ ไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไรเปิดฟังย้อนหลังอีกหลายครั้งก็ไม่ได้ความ คุณประวัติบอกเล่าว่าเวลาอัดเสียง ถ่านที่ใช้อัดอ่อนลงเลยไม่ได้ผล

เมื่อจะพึ่งเครื่องอัดเสียงถอดข้อความก็หวังไม่ได้เสียแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องฟื้นความจำใหม่ หากว่ามีบางคำบางประโยคจะไม่ตรงกับที่ข้าพเจ้าพูดทีเดียว หากต่อเดิมข้อความยืดยาวกว่าเวลาพูดแตกต่างกันไปบ้าง ข้าพเจ้าก็ต้องขออภัยด้วย แต่ใจความก็มีความหมายเช่นเดียวกัน

เราเกิดมาเป็นคนมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ ชีวิตไม่ยืดยาวเท่าที่เรานึกคิด เรามีเวลาจำกัด ส่วนมากไม่มีใครยอมนึกถึงความตายแต่ทุกคนก็ต้องตายไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าตลอดไปได้ หากเรานึกคิดพิจารณาถึงหลักธรรมชาติความจริงแล้ว ก็จะรู้ว่าเมื่อเราเกิดมาต่างก็มีความตายรอคอยเราอยู่แล้วทุกคน ผิดแต่เวลาจะช้าหรือเร็ว จะไปดีหรือไปร้ายเท่านั้น เราควรใช้เวลาและสติปัญญาพิจารณาดู เมื่อระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ได้ปฏิบัติดีหรือปฏิบัติชั่ว เป็นกรรมที่จะลิขิตชะตาชีวิตเราเอง ความดีความชั่ว กรรมหนักกรรมเบา เราเป็นคนเลือกทำเองไม่มีใครบังคับใจเราได้

หากเราสร้างบุญทำความดีหรือสร้างบาปทำความชั่ว ก็จะมีเงาบุญเงาบาปติดตามสนอง ไม่มีใครหนีพ้นกรรมดีกรรมชั่วที่ตนสร้างสมขึ้นเองไปได้ ข้าพเจ้าได้มาเห็นในสถานที่คุมขังนักโทษในเรือนจำวันนี้แล้วก็รู้สึกเศร้าใจมาก เวลาเป็นสิ่งมีค่าสำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา มีแก้วแหวนเงินทองซื้อเวลาค้นหาไม่ได้ เมื่อเห็นว่านักโทษที่ถูกจองจำ เอาเวลามาหมกอยู่ในที่คุมขัง ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย นึกเสียดายแทน

ข้าพเจ้าเพิ่งได้ข้อคิดเมื่อย่างเท้าเข้ามาภายในประตูเหล็กบานใหญในเขตแดนที่กักกันนักโทษ นึกว่าได้สมบัติของมนุษย์ทุกคนไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ความสุขความสบาย เมื่อพิจารณาดูให้ถ้วนถี่แล้ว บางท่านคงจะเห็นด้วยว่า “เวลากับปัญญา” นี้มีค่าสูงสุดยอดในชีวิตของมนุษย์ ที่ควรจะได้พิจารณาหาทางใช้สิ่งทั้งสองให้เป็นคุณประโยชน์แก่สังคมและตัวเราเอง ไม่ให้เสียชาติที่ได้เกิดมาในโลกมนุษย์

องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ใช้เวลาหลายปี พร้อมกับใช้ปัญญาคู่กันไป เพื่อพิจารณาค้นคว้าสัจธรรมจนบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ก็ชี้ให้เห็นว่าเวลากับปัญญาเป็นของคู่กัน พระพุทธเจ้าและพระสาวกก็ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์บรรลุทางธรรมมาแล้ว

เมื่อพูดถึงในทางโลก ก็พอจะชี้ให้เห็นวาวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าทุกอย่าง เท่าที่รู้เห็นทุกวันนี้ก็ได้อาศัย “เวลากับปัญญา” มนุษย์ได้ใช้ค้นคว้าจนสามารถส่งมนุษย์ไปสู่ดวงจันทร์ได้สำเร็จอย่างที่รู้กันทั่วไปในปัจจุบันนั้น นี่ก็ได้อาศัย “เวลากับปัญญา” ข้าพเจ้าอยากจะแยก “เวลากับปัญญา” ออกสองฝ่าย คือ ฝ่ายโลกกับฝ่ายธรรม

เมื่อพูดถึงฝ่ายโลกแล้ว มนุษย์เราได้ใช้เวลากับปัญญาค้นคิดของใหม่ๆ ไม่รู้จบสิ้น ทั้งปัจจุบันนี้ยังแข่งขันกันสร้างอาวุธมหาประลัย ใครสามารถจะค้นคิดเครื่องทำลายชีวิตมนุษย์และทรัพย์สมบัติได้มากกว่ากัน การประหัตประหารชีวิตมนุษย์ที่บริสุทธิ์เพื่อตนเองครองความยิ่งใหญ่นั้น บาปหนัก เพราะขาดความเมตตาปรานี ขาดความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน โลกเกิดภัยอันตรายจากมนุษย์ใจบาปไม่สิ้นสุด ต้องหวาดกลัวสะดุ้งอยู่ตลอดเวลา เช่นโลกในยุคนี้หาความปลอดภัยไม่ได้ มนุษย์พวกนี้จบชีวิตลงแล้วก็ไปสู่นรกเสวยผลชั่วกว่าจะหมดไปไม่รู้อีกกี่ภพกี่ชาติ กว่าหนี้กรรมจะสิ้นสุดลง


(มีต่อ ๔)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:17 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 9:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อพูดถึงฝ่ายธรรม ทางพุทธศาสนาก็สามารถใช้เวลากับปัญญาและมีสติค้นคว้าหาทางกำจัดทุกข์ ซึ่งตัดกิเลสตัณหาทั้งหลาย อันเป็นเหตุก่อเกิดแห่งทุกข์ อันมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น ใช้ปัญญาตัดออกจากความรู้สึกนึกคิด เกิดพลังทางใจทำลายกิเลสตัณหาต้นเหตุของทุกข์ให้หมดสิ้นไป จิตใจของเราก็จะสะอาดบริสุทธิ์ ความสงบก็จะเกิดขึ้น เป็นความสุข พอมองเห็นทางไปสู่บรรลุธรรมสิ้นทุกข์ต่อไป นี่ก็พอชี้ให้เห็นคุณค่าอันสูงยิ่งที่เป็นสมบัติของมนุษย์ทุกคนคือ เวลากับปัญญา

ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าใช้เวลาสติปัญญาพิจารณาไตร่ตรองดูแล้ว หากปัญญาของท่านไม่อ่อนนัก ก็พอจะมองเห็นแสงสว่างที่เข้ากับทางโลกและทางธรรม และพยายามใช้เวลากับปัญญาไปในทางที่ดี ไม่ใช้ไปในทางชั่วแล้วก็จะเกิดประโยชน์กับตนเองและสังคมทั่วไปทั้งจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย

ฉะนั้น ผู้ต้องโทษจะใช้เวลากับปัญญาดู ก็ควรเริ่มคิดทำดีแต่วันนี้ ผลดีก็จะเกิดขึ้นในวันหน้าแน่นอน ไม่ต้องสงสัยความดีจะเป็นประโยชน์ยั่งยืนถาวรตลอดไป เหมือนที่ท่านผู้บัญชาการพูดว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ นักโทษผู้นี้มีความประพฤติและประวัติชั้นเลว ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๕ กลับเป็นนักโทษชั้นเลวมาก เป็นชั้นสุดท้ายของความเลว นี่ก็ชี้ให้เห็นว่าตลอดมาเราใช้เวลาไปในทางชั่ว ทำตัวเราให้เลวลง เป็นคนเจ้าอารมณ์ใจต่ำ ก่อคดีเพิ่มโทษตนเอง

หากเราใช้เวลากับปัญญาไปในทางดีแล้ว ป่านนี้คงเป็นอิสระไปนานแล้ว ถ้าเราไม่หาโอกาสกลับตัวกลับใจเสียแต่วันนี้แล้ว โอกาสจะกลับตัวเป็นคนดีก็คงไม่มีอีก จงทำดีในวันนี้ ความดีจะเกิดประโยชน์ในวันหน้า ทำให้ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า คนที่พอใจทำชั่วจึงพาตัวเข้าสู่ “แดนคนบาป” ถ้ารู้จักเข็ดหลาบก็จะออกไปสู่แดนอิสระ เมื่อข้าพเจ้าพูดแล้วก็ได้ยินคุณประวัติพูดกับนักโทษว่า

“วันนี้เป็นโอกาสอันดีของเราแล้ว ท่านผู้บัญชาการได้เบิกตัวมาซักถามอบรมอย่างใกล้ชิด ให้การสั่งสอนให้เราปฏิบัติตนเป็นคนดีโดยเฉพาะตัว หาโอกาสเช่นนี้อีกไม่ได้ หากจะมีอะไรขอความกรุณาจากท่านหรือให้ท่านช่วย หรือจะสัญญากับท่านว่า เราจะรับคำอบรมสั่งสอนที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ไปปฎิบัติช่วยตัวของเราเองให้ดีเสียก่อน เมื่อเราดีแล้ว ผู้ใหญ่ก็จะช่วยเราภายหลัง ถ้าเราไม่ช่วยตัวเราเองแล้วก็ไม่มีใครช่วยเราได้ เพราะเราอยากชั่วไม่อยากดี เราก็ต้องรับกรรมต่อไป ทุกคนที่มาในวันนี้เขาเมตตาให้เราดี ไม่อยากเห็นเราชั่ว การปฏิบัติตามคำสั่งสอนนั้น ก็หมายถึงเราได้ช่วยตัวเองแล้วทุกอย่าง ก็หมายถึงกำลังจะดีขึ้น จะเรียกร้องความสงสารเห็นอกเห็นใจจากผู้ใหญ่ท่านก็คงไม่ขัดข้อง เอาไปคิดพิจารณาดู”

ท่านผู้บัญชาการได้เล่าให้ฟังเมื่อครู่นี้ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ท่านได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมทั้งข้าราชการผู้ใหญ่หลายท่าน พระองค์ท่านทรงรับสั่งว่าเป็นห่วงใย ทรงเมตตาพวกนักโทษที่ถูกคุมขังพวกที่ยังไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษในคราวนี้ ทรงรับสั่งขอให้ช่วยเอาใจใส่ดูแลอบรมสั่งสอนให้กลับเนื้อกลับตัวเป็นพลเมืองดี เมื่อพ้นโทษออกมาแล้วอย่าให้เป็นอันธพาลและเป็นมารของสังคมอีก เราก็ต้องโทษมานานแล้วกลับทำผิดซ้ำๆ กันจนเป็นคนเก่าที่สุดในเรือนจำที่ต้องโทษรุ่นเดียวกัน ควรจะนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ในหลวงท่านทรงพระเมตตาเป็นห่วง อยากให้นักโทษทุกคนทั่วไปเป็นพลเมืองดี

บัดนี้เราควรรู้สึกตัวได้แล้ว ที่ประพฤติตนที่แล้วมานั้น จนต้องถูกตีตรวนขังเดี่ยว เพราะปล่อยไว้มักจะก่อกวนเกิดความยุ่งยากให้แก่เจ้าหน้าที่เป็นภัยแก่นักโทษด้วยกัน เราเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป วันนี้มีหลายท่านเช่น คุณ ท. เลียงพิบูลย์ ผู้เขียน “กฎแห่งกรรม” ท่านได้มาช่วยกันให้การอบรมสั่งสอน เราควรจะพัฒนาตัวเอง ทำความดี ตัวเราจะได้มีค่าสูงขึ้นเพื่อทำประโยชน์ให้สังคมทั่วไป วันนี้เราก็ได้อยู่ต่อหน้าท่านผู้บัญชาการ หากสัญญาว่าต่อไปจะสร้างกรรมทำดี จะขอร้องอะไรให้ท่านช่วยก็ว่ามาเลย โอกาสอย่างนี้หาไม่ได้อีกแล้ว

ข้าพเจ้าเห็นนักโทษนั่งนิ่งฟังจนพูดจบ แล้วนักโทษก็พูดขึ้นว่า : “ต่อไปผมจะเป็นคนดี จะไม่คิดทำชั่ว จะไม่คิดทำร้ายใครอีก ผมอยากจะขอความกรุณา ขอท่านผู้บัญชาการสั่งให้เขาช่วยถอดตรวนออก และผมอยากขอความเมตตาจากท่านช่วยย้ายผมจากแดน ๑ มาอยู่ แดน ๒ ด้วย”

ท่านผู้บัญชาการนิ่งฟังอยู่ก็พูดขึ้นว่า : “เขียนบันทึกขึ้นมา หรือให้หัวหน้าทำเสนอขึ้นมา หัวหน้าท่านนั่งฟังรู้เรื่องหมดแล้ว เรื่องขอถอดตรวนออก และขอย้ายจากแดน ๑ มาแดน ๒ เมื่อเรารับว่าจะประพฤติตนเป็นคนดีไม่ดุร้ายต่อไป”

นักโทษ : “ตามที่ผมขอนั้น ท่านจะให้ความกรุณาต่อผมหรือเปล่าครับ”

ผู้บัญชาการ : “จะพิจารณาให้เสร็จว่าเราจะเป็นคนดีแต่จะเป็นคนดีได้แค่ไหน เมื่อเป็นคนดีแล้วก็ต้องฝึกอาชีพ แต่แดน ๒ เวลานี้มีแต่ถักแหและทอพรมมาก กำลังจะเกิดเป็นโรงงานทอผ้าด้วยเครื่องจักรให้ยึดถือเป็นอาชีพติดตัวไป เมื่อพ้นโทษไปแล้ว ก็จะได้เอาวิชาความรู้ที่ฝึกไว้ออกไปหากิน เป็นพลเมืองดีต่อไป จะได้ไม่ต้องกลับเข้ามาในเรือนจำอีก”

นักโทษ : “ผมอยากขอความกรุณาอีกอย่าง”

ผู้บัญชาการ : “จะขออะไรก็ว่าไปเลย”

นักโทษ : “ผมอยากจะมารับใช้ใกล้หัวหน้า (หมายถึงพัศดีเอก ที่ทำหน้าที่หัวหน้าแผนกควบคุม ซึ่งมาร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย) เพื่อท่านจะได้เมตตาคอยสั่งสอนผม ตักเตือนผมให้เป็นคนดีด้วย ผมเคารพนับถือท่านมาก ผมจะเชื่อฟังคำของท่าน จะได้ทำดี”

ผู้บัญชาการ : “เราเป็นนักโทษชั้นเลวมาก ไม่ใช่ชั้นดีหรืออย่างน้อยก็ชั้นกลางจึงจะอยู่ใกล้ชิดท่านได้ หัวหน้าท่านไม่ค่อยจะไว้ใจเราประเดี๋ยวจะทำความเดือดร้อนก่อความยุ่งยากให้ท่านอีก เราก่อกวนความสงบไม่เว้นแต่ละ ๖ เดือนต่อครั้ง เช่นนี้ยังไม่ค่อยจะไว้วางใจได้”

นักโทษอ้อนวอนว่า : “ขอความกรุณาให้ช่วยผมเถิดครับ ผมตั้งใจจะเป็นคนดี ขอให้ผมอยู่ใกล้ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือ ขอให้ท่านสั่งสอนผมแล้วผมจะปฏิบัติตาม ต่อไปผมจะต้องเป็นคนดีแน่ ไม่เลวเหมือนก่อนอีก”

เวลานั้นท่านพัศดีเอก หรือที่นักโทษคร่ำครวญเจาะจงจะขอไปอยู่รับใช้ก็นั่งฟังอยู่ในที่นั้นด้วย เห็นจะเป็นเพราะเกิดความสงสาร เกิดมีเมตตาจิต แม้จะรู้อยู่ว่านักโทษนี้ดุร้าย ไม่น่าไว้วางใจ มักจะก่อความยุ่งยาก อารมณ์ร้ายหงุดหงิดง่าย เป็นอันตรายเมื่ออารมณ์ร้ายเกิดขึ้นก็ปากว่ามือถึง ไม่รู้ผิดรู้ถูก แต่ท่านพัศดีเอกเกิดเมตตาจิตสูง คงทนความสงสารไม่ได้ก็จะลองเสี่ยงดูตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจ จึงพูดออกมากับท่านผู้บัญชาการว่า

“ผมจะลองดูครับ ผมจะลองเสี่ยงดู บางทีเขาอาจกลับตัวได้อย่างที่สัญญากับท่านไว้ ก็จะเกิดประโยชน์”


(มีต่อ ๕)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:22 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 9:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

เป็นอันว่านักโทษได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดท่านผู้ใหญ่คือ ท่านพัศดีเอก ผู้ทำการแทนหัวหน้าตามความประสงค์ ทั้งยังมีหวังถอดตรวนออกและย้ายจากแดน ๑ มาแดน ๒ อีก

บรรยากาศทั่วไปในวันนั้น เป็นไปในทางดีปลอดโปร่ง ต่างก็เห็นอกเห็นใจทั้งท่านผู้ใหญ่และผู้น้อย ต่างแผ่เมตตาจิตออกทั่วไป หลังจากนั้น ท่านผู้บัญชาการได้พาพวกเราเข้าไปดูในห้องสมุดของเรือนจำ เห็นมีหนังสือต่างๆ หลายตู้ ได้เห็น “กฎแห่งกรรม” อยู่ในนั้นจำนวนไม่น้อย เห็นของท่านผู้พิพากษาศาลเด็กเคยได้ขออนุญาตพิมพ์อยู่ในห้องสมุด และท่านเจ้าหน้าที่นำออกมาให้ดูหลายเล่ม คุณประวัติขอให้ต่อตู้พิเศษสำหรับใส่หนังสือ “กฎแห่งกรรม” โดยเฉพาะ ท่านหัวหน้าก็ยินดีรับไว้พิจารณา ข้าพเจ้าก็ตั้งใจนำหนังสือที่คุณวาณี ล่ำซำ พิมพ์บริจาคมาเพิ่มเติม

ข้าพเจ้าเห็นหนังสือที่อาจารย์เอื้องพันธุ์ คุ้มหล้า ได้ส่งมาทางเรือนจำนี้ก็มีไม่น้อย และได้ทราบว่าส่งหนังสือชุดนี้ไปตามเรือนจำอื่นๆ และส่งไปตามห้องสมุดโรงเรียนทั่วไปทางต่างจังหวัด ทำให้ข้าพเจ้าจำได้ว่า ครั้งหนึ่งอาจารย์เอื้องพันธุ์ ได้มาที่บ้านและนำจดหมายรองท่านเจ้าอาวาสวัดหนึ่งทางภาคอีสาน นำมาให้ข้าพเจ้าอ่าน ยังจำใจความบางตอนในจดหมายได้ดีว่า

อาตมาได้ไห้ครูใหญ่ทางโรงเรียน ทำสถิติความประพฤติจรรยามารยาทของเด็กนักเรียน ก่อนหน้าที่จะอ่านหนังสือชุด “กฎแห่งกรรม” และภายหลังอ่านหนังสือชุด “กฎแห่งกรรม” แล้วครึ่งปี ให้พิจารณาความรู้สึกของเด็กมีความแตกต่างกันเพียงใด ก็ได้รับรายงานว่าหลังจากเด็กอ่านหนังสือ “กฎแห่งกรรม” แล้วพวกเด็กมีความประพฤติเรียบร้อยขึ้นมาก อย่างน่าพอใจ จิตใจก็เกิดศีลธรรมรู้บุญบาปมากขึ้นอย่างผิดสังเกต อาตมาจึงแจ้งมาเพื่อขอให้อาจารย์อนุโมทนาผลบุญกุศลนี้ด้วย

ข้าพเจ้าต้องขอขอบคุณที่อาจารย์เอื้องพันธุ์ ได้ช่วยเผยแพร่หนังสือชุดนี้มากมาย ได้ประโยชน์ไกลออกไปและมีท่านผู้สนใจมากขึ้น เมื่อเราเดินดูในห้องสมุด ข้าพเจ้าพบชายหนุ่มผู้หนึ่งมีกริยาวาจาเรียบร้อยในห้องสมุดนั้น คล้ายกับเป็นห้องเรียนห้องประชุมอบรมไปในตัว เห็นมีโต๊ะม้านั่งแบบนักเรียน ผู้อยู่ในห้องสมุดนั้นได้ชี้แจงอะไรเกี่ยวกับห้องสมุดหลายอย่าง และแนะนำตัวเองว่าเป็นนักโทษ แต่ข้าพเจ้าทราบว่าเป็นนักโทษการเมือง เมื่อทราบว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เขียนชุด “กฎแห่งกรรม” ก็แสดงความยินดีที่ได้พบกับผู้เขียน และบอกว่าได้ติดตามอ่านหนังสือชุด “กฎแห่งกรรม” มานานแล้วและชอบมาก รู้สึกยินดีที่ได้รู้จักข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าพิจารณาดู คิดว่าชายผู้นี้จะเป็นนักโทษก็เป็นนักโทษชั้นดี แต่เสียดายความรู้และเวลากับปัญญาควรจะทำประโยชน์ให้แก่สังคม และประเทศชาติอีกมาก แต่การเป็นนักโทษการเมือง นักการเมืองย่อมจะมีความเห็นขัดแย้งกันเป็นธรรมดา หากทำสิ่งใดรุนแรงเกินไปก็ย่อมผิดพลาดทางกฎหมายได้ คุกกับนักการเมืองย่อมใกล้กันเป็นธรรมดาทุกประเทศ

ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในห้องสมุดก็ได้ยินเสียงสัญญาณ เหล็กกระทบเหล็กดังขึ้น มองดูนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงตรง ซึ่งถึงเวลาอาหารภายในเรือนจำ เราพากันลาท่านหัวหน้าและท่านอนุศาสนาจารย์และนักโทษการเมืองผู้นั้น ตลอดทั้งเจ้าพนักงานในเรือนจำที่อยู่ในบริเวณนั้น เราไม่สามารถจะลืมน้ำใจอันดีงามยิ่งทั้งท่านผู้ใหญ่และผู้น้อย ซึ่งเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นกันเองอยู่ตลอดเวลา แม้บัดนี้เราก็ยังไม่เคยลืม ท่านผู้บัญชาการได้นำเรากลับออกมานอกเรือนจำ และกรุณาพาเราไปกินอาหารที่ร้านอาหารในจังหวัดนนทบุรี ร้านอาหารแห่งนี้อยู่ไกลจากตัวเมืองนนทบุรีออกไป นับว่าอาหารวันนั้นรสถูกปากทุกท่าน

เราได้สนทนากับท่านผู้บัญชาการในร้านอาหารเป็นเวลานาน ตอนหนึ่งท่านผู้บัญชาการบอกว่า “ตั้งแต่ผมมารับหน้าที่นี้ประมาณ ๑๘ เดือนมาแล้ว ผมเริ่มให้การประชุมนักโทษนับแต่เดือนแรก การประชุมเพื่ออบรมสั่งสอนให้รู้โทษของความชั่วกลับตัวให้ประพฤติเป็นคนดีเดือนละครั้ง

ทั้งได้พิจารณาดูว่า เมื่ออบรมสั่งสอนแล้วนักโทษคนไหนหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายไม่ดุร้ายประพฤติตัวดี ปฏิบัติตนดีขึ้นเป็นลำดับ ผมก็สั่งให้ถอดตรวนออก บางคนก็ย้ายมาจากต่างจังหวัด เรายังไม่รู้นิสัยใจคอ ผมก็ยังไม่สั่งถอดตรวนรอจนกว่าจะเห็นว่าประพฤติดีเป็นที่พอใจ บางคนไม่มีสันดานเป็นผู้ร้าย ส่วนมากอารมณ์ร้อนรุนแรงระงับใจไม่อยู่ก็กลายเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ฆ่าคนตาย เมื่อแน่ใจผมส่งให้ถอดตรวน เดือนหนึ่งร้อยกว่าคนทุกเดือน

นักโทษบางคนก็สำนึกถึงความผิดของตัวขึ้นมา เมื่อได้ถอดตรวนก็ระลึกถึงคุณ การปกครองของผมก็ดีขึ้นมาก แบบนี้ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน นักโทษบางคนได้รับพระราชทานอภัยโทษ เมื่อออกไปแล้วก็ได้เขียนหนังสือมาถึงผมบอกว่า ประพฤติตนเป็นคนดี ไม่ยอมทำผิดกลับเข้ามาอีก ขอให้ผมทำใบสำมะโนครัวส่งไปให้ ผมรับหนังสือแล้วก็เร่งให้เจ้าหน้าที่ รับจัดการส่งไปใหม่เพื่อจะได้สนับสนุนไห้เขาเป็นพลเมืองดี”

ท่านให้ความรู้เพิ่มเติมอีกมากมายเกี่ยวกับงานราชทัณฑ์ รู้สึกว่างานทางเรือนจำเป็นงานหนักไม่น้อย ในการปกครองนักโทษเพื่อรักษากฎหมายให้คงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะท่านผู้บัญชาการเป็นผู้รับผิดชอบเป็นผู้ดำเนินการในเรือนจำ จะต้องหาทางแก้ปัญหาให้นักโทษที่ดุร้าย ที่ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำประพฤติตนเป็นคนดี ลดจำนวนอาชญากรที่ประพฤติชั่วกลับเป็นคนประพฤติตัวดีมากขึ้น ย่อมไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ เหมือนคิด การปกครองนักโทษจำนวนที่พันกว่า ส่วนมากล้วนแต่เป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ใจอำมหิต ไม่เคยรู้เรื่องศีลธรรมบุญบาปมาก่อน

งานการปฏิบัติของเรือนจำทั่วไปแล้ว ก็จะเห็นได้ว่างานของกรมราชทัณฑ์นั้นมีประโยชน์ใหญ่หลวงต่อประเทศชาติมากมาย เพราะเป็นงานสังคมสงเคราะห์ชนิดพิเศษที่จะสร้างคนทำชั่วให้เป็นคนดี อบรมฝึกนิสัยให้รู้ซึ้งถึงหลักธรรม พร้อมทั้งรักษาปฏิบัติข้อความตามกฎหมายให้เที่ยงธรรม การปกครองจะใช้แต่พระเดชก็ไม่ได้ จะต้องสร้างพระคุณและแผ่เมตตาจิตให้เกิดความเคารพนับถือของคนส่วนมากทั่วไป

แต่งานจะหนักจะเบา จะดีหรือชั่วก็ต้องอาศัยผู้ร่วมงานเริ่มแต่ชั้นผู้ใหญ่และชั้นรองลงมาตลอดถึงผู้น้อย แต่ละท่านจะต้องเอาใจใส่ในหน้าที่ของตนอย่างเข้มแข็ง เมื่อได้ร่วมใจร่วมกำลังสามัคคีกันปฏิบัติงานของชาติ ให้ประสานกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียวเพื่อสังคมส่วนใหญ่เช่นนี้แล้ว หนักก็เป็นเบา ยากก็เป็นง่าย ทุกอย่างก็ต้องบรรลุผลสมความตั้งใจ

ท่านผู้บัญชาการเล่าถึง การเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ เวลา ๑๑.๐๐ น. ท่านอธิบดีกรมราชทัณฑ์พร้อมด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางและเจ้าหน้าที่ได้เข้าเฝ้า ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน น้อมเกล้าถวายโต๊ะหมู่กับแจกันประดับมุกขนาดใหญ่ ในหลวงได้พระราชทานกระแสราชดำรัสแก่ผู้เข้าเฝ้าบางตอนว่า

งานราชทัณฑ์ นับตั้งแต่อธิบดีกรมราชทัณฑ์ลงไปจนถึงเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ต้องรับภาระหน้าที่อันหนัก และเหน็ดเหนื่อยมาก ทั้งในทางที่ไม่เป็นมงคล ว่าเป็นงานที่ต่ำต้อย เป็นงานคุกงานตะราง ทรงเห็นใจผู้ที่ทำงานในกรมราชทัณฑ์ ขอให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่ทุกคนอย่าได้คิดท้อถอยขอให้คิดว่า งานราชทัณฑ์เป็นงานที่สำคัญมาก เป็นงานที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคม หากอบรมผู้ต้องขังให้ประพฤติตนดีขึ้นไม่ได้ พ้นโทษออกไป ก็จะกลับไปเป็นคนอันธพาล เป็นภัยแก่สังคมอีก

ข้าราชการกรมราชทัณฑ์ควรจะภาคภูมิใจ ถ้าสามารถฝึกอบรมผู้ต้องขังให้เป็นพลเมืองดีได้ ขอให้ข้าราชการกรมราชทัณฑ์มีความมานะอดทนพยายามอบรมแก้ไขให้ผู้ตัองขังเป็นคนดี ฝึกหัดงานอาชีพสำหรับเป็นเครื่องมือให้ทำมาหากินโดยสุจริต เมื่อพ้นโทษออกไปแล้วก็ควรจะติดตาม ดูผลด้วยว่า เขานำวิชาชีพที่ฝึกอบรมไปนั้นไปทำงานการเกิดผลอะไรได้บ้าง

พระองค์ท่านทรงขอให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์นำความนี้ฝากไปแจ้งแก่ข้าราชการกรมราชทัณฑ์ทุกคนว่า อย่าได้คิด ท้อถอย ขอให้ยึดมั่นในอุดมคติ ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่สำคัญนี้ให้ได้ผลดี ท่านผู้บัญชาการบอกว่า พระราชดำรัสจับใจมาก ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยพระองค์ทรงเป็นห่วงประชาชนพลเมืองทั่วไป ไม่เว้นแต่นักโทษในเรือนจำก็ทรงเป็นห่วงพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นนัก



(มีต่อ ๖)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:27 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 9:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อเราได้ใช้เวลาสนทนากันในห้องอาหารนานพอสมควรแล้ว เรากลับมาส่งท่านผู้บัญชาการที่ทำงานแล้ว ก่อนจะลาท่านผู้บัญชาการกลับกรุงเทพมหานคร เรากล่าวขอบคุณท่านที่ให้ความสะดวกและเอาใจใส่เป็นกันเองทุกอย่าง

ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนข้อสัมภาษณ์เรื่องนี้ ก่อนจะจบเรื่องก็ได้ข่าวทางเรือนจำบางขวางว่า เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ท่านผู้บัญชาการไปตรวจงานที่แดน ๒ ได้พบกับนักโทษที่เราไปสัมภาษณ์นั้นได้รับการถอดตรวนแล้ว ออกมาทักทาย ท่านผู้บัญชาการสังเกตลักษณะกิริยาท่าทางเห็นเปลี่ยนแปลงผิดกว่าเดิม รู้สึกดีขึ้นกว่าแต่ก่อน

การที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเรือนจำกลางบางขวางนั้นเป็นยุคปัจจุบัน ทำให้นึกถึงเรือนจำสมัยก่อน เมื่อครั้งข้าพเจ้ายังเป็นเด็กวัยรุ่นจึงอยากจะเล่าเท่าที่เห็นได้พบด้วยตาตนเอง ให้ท่านได้มีโอกาสเปรียบเทียบเรือนจำสมัยก่อนกับสมัยปัจจุบัน รู้สึกผิดแปลกแตกต่างกันเพียงใด

ข้าพเจ้าพอจำเหตุการณ์ในสมัยนั้นได้ พอจะเล่าให้ทราบว่า ในเรือนจำสมัยนั้น ซึ่งบังเอิญข้าพเจ้ามีโอกาสติดตามผู้ใหญ่เข้าไปเพื่อเยี่ยมนักโทษ ครั้งนั้น บิดาของเพื่อนเป็นผู้ใหญ่พาเข้าไปเยี่ยมเพื่อนของท่าน ข้าพเจ้ากับเพื่อนขอเข้าไปด้วยตามนิสัยเด็กที่อยากรู้อยากเห็น บิดาของเพื่อนก็ไม่ขัดข้อง ท่านได้พาเราไปที่เรือนจำคลองเปรม ในสมัยก่อนชาวบ้านเรียกว่า “คุกใหม่”

ก่อนที่เราจะเข้าประตูเรือนจำ สภาพที่หน้าคุกใหม่ ในเวลานั้นเป็นลานดิน จำไม่แน่ว่ามีต้นประดู่หรือหูกวางกี่ต้น ระยะห่างจากหน้าคุกพอสมควร และใต้ต้นไม่ใหญ่มีร้านขายของ ซึ่งปลูกเป็นต้นแบบ ปลูกขายของในลานงานภูเขาทอง เวลามีงาน มีของเครื่องใช้เครื่องกินมากมาย

ข้าพเจ้าจำได้ว่า วันนั้นเป็นวันพระ เปิดโอกาสให้คนเข้าไปเยี่ยมนักโทษได้ ข้าพเจ้ากับเพื่อนเดินตามผู้ใหญ่ การเข้าไปต้องขออนุญาตข้างนอกก่อนกำหนดเวลาให้เยี่ยมแล้ว เมื่อถึงเวลาประตูจึงจะเปิดให้เข้าเยี่ยมได้ การขออนุญาตข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเวลานั้นเขาขอกันอย่างไรเพราะไม่ได้สนใจมัวแต่เดินดูร้านขายของ มีทั้งหาบมานั่งเรียงราย ขายกันเหมือนงานวัดหรือตลาดนัด เพราะพวกที่มาเยี่ยมนักโทษคอยอยู่ที่หน้าคุกมากมาย

ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีนิสัยชอบรู้ชอบเห็นในสิ่งแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นเคยพบ จดจำเอามาโม้ให้เพื่อนฟังภายหลัง เมื่อเดินดูก็เห็นได้ว่า ผู้ที่มาเยี่ยมนักโทษนั้นส่วนมากเป็นหญิง ผู้ชายก็มีแต่ไม่มากนัก ข้าพเจ้าเห็นผู้ชายจีนในสมัยนั้น บางคนก็ยังมีหางเปียเพราะยังไม่อยากตัด ม้วนขึ้นรอบศีรษะ จีนพวกนี้ชอบกินหมากจนฟันดำ ชอบจุกยาฉุนไว้กับเหงือกใกล้ริมฝีปากทำให้โป่งออกมา ชอบนุ่งกางเกงแพรดำใส่เสื้อแขนยาว

สำหรับการแต่งกายของไทยเรา ไม่ว่าหญิงหรือชายนุ่งผ้าโจงกระเบน การนุ่งผ้าถือว่าเป็นการแต่งกายสุภาพ การนุ่งกางเกงจีน สมัยนั้นถือว่าไม่สุภาพเรียบร้อย ส่วนข้าราชการก็นุ่งผ้าม่วง ผู้หญิงไทยทั่วไป ที่สูงอายุก็นุ่งโจงกระเบน ส่วนมากเป็นผ้าพื้นสีเข้ม เช่น ผ้าสีเลือดหมูแก่ สีเขียวแก่

ผู้ชายนุ่งผ้าแล้วใส่เสื้อคอพวงมาลัยผ้าป่านขาว คาดผ้าขาวม้าไหมเคียนพุง พวกกำนันผู้ใหญ่บ้านก็ใส่เสื้อนอก ภายหลังมีเครื่องหมายตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านกำนันตราราชสีห์ติดอกปากกระเป๋าเสื้อ ใส่หมวกกะโล่หรือหมวกสาน รู้สึกจะโก้ในสมัยนั้น เกือกส่วนมากไม่คอยจะใส่ จะมีก็ใส่เกือกแตะ รองเท้าหุ้มส้นใส่ถุงเท้ามีน้อย

ผู้หญิงก็นุ่งผ้าพื้น มีไม่น้อยที่นิยมนุ่งผ้าลายสีต่างๆ แต่ส่วนมากสังเกตดูมักจะชอบสีระกำ ใส่เสื้อกระบอกแขนจดข้อมือ มีผ้าห่มสไบเฉียง ส่วนพวกแม่ลูกอ่อนมักจะไม่ค่อยชอบใส่เสื้อ คาดแต่ผ้าแถบพันรอบรัดนมเหน็บชายไว้ข้างหนึ่ง เพื่อสะดวกในการให้ลูกกินนม ข้าพเจ้าเห็นหญิงแม่ลูกอ่อนที่เอาลูกเล็กๆ ไปด้วย มักจะนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ให้ลูกนอนขวางตักประคองหัวเปิดผ้าเอานมใส่ปากทารกแล้ว ปากก็ร้องกล่อมเสียงเบาๆ ไม่ช้าเด็กก็หลับตาอยู่บนตักแม่ก็นั่งคอยว่าเมื่อไหร่เขาจะเปิดประตูคุกให้คนเข้าเยี่ยมเสียที

ผู้หญิงสมัยนั้นชอบตัดผมสั้น เรียกว่าทรงดอกกระทุ่ม ส่วนผมยาวก็มีไว้ผมประบ่าก็มี แต่เป็นส่วนน้อย ส่วนมากชอบไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม คิดว่าคงจะทำความสะอาดง่ายกว่าแบบอื่นๆ เด็กๆ สมัยนั้น ส่วนมากไว้จุกข้าพเจ้าเดินดูเขาซื้อขายกันหน้าคุก ของส่วนมากเหมาะที่จะซื้อเข้าไปเยี่ยมนักโทษ รู้สึกว่าราคาสูงกว่าธรรมดา มีมากเป็นกล้วย อ้อย และขนมต่างๆ

ผู้ซื้อมักจะซื้อของกินเข้าไปฝากคนในคุก ส่วนขนมฝรั่งและขนมจันอับขายดี บางคนเห็นจวนจะถึงเวลาให้เข้าเยี่ยมนักโทษแล้ว จะเดินทางไปซื้อที่ตลาดกลับมาคงไม่ทัน เพราะกำหนดเวลาเยี่ยมจำกัด จึงตกลงถูกแพงก็ต้องซื้อเพราะในระยะใกล้ๆ นั้นไม่มีอะไรขาย ไม่มีร้านค้า เป็นบ้านเรือนคนอยู่เป็นห้องแถวไม้เก่าๆ ชั้นเดียว

ฉะนั้น คนสมัยนั้นหากของแพงก็มักจะเอามาเปรียบว่า “แพงยังกับตลาดหน้าคุก” ข้าพเจ้ากับเพื่อนสองคนเดินดู ส่วนที่ผิดแปลกไปกว่ายุคนี้ก็คือ คนสมัยก่อนชอบกินหมากจนฟันดำเป็นมัน ผู้หญิงที่มีอายุแล้วชอบกระเดียดกระจาด ในกระจาดนั้นมีหมากพลูและยาหอมยาฉุนยาดม เครื่องใช้เล็กๆ น้อยๆ จิปาถะและตะบันหมาก คนแก่หน่อยเมื่อนั่งพักใต้ต้นไม้มักจะหยิบตะบันออกมา ตะบันหมาก คนแก่มากหน่อยก็มักจะค้นเอาพิมเสนจากกระจาดมาขยี้กับมือแล้วก็ดมแก้ลมขึ้น

คนไทยกับหมากสมัยนั้นแยกกันไม่ได้ ทุกบ้านทุกครัวเรือนต้องมีเชี่ยนหมากไว้รับแขก ฉะนั้นตามสถานีหรือสถานที่ต่างๆ ทางการจึงจัดถังไว้ สำหรับบ้วนน้ำหมากทั่วไปไม่ให้ไปเที่ยวบ้วนเลอะเทอะ แต่ก็ไม่วายชอบเที่ยวบ้วนตามพื้นที่เขาห้าม คิดว่าในปัจจุบันนี้คงเป็นที่รังเกียจของสังคม เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปไม่อยู่คงที่ ข้าพเจ้าสังเกตดูคนที่เดินทางมาเยี่ยมนักโทษนั้นส่วนมากมารถลากหรือรถเจ๊กไม่น้อยที่มาโดยเรือพายหรือเรือแจวมาเอง คิดว่าเป็นพวกที่อยู่ไกลๆ พอมาถึงก็จอดเรือไว้ที่เชิงสะพานใกล้คุก แล้วก็ขึ้นจากเรือเดินไปไม่ไกลนัก

เรากำลังเดินหรือยืนดูเพลิน ผู้ใหญ่เที่ยวเดินตามหาบอกว่า กำหนดเขาจะเปิดให้เยี่ยมนักโทษแล้ว มัวแต่เดินเล่นเดี๋ยวได้หลงกัน ข้าพเจ้ากับเพื่อนจึงเดินตามผู้ใหญ่ เพื่ออยากเข้าไปดูภายในที่คุมขังนักโทษ เมื่อถึงกำหนดเวลา ประตูคุกก็เปิดออก ผู้ที่ถือใบอนุญาตให้เยี่ยมตามจำนวนคนก็ยื่นให้คนเฝ้าประตูตรวจเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินผ่านประตูเข้าไปภายในซึ่งข้าพเจ้าสมัครใจเรียกว่า “ขุมนรกในเมืองมนุษย์”


(มีต่อ ๗)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:31 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 9:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อผ่านประตูใหญ่เข้าไปในแดนนักโทษ ความรู้สึกของข้าพเจ้าเวลานั้น จิตใจชักจะตื่นๆ กลัวๆ กล้าๆ พูดไม่ถูก เห็นนักโทษบางคนก็หน้าตาซีดเซียว หน้าเหลืองถูกตีตรวนขาถ่างสองข้าง หามถังกลมๆ ข้าพเจ้าไม่รู้ถามเขาว่าหามถังอะไร ผู้ใหญ่ตอบว่า “ถังเมล์” ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้จักว่าถังเมล์คืออะไร จะซักถามผู้ใหญ่มากก็เกรงใจ แต่รู้สึกส่งกลิ่นสกปรกออกมาเป็นคำตอบอยู่แล้ว เห็นนักโทษหามหัวหามท้ายหลายคู่ รู้สึกภายในบริเวณไม่ค่อยสะอาดนัก

ข้าพเจ้าเห็นผู้คุมเดินถือหวายคอยคุมอยู่ห่างๆ คอยระวังหมู่นักโทษที่ใช้งาน เมื่อเราได้เดินเข้าไปถึงที่สำหรับเยี่ยมนักโทษ เห็นผู้ใหญ่ฉีกบัตรอนุญาตให้พนักงานไปเบิกตัวนักโทษที่จะมาเยี่ยม แล้วเราก็ไปคอยอยู่ที่ช่องเป็นซี่กรงที่สอดมือออกไปไม่ได้ มีช่องกลางประมาณสักวากว่า ระหว่างด้านนอกสำหรับผู้มาเยี่ยม ด้านในสำหรับพวกนักโทษที่เบิกตัวให้ญาติเยี่ยม ทางเรือนจำเขาจำกัดเวลาให้เยี่ยมเท่าใดข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ คิดว่าไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

ในบริเวณนั้นเสียงจ้อกแจ้กจอแจ เสียงพูดจนไม่ได้ศัพท์ เสียงดงยิ่งกว่าตลาดเวลาจอแจสักสิบเท่า ญาติมิตรที่มาเยี่ยมนักโทษมีมากมาย นักโทษก็มีไม่น้อย พวกนักโทษก็ยืนเกาะลูกกรงอยู่ภายใน ช่องกลางมีพวกผู้คุมถือหวายเดินไปมาคอยตรวจดูแลควบคุมไม่ให้ผู้มาเยี่ยมโยนสิ่งของให้นักโทษหรือจะเป็นจดหมายก็ห้ามเด็ดขาด ถ้าฝ่าฝืนก็มีความผิด

ญาติมิตรที่มาเยี่ยมก็ได้แต่ยืนเกาะลูกกรงพูดกันภายนอก เพราะต่างคนต่างพูดในเรื่องของแต่ละบุคคล ต่างถามต่างตอบ ถ้าพูดโต้ตอบเสียงอย่างธรรมดาไม่มีหวังจะได้ยินเพราะห่างกัน บางครั้งก็ต้องตะโกนเสียงดังออกมา จึงทำให้ภายในบริเวณนั้นแซ่ดไปหมด ไม่รู้ว่าใครพูดอะไรกับใคร บางทีก็จับหางเสียงหรือมองดูปากที่อ้าขึ้นอ้าลงขณะพูด บางคนก็ตะโกนซ้ำซากหลายหนจนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว เสียงในบริเวณนั้นพูดกันดังลั่นจนแสบแก้วหู

ข้าพเจ้าเห็นผู้หญิงหลายคนอุ้มลูกเข้าสะเอวยืนเกาะลูกกรงร้องไห้สะอึกสะอื้น คงจะทนความสงสารที่เห็นญาติมิตร หรือสามีพี่น้องต้องถูกใส่โซ่ตรวนทนทุกข์ทรมาน ผู้หญิงสมัยก่อนใจอ่อน ความเมตตาสงสารมีมากจิตใจจึงอ่อนไหวง่าย ไม่เหมือนยุคนี้

เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็กวัยรุ่น ได้เข้าไปเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยตนเองก็ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าคิดอะไรมาก เพราะยังเข้าไม่ถึงหลักธรรม บุญบาปชั่วดีหรือจะพูดว่ายังอ่อนโลกเกินไป คิดแต่เพียงว่าคนพวกนี้ทำชั่วทำผิดเมื่อถูกจับได้ก็ต้องมารับโทษในคุก

เมื่อมาถึงยุคอายุมากขึ้นแล้วนี้ คิดถึงเหตุการณ์ย้อนหลังไปนึกถึงสมัยวัยรุ่น คิดแล้วก็เศร้า มนุษย์เหล่านี้ก็เป็นคนแบบเดียวกับเรา แต่มีความเป็นอยู่เหมือนสัตว์นรก เหมือนเปรตที่มายืนตะโกนอยากกินโน่นอยากกินนี่ขอส่วนบุญในวันพระ เป็นวันที่พวกญาติได้นำสิ่งของมาอุทิศให้กินโดยฝากไว้กับเจ้าพนักงานก่อน เพื่อจะได้ตรวจดูว่ามีอะไรซุกซ่อนอยู่ในสิ่งของบ้าง


นักโทษสมัยนั้นต้องใส่เสื้อผ้าด้ายดิบคอกลม ข้างหลังข้างหน้าต้องเขียนตัวอักษรย่อว่า น.ช. ด้วยหมึกดำตัวใหญ่ พอมองเห็นได้ชัด การนอนก็ได้รับความทรมานเพราะมีฝูงเรือดยุงริ้นไรคอยสูบกัดเวลาหลับ จะหาความสงบ เมื่อเวลานอนก็หายาก ทั้งทำให้เป็นโรคผิวหนัง เป็นหิด กลาก เกลื้อน เป็นต้น

ข้าพเจ้าคิดว่าที่นักโทษต้องตัดผมสั้น เพราะในคุกมีเหาชุกชุมนักโทษในยุคนั้นมอมแมม เสื้อผ้าหาความสะอาดได้ยาก สมกับเป็นนรกในเมืองมนุษย์ยิ่งนัก นักโทษเท่าที่เห็นบนใบหน้ามีแต่ความเคร่งเครียดตลอดเวลา บางคนก็มีหน้าเหี้ยมโหด จะหารอยยิ้มบนใบหน้าของพวกนักโทษไม่ได้

ในสมัยนั้น ข้าพเจ้าได้ทราบว่า พะทำมะรงเป็นผู้รักษากฎวินัยของกรมราชทัณฑ์ในเรือนจำ หากนักโทษคนใดทำผิดวินัยก็สั่งให้นอนคว่ำ-หน้าลงโดยตีหลังด้วยหวายหรือหางกระเบน บางคนทนเจ็บปวดไม่ไหวก็ร้องเป็นเสียงวัวควาย ไม่ทันครบกำหนดก็สลบไป

ฉะนั้น นักโทษที่ดุร้ายก็ขยาดลงได้บ้าง นักโทษสมัยก่อนใกล้สัตว์นรก ต้องทนทุกข์ทรมานใช้กรรมที่ตนได้ทำไว้ แม้จะถูกโบยตีลงโทษสาหัสเช่นนั้น แต่ความดุร้ายทางจิตใจจะหมดไปนั้นยากที่จะทำได้เพียงแต่สงบลงเท่านั้น เพราะความชั่วฝังลึกในจิตใจซึ่งจะยับยั้งความดุร้ายดับลงได้ ก็ต้องอาศัยหลักธรรมของพระพุทธศาสนาคอยกล่อมเกลานิสัย ทางจิตใจให้อ่อนลง จนกว่าจะเข้าซึ้งถึงหลักธรรม ก็อาจเปลี่ยนไปทางดีได้

นี่ข้าพเจ้าพูดถึงสิ่งที่ได้พบเห็นและรู้มาในเวลานั้น ภายหลังได้พิจารณาแล้วเกิดมีความรู้สึกว่า ในปัจจุบันนี้คนนอกคุกก็ยังมีไม่น้อย ทั้งชั้นปัญญาชนก็ยังมีที่มีความรู้สึกไปทางมัวเมาหลงใหลในทางชั่วจนลืมตัว ลืมตนสร้างความเดือดร้อนให้สังคม ไม่สนใจจะเกิดความเสียหายแก่ตนภายหลัง หาผู้ที่มีศีลธรรมรักศักดิ์ศรีของตนได้ยาก ต่างก็ขาดความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน แล้วจะให้คนในคุกในตะรางที่สร้างกรรมทำชั่ว จิตต่ำดุร้ายให้มีศีลธรรม ไม่ใช่ของทำได้ง่าย

หากท่านผู้มีจิตใจสูงมีความรู้ในหลักธรรม เป็นผู้ที่เคารพนับถือของหมู่นักโทษ มีทั้งพระเดชและพระคุณช่วยกันฝึกฝน และอบรมให้เห็นบาปบุญคุณโทษ ถ้าสามารถน้อมจิตใจนักโทษเหล่านี้ให้อ่อนไหวจากความแข็งกระด้างดุร้าย เพราะรู้หลักพุทธศาสนาเกิดมีศีลธรรมขึ้น รู้บาป รู้บุญ ข้าพเจ้าคิดว่าบางทีนักโทษที่อบรมฝึกจิตที่รู้ดีรู้ชั่วแล้ว อาจมีศีลธรรมดีกว่าคนนอกคุกที่กำลังสร้างกรรมทำชั่วลืมตัวลืมตาย ไม่รู้ตัวว่ากำลังรอเวลาผลกรรมทำชั่วจะตามสนอง นำตัวเข้าไปสู่แดนคนบาป คิดว่ายังคงจะมีอีกไม่น้อยที่จะต้องเข้าไปใช้หนี้กรรม

เมื่อพูดถึงเรือนจำกลางคลองเปรม หรือในปัจจุบันนี้เปลี่ยนชื่อเป็น “เรือนจำนครหลวงกรุงเทพธนบุรี” ซึ่งอยู่กลางใจเมืองในปัจจุบันนี้ เรือนจำแห่งนี้ก็มีประวัติสำคัญไม่น้อยเท่าที่เรารู้

หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็ได้มีนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงโด่งดังมีอำนาจวาสนามาก แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงคราม ได้ถูกนำตัวมาควบคุมในสถานที่แห่งนี้ ภายหลังถูกปลดปล่อย กลับเรืองอำนาจยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วก็กลับเสื่อมอำนาจลง ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองมารดร ออกนอกแผ่นดินไทย ที่สุดก็ถึงอนิจกรรมลงในต่างประเทศ ประวัติศาสตร์คงจารึกเรื่องแปลกๆ ของท่านผู้นี้ไว้มาก คงจะเป็นตัวอย่างที่ดีแก่อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา ความไม่เที่ยงของชีวิต

ทำให้คิดว่า มนุษย์เราเกิดมาไม่มีใครจะรุ่งเรืองในอำนาจวาสนายั่งยืนได้ตลอดไปอย่างไม่มีวันเสื่อม เพราะทุกคนโลกมนุษย์เราอยู่นี้ไม่มีอะไรแน่นอน ขอแต่เขาอย่าได้หลงลืมตน มัวเมาอำนาจ จะเกิดประมาทขาดสติจงเตือนตัวเองเสมอว่า ความตายกำลังรอเราอยู่ข้างหน้า จงสร้างแต่กรรมดี ละเว้นการทำชั่ว แม้ตัวเราจะตายจากโลกแล้ว ประวัติศาสตร์ก็จะยกย่องสรรเสริญความดี เป็นอมตะไม่รู้จักตายตลอดไป

การสัมภาษณ์นักโทษในเรือนจำกลางบางขวางในวันนั้น ได้เรื่องเป็นแก่นสารไม่มากนัก และได้เขียนความทรงจำสมัยก่อนที่ข้าพเจ้ายังนึกได้ แต่ก็นานอาจหลงลืมไปบ้าง ก็ได้เรื่องเพียงเท่านั้น แต่ยังมีคำบอกเล่าของท่านผู้ใหญ่ เรื่องเก่าๆ สมัยก่อนพอที่จะเชื่อถือได้อีกไม่น้อย หากโอกาสหน้า ข้าพเจ้ามีเวลาจะขออนุญาตท่านผู้บัญชาการ ซึ่งท่านก็ยินดีให้ความสะดวก

และท่านผู้บัญชาการเรือนจำก็ได้ยืนยันว่า โอกาสหน้าเมื่อมีเวลาท่านก็จะพาท่องไปทุกแดน ทุกมุม ทุกแง่ เพื่อเห็นชีวิตผู้ต้องขังในแดนคนบาป เพื่อเปรียบเทียบในสมัยพัฒนากับคุกสมัยก่อน ผิดแปลกแตกต่างเพียงใด เมื่อโอกาสนั้นมาถึง ข้าพเจ้าคงจะได้ข้อความบันทึกขึ้นมาใหม่ ก็จะนำมาเขียนให้ท่านทราบชีวิตในแดนคนบาปต่อไป ข้าพเจ้าขอให้ข้อคิดว่า

จงตามรอยคนทำดี จะมีราศรีแก่ตัว
อย่าตามรอยคนทำชั่ว จะพาตัวให้มัวหมอง
สวรรค์มีไว้คนทำดี นรกมีไว้คนทำชั่ว
เรารู้ตัวว่าทำชั่ว รีบกลับตัวทำความดี
รีบทำในวันนี้ จะมีดีในวันหน้า
น้ำตกผ่านเลยไป ไม่มีไหลกลับคืนมา
เวลาก็เช่นเดียวกัน ความสำคัญใช้ปัญญา




......................... เอวัง .........................
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:35 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
คุณจูน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 9:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อย ยิ้ม
 
-บัวเบลอ-
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 9:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ่านเพลินดี คล้ายๆ ดูละคร period (เรียกถูกไหมหนอ)
เพียงว่ามันเป็นชีวิตคนจริงๆ ที่เกิดขึ้น ได้คติสะกิดใจดีมากเรื่องเวลากับปัญญา
อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ถึงพวกหมอที่พากันไปอยู่ที่นั่น น่าสงสารจัง ร้องไห้
 
วัยรุ่นผ่านมา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 9:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปรบมือให้ ปรบมือให้ ปรบมือให้ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ถึงจะยาวไปนิด แต่ได้แง่คิดและมุมมองดีๆ ที่คนสมัยนี้มะค่อยได้พบเห็น สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ
 
ไลลารินทร์
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 14 ก.ค. 2006
ตอบ: 64

ตอบตอบเมื่อ: 14 มี.ค.2007, 3:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 

_________________
เชื่อ ศรัทธา และเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยหัวใจอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวYahoo Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง