สัจธรรมในการมองโลก

ตอบเมื่อ: 24 พ.ย.2005, 11:19 am

อันนี้ผมเคยแต่งไว้ที่ webboard แห่งหนึ่งนานพอควรแล้ว วันนี้ก็แต่งอีกรอบ เพราะผมไม่มีจดบันทึกเอาไว้ จะแต่งก็ออกจากสมองถ็พิมพ์ออกมาเลย เป็นการฝึกสมองอีกทางหนึ่งด้วย เริ่มกันเลย

ธรรมชาติของมนุษย์ คือเมื่อเรามีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร เราเองมักจะคิดว่าคนอื่นที่อยู่แวดล้อมเราก็จะเป็นอย่างที่เราเป็นด้วย มนุษย์โดยปกติชอบสำรวจคนอื่นมากกว่าสำรวจตนเอง ซึ่งขัดแย้งกับหลักคำสอนในพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะมนุษย์ทุกคนต้องการให้คนคนอื่นยอมรับในความสามารถที่ตนมี

ประสบการณ์ที่สั่งสมมาในมนุษย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเกิดมาเจอแต่สิ่งที่ดี เจอแต่สิ่งที่สวยงามก็จะมอกโลกในแง่ดี แต่ถ้าบางคนเจอแต่ความรุนแรงในครอบครัว ความโหดร้ายในสังคมก็จะมองโลกในแง่ร้าย

ผลดีจากการมองโลกในแง่ดี คือการมองโลกในแง่ดีจะเป็นการให้กำลังใจต่อตนเอง เป็นคนที่กล้าตัดสินใจในการทำงาน มีความสุขกับการทำงาน และทำให้ตนเองมีกำลังใจในการต่อสู้เพื่อฝ่าฟันอุปสรรค แต่ในขณะเดียวกันก็มีผลเสียเช่นกัน เพราะทำให้เราประมาทต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และอาจจะทำให้ขาดความรอบคอบได้

ผลดีจากการมองโลกในแง่ร้าย คือทำให้เราระมัดระวังตัวในการทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่ตกอยู่ในความประมาท แต่ผลเสียจะเกิดมากกว่า ผลเสียคือขาดความกล้าในการตัดสินใจในการทำงาน มักเป็นคนที่เก็บกดและมักจะเป็นคนจริงจังกับชีวิต และเป็นคนเครียดอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้นเราควรที่จะดึงเอาผลดีของทั้งการมองโลกในแง่ดี และผลดีของการมองโลกในแง่รายเอามารวบกัน การมองโลกในแง่ดีและการมองโลกในแง่ร้ายควรจะถ่วงดุลย์กัน เพื่อที่จะทำให้เราสามารถเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินชีวิตได้

ทั้งนี้เพราะ คนที่เคยเจอแต่สิ่งดี ๆ ในชีวิตไม่เคยเจอเรื่องร้าย ๆ เมื่อเจอเรื่องที่ทำให้ตนผิดหวังอาจจะทนรับสภาพไม่ได้ นี่อาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนฆ่าตัวตายกันมากขึ้นก็เป็นได้ ส่วนคนที่เจอแต่เรื่องร้าย ๆ ในชีวิต ทคนเหล่านี้จะมีความอดทนสูง และเมื่อมีสิ่งดี ๆ เข้ามาสู่ตนก็จะไม่ค่อยยินดียินร้ายกับสิ่งที่ตนได้รับเช่นกัน

ผู้เยี่ยมชม

เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน

มองเห็นตามความเป็นจริง ไม่ปรุงแต่ง