Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 รอบรั้วธรรม ภาค ๒ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เด็กสีสุราช
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 1:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เริ่มต้นยังไงดี






ปัญหาอีกประการหนึ่ง ก็คือลำดับการศึกษาก่อนหลัง ซึ่งเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ได้เป็นหลักเกณฑ์อันใด เป็นเพียงความเห็นที่นำมาเล่าให้ฟังเท่านั้น





ในหลักธรรมเปรียบเป็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นง่ายนั้น เปรียบได้หลายอย่าง ในที่นี้ จะเปรียบเหมือนตัวคนเรานี่เอง คือ ในขณะทีเราต้องสมัครเข้าทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง สมมุติว่าเราจะสมัครเป็นพนักงานพิมพ์คอมพิวเตอร์ เราจะต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ต้องการเร่งด่วน คือ เรียนรู้ว่าจะใช้นิ้วพิมพ์ยังไง พิมพ์ 10 นิ้วยังไง ต้องจำรหัสอะไรบ้าง ใช้สายตาให้ว่องไวยังไง พิมพ์ช้าเอ้ออ้าเดี๋ยวก็ตกงาน





ตรงนี้เปรียบเหมือนหลักธรรมใหญ่ ๆ คือสิ่งที่เราต้องเอามาใช้ก่อน เพื่อลดทอนทุกข์ใจอันใหญ่และหนัก ที่กำลังทับถมเราอยู่จนลุกไม่ขึ้น ให้มันเลื่อนออกไปเสียก่อน จิตใจนัวเนียอยู่กับสิ่งใดให้ทุกข์นัก ธรรมะบอกให้วาง วางเลยไม่ต้องม้วนไปม้วนมา ไม่ต้องเผื่อกันเหนียว บอกให้ตัด ตัดเลย ตัดได้มากได้น้อยก็เอาเถอะ ตัดไป ตัดไปเรื่อย ๆ





การทำอย่างนี้ เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า หักด้ามพร้าด้วยเข่าก็ได้ ทุกข์ใจหนักต้องผ่าตัด จะมัวประเล้าประโลมประคบ ประหงมด้วยสมุนไพรช้า ๆ เห็นทีจะคางเหลือง แต่ก็เหมาะกับคนชอบความเจ็บ ชอบผ่าตัดทุกข์ออกจากใจสด ๆ





 
สีสุ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 1:28 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เปรียบอีกอย่างก็เหมือนเวลาหิวจัด เห็นอะไรเป็นสีเขียวๆแดงๆใกล้จะหน้ามืดแล้ว ก็ควรกินข้าวราดแกง ที่สั่งปุ๊ปตักราดแล้วกินได้เลย





หลักธรรมใหญ่ ๆ ที่กล่างถึงนี้ ก็คือ คำสอนหลักของหลวงพ่อพุทธทาสที่ท่านเน้นไปเน้นมาอยู่ไม่กี่เรื่องนี่เอง คือ อนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน , จิตว่างคือทำใจให้ว่างจากกิเลศที่เข้ามา อย่าเดินตามมันไป แม้มันจะมาตาม , การปล่อยวาง , ความไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง , มันเป็นเช่นนั้นเอง





เมื่อคิดถึงข้อธรรมเหล่านี้กับทุกเรื่องที่เข้ามาในใจทุกวัน มันจะเกิดการเรียนรู้ที่จะต่อสู้กันใหญ่ในใจของเรา การปล่อยวางปากพูดแต่ใจไม่วาง วางไม่ลง วางไม่ได้ วางแล้วยังจับไว้ไม่ปล่อย กว่าจะทั้งปล่อยทั้งวางได้ สู้กันหนัก เพราะเราติดอยู่กับอัตตาตัวตนของเรานั่นเอง ถ้าเราเข้าข้างธรรม ไม่ช้าเราจะชนะ “ วางเลย วางลง “ วางได้หรือไม่ได้ เชียร์ตัวเองไว้ก่อน แต่หากเข้าข้างตัวเอง เราจะแพ้ เราจะ “ จริงด้วย วางได้ไง วางไม่ได้ ยอมแพ้เสียหน้าไม่วาง “





ถึงตรงนี้บางท่านอาจจะนึกหมั่นไส้ว่าพูดอย่างนี้ได้อย่างไร ของมันต้องฝึกกันยาวนาน จะมาพูดว่าบอกให้ปล่อย ก็ปล่อยเลย เรียกว่า พูดพล่อย ๆ หรืออวดดี แต่ขอเรียนว่าไม่ใช่เช่นนั้น แต่เป็นกลวิธีที่จะนำตัวเองไปในขณะปฏิบัติ ซึ่งผลนั้นมากน้อยแล้วแต่บุคคล หากแต่ได้สอบถามถึงการปฏิบัติกับหลายคน เมื่อทำไประยะหนึ่งแล้ว ก็ได้คำตอบว่า “ รู้สึกเย็นลง มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับตัวเองที่ดีขึ้น “ ซึ่งอันนี้จะทำให้คนทำรู้สึกมีกำลังใจที่จะทำต่อไป





เมื่อเวลาผ่านไป ได้เข้าใจตนเอง ได้เกิดความสงบเย็นขึ้นในใจแล้ว หลังจากนั้น จึงค่อยหาโอกาสศึกษาธรรมในรายละเอียด





เปรียบเหมือนพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่ง เมื่อได้งานมั่นคงแล้ว ก็มีเวลาสนใจตัวเองในเรื่องอื่น เช่น ศึกษาสรีระว่า มือที่ใช้พิมพ์นั้น ประกอบด้วยนิ้วมือ ผิวหนัง กระดูก เอ็น เส้นเลือด เม็ดเลือดแดง ประกอบกันอย่างไร





หรือเปรียบเหมือนคนหิว เมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว จึงไปศึกษาว่า แกงเขียวหวานที่กินไปเมื่อครู่ ประกอบด้วยอะไร กะทิ มะเขือ ไก่ ฯลฯ และศึกษาลึกไปแต่ละตัว ว่ามะเขือปลูกยังไง ไก่เลี้ยงยังไง มาจนปรุงยังไงในที่สุดมาเป็นแกงอยู่ในชาม





ธรรมที่ละเอียดก็เป็นเช่นเดียวกัน สอนลงไปถึงจิตว่ามีอกุศลจิต 12 อย่าง มหากุศลจิต 8 หรือเจตสิก คือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตมี 52 ประเภท ใด ๆ บ้าง ละเอียดลงไปมากมาย ลึกลงไปถึงดีเอ็นเอ ต่อไปถึงวิญญาณ ทะลุไปถึงการเกิดใหม่ ลอยไปถึงขั้นเทวดา และผ่านรกให้ดู





แต่ละคนที่ไม่ได้อยู่กลางพายุปัญหา ก็เรียนรู้ได้ เป็นบทเรียนที่เป็นลำดับขั้นตอน มีอาจารย์สอน ใช้เวลายาวนานเป็นปี ๆ ในการเล่าเรียน บางคนแก่แล้ว ว่างตลอดจึงเรียนหลายรอบ ใช้เวลามาแล้ว 18 ปีก็มี



 
สีสุ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 1:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนที่มีน้ำตาไหลพราก เดินมาหยุดฟังบรรยายธรรม เช่นนี้ ก็จะยังเอาไปใช้อะไรไม่ได้ในวันนั้น เหมือนคนไม่เคยเรียนหนังสือแล้วมาเจอคนบอกว่า น้ำในแก้วนี้ ประกอบด้วยไฮโดรเจน 2 ส่วน จับตัวกับออกซิเจน 1 ส่วน ย่อมไม่เข้าใจเป็นธรรมดา แต่ถ้าบอกว่าน้ำแก้วนี้กินได้ ก็ยกขึ้นกินเลย ได้ประโยชน์ไปตรงกับปัญหา





สำหรับคนที่ชีวิตไม่มีปัญหา สนใจธรรม มีเวลาศึกษายาวนานก็สึกษาธรรมละเอียดก่อนได้ หลักธรรมใหญ่ก็จะอยู่ในเนื้อหาของธรรมละเอียดนี่เอง เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง จะยืนมองดูลำต้น กิ่ง ใบ ผล ดอก ก่อนก็ได้ หรือจะดูเซลล์ ท่อน้ำเลี้ยง ข้างในแล้วค่อยดูแก่น กระพี้ เปลือก ก็ย่อมเห็นลำต้นอยู่ตรงนั้นด้วยไปในตัว





การลำดับการศึกษาธรรมจึงอยู่ที่ความจำเป็นเร่งด่วนของจิตใจ ว่ารุ่มร้อนหรือสงบเย็นเพียงใด ถ้าไฟติดลุกร้อนก็ต้องเอาขวานจาม ตัดการลุกไล่ แล้วโยนลงแม่น้ำโดยเร็ว เพื่อดับไฟเสียก่อน





ท่านจึงว่าเรียนธรรมไว้ก่อนก็จะดี คล้ายมีภูมิต้านทานเมื่อเกิดเหตุเภทภัยขึ้น ก็พร้อมรับมืออยู่แล้ว เหมือนปลูกข้าวไว้รอ เมื่อหิวก็เอาไปหุงกินได้ แต่ถ้าไม่สนใจ พอหิวค่อยมาพรวนดิน หว่านข้าว มันก็ไม่ทันการณ์ อันนี้ต้องเป็นลมตาย

 
สุราช
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 1:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มองเรื่องอื่นแล้วคิดว่าเป็นธรรมะ




พัชรีวางหนังสือธรรมะลงบนตักของชิดใจ ซึ่งเปิดดูอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เธอรู้ว่าพัชรีชอบอ่านหนังสือธรรมะ แต่เธอไม่สนใจ





ชิดใจรู้สึกว่าไม่ชอบศาสนา เพราะชิดใจได้รับแต่ซองกฐิน ซองผ้าป่า ทำให้เธอรู้สึกว่าศาสนามีแต่การเรี่ยไรให้เธอมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ไหนจะซื้อของตักบาตรวันสำคัญทางศาสนา ไหนจะซื้อของถวายสังฆทานวันเกิด อะไรอื่นอีกจิปาถะ





เมื่อพัชรีชวนไปวัด ชิดใจเดินก้มหน้ามองพื้นไม่ไกลกว่า 3 ก้าว เพราะเมื่อก่อนชิดใจไปวัด เห็นพระยืนปรับจีวรอยู่กลางลานมองผ่านกุฏิ เห็นพระเปลือยท่อนบน นั่งดูโทรทัศน์ ล้วนแต่เป็นภาพที่ชิดใจไม่คิดว่าสมควร เมื่อเข้าไปในกุฏิหลวงพ่อ ก็มีตู้ประดับมุก ข้าวของต่าง ๆ มากมาย มีมากกว่าบ้านชิดใจอีก





ชิดใจจึงเข้าใจว่านี่คือศาสนา เธอไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเข้าหา





พัชรีชี้ให้ชิดใจอ่านข้อความบนปกหนังสือ “ ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม “ ของท่านพุทธทาส มีข้อความข้างล่างว่า





กราบไหว้พระพุทธ อย่าไปสะดุดที่พระทองคำ

กราบไหว้พระธรรม อย่าไปขย้ำเอาใบลาน

กราบไหว้พระสงฆ์ อย่าให้ไปถูกเอาลูกชาวบ้าน









 
ราชสุสียางบ้าน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 1:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชิดใจรู้สึกถูกอกถูกใจขึ้นมาทันที เหมือนได้พบสิ่งที่เป็นคำตอบต่อคำถามของเธอมาตลอด





พัชรียิ้มให้ พลางเล่าว่า





“ ธรรมะจริง ๆ นั้น เป็นเนื้อหาใจความคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เราปฏิบัติแล้วจะได้พ้นทุกข์ใจ เราปฏิบัติเอง ได้ผลเอง





เธอไม่ต้องไปสนใจส่วนประกอบอื่น ๆ ก็ได้ อย่างอื่นเป็นพิธีกรรมพิธีการ ที่มาจากวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กัน ใครชอบใคร สนใจก็ต้องไปทางนั้น บางคนชอบทำบุญวัตถุ ก็เรี่ยไรเงินสร้างโน่นสร้างนี่ บางคนชอบประเพณีก็ไปเวียนเทียน ไปถวายสังฆทาน





ส่วนเรื่องพระสงฆ์นั้นมี 2 อย่าง คนที่บวชแล้ว ยังไม่ได้ปฏิบัติมาก ยังไม่ได้ศึกษามาก ก็ยังเป็นปุถุชนเหมือนเรานี่เอง แต่ห่มผ้าเหลืองท่านเรียกว่า สมมุติสงฆ์ ส่วนพระที่ปฏิบัติดี มีคุณธรรมมาก ท่านเป็นอริยสงฆ์ อริยสงฆ์จึงจะเป็นองค์หนึ่งในพระรัตนตรัยที่เราบูชา ส่วนสมมุติสงฆ์ยังไม่ได้เป็นองค์หนึ่งในพระรัตนตรัยที่เราบูชา เป็นเพียงผู้ศึกษาธรรมเท่านั้น





พระดี ๆ มีอยู่มาก มีความสำรวมมาก มีความประพฤติดีมาก แต่บางทีชิดใจอาจจะยังไม่ได้พบ ก็อย่าไปนึกว่าไม่มี ทำให้เสียศรัทธาไป





ต้นไม้จะมีแต่แก่นอย่างเดียวก็ไม่ได้ มันต้องมีเปลือก มีกระพี้ มีใบใหม่ ใบเก่า ใบเหลือง มีดอกใหม่ ดอกโรย มีทุกอย่างนั่นแหละ สุดแต่ใครจะเลือกเป็นส่วนไหน เธอก็เลือกเอาธรรมะมาปฏิบัติเสียเถอะ อย่าให้บางอย่างที่แม้มันดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ก็มีอยู่นั้น มาทำลายโอกาสที่เธอจะได้มีธรรมะในใจ





สิ่งที่เธอติดข้องอยู่นั้น ไม่ใช่เนื้อหาของศาสนา พระธรรมต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา “





 
คนแก่บ้านยาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 4:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การพยายามตีความเข้าข้างตนเอง






ธรรมะสอนเพื่อแก้ทุกข์ใจ และเป็นไปในทางที่ดีเสมอ แต่ด้วยความรักตัวเห็นแก่ตัวเอง อันเป็นธรรมชาติของคนเรา จึงพยายามฉลาดพยายามตีความหมายให้สนองความต้องการของตนเอง อย่างในบางครั้งที่เราเรียกกันว่า “ เลี่ยงบาลี “ ตรงนี้ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเมื่อคนเราพยายามตีความให้เบี่ยงเบนไป ให้ผิดเพี้ยนไป เขาก็ทำในสิ่งที่เขาตัดสินว่าเขาแปลถูก ส่งผลให้การกระทำของเขาผิดไปด้วย ทำกับเป็นการทำกรรมใหม่ที่ผิดสร้างบาปให้ไปรอตนเองอยู่ในวันข้างหน้า





เนื่องจากไม่ว่าเราจะทำอะไร ก็เรียกว่าเป็นการสร้างกรรมไว้ ส่วนทำดีก็คือสร้างกรรมดี ส่วนกรรมชั่วก็คือสร้างกรรมชั่ว เมื่อสร้างแล้วย่อมมีผลเสมอ ก็มีผลดีและชั่วตามการสร้าง วันใดวันหนึ่งผลย่อมปรากฏตามการกระทำ





เกรียงไกรได้เรียนรู้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตน เป็นองค์ประกอบของธาตุ และทุก ๆ เรื่องบนโลกนี้ ในที่สุด ก็คือความว่างเปล่า





เขาจึงคิดว่า ถ้าอย่างนั้น เขาจะทำร้ายใครก็ได้ที่เขาไม่ชอบ เพราะในที่สุดแล้วก็ว่างเปล่า เขาเอ่ยให้มาลีฟัง มาลีจึงอธิบายว่า





“ นั่นเป็นเพราะเรารักตัวเอง เราสนองความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเราไม่ชอบใคร ถ้าได้ทำร้ายเขาโดยไม่มีความผิด ก็รู้สึกว่าจะเป็นทางออกที่ดี ที่ได้ทำด้วยและไม่ผิดด้วย





แต่ธรรมะสอนให้เราเป็นคนดี การทำร้ายคนอื่นเป็นสิ่งที่ผิด เราจึงรู้ว่าคุณแปลผิด ความว่างจึงไม่ได้แปลว่าให้คุณทำร้ายใครได้





ในทางกลับกัน คุณลองคิดสิว่า โอ…. ทุกสิ่งเป็นของว่างเปล่า ถ้าอย่างนั้นคนอื่นก็มาทำร้ายเราได้ตลอดเวลาสิ ฟังแล้วน่ากลัวไหม คุณไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลยใช่ไหม เกิดรักตัวกลัวตายขึ้นมา อยากให้ข้อนี้แปลถูกไม่ใช่แปลแบบนี้ คนอื่นก็กลัวเหมือนกับเรา





เพราะฉะนั้น อย่าแปลอะไรเพื่อสนองใจเราฝ่ายเดียว



อีกอย่างหนึ่ง จุดประสงค์ของการให้เห็นเรื่องความว่างของทุกสิ่ง ก็เพื่อถอนความยึดติดในใจของเราให้คลายลง เป็นความรู้ในโลกของธรรมะ แต่ในโลกของความเป็นจริง เราก็ยังอยู่ในกฎของสังคม ซึ่งมีกฎหมายไว้คุ้มครอง เพื่อให้คนเราอยู่กันอย่างสงบ ถ้าเราไปทำร้ายใคร เราก็ต้องติดคุก จะมาอ้างว่า โลกว่าง ไม่ต้องติดคุกนั้นไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน “







 
คนเฒ่ายาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 4:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ศีลอยู่กับใจของตัวเอง






ในการปฏิบัติธรรมนั้น เหมือนการเดินย่ำเท้าทีละก้าวจากพระบรมรูปทรงม้า เดินไปตามถนนราชดำเนิน มันจะตรงไปเรื่อย ๆ แม้จะเฉียงนิดหน่อย ตรงสะพานผ่านฟ้า แล้วก็ตรงไปอีกจนถึงสนามหลวง ความหมายก็คือ เดินให้ตรง เดินไม่หยุดแม้จะเหนื่อย แล้วก็จะถึงที่หมาย





แต่ความรักตัวเอง ทำให้บางคนเถียงว่า เลี้ยวขวาไปวิสุทธิ์กษัตริย์ออกบางลำพู ก็ไปสนามหลวงด้ายย…..





ก็ไปเถอะ เพราะบางทีมันก็ไม่ถึง มัวกินขนมอยู่บางลำพูนั่นแหละ







ฉะนั้น จึงไม่เถียง ไม่ต้องอธิบายกันมาก ว่านั่นทำได้ นี่ทำไม่ได้ มีข้อแม้เงื่อนไขมากมาย ราวกับจะทำให้คนอื่น ที่แท้ก็จะทำให้ตัวเอง เมื่อทำให้ตัวเองน้อย มัวแต่โยกโย้ ผัดผ่อน จะไปหวังได้อะไร





เหมือนรัตติยานารี หล่อนชอบกินเหล้านัก แต่ก็อยากถือศีล ก็เลยให้เหตุผลว่า กินแล้วไม่เมา ไม่ได้ไปตีหัวใคร เพราะฉะนั้น กินได้ ไปวัดก็ขอศีลพระใหม่





การขอศีลพระ เป็นพิธีกรรม ความจริงขอกับพระพุทธรูปที่บ้านก็ได้ หรือเพียงตั้งใจเองว่าจะถือศีล เท่านั้นก็ได้แล้ว ที่สำคัญอยู่ที่ปฏิบัติตามศีล ถ้าขอแล้ว 7 วัด แต่ไม่ได้ปฏิบัติสักข้อ ก็ยังนับว่าไม่มีศีลอยู่นั่นเอง





หลวงพ่อชาเล่าไว้ในเรื่อง “ กุญแจภาวนา “ ตอนหนึ่งว่า





“ มีพระรูปหนึ่งบอกว่าเป็นนักปฏิบัติ เมื่อมาขออยู่กับอาตมา ถามถึงระเบียบปฏิบัติ จึงอธิบายให้ฟังว่า เมื่อมาอยู่กับผมจะสะสมเงินทองสิ่งของไม่ได้ ผมถือตามวินัย ท่านพูดว่า ท่านปฏิบัติ ไม่ยึดไม่หมาย อาตมาบอกว่าผมไม่ทราบกับท่าน ท่านเลยถามว่าถ้าผมจะใช้เงินทอง แต่ไม่ยึดไม่หมายจะได้ไหม อาตมาตอบว่าได้ ถ้าท่านเอาเกลือมากินดู แล้วไม่เค็มก็ใช้ได้ ท่านจะพูดเอาเฉย ๆ เพราะท่านขี้เกียจรักษาของจุกๆจิกๆนี่มันยาก เมื่อเอาเกลือมากิน ท่านไม่เค็มแล้ว ผมจึงจะเชื่อ ถ้ามันไม่เค็มจะเอามาให้กินสักกระทอ( เข่งเล็ก ) ลองดู มันจะไม่เค็มจริง ๆหรือ เรื่องไม่ยึดไม่หมายนี้ไม่ใช่เรื่องที่พูดเอาคาดคะเนเอา ไม่ใช่ ถ้าท่านพูดอย่างนี้อยู่กับผมไม่ได้ ท่านจึงลาไป “





ในการปฏิบัติ ท่านสอนไม่ให้ข้าม การที่รัตติยานารี ลดหย่อนให้ตัวเองกินเหล้าได้ ถ้าไม่เมา นั้นไม่ถูก ท่านห้ามกินเหล้า ท่านไม่ได้ห้ามว่า “ ไม่ให้เมา “ แต่ห้ามว่า “ ไม่ให้กิน “





เมื่อเรากินโดยไม่ให้เมา เราก็จะโกหกเล็กๆน้อยๆโดยคิดว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เราก็จะฆ่าสัตว์เล็กน้อย คือ ไม่ได้ตายทั้งฝูง จะขโมยแบงก์ 2 ใบ จากทั้งปึกในกระเป๋า แล้วยังทิ้งกระเป่าไว้ให้ด้วย นับเป็นความดี มีบุญคุณให้ทวง อะไรทำนองนี้ไปเรื่อย ๆ จนศีลกร่อน





แบบนี้ก็ไม่ได้เดินจากพระบรมรูปทรงม้าไปสนามหลวง แค่เวียนอยู่แถวประตูเขาดิน เลี้ยงกล้วยช้างไปก่อนละกัน





 
สุราช
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 5:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จิตว่าง




รุ้งสวย กำลังหัดปฏิบัติธรรม ตุ้ยนุ้ยแนะนำว่าให้คอยมีสติ รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรในปัจจุบันขณะ เช่น กำลังยืน เดิน นั่ง นอน กำลังกินข้าว กำลังเขียนหนังสือ “ แต่ห้ามกำลังเล่นไพ่นา “ ตุ้ยนุ้ยว่า





วันหนึ่งรุ้งสวย เดินหน้าหงิกมาหาตุ้ยนุ้ย พร้อมกับกระแทกตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด





“ เฮ้ย เบา ๆ เดี๋ยวไขมันหลุด ยิ่งมีน้อย ๆ อยู่ด้วย ผอมจะตาย “ ตุ้ยนุ้ยว่า รุ้งสวยค้อนประหลับประเหลือก ตุ้ยนุ้ยหัวเราะ





“ เป็นอะไร เจ็ดสี “ ตุ้ยนุ้ยว่า





“รุ้งสวยย่ะ เรียกเจ็ดสียังกะชื่อหมา “ รุ้งสวยสะบัดเสียง





“ก็กำลังคำรามเหมือนหมา “ ตุ้ยนุ้ยยังไม่หยุดว่า





“ มอเตอร์ไซค์บ้า อยู่ ๆ ก็ขี่มาปาดหน้า ชิดขนาดแทบสีรถถลอกเลยรู้มั้ย แล้วยังมาขี่อยู่ข้างหน้าใกล้ ๆ อีก จะไปก็ไม่ไป มันแกล้ง เรางี้ตกใจแทบหัวทิ่ม ดีไม่ชนมันตาย โมโหมากเลย ด่ามันไปแล้วก็ยังไม่หายโมโห “





ตุ้ยนุ้ยหัวเราะ “ จิตไม่ว่าง “





รุ้งสวยหน้าหงิกกว่าเดิม เมื่อเพื่อนไม่ช่วยโมโห





“ ก็พยายามว่างแล้ว ขับรถไปก็นึกอยู่ว่า จิตว่างนะ จิตว่าง อย่าคิดอะไร “





“ อ๋อ นั่นมันคนปัญญาอ่อนกำลังขับรถ ไม่ใช่จิตว่าง “





รุ้งสวยหันมาสนใจธรรมะ ช่างเถอะพวกมอไซด์ไป







 
สุสี
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 5:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไหนๆ ก็ได้ด่าไปแล้ว ตุ้ยนุ้ยจึงคุยให้ฟัง





“ จิตเรามันจะมีกิเลสเข้ามาติดพันอยู่เสมอ ๆ ตลอดเวลาเพราะว่ามันสวย อันนี้เป็นธรรมดาของคนเรา กิเลสเข้ามาก็ทำให้เรา เดี๋ยวก็อยากโน้นอยากนี้ เดี๋ยวก็โกรธโน่นเกลียดนี่ โลภ โกรธ หลง เข้ามานัวเนียหัวใจอยู่ทุกวินาที





แต่เมื่อมันเข้ามาแล้ว เรามีสติ คอยกวาดมันออกไป ให้จิตมันจะได้ว่าง เหมือนมีขี้ฝุ่นมาอยู่ในบ้านก็คอยกวาดบ้านทุกวัน แต่ฝุ่นที่เข้ามาในใจต้องคอยกวาดทุกนาที เราเองน่ะแหละเป็นคนคอยกวาด ให้จิตมันว่างจากฝุ่น คือ ว่างจากกิเลสที่เข้ามาในเรื่องนั้น ๆ





ไม่ใช่ว่าง ๆ เหวอ ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ขับรถไปก็ว่าง ว่าง ว่าง ไม่รู้ขับไปไหน ไม่ระวังอะไร นั่นมันว่างเปล่า ไม่ใช่จิตว่าง แต่เป็นจิตว่างเปล่า ก็คือคนปัญญาอ่อน ไม่มีอะไรในสมอง ว่างเปล่าโบ๋เบ๋





จิตจะว่างได้ ต้องมีสติรู้ให้ทัน อ้อ มีฝุ่นกิเลสเข้ามาแล้ว ก็ค่อย ๆ กวาดเช็ดถูให้สะอาด ให้ว่างจากฝุ่น ว่างจากกิเลสในเรื่องนั้น ๆ อย่างเมื่อกี้ เจ็ดสีโกรธมอเตอร์ไซด์ จิตก็มีกิเลสคือโกรธเข้ามาเกาะ ก็ต้องมีสติทันที่จะไม่โกรธ





ไม่โกรธทำไง ก็เมตตามัน มองมันอย่างสงสารว่า เจ้ามอเตอร์ไซค์เอ๋ย แกสร้างกรรมใหม่ให้กับตัวเองอีกแล้ว แกจะได้ไปรับกรรมชาติไหนวะเนี่ย ฉันอโหสิให้แกว่ะ เพราะไม่อยากตามไปเจอแกอีก อย่ามาแกล้งให้ฉันโกรธ ทำให้ฉันต้องร้อนใจ ทุกข์ใจ ไม่สำเร็จหรอก ฉันไม่หลงกลแกง่าย ๆ หรอก คิดได้ดังนั้นแล้วก็จะขำ หายโกรธ เจ็ดสีก็จะกลายร่างเป็นรุ้งสวยตามเดิม “





รุ้งสวยนั่งฟังตาแป๋ว แล้วก็ยิ้มหวานให้ตุ้ยนุ้ย เมื่อบอกว่า





“ฉันกำลังมีเรื่องจิตไม่ว่าง คาใจมา 3 วันแล้ว ยังวางมันไม่ลงเลย ฉันไปเจอแหวนวงหนึ่ง ซ๊วย สวย สวยมากกกกกก “





ตุ้ยนุ้ยหัวเราะ รุ้งสวยมัวบรรยายถึงเรื่องจิตไม่ว่างจากแหวนสวยอีกยาว เลยลืมติดกัณฑ์เทศน์ ทำให้ตุ้ยนุ้ยอดกินไอศกรีมของโปรด









 
เด็กเฒ่า
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 5:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

น้ำตางานศพ






บุญโขเป็นคนยากจน เขาเดินทางเข้ามาทำงานในเมือง แต่ก็พอมีรายได้เลี้ยงตัวไปวัน ๆ ไม่มีเหลือเก็บ





วันหนึ่งพอเขาได้ข่าวการเสียชีวิตของพ่อ จึงเดินทางกลับบ้าน เพื่อมาทำศพให้พ่อตามประเพณี





วันที่เขามาถึง เขาพบว่า ทุกอย่างได้ถูกจัดการให้เรียบร้อยแล้ว มีคนมาช่วยงานและช่วยเฝ้าศพตอนกลางคืน โดยมีเหล้ามากมายเป็นตัวยืนโรง ค่าใช้จ่ายในงานทั้งหมดทำให้เขาเป็นหนี้หนึ่งแสนบาท ทันทีที่เขาก้าวถึงหัวบันไดบ้าน





เสียงพระเทศน์บังสุกุลเป็นภาษาบาลี บุญโขฟังไม่รู้เรื่องว่าท่านเทศน์อะไร มีคนบอกว่าพระเทศน์ว่า “ การสงบสังขารเสียได้เป็นสุข “ ทำให้บุญโขแปลต่อเอาเองว่า ตายแล้วจะเป็นสุขได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นหนี้อย่างเขาในเวลานี้





ความจริงบทเทศน์บังสุกุลได้กล่าวว่า “ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วดับไป การสงบสังขารเสียได้เป็นสุข “





ความหมายที่แท้จริง ของคำว่าสังขารในบทนี้ ไม่ใช่สังขารที่แปลว่าร่างกายคนเราที่เรามักพูดกันอยู่บ่อยๆ แต่ท่านหมายถึงสังขาร ที่แปลว่าการปรุงแต่ง ดังนั้น จึงแปลว่า ถ้าเราหยุดปรุงแต่งจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านเสียได้ก็จะเป็นสุขได้





การสงบร่างกาย คือ ตายไปนั้นไม่เป็นสุข เพราะว่าถ้าถือตามหลักพุทธศาสนา ก็ยังมีการเวียนว่ายตายเกิด ยังต้องเดินทางต่อไป วนเวียนในสังสารวัฏ ซึ่งเป็นทุกข์





งานพิธีศพที่บุญโขคิดว่าเป็นพิธีทางศาสนาและต้องเสียเงินมากมายนั้น ความจริงในส่วนของศาสนาก็คือ การที่พระสวดบังสุกุล เพื่อเตือนสติคนเป็นที่มาฟังสวด ไม่ได้สวดให้คนตาย เพราะไม่ได้ยินไปแล้ว แต่เนื่องจากคนมางานก็ไม่มีใครฟัง และฟังก็เป็นภาษาบาลี ไม่เข้าใจ จึงเสียประโยชน์ไป





ส่วนตอนรดน้ำศพ ท่านก็ให้ทำเพื่อเตือนคนเป็นให้เห็นกับตาตัวเองว่า เมื่อตายไปแล้ว แม้แต่น้ำที่รดลงบนมือ ก็ยังเอาไปไม่ได้ ไหลทิ้งลง จึงเตือนให้เราอย่ายึดมาก หลงโลภไปมาก แต่เราก็คิดว่าไปรดน้ำให้คนตายเป็นการอำลาหรือขอขมา ทำให้เสียประโยชน์ ไม่ได้เตือนสติไปอีก





อื่นๆ นอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็นพวงหรีด ฯลฯ ไปจนถึงการเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้ง จนเป็นหนี้เป็นแสน ไม่ใช่ส่วนของศาสนา แต่เป็นประเพณีบ้าง ส่วนที่เติมไปเองตามความต้องการของผู้คนบ้าง พอไม่เลี้ยงก็จะถูกกล่าวหาว่างก ขี้เหนียว แต่พอจัดไปเรื่อยก็ประสบปัญหาอย่างบุญโข แบบที่ชาวบ้านเรียกว่า คนตายขายคนเป็น





 
เฒ่ายาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 5:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านพุทธทาส ได้สั่งไว้ในพินัยกรรมของท่าน ให้เผาศพท่านในป่า ไม่มีการสร้างเมรุโดยเฉพาะให้ท่าน มีเพียงขึงผ้ายาว ผืนเดียวแทนหลังคา เพราะท่านต้องการจะสอนคนด้วยงานศพของท่านว่าไม่ต้องมีอะไรมาก เป็นสัจธรรมที่แท้จริง เรียบง่าย





หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้แสดงธรรม ณ วัดป่าหนองผือ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า





“ในขณะที่มีชีวิตนั้นทำบุญดีมาก การทำศพถึงผู้ตายนั้นไม่ได้เป็นส่วนมาก แต่ทำตามประเพณีเท่านั้น พระอรหันต์นิพพานภูเขาถ้ำต่าง ๆ ใครทำศพให้ท่านเล่า ท่านทำไมถึงนิพพาน “





หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านตอบโยมคนหนึ่งที่เรียนถามท่านว่า ที่จริงแล้ว เราควรไว้ทุกข์กี่วันกันแน่ เพราะเห็นธรรมเนียมออกจะต่างกัน บางคนถือ 7 วัน 50 วัน 100 วัน หลวงปู่ตอบว่า “ ทุกข์ ต้องกำหนดรู้ เมื่อรู้แล้วให้ละเสีย ไปไว้มันทำไม “





งานศพนั้นเรียบง่ายได้ ถ้าทุกคนมางานศพด้วยใจผูกผันกับผู้ตาย มาไว้อาลัย มาแสดงระลึกถึงเป็นครั้งสุดท้าย ไม่เรียกร้องการต้อนรับมากมายจากเจ้าภาพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาศึกษาธรรมะด้วยเห็นของจริง คือการตายที่เป็นสัจธรรมอยู่เบื้องหน้า





ถ้าเป็นได้ดังนี้ คงไม่ต้องมีใครหนีหนี้ไปกลางดึกอย่างบุญโข







 
ยาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 5:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

น้ำใจกับน้ำในใจ




พรพรำเป็นเมตตากรุณา เห็นพิษจริตลำบากก็อยากช่วยเหลือ เธอช่วยค้ำประกันรถให้ ช่วยขายที่ดินให้ และยังให้ยืมเงินสดอีก เหตุการ์ณผ่านไป จนพิษจริตพ้นวิกฤติไปได้ วันหนึ่งพรพรำก็ได้รับจดหมายจากบริษัทรถ ให้ชำระค่ารถแทนในฐานะผู้ค้ำประกัน พรพรำไม่ได้พบกับพิษจริต แต่มีญาติมาเล่าให้ฟังว่าพิษจริตบ่นว่า คราวนั้นเธอขายที่ดินให้ในราคาที่ถูกเกินไป เขาควรจะได้เงินมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงผ่อนรถเองได้





พรพรำคุยให้วุ้นหวานฟัง วุ้นหวานให้อรรถาธิบายว่า “ ทำคุณคนไม่ขึ้น ที่ดินขายไปแล้ว ตอนหลังจะมาพูดว่าขายถูกเท่าไหร่ก็พูดได้ ถ้าขายได้แพงมาก ตอนนั้นทำไมไม่ขายเสียเองเล่า ก็เพราะไม่มีคนซื้อนะซี เรื่องถึงได้มาถึงเรา นี่ดีนะที่เธอยังไม่ได้ซื้อไว้เอง ไม่งั้นเขาหาว่าเธอโกงเขาแน่





พรพรำเก็บเกี่ยวประสบการณ์แบบนี้ได้บ่อยเหมือนเดินผ่านหญ้าเจ้าชู้ แต่กระนั้น เมื่อรู้ว่าใครมีทุกข์ สมองของพรพรำก็แล่นปื้ด มีแผนการขึ้นมาทันทีว่าเรื่องอย่างนี้ ๆ ต้องแก้ปัญหาอย่างนั้น ๆ บางทีความร้อนใจของเธอจะมีมากกว่าเจ้าของเรื่องเขาเสียเองด้วยซ้ำ เธอบอกวุ้นหวานว่า





“ ก็เรามีนิสัยเป็นนักจัดการไง มันก็เลยชอบคิด “





วุ้นหวานค้อนประหลับประเหลือก “ แปลตามศัพท์ว่าเสือก “





“ แล้วจะให้ทำไง “ พรพรำหัวเราะไปถามไป ในขณะที่วุ้นหวานทำหน้าเบื่อ









 
ยางสุ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 5:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ก็ช่วยได้ แต่ช่วยเท่าที่พอสมควร นอกนั้นต้องอุเบกขา ไม่ใช่เอาแต่อุ้มแบกเขา เราแทบตายแล้ววันหลังเสร็จงานยังต้องมากิน ยำขอบคุณ ที่เผ็ดจนปวดท้องอีก “





คำของวุ้นหวานเจาะใจพรพรำ ให้เกือบ ๆ เป็นน้ำตาพรำ วุ้นหวานรีบอุดรูน้ำตา





“ เอาน่ะ เรื่องมันแล้วไปแล้ว ท่านสอนว่าอย่างนี้นะ “วุ้นหวานเริ่มเทศน์





“ไม่เป็นทุกข์ล่วงหน้า และไม่นำเอาคความทุกข์ที่ล่วงไปแล้วมาทับถมสมทบเข้าไปอีก คือให้คิดอยู่เสมอว่า ความทุกข์สำหรับวันนี้ก็พอแล้วสำหรับวันนี้ ไม่ต้องนำเอาความทุกข์เมื่อวานกับวันนี้มาสมทบเข้าด้วยกัน”





พรพรำชอบทุกข์เพราะความคิด ชอบวางแผนงานล่วงหน้าแล้วก็ทุกข์ว่าจะเป็นไปตามนั้นไหม ชอบคิดถึงความหลังที่เจ็บปวดว่ามันไม่น่าเป็นอย่างนั้นเลย วัน ๆ อยู่กับข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้างตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่สวดมนต์อยู่ทุกเช้าว่า “ ไม่คิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัย และไม่พะวงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง “ เสียงวุ้นหวานเทศน์ต่อไปว่า





“ เรื่องอนาคต เมื่อวางแผนไว้ดีแล้ว ก็พอแล้ว หลังจากนั้นก็ทำไปให้ดีที่สุด แต่ถ้ามันไม่เป็นไปตามแผนก็แก้ไขไป ไม่ต้องกังวลล่วงหน้าจนปวดท้อง มันมาถึงก็รู้เองแหละ เรามีพรที่พรำ ๆ อยู่ตลอดเวลาแล้วจะกลัวอะไร ต้องดีวันยันค่ำ จริงมะ ถ้าชื่อพรสวิตช์ติด ๆ ดับ ๆ ก็ว่าไปอย่าง ส่วนเรื่องอดีต ไม่ต้องพูดถึง ลืมไปเลยรู้ไหม เออ เมื่อกี้ฉันพูดอะไรนะ เห็นไหม ฉันลืมไปแล้ว “





“เฮ้ย มากไป” พรพรำหัวเราะ วุ้นหวานยิ้มแก้มตุ่ย





“ท่านสอนว่า น้ำเยอะแยะนอกเรือ ไม่ทำให้เรือจม แต่น้ำนิดหน่อยที่อยู่ในเรือ ทำให้เรือจมได้ รู้ไหม ใจเรานั่นแหละคือเรือ เรื่องอะไร ๆ ที่อยู่ในใจเรานั่นแหละที่จะทำให้เราตาย เพราะฉะนั้นเราต้องคอยวิดน้ำ คือเรื่องบ๊อง ๆ ทั้งหลายออกไปจากใจเราอยู่เรื่อย ๆ จึงจะอยู่สบาย ช่วยคนอื่นก็ช่วยพอประมาณ เราชื่อพรพรำ ไม่ใช่ชื่อพรพร่ำเพรื่อ ถ้าจะมีพรหมวิหาร 4 ต้องมีให้ครบ 4 อย่ามีแค่ 2 มีไปให้ถึงข้อ 4 คืออุเบกขาด้วย อย่างนี้ถึงจะพอเอาตัวรอดด้ายยย…… “





“ใจดำหรือเปล่า” พรพรำกระซิบ วุ้นหวานสั่นหัว ลงจากธรรมมาสน์ เลิกเทศน์ เอวังด้วยคำว่า





“ ถึงเวลาอุเบกขาเราต้องถือว่า สัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของตนและเป็นไปตามกรรม “











 
สีราช
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 5:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มรดกทางความเชื่อของคุณยายหอมจรุง






วันนี้คุณยายหอมจรุง เดินหิ้วเชี่ยนหมากด๊อกแด๊กจะมาค้างบ้านหลานชายกับหลานสาว เฉาก๊วยกับซ่าหริ่ม ด้วยความคิดถึงที่ไม่ได้พบกันนาน





พอพาไปชมห้องนอน คุณยายหอมจรุงยืนดูจากหน้าประตูอย่างเงียบกริบอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็เดินกลับมาคว้าแก้วน้ำบนโต๊ะ กินอึก ๆ จากนั้นก็หิ้วเชี่ยนหมากด๊อกแด๊กจะกลับบ้าน





“อ้าว ! ไหนว่าจะค้าง “ เฉาก๊วยว่า





“ไม่มีทิศจะนอน “ นั่นเป็นคำตอบสุดท้ายของคุณของคุณยายหอมจรุง





ห้องนอนเป็นห้องเล็ก ดูจากหน้าประตู เห็นเตียงหันหัวไปทิศเหนือ ปลายขาจะชี้มาทางประตู คนจีนห้าม เพราะถือว่าคนตายเขาหามเอาขาออกประตูก่อน ถ้านอนตะวันออก มันจะขวางประตูฮวงจุ้ยว่าเลือดลมไม่ดี ถ้านอนตะวันตก โบราณห้ามบอกว่าเป็นทิศคนตายนอน หันหัวไปทางใต้ไม่ได้คุณยายถือ





“งั้นคุณยายนอนห้องซ่าหริ่ม” หลานสาวว่าพลางเข้ากอดเอวประจบ คุณยายหอมจรุงจึงวางเชี่ยนหมากลง





ในคืนนั้น ทั้งสามคนนั่งคุยกันที่เฉลียง ใต้แสงดาวระยิบ ระยับ ลมเย็น





“คุณยายไปไหนลำบาก มัวหาทิศนอน “ ซ่าหริ่มเย้าเฉาก๊วยหัวเราะ ลงนอนหนุนตักคุณยาย





“ ก็ผู้ใหญ่เขาสอนมา พวกหลานไม่เชื่อกันแล้ว “





 
เด็กสี
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 5:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ไม่ใช่ไม่เชื่อค่ะ เพียงแต่เราสืบหาเหตุผลกันก่อน ถ้าควรเชื่อเราก็ควรทำตาม ไม่ได้ลบหลู่อะไร “ ซ่าหริ่มพยายามอธิบาย เธอเล่าให้คุณยายฟัง ถึงสิ่งที่เธอได้ฟังมาจากการเรียนธรรมะแบบวิเคราะห์ธรรม





“ความจริงชื่อทิศเป็นชื่อที่เรากำหนดขึ้นมา ถ้าเปลี่ยนให้ทิศใต้ชื่อเหนือ คุณยายต้องย้ายที่นอนตาม อีกอย่างถ้าทิศใต้ไม่ดีเราเรียกมันว่าเหนือ มันจะกลายเป็นดี ก็ดูจะเป็นไปไม่ได้ เพราะอะไรดี ชื่ออะไรมันก็ดี ถ้ามันไม่ดี ชื่ออะไรมันก็ไม่ดี เหมือนดอกอุตพิด ถ้าเรียกมันว่ากุหลาบ มันก็ยังไม่หอมอยู่ดี





คุณยายขา โลกของเรากลม พระอาทิตย์ไม่เคยตกไปไหนที่เราเห็นฟ้าแดงๆตอนพระอาทิตย์ตก คนอีกฝั่งหนึ่งก็เห็นฟ้าแดง ๆ เหมือนกัน แต่เป็นพระอาทิตย์ขึ้น ความจริงซ่าหริ่มว่า ทิศตะวันตกน่ารักนะคะ มันทำให้เราได้ส่งพระอาทิตย์ไปให้คนฝั่งโน้นได้มีแสงสว่างบ้าง”





เฉาก๊วยเสริมว่า “ มันทำให้เราได้นอนด้วย เฉาก๊วยไม่ชอบนอนสว่าง มันแสบตา “





คุณยายหอมจรุงหัวเราะ เกาหลังให้หลานชายอย่างน่ารัก





“คุณยายขา อาจารย์ของซ่าหริ่มเล่าให้ฟังค่ะ พระสารีบุตรเวลาท่านธุดงค์ไปเมืองไหน ท่านจะนอนหันหัวไปทางทิศที่พระอัสสชิอาจารย์ของท่านอยู่ เป็นการแสดงความเคารพค่ะ “





เฉาก๊วยซึ่งเป็นสถาปนิก เล่าในส่วนของตนเองว่า





“ทางด้านของผม การสร้างบ้าน เราดูทิศที่ลมจะผ่านให้บ้านเย็น เราไม่ค่อยให้ห้องนอนอยู่ทางตะวันตก ก็เพราะมันอมแดดไว้ตลอดบ่าย ทำให้ห้องร้อน ถ้าเลี่ยงได้เราจึงไม่นอนทางนั้นจะได้สบาย





แล้วเฉาก๊วยก็ร้องเพลงสบาย สบายของเบิร์ด ธงไชย และนอนดิ้นไปด้วย คุณยายจรุงหัวเราะชอบใจ





“เอาละ ยายจะพยายามเข้าใจความเห็นของหลาน ๆนะ แต่ให้คนแก่คิดก่อน “





ซ่าหริ่มเสริมว่า “ พระพุทธชินราชที่พิษณุโลก ก็หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ท่านยังดังทั่วประเทศเลยค่ะ คุณยายขา ใคร ๆก็ไปไหว้ท่าน “











 
เด็กสุ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 5:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การคิดว่าไม่มีเงินจะทำบุญ






ดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ที่จะคิดว่า เมื่อก้าวเข้ามาในศาสนาแล้วต้องพกเงินมาด้วย เมื่อบางคนไม่มีเงินก็เลยไม่มา เป็นเรื่องเสียโอกาสและเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ได้เกิดมาในยุคที่มีพุทธศาสนาแล้ว ก็ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ได้อะไรใส่ตัว





จันทร์ฉายเป็นครูมัธยมโรงเรียนรัฐบาล รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตครู ที่ดูเหมือนจะผ่านไปวัน ๆ อย่างดาย ๆ เงินเดือนก็น้อย ลาออกก็ไม่รู้จะไปทำอะไร





วันหนึ่งมีนักเล่านิทานชื่อทศพร เดินทางมาที่โรงเรียน เขาจะมาจัดกิจกรรมที่โรงเรียน 3 วัน มีการเล่านิทานให้เด็กฟัง มีละครหุ่นมือ และสอนเด็ก ๆ ให้วาดรูปตามนิทาน





จันทร์ฉายตามดูกิจกรรมของทศพรตลอดเวลา เธอเห็นเด็ก ๆ มีความสุขมาก เขาบอกให้ทำอะไรเด็ก ๆ ก็ทำตาม ว่าง่าย ไม่เหมือนเวลาที่เธอเข้าสอนเลย ที่เด็กจะว่ายากสอนยาก และมีแววตาเบื่อหน่าย บางคนถึงกับหลับฟุบลงกับโต๊ะ





ตัวของทศพรเอง จันทร์ฉายก็เกือบจะเรียกเขาว่า มอมแมม แต่ดูเขามีชีวิตชีวามาก เขาเดินทางไปเล่านิทานตามโรงเรียนต่าง ๆโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนอะไร นอกจากอาหารที่โรงเรียนจัดให้ เขาเล่าว่า เมื่อเขาไปตามหมู่บ้าน ก็นอนที่บ้านของชาวบ้านแถวโรงเรียน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาเล่านิทานให้โรงเรียนในเมืองหลวง เพราะมีธุระอื่นต้องมาทำด้วย





จันทร์ฉายมีโอกาสคุยกับทศพรในตอนเย็น เธอเล่าให้เขาฟังถึงความรู้สึกของเธอ ทศพรจึงเล่าให้ฟังว่า





“ นักเรียนจะมีความสุขได้ ครูต้องมีความสุขก่อน ในเมื่อคุณยังไม่อยากสอน แล้วจะทำให้เด็กอยากเรียนได้อย่างไร “





นั่นเป็นสิ่งที่จันทร์ฉายไม่เคยคิดมาก่อน เธอถามว่า เขามีความสุขในการสอนได้อย่างไร ทศพรตอบอย่างอารมณ์ดี





“ผมใช้ธรรมะ”





จันทร์ฉายรู้สึกแปลกใจ เธอคิดเสมอว่าถ้าจะใช้ศาสนาในชีวิตก็คือการทำบุญ และเธอไม่มีเงินพอที่จะไปทำบุญบ่อย ๆ





“ ธรรมะไม่ใช่การทำบุญอย่างเดียว ธรรมะสอนให้ผมสันโดษ พอใจในชีวิตของตัวเอง สอนให้มี อุตสาหะและพยายาม ที่จะทำให้เด็กมีความสุข สอนให้รักษาศีล เพื่อความสงบในชีวิต จะได้ไม่มีเรื่องมีราวกับใคร สอนให้มีปัญญา คือ รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง และสอนให้มีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แก่ทุก ๆคน ที่ผมได้พบ ไม่ว่าจะคุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคย นี่เรียกว่าผมใช้ธรรมะทั้งวัน โดยที่ผมไม่ต้องใช้เงินเลย ครูก็ทำได้เหมือนผม “





จันทร์ฉายขอให้เขาแนะนำแก่เธอ





“ผมว่าครูก็ทำบุญอยู่แล้วทุกวัน ก็คือให้ปัญญา ให้ความ









 
สีสุราช
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 5:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รู้แก่เด็ก ๆ ทำให้เด็กฉลาด นี่เป็นการำบุญอยู่แล้ว ถ้าครูมองอย่างนี้ เดี๋ยวครูจะอิ่มใจว่าตัวเองมีประโยชน์แก่สังคม ผลิตเด็กที่มีความรู้ แต่การสอนเด็กก็ต้องใช้เทคนิคในการสอน เช่น ยกตัวอย่างสนุก ๆ หรือหาภาพมาให้ดู ถ้าครูมีใจกับการสอน วิธีการมันจะมาเองแหละครับ





นอกจากนี้มองให้ลึกลงไป เด็ก ๆ มีปัญหา ครูก็เป็นที่ปรึกษาได้ มีเมตตาแก่เด็ก ช่วยจิตใจเด็ก ยิ่งเด็กมีปัญหาครอบครัวแตกแยก มีความกดดัน เมื่อครูมีเมตตากับเขา ห่วงใยเขา ทำให้เขารู้สึกว่า อย่างน้อยเขามีครู ครูอาจจะดึงเขาไว้จากทางที่ผิดได้ เป็นบุญมหาศาล





โรงเรียนมีคนเยอะ มีแบบฝึกหัดให้เรามากมาย เช่น เราฝึกที่จะอดทน ไม่โกรธ ครูรู้ไหมครับว่า การไม่โกรธเป็นการทำบุญให้ตัวเองอย่างหนึ่ง เพราะสิ่งที่เราต้องทำในพุทธศาสนาคือ ลด ละ เลิก โลภ โกรธ หลง





ในโรงเรียนมีบุญมากมายวางรออยู่ ครูเลือกเก็บเอาเถอะครับ แล้วครูจะมีความสุขกับธรรมะในใจ “





เป็นครั้งแรก ที่จันทร์ฉายรู้สึกว่าเธออยู่ในสถานที่ดี และน่าจะมีชีวิตที่มีความหมายได้มากกว่าที่เคยมา เธอขอบคุณนักเล่านิทาน ที่เดินทางมาและนำสิ่งดีๆ มามอบให้แก่เด็ก ๆ และตัวเธอเอง



ฉันจะยุติการยกตัวอย่าง ปัญหามุมมองและการใช้ธรรมะในชีวิตประจำวันลงเพียงเท่านี้ ถ้าหากท่านผู้อ่านมีความตั้งใจที่จะเติมธรรมะลงในชีวิต ต่อไปก็จะเข้าใจได้ด้วยตัวเอง เมื่อศึกษาข้อธรรมคำสอนแล้ว เพราะบุคคลย่อมมีความคิดหลากหลาย ตามแต่เหตุปัจจัยของคนนั้นส่งมา การจะใช้ธรรมะจึงเป็นเรื่องส่วนบุคคลว่าใครจะใช้อย่างไร





มีคำสอนว่า “ การเชื่ออะไรไปทั้งหมด เป็นเรื่องงมงาย แต่การไม่เชื่ออะไรไปทั้งหมดเลย ก็เป็นเรื่องงมงายเหมือนกัน “





ฉะนั้น ท่านสอนให้เราพิจารณาว่าควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อสิ่งใด เมื่อเราศึกษาดีแล้ว ก็ย่อมจะเลือกถูกได้เอง และเมื่อนั้นธรรมะก็จะมีประโยชน์แก่ชีวิตจนถึงที่สุดได้









 
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 7:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จากหนังสือ ธรรมะรอบกองไฟ โดย ขวัญ เพียงหทัย






 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง