Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กรรมประกาศิต (จ. ไตรปิ่น) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
๛ สายลม ๛
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ค.2004, 4:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

กรรมประกาศิต
โดย จ. ไตรปิ่น
จากหนังสือ “กรรมกำหนด” เล่มที่ ๔


................................

ชีวิตมนุษย์ เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยกรรม กรรม คือ การกระทำความดี ความชั่ว มนุษย์ เป็นผู้เริ่มมันขึ้น มันจะติดตามไปตอบสนองโดยไม่มีทางหลบเลี่ยง หรือหลีกหนีได้พ้น ไม่ว่าภพนี้หรือภพใด

ช่องว่าง ระหว่าง “ชนชั้น” นั้น ไม่ว่ายุคใดสมัยไหนก็ไม่มีวันจะหมดสิ้นไปได้ โดยเฉพาะเรื่องของ “การเลือกคู่ครอง” ผู้ใหญ่บางคนยังถือคติว่า เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องยื่นมือเข้าเกี่ยวข้องด้วยเสมอไป จะเป็นความพอใจหรือไม่พอใจของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนั้น “ฉันไม่สน”

ดังเรื่องจริงอันแสนหฤโหดที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้

“พรรณ” เป็นชื่อของแม่ค้าขายข้าวแกง ที่ชาวบ้านในย่านถนนสุโขทัย ซอย ๒ ต่างรู้จักดี โดยเฉพาะบรรดาพวกหนุ่มๆ ต่างพากันมาอุดหนุนข้าวแกงแม่ค้าสาวผู้นี้อย่างเนืองแน่นทุกวัน เพราะนอกจากหล่อนจะมีฝีมือในด้านการปรุงอาหารแล้ว ยังมีความงามสะพรั่งไปทั่วทั้งตัว ทำให้หนุ่มๆ ต่างพากันคลั่งไคล้หลงใหลไปตามกัน ทุกคนพยายามที่จะช่วงชิงเป็นเจ้าของหัวใจแม่ค้าสาวผู้นี้ให้ได้ แต่ก็ไม่ปรากฎว่าหล่อนจะมีทีท่า เออออห่อหมกกับคนหนึ่งคนใด

เรื่องของ “ความรัก” มันเป็นเรื่องของหัวใจ ถ้าไม่รัก ไม่ชอบแล้ว ก็ไม่สนใจเป็นธรรมดา “แต่...จะมีใครบ้างเล่าที่หลบเลี่ยงหนีความรักได้พ้น”

พรรณก็เช่นเดียวกัน หล่อนเพิ่งได้พบชายที่พึงใจเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง เขาเป็นชายหนุ่มที่สง่าผึ่งผาย ใบหน้าคมสัน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพง ขับรถยนต์สวยหรูราคานับล้าน เข้ามาในซอยที่หล่อนขายข้าวแกงอยู่ เขาขับมาจอดที่หน้าเพิงขายของของหล่อน และตรงเข้ามาซักถามถึงเพื่อนของเขาคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในซอยเดียวกับหล่อน แต่พรรณไม่รู้จักก็ปฏิเสธไป

โอกาสนี้ เขาก็อุดหนุนข้าวแกงหล่อน และนั่งสนทนาปราศรัยด้วยเป็นอย่างดี จากการที่ได้พบและรู้จักกันเป็นครั้งแรกครั้งเดียวนี้ พรรณก็เริ่มพึงใจในตัวเขาขึ้นมาทันที

วันต่อมา เขาก็แวะเวียนมาหาอีก มาอุดหนุนข้าวแกง และพูดคุยกับหล่อนเหมือนเช่นเดิม เขาบอกว่าเขาพบเพื่อนของเขาแล้ว เพื่อนของเขาอยู่ถัดจากซอยพรรณไปอีกซอยหนึ่ง แต่เป็นคนมาอยู่ใหม่จึงไม่มีใครรู้จัก

จากนี้เขาก็พูดคุยซักถามเรื่องส่วนตัวของพรรณ ซึ่งพรรณก็บอกเขาไปตามความจริงโดยไม่ปิดบังว่า หล่อนอยู่กับแม่เพียงลำพังสองคน พ่อของหล่อนเสียชีวิตไปตั้งแต่หล่อนยังเยาว์วัยอยู่ หล่อนต้องเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูแม่ตลอดมา เพราะแม่มีสุขภาพไม่ดี มักจะเจ็บป่วยอยู่เสมอ

เขารับฟังเรื่องราวของหล่อนด้วยความเห็นอกเห็นใจ และแสดงความเป็นมิตรที่ดีต่อหล่อน ความสนิทสนมของพรรณและเขาเพิ่มทวีมากขึ้น เมื่อเขาแวะมาหาและมาอุดหนุนข้าวแกงหล่อนติดๆ กัน แทบไม่เว้นแต่ละวัน จนในที่สุดหล่อนก็ได้ทราบเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเขา ซึ่งเปิดเผยให้ฟังโดยไม่ปิดบังเช่นเดียวกัน

“การันต์” เป็นชื่อของเขา เป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ที่มั่งคั่งร่ำรวย บิดาของเขาเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปนานแล้ว และได้ทิ้งมรดกจำนวนมหาศาลไว้ให้ ชีวิตของเขาก็คล้ายคลึงกับพรรณ คือ ขาดพ่อ และอยู่กับแม่ตามลำพัง เขาสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ และประกอบการค้าส่วนตัวตามแนวถนัด ซึ่งได้ไปศึกษาเล่าเรียนมา นี่คือประวัติโดยย่อของเขาซึ่งได้เปิดเผยให้พรรณฟัง

จากสภาพฐานะอันแตกต่างห่างไกลกันระหว่างเขากับหล่อน ทำให้พรรณแอบคิดต่อความกริ่งเกรง และหวาดระแวงเสียมิได้ เพราะบางทีเขาอาจจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผู้ชายมีเงินโดยทั่วไป ที่มองผู้หญิงอย่างหล่อนเป็นดอกไม้ริมทาง ที่สามารถจะเด็ดชมเล่นได้โดยง่าย ซึ่งมีตัวอย่างมามากแล้ว

เรื่องนี้พรรณไม่สามารถจะเก็บเงียบไว้ในใจตามลำพังได้ หล่อนจึงนำไปเล่าให้มารดาฟังโดยละเอียด พลอยผู้เป็นแม่นั่งฟังคำบอกเล่าของบุตรสาวด้วยความสนใจ นางเองก็มีความรู้สึกโน้มเอียงไปในทางที่เขาอาจจะเห็นบุตรสาวของนางเป็นดอกไม้ริมทาง ที่หวังจะเด็ดดมชมเล่นง่ายๆ เช่นเดียวกับความรู้สึกของผู้ชายที่มั่งคั่งโดยทั่วไปก็ได้ ดังนั้นนางจึงให้คำแนะนำตักเตือนบุตรสาว เพื่อป้องกันความผิดพลาด และเสื่อมเสียที่จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งพรรณก็รับฟังคำตักเตือนของแม่เป็นอย่างดี

แต่แล้วความหวาดระแวงและกริ่งเกรงดังกล่าว ก็หาได้เป็นไปตามความคาดหมายไม่ เพราะตลอดเวลาที่เขาแวะเวียนมาหาและพูดคุยด้วย เขาไม่เคยแสดงอะไรนอกเหนือเกินเลยไปกว่าความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ไม่เคยจะพูดเกะกะเกี้ยวพาราสี หรือใช้อำนาจเงินหว่านล้อมเพื่อจะให้หล่อนตกเป็นเหยื่อของเขาแต่ประการใด เขามีความเป็นสุภาพบุรุษ และเป็นผู้ดีอย่างแท้จริง ทำให้พรรณเพิ่มความพึงใจในตัวเขามากขึ้น

การติดต่อระหว่างเขากับหล่อนยังคงดำเนินต่อมาด้วยดี จนกระทั่งได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้นแก่ครอบครัวของพรรณ นั่นคือ พลอยผู้เป็นแม่ได้ล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน หล่อนต้องหยุดขายของชั่วคราวเพื่อพยาบาลรักษามารดา เมื่อหยุดขายของก็ทำให้ขาดรายได้ไป โดยปกติรายได้จากการขายข้าวแกงก็เพียงพอกินพอใช้ไปวันๆ เท่านั้น

เมื่อพลอยผู้เป็นแม่ต้องมาล้มป่วยลง ก็ต้องประสบกับความเดือดร้อนอย่างหลีกไม่พ้น เพราะนอกจากจะต้องกินต้องใช้อยู่ทุกวันแล้ว ยังจะต้องเจียดเงินเอามาเป็นค่ารักษาพยาบาลอีกด้วย เงินทองที่มีอยู่ก็ร่อยหรอหมดไป หนำซ้ำอาการป่วยของพลอยกับเพียบหนักลงไปอีก ทำให้พรรณกลุ้มแทบจะเป็นบ้า เพราะหล่อนเองก็หมดปัญญาที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ไปในทางที่ดีได้

และแล้ว....ความเดือดร้อนลำเค็ญอย่างถึงที่สุดก็มาถึง นั่นคือ เงินที่มีอยู่ได้หมดสิ้นลงพร้อมๆ กับอาการป่วยของพลอยได้ทรุดหนักลงอย่างน่าวิตก

พรรณได้ออกไปจากบ้านไปขอความช่วยเหลือจากแพทย์ประจำคลีนิคซึ่งอยู่ใกล้ๆ และเคยรู้จักชอบพอกัน โดยขอร้องแพทย์ให้ไปตรวจดูอาการของมารดา และเยียวยารักษาให้ก่อน ส่วนเงินจะชำระให้ภายหลัง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอย่างปราศจากเยื่อใย

ในที่สุดก็ต้องบ่ายหน้ากลับด้วยความผิดหวัง และด้วยน้ำตานองหน้า เพราะความเป็นห่วงและสงสารมารดา ซึ่งกำลังรอความช่วยเหลืออยู่ แต่หล่อนก็ไม่อาจจะช่วยได้ ขณะเดินกลับอย่างหมดอาลัยตายอยาก รถยนต์เก๋งสวยหรูคันหนึ่งก็เล่นเฉียดเข้ามาใกล้ และจอดลงตรงหน้า

เมื่อพรรณหันไปเห็นเข้า ก็สะดุ้งด้วยความตกใจ และตื่นเต้นระคนกัน เพราะผู้เป็นเจ้าของรถก็คือ การันต์ ชายหนุ่มผู้แวะเวียนมาหาอยู่เนืองนิตย์ และเป็นเพศตรงข้ามคนเดียวที่หล่อนพึงใจ ให้ความสนิทสนมมากกว่าใครๆ ทั้งสิ้น

ในตอนแรกที่เขาพบเห็นหญิงสาว เขาก็ทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ซ้ำยังบอกว่า เขามาหาหล่อนตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้พบเพราะหล่อนไม่ได้มาขายของเหมือนเช่นเดิม แต่แล้ว....ใบหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนสี เผือดลงทันที เพราะแทนที่พรรณจะพูดจาโต้ตอบด้วยดีเหมือนเช่นเดิม หล่อนกลับยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้าร้องไห้

จากการแสดงออกของหญิงสาวเช่นนี้ เขาก็พอจะหยั่งรู้ได้ว่า หล่อนจะต้องประสบกับเรื่องราวเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างหนึ่งอย่างใดแน่ ดังนั้นโดยไม่ซักไซร้ไล่เลียงอะไร เพราะเกรงจะเป็นที่สนใจและเป็นเป้าสายตาของคนที่เดินสวนทางไปมา เขาจึงขอร้องให้หล่อนขึ้นมาบนรถของเขา เพื่อจะได้พูดจากันให้รู้เรื่องว่า มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งหล่อนก็ปฏิบัติตามคำขอร้องของเขาแต่โดยดี

เมื่อหล่อนขึ้นมาบนรถแล้ว เขาก็ขับรถมาจอดในที่เงียบๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลเท่าไร พลางก็ซักถามถึงเรื่องราวที่หล่อนกำลังประสบอยู่ด้วยความสนใจ กว่าที่พรรณจะสารภาพความจริงออกไปได้ หล่อนก็ต้องอึดอัดอยู่ตั้งนาน เพราะความอาย และต้องเสียน้ำตาไปอีกไม่น้อย เมื่อเขาได้ทราบความจริงว่า มารดาของหล่อนกำลังป่วยหนัก และหล่อนเองก็หมดปัญญาจะช่วยแม่ได้ เขาก็ยื่นมือให้ความช่วยเหลือทันที โดยรีบไปตามแพทย์ผู้มีความสามารถมาทำการรักษาอย่างเร่งด่วน

เนื่องจากเขาเป็นคนมีเงิน ยอมทุ่มเทอย่างไม่เสียดาย อาการป่วยของพลอยผู้เป็นมารดาของพรรณก็กระเตื้องและดีขึ้นเป็นลำดับ มิใช่เพียงเท่านี้ แต่เขายังมอบเงินให้พรรณอีกก้อนหนึ่ง เพื่อไว้ใช้จ่ายในครอบครัว ซึ่งกำลังเดือดร้อนอยู่ เขาให้คำปลอบโยนและบอกกับพรรณแต่เพียงสั้นๆ ว่า อย่าได้คิดเป็นเรื่องบุญคุณอะไร ขอให้นึกเสียว่า เขาเป็นผู้หวังดีต่อพรรณด้วยใจจริง ถ้าเขามีทางที่จะช่วยเหลืออะไรได้ เขาก็ยินดีและเต็มใจเสมอ

คุณงามความดีของเขาที่มีต่อหล่อนครั้งนี้ เป็นสิ่งผูกมัดจิตใจของพรรณที่มีต่อเขาให้เพิ่มทวีมากขึ้น ในระยะแรก หล่อนเพียงแต่พึงใจ และชอบในบุคลิกลักษณะของเขา ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เพศตรงข้ามคนอื่นๆ ไม่มี และหล่อนก็ไม่เคยผ่านพบมาก่อน

บัดนี้ หล่อนได้ตื่นขึ้นเพื่อยอมรับความจริงแล้วว่า หล่อนรักเขา เป็นรักครั้งแรกที่อุบัติขึ้นในจิตใจของหล่อน ซึ่งไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้กับใครมาก่อน แต่สำหรับเขาล่ะ หล่อนไม่อาจทราบได้ เพราะเขาไม่เคยพูดจาไปในทำนองเกี้ยวพาราสี หรือแสดงออกถึงความรู้สึกแท้จริงของเขาว่ามีต่อหล่อนเช่นไร

ระยะต่อมาเขาก็ยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนและพูดคุยด้วยเหมือนเดิม แต่ก็เป็นไปในขอบเขตของมิตรภาพเท่านั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือเกินเลยไปกว่านี้ จากความช่วยเหลือของเขา ทำให้พลอยผู้เป็นแม่ของพรรณ หายจากการป่วยไข้ แข็งแรงเป็นปกติเหมือนเดิม

พลอยได้ซักถามบุตรสาวถึงความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อพรรณ พรรณก็บอกกับแม่ตามความจริงว่า เขาไม่เคยพูดหรือแสดงออกให้รู้แน่ว่ามีความรู้สึกต่อหล่อนในสถานใด ซึ่งทำให้พลอยก็ต้องเก็บความข้องใจในเรื่องนี้ตลอดมา

แต่แล้ว.......ความลับดำมืดในเรื่องนี้ก็เปิดเผยออก เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้น นั่นคือ เขาต้องประสบอุบัติเหตุรถคว่ำได้รับบาดเจ็บสาหัส พรรณไปเยี่ยมเยียนเขาที่โรงพยาบาล และเมื่อเผชิญหน้ากัน หล่อนก็ร้องไห้เพราะความสงสารเขา เพียงเท่านี้ก็เป็นความหมายให้เขาเข้าใจได้ดี เขาจับมือหล่อนมาบีบ และสารภาพความรู้สึกอันแท้จริงของเขาที่มีต่อหล่อนเป็นครั้งแรกว่า เขาคิดถึง อยากเห็นหน้าหล่อนทุกขณะ ขอให้หล่อนมาเยี่ยมเขา และอยู่ใกล้ชิดเขาทุกๆ วัน

ไม่ต้องพูดก็ได้ว่า พรรณจะปลาบปลื้มปีติยินดีสักเพียงใด ที่เขาพูดและขอร้องหล่อนเช่นนี้ คิดถึงและอยากเห็นหน้าทุกขณะ ความหมายที่แท้จริงก็คือ “เขารักหล่อน” นั่นเอง

พรรณกลับไปเล่าให้มารดาฟัง ทำให้ผู้เป็นแม่ต้องพลอยปลาบปลื้มปีติยินดีไปด้วย เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มก็รักบุตรสาวของนางเช่นเดียวกัน

ขณะที่อาการบาดเจ็บของเขาใกล้จะหายเป็นปกติ พลอยและพรรณสองแม่ลูกผู้ยากไร้ ก็ต้องประสบกับเหตุการณ์อันคาดฝันไม่ถึง นั่นคือ

ในตอนเย็นของวันต่อมา ปรากฎว่ามีสตรีสูงอายุท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งมาหาที่บ้าน และแนะนำตัวเองให้รู้ว่า นางคือ คุณหญิงสรศักดิ์ เป็นมารดาของการันต์

การที่นางบากหน้ามาหาก็เพื่อจะมาขอร้องให้พรรณเลิกติดต่อเกี่ยวข้องกับบุตรชายของนางเสีย นางไม่ต้องการเห็นบุตรชายของนางมาพัวพันกับผู้หญิงที่ต่ำศักดิ์ต่ำสกุลเช่นพรรณ และไม่สามารถจะยอมรับเป็นศรีสะใภ้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรชายของนางมีผู้หญิงที่จะเป็นคู่ครองอยู่แล้ว ซึ่งจะเข้าพิธีแต่งงานในเร็วๆ นี้ด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนการเสียสละของพรรณครั้งนี้ นางยินดีจะมอบเงินสดให้ ๑ แสนบาท เป็นการแลกเปลี่ยนกัน

คำพูดและคำขอร้องของอีกฝ่าย เท่ากับเป็นการดูถูกเหยียดหยามอย่างสิ้นดี แต่พรรณก็ไม่อาจจะพูด หรือปริปากโต้ตอบอะไรออกมาได้ นอกจากจะก้มหน้าร้องไห้ด้วยความเสียใจ ที่มีเหตุการณ์อันไม่คาดฝันเช่นนี้เกิดขึ้น ส่วนพลอยผู้เป็นแม่นั้น ไม่สามารถจะทนฟังต่อไปได้ ก็ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเงินจำนวนนี้ และตอบโต้ออกไปด้วยถ้อยคำแรงๆ ทัดเทียมกัน

พลอยบอกหญิงสูงศักดิ์ผู้เป็นมารดาของการันต์ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของบุตรสาวนาง เพราะมิได้เป็นผู้ก่อเรื่องขึ้น จึงไม่ขอยอมรับฟังคำขอร้องหรือเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้หญิงผู้สูงศักดิ์ต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง และโกรธแค้นอย่างยิ่ง

ส่วนทางด้านการันต์ ซึ่งไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย เมื่ออาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้ทุเลาจนเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว ทางโรงพยาบาลก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่แทนที่เขาจะกลับบ้านในทันทีทันใด กลับรีบตรงไปหาพรรณ เพราะความรักและคิดถึง

และแล้ว....เขาก็ได้ทราบความจริงจากปากคำของพรรณว่า มารดาของเขาได้มาขอร้องให้หล่อนเลิกติดต่อเกี่ยวข้องกับเขา เพราะนอกจากหล่อนจะมีสภาพฐานะที่แตกต่างห่างไกลกว่าเขาแล้ว เขายังมีคู่วิวาห์ที่มารดาของเขาเป็นผู้เลือกให้กำลังรออยู่ด้วย

ดังนั้น พรรณจึงขอร้องให้เขาลืมหล่อน เลิกมาเกี่ยวข้องผูกพันกับหล่อนเสีย และปฏิบัติตามความประสงค์ของมารดา เพื่อให้เรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างได้สิ้นสุดยุติลง แต่การันต์หายอมปฏิบัติตามคำขอร้องของพรรณไม่ เขาบอกว่า เขาไม่ได้รักผู้หญิงที่มารดาเป็นผู้เลือก แต่เขารักพรรณด้วยใจจริง เขาจะแต่งงานกับหล่อน และจะพูดเรื่องนี้กับมารดาของเขาเอง

พรรณไม่อาจทราบได้ว่า ผลของการเจรจาระหว่างการันต์กับมารดาของเขาเป็นเช่นไร ?

ถ้าหล่อนสามารถทราบได้ หล่อนจะต้องตกใจไม่น้อย เพราะแทนที่มารดาของการันต์หรือคุณหญิงสรศักดิ์ คุณหญิงตราตั้งที่สังคมรู้จักดี จะอนุโลมตามคำของร้องของบุตรชายก็หาไม่ ตรงข้าม ด้วยจิตใจอันเหี้ยมโหด อำมหิตของนาง นางได้เรียกโชเฟอร์ ซึ่งเป็นคนสนิทของนางมาพบ มอบเงินสดให้ ๓ หมื่นบาท พร้อมด้วยบงการให้สังหารพรรณเสีย โดยกำหนดแผนสังหารไว้อย่างรัดกุมแนบเนียนที่สุด เพื่อป้องกันมิให้กฎหมายเอื้อมมือมาถึงได้ ซึ่งนางเห็นว่า เป็นวิธีเดียวที่จะกำจัดพรรณให้ออกไปพ้นทางได้

และแล้ววาระสุดท้ายแห่งชีวิตของหญิงสาวผู้น่าสงสารก็มาถึง ในตอนเย็นของวันรุ่งขึ้นนั่นเอง เมื่อพรรณเลิกจากการขายข้าวแกง เก็บภาชนะสิ่งของใส่หาบเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้ากลับบ้าน เหตุการณ์อันสยองขวัญก็อุบัติขึ้น

รถยนต์เก๋งสีดำ ไม่มีเลขทะเบียนคันหนึ่ง แล่นตามหลังมาด้วยอัตราความเร็วสูงสุด เนื่องจากผู้ขับใจทมิฬหินชาติ มีเจตนาจะสังหารอยู่แล้ว ดังนั้นจึงพุ่งชนร่างหญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย ซึ่งเดินอยู่ริมถนนเต็มแรง หาบกระเด็นหลุดจากบ่าไปทางหนึ่ง ถ้วยชามแตกเกลื่อนกลาดเต็มถนน ร่างของหล่อนถูกรถมฤตยูทับแหลกเหลวตายคาที่ แล้วเจ้าโชเฟอร์อุบาทว์ ก็รีบขับหนีไปทางปากซอยโดยเร็ว

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า.... “ชีวิตมนุษย์ เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยกรรม กรรม คือ การกระทำความดี ความชั่ว มนุษย์ เป็นผู้เริ่มมันขึ้น มันจะติดตามไปตอบสนองโดยไม่มีทางหลบเลี่ยง หรือหลีกหนีได้พ้น ไม่ว่าภพนี้หรือภพใด”

การตายอันน่าสยดสยองของพรรณครั้งนี้ เป็นการตายเปล่า เพราะกฎหมายไม่สามารถจะลากตัวเจ้าผู้ร้ายใจอำมหิตมาลงโทษได้ เนื่องจากไม่มีผู้รู้เห็น และไม่มีใครจำเลขหมายทะเบียนรถได้ บุคคลที่กระหยิ่มยิ้มย่องและดีอกดีใจในที่สุดก็คือ คุณหญิงสรศักดิ์ หญิงใจร้ายผู้ไม่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษแต่ประการใด นางรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่แผนงานซึ่งนางกำหนดไว้ ได้สำเร็จลงแล้วอย่างง่ายดาย นางไม่เชื่อกฎแห่งความจริงที่ว่า “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นจะตอบสนอง”

เพราะเหตุที่ไม่เชื่อนี้เอง นางจึงลิงโลดใจนัก แต่ภายหลังการตายของพรรณผ่านพ้นไปเพียง ๗ วัน เท่านั้น.....ในตอนพลบค่ำของคืนต่อมา คุณหญิงสรศักดิ์ได้ไปในงานเลี้ยงฉลองเครื่องราชฯ ของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง โดยมีเจ้าโชเฟอร์มหาโหดเป็นผู้ทำหน้าที่ขับรถ เมื่อเสร็จงานเลี้ยงก็นั่งรถบ่ายหน้ากลับ คุณหญิงได้ร้องบอกให้เจ้าโชเฟอร์รู้ว่า นางได้นัดหมายกับแขกคนสำคัญไว้คนหนึ่ง ซึ่งจะมาพบที่บ้านในเวลา ๒ ทุ่มตรง เพราะฉะนั้น จะต้องรีบกลับไปให้ทันตามกำหนดนัด เพื่อมิให้อีกฝ่ายต้องเสียเวลาในการรอคอยโดยใช่เหตุ

เจ้าโชเฟอร์จอมอำมหิตยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เข็มนาฬิกาบอกให้รู้ว่า ขณะนี้เป็นเวลา ๒ ทุ่ม ๕ นาทีแล้ว ซึ่งเกินกว่าเวลาที่ได้นัดหมายไว้ถึง ๕ นาที ดังนั้น เจ้าโชเฟอร์จึงเพิ่มอัตราความเร็วของรถให้ทวีสูงขึ้น เพื่อจะได้เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้เป็นเจ้านาย

ขณะที่รถวิ่งมาตามถนนสายเปลี่ยวสายหนึ่ง ซึ่งใกล้จะถึงจุดหมายอยู่แล้ว ปรากฎว่า มีรถยนต์เก๋งอีกคันหนึ่งขับตามหลังมาด้วยอัตราความเร็วสูงเช่นเดียวกัน โดยที่เจ้าโชเฟอร์เองก็หารู้ไม่ว่า รถที่ขับตามหลังมานี้เป็นรถซิ่งของเจ้าเด็กวัยรุ่นที่คึกคะนองในยุคปัจจุบันนี้ และเจ้าพวกนี้โปรดปรานการขับรถแบบประลองความเร็วตามท้องถนนอยู่ทุกๆ ขณะ

ทั้งๆ ที่เจ้าโชเฟอร์มหาโหดก็ขับด้วยอัตราความเร็วสูงแล้ว แต่รถซิ่งของเจ้าวัยรุ่นคันนี้ก็ยังสามารถแซงขึ้นหน้าได้ ทำให้เจ้าโชเฟอร์อำมหิตเดือดดาลเป็นยิ่งนัก มันเหยียบคันเร่งทวีความเร็วให้สูงยิ่งขึ้น เพื่อจะแซงรถซิ่งของเจ้าวัยรุ่นนี้ให้ได้ และแล้ว...เมื่อมาถึงทางโค้งของถนนสายนี้ เจ้าโชเฟอร์ใจทมิฬก็ขับแซงขึ้นหน้าทันที

แต่อนิจจา ! ปรากฏว่ามีรถ ๑๐ ล้อ คันหนึ่ง ขับสวนทางมาอย่างกระชั้นชิด และด้วยอัตราความเร็วสูงเช่นเดียวกัน ทั้งเจ้าโชเฟอร์และคุณหญิงสรศักดิ์ นัยน์ตาเหลือกลานไปด้วยกันทั้งคู่ กว่าเจ้าโชเฟอร์จะหักหลบได้ทัน ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว รถ ๑๐ ล้อ พุ่งเข้าชนรถเก๋งวอลโว่ของคุณหญิงสรศักดิ์ในแบบ “ช้างประสานงา” เสียงดังสนั่นหวั่นไหวได้ยินไปไกล

ผลที่ได้รับก็คือ รถยนต์เก๋งแหลกละเอียดหมดทั้งคัน ชิ้นส่วนปลิวว่อน ไม่เฉพาะรถเท่านั้น แต่ร่างของคุณหญิงสรศักดิ์ และเจ้าโชเฟอร์จอมโหด ก็แหลกละเอียด คาอยู่ใต้ท้องรถ ๑๐ ล้อ จนแทบจะจำกันไม่ได้เช่นเดียวกัน


......................................

คัดลอกจาก
http://www.lekpluto.com/index02/kram.html
 
m
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2004, 10:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

 
nk.
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 ธ.ค.2005, 7:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 
katib
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2007
ตอบ: 52
ที่อยู่ (จังหวัด): Bangkok

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ค.2007, 8:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรรม ตกใจ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวYahoo MessengerMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง