Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ย.2005, 1:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม

สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

การปฏิบัติกรรมฐาน ก็คือการปฏิบัติอบรมสมาธิ และอบรมปัญญา อันสูงขึ้นมาจากศีล ซึ่งพึงปฏิบัติให้เป็นภาคพื้น เพราะศีลนั้นจะต้องปฏิบัติให้เป็นภาคพื้น ของการปฏิบัติทางสมาธิและปัญญา เป็นศีลที่สมาทาน จะเป็นศีล ๕ ก็ตามศีล ๘ ก็ตาม หรือเป็นศีลที่ได้จากการบรรพชาอุปสมบท คือศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ ของสามเณร ของภิกษุ

ทั้งในขณะที่จะปฏิบัติกรรมฐาน ก็ให้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ อันเป็นศีลสำหรับการปฏิบัติทางสมาธิและทางปัญญา แม้ว่าก่อนแต่มาปฏิบัติจะมิได้สมาทานศีล เช่นศีล ๕ ศีล ๘ เป็นต้น มาก่อน ก็ให้ทำความสำรวมกายวาจาใจในขณะที่จะปฏิบัตินี้ ความสำรวมดังกล่าวนี้ก็ชื่อว่าเป็นศีล เป็นพื้นฐานของสมาธิ และปัญญาได้


๏ สมาธิในการฟัง

อนึ่ง การปฏิบัติสมาธินั้น แม้ในการฟังคำบรรยายอบรมกรรมฐานนี้ ก็ให้ตั้งใจฟัง คือฟังด้วยหูตามหน้าที่ของการฟัง และใจก็ต้องตั้งใจฟัง ความตั้งใจฟังนี้ เป็นสมาธิในการฟัง หูฟังใจฟังไปพร้อมกัน จึงจะฟังได้ยินและรู้เรื่อง ความรู้เรื่องนั้นก็กล่าวได้ว่าเป็นตัวปัญญา ตามภูมิตามชั้น เพราะฉะนั้น เมื่อมีสมาธิในการฟัง ก็ได้ปัญญาจากการฟังนั้นไปพร้อมกัน ตั้งต้นแต่ฟังรู้เรื่อง เข้าใจ เป็นตัวปัญญา

เพราะฉะนั้น แม้ในการฟังในขณะที่กล่าวอบรม ก็ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาไปพร้อมกัน คือความสำรวมกายวาจาใจเป็นศีล ความตั้งใจฟังไปพร้อมกับหูที่ฟังเป็นสมาธิ ฟังรู้เรื่องเข้าใจตามควรแก่สติปัญญาที่เป็นพื้นอยู่ เป็นตัวปัญญา จึงเป็นการปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาไปพร้อมกัน


๏ ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม

เพราะฉะนั้น จึ่งได้มีแสดงไว้ในตำนานทางพระพุทธศาสนา ว่าผู้ที่ได้เข้าฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเมื่อเสด็จประกาศพระพุทธศาสนา มีเป็นอันมากที่ผู้ฟังนั้นๆ ฟังแล้วก็ได้ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เป็นอันมาก

ท่านทั้งปวงเหล่านั้นก็ยังมิได้เคยฟังพระพุทธเจ้าเทศน์มาก่อน และก็ยังมิได้นับถือพระพุทธศาสนามาก่อน แต่ว่ามาประสบความสำเร็จในขณะที่ฟังธรรมครั้งแรกก็มีเป็นอันมากได้ เพราะอะไร

หากจะดูอย่างผิวเผิน ท่านก็ยังมิได้ปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งย่อเข้าเป็นศีลสมาธิปัญญามาก่อน เพราะพึ่งเคยเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ท่านปฏิบัติที่ไหนอย่างไรจึงสำเร็จได้

เมื่อพิจารณาดูแล้วก็จะเห็นได้ว่า ท่านปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ปฏิบัติในศีลสมาธิปัญญา ในขณะที่ท่านฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นเอง ความที่ท่านสำรวมกายวาจาใจในขณะฟัง ก็ชื่อว่าท่านปฏิบัติในศีล ความตั้งใจฟังของท่าน ก็ชื่อว่าท่านปฏิบัติในสมาธิ ท่านจึงได้ปัญญา คือความฟังรู้เรื่อง และความเข้าใจ ดังที่กล่าวแล้ว


๏ ปัญญาที่เห็นเกิดดับ

และเมื่อความเข้าใจนั้นเป็นความเข้าใจที่เข้าถึงสัจจะคือความจริง อันรวมเข้าในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ อันเป็นหลักธรรมที่ประมวลคำสั่งสอนทั้งหมด ท่านจึงได้ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันบุคคลเป็นต้น ดังท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นหัวหน้าของเหล่าภิกษุปัญจวัคคีย์คือพระภิกษุที่มี ๕ รูป ได้ฟังปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า คือพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ที่ตรัสแสดงปฏิปทาที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมา จนกระทั่งตรัสรู้อริยสัจจ์ทั้ง ๔ ท่านมีความตั้งใจฟัง และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้ ท่านจึงได้ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม คือปัญญาที่เห็นธรรมนั้นเอง เห็นธรรมก็คือเห็นสัจจะคือความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

โดยปัญญาของท่านนี้สรุปเข้ามาว่า ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สัพพันตัง นิโรธธัมมัง สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา

ท่านเห็นความเกิดดับในสิ่งทั้งหลาย ที่มีเกิดขึ้น และมีดับไปเป็นธรรมดา อันเป็นความรู้ความเห็นครอบโลก


๏ ธรรมดาของโลกคือเกิดดับ

เพราะว่าโลกทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ต้องชำรุดทรุดโทรม เพราะคำว่าโลกเองก็แปลว่าชำรุด ทุกๆ สิ่งที่ชื่อว่าโลกนั้น จึงเป็นสิ่งที่ชำรุดทรุดโทรมทั้งนั้น เป็นสิ่งที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดาทั้งนั้น คือท่านเห็นธรรมดานั้นเองที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ความเห็นธรรมดาดั่งนี้ จึงจะชื่อว่าเป็นธรรมจักขุดวงตาเห็นธรรม ที่ให้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เป็นขั้นแรก ท่านพระโกณฑัญญะ ก็ชื่อว่าท่านได้ปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ย่นเข้าเป็นศีลสมาธิปัญญา ในขณะที่นั่งฟังธรรมนั้นเอง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

ฉะนั้น การทำสมาธิในการฟัง ซึ่งมีความสำรวมกายวาจาใจ อันเป็นศีลเป็นพื้นฐาน จึงเป็นข้อสำคัญ นำให้ได้ปัญญาเห็นธรรม แม้จะไม่ถึงขั้นพระอริยบุคคล ขั้นบุถุชนก็ชื่อว่าเห็นธรรมได้ตามภูมิตามชั้น และปัญญาที่เห็นธรรมนี้ ไม่ใช่เป็นสัญญาความจำ แต่เป็นความเข้าใจที่สรุปเข้ามา ท่านพระโกณฑัญญะ ท่านฟังปฐมเทศนาก็ย่อมได้สัญญาคือความจำในปฐมเทศนานั้นด้วย คือท่านก็ย่อมจำได้ ว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมจักรนั้น แสดงไว้อย่างไรบ้าง ข้างต้นทรงแสดงอย่างไร ท่ามกลางเป็นอย่างไร และที่สุดเป็นอย่างไร สืบต่อกันมาโดยลำดับ ท่านก็ย่อมจำได้เหมือนกัน เรียกว่าเป็นสัญญา

แต่สัญญาดังกล่าวนี้ยังไม่ใช่เป็นธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม ที่เป็นปัญญาเห็นธรรม ปัญญาเห็นธรรมนั้นจะต้องสรุปเข้ามา สรุปเข้ามาสู่จุดอันเดียว

ดังที่ท่านฟังธรรมจักรพระธรรมเทศนาครั้งแรกนี้แล้ว ท่านได้ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม คือปัญญาที่สรุปเข้ามาสู่จุดสัจจะคือความจริงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อันเป็นยอดของความรู้ในธรรมจักรปฐมเทศนา ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา สรุปเข้ามาเป็นยอดความรู้ ดั่งนี้


๏ ปัญญาเห็นธรรมนำศรัทธาตั้งมั่น

ความรู้ ความหยั่งรู้ ที่สรุปเข้ามาได้เป็นยอดดั่งนี้ คือดวงตาเห็นธรรม หรือปัญญาที่เห็นธรรม ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราผู้ตถาคต ผู้ใดเห็นเราผู้ตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม ดั่งนี้ เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เห็นธรรมนี้จึงสำคัญมาก นำให้บรรลุมรรคผล นำให้เห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระธรรม เห็นพระสงฆ์ ซึ่งเป็นพระรัตนตรัย อันประเสริฐสุด อันบริสุทธิ์ สูงสุด นำให้เกิดศรัทธาความเชื่อตั้งมั่นด้วยปัญญา ว่าพระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระสงฆ์มีจริง

ฉะนั้น การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนานั้น จึงเป็นสิ่งที่นำผู้ปฏิบัติ ให้ได้พบพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ ในเมื่อได้ดวงตาเห็นธรรมโดยลำดับ แม้ว่าดวงตาหรือปัญญาที่เห็นธรรมนั้นจะยังเป็นขั้นบุถุชน ยังไม่เป็นขั้นพระอริยชนก็ตาม ก็จะย่อมได้ความรู้ที่จริงแท้ นำให้ได้พบพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ แม้ไม่ชัดนัก และแม้จะเป็นเหมือนอย่างว่าได้มองเห็นอยู่ไกลๆ ก็ตาม ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมได้ทราบซึ้ง ได้ประจักษ์ หรือได้เห็นพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ แม้จะเห็นไกลๆ ไม่ชัดนัก แต่ก็ดียิ่งกว่าผู้ที่ไม่ปฏิบัติธรรม อันนำใจให้เกิดปสาทะศรัทธา ศรัทธาด้วยความเลื่อมใส ซาบซึ้งยิ่งกว่าผู้ที่ไม่ปฏิบัติธรรม

และเมื่อยิ่งได้ปฏิบัติธรรมจนเข้าเขตที่สูงยิ่งขึ้น ก็ย่อมจะประจักษ์ชัดในพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ยิ่งขึ้นไปตามลำดับ นำให้เกิดศรัทธาปสาทะ หรือปสาทะศรัทธายิ่งๆ ขึ้น ฉะนั้น การมาปฏิบัติตนอยู่ในมรรคมีองค์ ๘ อันสรุปเข้าเป็นศีลสมาธิปัญญาอยู่เสมอแล้ว จึงให้ผลมาก ทำให้จิตใจได้เข้าใกล้พระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ สมกับที่เป็นภิกษุเป็นสามเณร เป็นอุบาสกเป็นอุบาสิกา เป็นพุทธมามกะพุทธมามิกา เป็นพุทธศาสนิกผู้นับถือพระพุทธศาสนา

และท่านที่ได้ดวงตาเห็นธรรมในขั้นอริยภูมิแล้ว ท่านก็แสดงว่าได้เห็นพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ แม้พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานมานานแล้ว แต่ว่าผู้ปฏิบัติธรรมจนได้ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นพระพุทธเจ้าพระธรรมสงฆ์อยู่ พระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์อยู่ในฐานะเป็นอมตะ คือผู้ไม่ตาย เพราะว่าท่านได้พบอมตะธรรม ธรรมะที่ไม่ตาย หรือธรรมะของผู้ไม่ตายแล้ว พระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ซึ่งเป็นอมตะธรรมนี้ จึงดำรงอยู่ทุกกาลสมัย เป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลา


๏ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

ฉะนั้น แม้เราทั้งหลายจะได้เกิดมาภายหลังพระพุทธเจ้า ทรงดำรงพระชนม์อยู่นานปี ก็ไม่ควรท้อใจ ไม่ควรเข้าใจว่าเป็นคนอาภัพ คือเป็นคนที่ไม่สมควรที่จะปฏิบัติธรรม ให้บรรลุถึงมรรคผลได้ ดั่งที่มีพระพุทธภาษิตที่ตรัสเอาไว้ว่า มรรคมีองค์ ๘ ยังมีอยู่ตราบใด โลกก็ยังไม่ว่างจากพระอริยบุคคลทั้งหลายตราบนั้นแล

และมรรคมีองค์ ๘ นี้ ก็หมายถึงว่าผู้ปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่มีอยู่เพียงในตำราเท่านั้น แต่ผู้ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เมื่อมีผู้ปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ อยู่ตราบใด โลกก็ยังไม่ว่างจากพระอริยบุคคลทุกชั้นอยู่ตราบนั้น เพราะธรรมะเป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลา

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายจึงสมควรที่จะพากันปฏิบัติธรรม สรุปเข้าในมรรคมีองค์ ๘ ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นมรรคอริยสัจจ์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอนเอาไว้ ก็จะดับทุกข์ได้ตามภูมิชั้นของการปฏิบัติ ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป



.......................................................

คัดลอกมาจาก
เทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ
http://www.mahayana.in.th/tsavok/tsavok.html
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง