Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
พระมหาโพธิสัตว์นั้นทรงอารมณ์อย่างไร
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
คัดลอกมา
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2005, 11:42 am
พระมหาโพธิสัตว์นั้นทรงอารมณ์อย่างไร
ตอบคำถามเพิ่ม คลิกที่นี่
พระโพธิสัตว์เขานั้นมักแผ่เมตตาให้เปรต สัตว์นรก อยู่เสมอ โดยเฉพาะท่านที่ประจำอยู่นรกสี่ร้อยกว่าขุมคือท่านกษิติครรภ์ มหาโพธิสัตว์ซึ่งทรงอารมณ์อรหันต์ท่านทรงแผ่เมตตาไปทั่วนรก งานนี้เหมาะสำหรับพระโพธิสัตว์ที่ทรงอารมณ์อนาคามีคือไม่โกรธ ไม่พอใจ อารมณ์แบบนี้จะไม่มีอยู่ในพระโพธิสัตว์ท่าน ซึ่งถึงแม้สัตว์นรกอย่างเทวทัต ยาบ้า ก่อการร้ายอยู่นรกโลกัน อเวจีบ้าง ท่านก็ไม่โกรธ ยิ่งพระอรหันต์ทรงอารมณ์ฌาน9เท่าไร สัตว์นรกก็ยิ่งเย็นๆใจเมื่อนั้น ดังนั้นเรามาช่วยกันแผ่เมตตาวันละให้ได้หลายๆรอบ นั่งสมาธิสวดมนต์ ขอบารมีพระพุทธองค์ แล้วเราก็แผ่เมตตา ให้สัตว์นรกเปรต อสูรกาย เพียงเท่านี้เราก็จะรู้สึกว่าเราเกิดมาชาตินี้ได้ทำดีที่สุดแล้ว เพียงเพื่อให้สัตว์นรกได้หมดทุกข์ ทุกข์ของเขาก็เป็นทุกข์ของเรา ดังคำปณิธานของสมเด็จพระสังฆราชที่ท่านได้กล่าวไว้
ซึ่งการที่คนเราจะพึงช่วยคนอื่นได้เรา จิตใจเราจะต้องมีเมตตาต่อสัตว์โลกประมาณ เช่นเวลาแผ่เมตตา ควรแผ่ให้หมดสามโลกเลย ไม่เฉพาะเจาะจงว่าให้แต่คนนี้ เพราะมันจะเป็นอคติ และควรเห็นว่าสัตว์นรก ยาบ้า ก่อการร้ายเป็นญาติเรา เป็นเพื่อนร่วมโลกเรา แม้แต่จะมีคนให้แสนล้านให้เราฆ่ามดตัวเดียวเราก็ไม่ฆ่า ถ้าทรงอารมณ์อย่างนี้ได้แสดงว่าทรงอารมณ์โสดาบัน เพราะศีลห้าบริสุทธิ์ ไม่มีเจตนาทำร้ายใคร แม้แต่
xxx
ัดเรา เราก็ไม่ฆ่า เห็นงูกัดเรา เราก็ไม่ทำร้ายปล่อยให้เราตาย ถึงแม้ตำรวจจะจับตายก่อการร้าย เราก็ไม่เห็นด้วยกับการจับตาย เพราะถ้าเห็นด้วยเราจะได้เศษกรรม คือ เจ็บป่วยบ่อย และไม่ถึงโสดาบัน ซึ่งการที่เรามีจิตเมตตาต่อขอทาน ถึงแม้ว่านักโทษจะมาขอดวงตาทั้งสองดวงของเราเราก็ให้ โดยที่เราทำอะไรไปไม่มีเจตนาหวังผลอะไร ทำไปสักแต่เป็นกริยา ไม่มีเจตนา ซึ่งการที่เราสละอวัยวะ ให้แก่ชาวโลก ก็เหมือนกับว่าเราเปรียบเสมือนพระโพธิสัตว์ ยิ่งถ้าเราไม่เพ่งโทษ ไม่ด่าใครแล้ว เหมือนกับเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงอารมณ์อรหันต์ เพราะพระอรหันต์ไม่ยินดี ยินร้าย โศกเเศร้าสลดหดหู่ใจเป็นอารมณ์เศร้าหมอง เป็นอุทธะกุกกุจจะ เป็นอวิชชา เป็นวิปัสสนูปกิเลส ที่ติดเป็นสันดานอนุสัย เพราะส่วนมากพระโสดาบันมักละสันดานเดิมได้หาย แต่พระโพธิสัตว์ท่านจะติดสัญญา(ความจำได้เข่น มีความปรารถนาเมตตาอยากให้คนอื่นพ้นทุกข์ จึงยอมเกิดมาช่วยคนอื่นอีก ซึ่งการที่ท่านห่วงพระโพธิญาณท่านจึงยังละอัตตาสมมติ คือ ทุกอย่างที่เป็นของเรา อารมณ์ปรารถนาพุทธภูมิเป็นของเรา ท่านยังละไม่ได้จึงติดอัตตาสมมติอยู่ ซึ่งพระโสดาบันละความเป็นของเรา อารมณ์ของเรา อัตตา ของเรา ตัวเราได้หมดท่านจึงเป็นพระโสดาบัน แต่พระโพธิสัตว์ถ้าอยากบรรลุพระโสดาบันต้องละสักกายทิฐฐิให้หมดคือ ทุกอย่างที่เป็นอารมณ์ของเรา เช่น สุข สงบ เป็นอารมณ์สมบัติของเราต้องละได้หมด ถึงเรียกว่าเป็นพระอริยเจ้าโสดาบัน
โมทนาสาธุกับทุกๆท่านครับ
tanawat30
บัวบาน
เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
ตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2005, 12:11 pm
ผมอธิบายบ้าง จากการที่ผมได้ปฏิบัติมานั้น ผมคิดว่าการบำเพ็ญเพียรอยู่ในร่างมนุษย์เป็นเรื่องที่ยาก ถ้าเรามีความตั้งใจในการบำเพ็ญเพียรจะประสบความสำเร็จมรรคผล นิพพานได้ดีและเร็วกว่าเทวดามาก ยิ่งถ้าเกิดมาอยู่ในร่างกายพิการยิ่งเห็นผลเร็วกว่าปกติ ก็เหมือนกับที่ผมเป็นนั่นแหล่ะครับ ใช้เวลาในการบำเพ็ญเพียรเพียงปีกว่า ๆ ก็เข้าถึงพระนิพพานและสามารถอธิบายลักษณะที่พ้นป่าแห่งความคิดที่ขุ่นมัว พร้อมทั้งนำวิธีการปฏิบัติมาเผยแพร่ได้ เช่นคำว่าอนุสัยผมก็แปลแบบง่าย ๆ ว่าสันดาน ทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าถึงธรรมมะง่ายขึ้น การที่ผมอยู่ในร่างที่พิการสายตาสั้น สมองรับรู้ช้า ถือว่าเป็นบุญวาสนาของผม เพราะผมถือว่าผมมีเครื่องทุ่นแรงในการบำเพ็ญเพียรอยู่ในตัวผม ไม่มีใครเอาความได้เปรียบอันนี้ไปจากผมได้ ด้วยเหตุนี้คนที่ปกติทั้งหลายจึงบำเพ็ญเพียรแล้วช้ากว่าผมหลายเท่า เพราะผมไม่ต้องไปบำเพ็ญเพียรในป่า ผมอยู่ของผมเฉยๆ ก็อยู่อย่างลำบากแล้วครับ ด้วยเหตุนี้ก็ตัดการบำเพ็ญเพียรในป่าออกไปได้เลย
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th