Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 รอบรั้วธรรม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เด็กบ้านยาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 12:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รอบรั้วธรรม






สมัยที่เรียนหนังสือ ต้องอยู่หอพักของมหาวิทยาลัย พอตกเย็นของฤดูสอบ ก็จะสุมหัวกันติว ติวไปกินขนมไป ไม่นาน คนชอบนอนเริ่มจะเอาหนังสือหนุนหัว และออกคำสั่งเผด็จการกับคนติวว่า





“ พูดไปเรื่อย ๆ นะ จะฟัง “





เพื่อนบางคนก็เขกหัวเอาทีหนึ่ง เมื่อเจ้าตัวบอกว่า ให้หนังสือมันออสโมซิส ( ซึม ) เข้าไปในหัว อีกคนแหย่ว่า





“เอาหัวทับหนังสือ แล้วเวลาอยู่ในห้องสอบ แกจะเปิดหนังสือออก

เหรอ แกต้องเอาหนังสือทับหัวซี่ถึงจะถูก “





ธรรมะก็เหมือนตำราเรียน เราอาจจะมีปัญหาซื้อหนังสือธรรมะและเทปมาเก็บไว้จนเต็มห้องใหญ่ เราอาจจะอ่านมันจนจบทุกเล่มแล้ว แต่ถ้าไม่ได้เอามาใช้ ในที่สุดมันก็จะกลับไปอยู่ในหนังสือตามเดิม





เหมือนซื้อหนังสือแม่ครัวมา 10 เล่ม แต่ไม่เคยซื้อของมาปรุงเลย ก็ไม่มีวันทำกับข้าวเป็น





แต่ถ้าจะลองทำดู ก็จะสนุก แม้จะเก้ ๆ กัง ๆ บ้างในตอนแรกไม่รู้ว่าตะหลิวเซี๊ยอยู่หนใด ชามเอาไว้ไหน หรือแม้แต่อาจจะเอาหม้อข้าวมาดาวไข่เป็นปฐม ก็ไม่เป็นไร ท่านพุทธทาสสอนว่า “ ทำงานให้สนุก เป็นสุขกับการทำงาน “ การฝึกปฏิบัติธรรมก็เป็นงานอย่าง





 
เด็กบ้านยาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 12:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หนึ่งเหมือนกัน ที่ทำอย่างสนุกได้





ทีนี้เมื่อจะลงมือทำ นอกจากจะอ่านตำราจนรู้แล้วว่า แกงเขียวหวาน มันมีเครื่องปรุงและวิธีอย่างไร แต่เราก็ต้องรู้จักวิธีใช้ครัวของเราก่อนเหมือนกัน เช่น ครกเอาไว้โขลก หม้อเอาไว้ต้มน้ำ ถ้าเราไม่รู้วิธีใช้ธรรมะในลักษณะเดียวกัน เราก็จะพยายามเอาครกไปต้มน้ำ





ธรรมะมีมากมายหลายอย่างเหมือนกับข้าว และก็มีหลายระดับเหมือนกับข้าวอีกนั่นแหละ มันเสิร์ฟให้คนกินหลายระดับและมันก็แก้ไขให้กับปัญหาหลายระดับด้วย ฉะนั้นเราก็เลือกให้เหมาะกับตัวเรา เหมาะกับโอกาส และเหมาะกับปัญหา แต่ก็มีหลักอยู่ว่าอย่าตีความไปในทางเกเร เสาหลักหน้าประตู 2 ต้นก่อนที่จะก้าวเข้าไปในตัวบ้าน ก็คือ หนึ่งเป็นสิ่งที่ดีไหม กับ สองผิดศีลหรือเปล่า





บางเรื่องไม่ผิดศีล แต่ก็ไม่ดี ก็สรุปว่าให้เซย์โนไปเสีย อย่าดันทุรัง ส่วนที่ว่าอะไรดีไม่ดีนั้น ถ้าเปิดใจให้ตรงก็คงจะพอตัดสินได้เอง ถ้าสิ่งที่ไม่ดี ดันทุรังว่าดีให้ได้ อันนี้ก็ตัวใครตัวมัน ก็ทำไปตามใจอยาก เพราะใครทำคนนั้นก็รับกรรมไปเองอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเถียงกัน





เปรียบไปอีกอย่างให้เห็นง่าย ธรรมะก็เหมือนกับร้านขายยา ในร้านขายยาย่อมมียามากมายร้อยพันอย่าง แต่ก็สำหรับร้อยพันโรคเหมือนกัน ตู้นี้ใส่ยาแก้ปวดท้อง ตู้นั้นใส่ยาแก้ปวดหัว





ถ้าเราปวดท้อง เราก็เดินไปที่ตู้ยาแก้ปวดท้องตู้เดียวพอไปถึง เราจะพบการแตกแขนงย่อยไปอีก จะมียาแก้ปวดท้อง เพราะลมจุกเสียด เพราะลำไส้อักเสบ เพราะกระเพาะเป็นแผล เพราะ ฯลฯ เราก็เลือกเอายาที่ตรงกับสาเหตุที่เราเป็น เอาไปกินแล้วก็จะหาย





แต่ถ้าเดินเข้าไปแล้วนั่งเฉย ๆ อยู่ในร้านยา ยิ้มแล้วคอยให้หายปวดท้องไปเอง อันนี้ก็ต้องหาอีกตู้ด้วย คือ ยาเช็คประสาท





คนที่เลาะอยู่ตามขอบรั้วธรรมะ บ้างลังเลใจสงสัย บ้างไม่รู้จัก บ้างรู้จักนิดหน่อย เดินเลียบไปเลียบมาไม่กล้าเข้า และบางคนก็นำธรรมะไปใช้ได้จริงจัง ก็จะมีเรื่องราวต่าง ๆ พอจะเอามาคุยกันให้เป็นตัวอย่าง อันนี้ถ้าตามศัพท์นักเรียน บางทีเขาเรียก ปฐมนิเทศ แต่เราจะเรียกว่า ออเดิร์ฟ ( รู้สึกจะไม่ค่อยพ้นเรื่องกินเลยนะ )











 
เด็กบ้านยาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 12:58 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมะไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์แท่งเดียว






จิตรี ไม่เข้าใจธรรมะ เพราะไม่เคยเรียนหรือฟังธรรมมาก่อน เมื่อจะคุยกันเรื่องธรรมะ ก็จะมีปัญหาในการมองว่าธรรมะ คืออะไร เธอถามว่า “ ถ้าลูกหนูกำลังหิว และไม่มีเงินจะซื้อข้าว ธรรมะจะช่วยได้

อย่างไร “





อาจจะมีคนมองอย่างนี้บ้างเหมือนกัน คือ เห็นธรรมะเป็นไม้กายสิทธิ์แท่งหนึ่ง แล้วพอมีปัญหาอะไรก็เอาไปเคาะ ปิ๊ง ปิ๊ง ปิ๊ง ก็ได้สิ่งที่ต้องการออกมา หิวข้าว เอาไม้ธรรมะไปเคาะ ก็จะมีข้าวแว๊บขึ้นมาบนจาน อันนี้ต้องไปหา แฮรรี่ พอตเตอร์ พ่อมดน้อย จึงจะได้





ลิสาหัวเราะขำ เอ็นดูท่าทางของจิตรี ที่ดูจะมั่นใจว่าธรรมะใช้การไม่ได้ ลิสาค่อย ๆ พูดว่า





“ ธรรมะไม่ได้ทำกับข้าวให้กิน แต่คนที่มีธรรมะในใจจะหาทางที่ถูกต้อง เช่น ไปขอข้าวหลวงพ่อที่วัด ไปยืมข้าวสารคนข้างบ้าน หรือไปทำงานเฉพาะหน้าวันนั้นแลกข้าวมา ซึ่งมันจะไม่หมดตัวอยู่อย่างนั้นตลอดไป ธรรมะสอนให้คนมีความขยัน มีใจต่อสู้บากบั่นอดทน ก็ต้องพาตัวให้ดีขึ้นได้ต่อไปจนได้ อย่าดูเหมือนกับว่าชีวิต คือ วันนี้วันเดียว พรุ่งนี้ยังมี และอย่าคิดว่าอนาคตจะต้องเหมือนวันนี้ ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง มันต้องเปลี่ยนแปลง ถ้าเราทำดี ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี “





ลิสาคอยให้จิตรีทำความเข้าใจกับภาพที่เล่าให้ฟัง แล้วจึงเล่าต่อไปว่า





“ ส่วนคนที่ไม่มีธรรมะ เขาก็จะไปขโมยของมากินแล้วก็ถูกตรวจจับ ไปเข้าคุก แล้วก็ปล่อยลูกเล็ก ๆ หิว ช่วยเหลือตนเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน คลานไปหาแม่แล้วตกบันได ทำให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม





นี่คือการทำงานของธรรมะ ธรรมะไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์แท่งเดียว ที่เอาไว้เคาะนั่นเคาะนี่ “









 
เด็กบ้านยาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 1:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รู้ให้จบใจความ






วันวิสาข์มีความใฝ่ฝันในหน้าที่การงาน เธอคิดว่าธรรมะเป็นเรื่องล้าหลัง ธรรมะทำให้การพัฒนาหยุดยั้ง เพราะสอนให้คนสันโดษคือพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เธอคิดว่าเมื่อคนเราพอใจกับตัวเองแล้ว ก็ย่อมไม่ดิ้นรนที่จะพัฒนาอะไร เธอร่ายยาวให้มะลิวัลย์ฟังอย่างเข้มข้นเหมือนการประชุมสัมมนาที่ต้องทำอยู่เป็นปกติในงานของเธอ





มะลิวัลย์ฟังจนจบรายงานสัมมนาของวันวิสาข์ เธอเกือบจะบิดขี้เกียจแล้วก็กลับบ้าน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่า ในท่ามกลางกระแสความคิดอันหนักแน่นของวันวิสาข์นั่นเอง ที่วันวิสาข์ก็ไม่มีความสุขเลย วันวิสาข์เครียดไม่ผ่อนคลายสิ่งใด ทำงานหนักอย่างไม่มีความสุข





มะลิวัลย์จึงเปิดสัมมนาขึ้นบ้าง ให้วันวิสาข์ฟัง





“คำว่าสันโดษ ไม่ได้หมายความว่า พอใจกับสิ่งที่มีอยู่แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรต่อไป นอนลูกเดียว ไม่ใช่ อันนั้นมันxxx





คนสันโดษ เขาพอใจในสิ่งที่เขาหามาได้โดยสุจริต ไม่ได้เบียดเบียนใครมา พอใจในสิ่งที่ได้เท่าที่ได้นั้นก่อน แล้วจึงค่อยพัฒนาไปสู่สิ่งที่อยากได้ต่อไปเป็นขั้น ๆ ไป เช่น พนักงานคนหนึ่งทำงานได้เงินเดือน 8000 บาท เมื่อเขารับงาน เขามีสันโดษคือพอใจในเงินเดือน 8000 บาท มีความสุขกับเงินเดือนที่ได้รับมาจากแรงงานตัวเองโดยสุจริต นี่เขามีสุขสันโดษไปครั้งหนึ่งแล้วนะ “





วันวิสาข์ขยับจะเถียง แต่มะลิวัลย์ห้ามไว้เสียก่อน เธอพูดต่อไปว่า





“ แต่พนักงานคนนี้ก็มีความทะเยอทะยานได้ คือ เขาอยากได้เงินเดือน 10000 บาท ดังนั้น เขาจึงขยันทำงาน มีข้อเสนอดีดีให้บริษัท ช่วยทุกอย่างที่เข้ามาโดยไม่นิ่งดูดาย มีน้ำใจช่วยเหลือเกื้อxxxลเพื่อนร่วมงาน และที่สำคัญ เขาเอาใจใส่ รู้จริงในงานที่เขาทำ ในที่สุดเขาก็ได้เงินเดือนขึ้นไปถึง 10000 บาท





ตลอดเวลาเหล่านั้น เขามีความสุขในความสันโดษของเขา คือ ไม่ได้ร้อนรุ่มหน้างอ อารมณ์เสีย กระแทกกระทั้นใคร ไม่ได้อิจฉาตาร้อนใคร เพราะเหตุว่าตัวเองเงินเดือน 8000 บาทและไม่พอใจในเงินเดือนนั้น เขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย





แต่ถ้าคนไม่มีสันโดษก็จะเป็น และผลของการร้อนรนเหล่านั้น ผลของการทำงานด้วยใจที่ไม่พอใจอย่างนั้น ก็จะส่งผลให้เขาไม่ได้เงินเดือนขึ้น และก็ไม่เป็นที่รักของใคร ๆ ใจแคบ และเป็นทุกข์





ดังนั้น จะเห็นได้ว่า คนถือสันโดษก็มีพัฒนาการได้ ถ้านักการเมืองมีสันโดษ ก็จะไม่มีการโกงกิน ถ้าข้าราชการมีสันโดษ ทุกคนก็จะไม่มีการคอร์รัปชั่น ถ้าประชาชนมีสันโดษก็จะไม่มีขโมย ถ้าคนเรามีสันโดษก็จะไม่มีเวลาไปอิจฉาตาร้อนใคร ไม่เอาเวลาไปขัดขาใคร แต่ทำงานด้วยความพอใจในหน้าที่การงานของตน ทำให้การงานทั้งมวลเดินหน้าไปได้เต็มที่ ด้วยแรงผลักดันของความ





 
เด็กบ้านยาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 1:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตั้งใจทำงานของคนพอใจในตัวเอง แล้วคิดดูสิว่าประเทศจะก้าวหน้าไปถึงไหน





สันโดษ คือ พอใจในสิ่งที่หามาได้โดยสุจริต พอใจเท่าที่ได้มาและทำต่อไป เพื่อการได้สิ่งที่ดีขึ้นตามกำลังของตน “





“ วันวิสาข์เอ๋ย “ มะลิวัลย์เหนื่อย เพราะไม่เคยสัมมนา “ อย่าเพิ่งตัดกล้วยที่ยังไม่ได้ปลูก หล่อนไปศึกษาธรรมะเสียบ้างเถอะ แล้วจะรู้ว่ากล้วยน่ะมันใช้งานได้ตลอดต้นเชียว ไม่ใช่แค่ใบตอง “





แล้ววันนี้มะลิวัลย์ก็ให้การบ้านวันวิสาข์ กลับไปทำรายงานสัมมนาเรื่องความสันโดษของต้นกล้วย





ที่เล่ามานี้ ก็เหมือนกับการทำกับข้าวอีกนั่นแหละ คือรู้ธรรมะนั้นต้องรู้ที่ถูกต้องด้วย เหมือนทำต้มยำที่ว่าใส่น้ำปลาก่อนมะนาว หรือใส่มะนาวก่อนน้ำปลา ความจริงดูเผิน ๆก็น่าจะเหมือนกันคือ ในที่สุดก็ใส่ทั้งสองอย่างลงในหม้อ แต่มันไม่ใช่ เราต้องรู้ให้ถูกตลอดเส้นทางว่า ทำไมจึงต้องใส่อะไรก่อนหลัง อาหารมันจึงจะอร่อย







 
เด็กบ้านยาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 1:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีศรัทธาต่อธรรมะว่าใช้ได้จริง






วันลา กำลังทุกข์หนัก จิตใจมีศึกหลายด้านรุมเร้า เขาซื้อหนังสือธรรมะมาหลายเล่ม แต่อ่านแล้วก็มักจะหลับไปใน 3 หน้าแรก เพราะความที่เหน็ดเหนื่อยมาจากการทำงานจนสมองล้า บางทีเขาอยากจะลางานให้สมกับชื่อวันลา





เขาชื่อวันลา เพราะวันเกิดของเขาไม่ตรงกับวันหยุด ไม่งั้นเขาอาจจะได้ชื่อเพราะ ๆ ว่าวันระพี หรืออย่างน้อยก็วันศุกร์ พ่อบอกว่าชื่อวันพฤหัสบดี มันยาวไป เอาเป็นวันลา คือ ลาไปดูเขาเกิด





วันลาหันไปหาเทป เพราะแม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่การฟังเทปเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่าการอ่านหนังสือ เขาตะลุยฟังเทปทุกคืน เสาร์ อาทิตย์และวันหยุดราชการ ไม่นานนักเขาก็ฟังเทปตามหัวข้อที่อยากฟังได้มากมาย การเลือกเทปทำให้ได้ใจความธรรมะที่ตรงกับปัญหาความข้องใจของเขา เป็นการกินที่ตรงกับความหิว ทำให้วันลาประหยัดเวลา ในการแสดงหัวข้อธรรมลงได้มาก





คนบางคนสนุกกับการเที่ยวสวนธรรม ไปเที่ยวสวนนั้นชมดอกไม้ แล้วก็มาสวนนี้ ชมไปเรื่อย ๆ แต่ไม่เคยทำที่ใจ พอเดินไปชนทุกข์ ก็สะดุดหกล้ม เหมือนคนที่ไม่เคยไปไหน





วันลามีเวลาน้อย เพราะมีทุกข์มาก จึงยังไม่ไปเที่ยวสวนธรรมใด เขามุ่งหวังจะฟังเทปที่เลือกมา และใช้มันตัดความทุกข์ใจโดยเฉียบพลัน เพื่อเปลี่ยนเส้นทางของตัวเองให้ไม่ต้องไปโรงพยาบาลบ้านสมเด็จ ฯ เขาฟังเทปของหลวงพ่อพุทธทาส มีชื่อเรื่องดังนี้คือ ความวิเวกที่ท่านยังไม่รู้จัก , ความเข้มแข็งของชีวิต , สุญญตา , ตายก่อนตาย , ความสุขแท้เมื่อสิ้นสุดแห่งความสุข , อะไร ๆ ในชีวิต สักแต่ว่าเป็นเรื่องของจิตสิ่งเดียว , การตั้งจิตไว้ถูก , อตัมมยตา , ทางแห่งพระนิพพาน , การเวียนว่ายตายเกิดคืออะไร , ความไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นหัวใจของพุทธศาสนา , ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ , ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจัยตา , ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง , ศิลปะแห่งการเป็นอยู่ด้วยจิตว่าง , การฆ่าตัวตายทางวิญญาณ , ผัสสะ , การออกจากสิ่งที่เป็นทุกข์ , การปฏิบัติเพื่อเห็นตถตา , การมีนิพพานในชีวิตประจำวัน , อัตตาที่ท่านยังไม่รู้จักและคู่มือมนุษย์ ซึ่งเป็นชุดมีหลายม้วน





นอกจากนี้ ยังฟังเทปหลวงพ่อปัญญา ผู้เป็นสหายของหลวงพ่อพุทธทาสอีกด้วย คือ เรื่อง การใช้ปัญญาพิจารณาเพื่อปล่อยวาง , ความคิดสร้างทุกสิ่งให้ชีวิต , วิมุติคือจุดหมาย , ไตรลักษณ์หลักพิจารณา , เคล็ดลับในการปฏิบัติธรรม , มองให้เห็นเป็นธรรมดา , เท่านี้ก็ดีแล้ว , เคล็ดลับของความดับทุกข์ , แก้ความงมงานให้หายโง่ , สู้ต่อไปด้วยใจสงบเย็น , อดทนแล้วอยู่ได้สบายดี











 
สีสุราช
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 1:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วันลารู้สึกว่า เสียงจากเทปหลวงพ่อพุทธทาสขรึมขลังดีมีกลิ่นอายของสวนป่า ทำให้เห็นภาพสวนโมกข์ขึ้นมาได้ในใจ ข้อความของท่านต้องขบเคี้ยวเหมือนขบก้อนน้ำแข็ง แต่วันลาก็รู้สึกสนุกดีในการขบเคี้ยวนั้น เหมือนกินแกงเผ็ด น้ำหูน้ำตาไหลแต่ก็ไม่เลิกกิน ยิ่งกินยิ่งอร่อย ส่วนเทปของหลวงพ่อปัญญา ท่านเล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ ด้วยเสียงที่เย็นเหมือนสายน้ำ เย็นฉ่ำชื่นใจ ฟังแล้วสบายใจเพลิดเพลิน





วันลารู้ว่ามีรายละเอียดมากมายที่ต้องใช้เวลาค่อย ๆ ศึกษาเหมือนเดินเข้าไปในป่าใหญ่ ยังมีสมุนไพรรากไม้ มีสัตว์น้อยใหญ่ มีหน้าผา มีน้ำตก ต้องใช้เวลาศึกษาต่อไปอีกยาวนาน แต่วันนี้นาทีนี้เขากำลังแย่หนัก สมองและจิตใจเริ่มนับถอยหลัง เขาต้องการจะออกไปจากพันธนาการทั้งมวลโดยเร็ว





ดังนั้น วันลาจึงปฏิบัติการเฉพาะกิจ เขาเข้าใจในสิ่งที่หลวงพ่อพุทธทาสสอนในเทปและลงมือทำตามทันทีอย่างไม่มัวแต่ตั้งข้อสงสัยให้เนิ่นช้า







ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง – ทำงานวางแผนให้ดีที่สุด คิดให้รอบคอบแล้วทำไปตามแผนงาน แต่เลิกวิตกจริตฟุ้งซ่านล่วงหน้าจนเป็นบ้าเป็นหลัง ถ้าอะไรมันจะเกิดเปลี่ยนแปลง ก็ไม่ต้องกลัวการเปลี่ยนแปลงเพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยง ไม่ต้องยึดไว้ไม่ให้มันเปลี่ยนแปลง มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่ตามมา มันเป็นเช่นนั้นเอง ปล่อยวาง พอมันเป็นปัญหามาแล้ว ก็คิดแก้ไป ไม่ต้องกลัวปัญหา เพราะเป็นธรรมดาของโลกที่จะต้องมีปัญหา ไม่มีอะไรที่ราบรื่นไปชั่วนิรันดร์ ดังนั้น ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญว่าจะแก้ปัญหาอย่างใด แล้วก็แก้ไขไป ถ้าโลกนี้ไม่มีปัญหาเอาเสียเลย บางทีคนเราอาจจะเหงาตาย







วันลาเคยทะเลาะกับแฟนอย่างไม่ยอมแพ้ เจ็บปวดไปด้วยกันทั้งสองคน ตอนนี้วันลาไม่ทะเลาะด้วย อดทนฟังให้แฟนพูดไปข้างเดียวและมีเมตตาให้กับแฟน เห็นใจในความเป็นเพื่อน ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในสังสารวัฏนี้ด้วยกัน ยังต้องทุกข์ทนกับโลกนี้อีกมากมายยาวนาน ทะเลาะกันไปก็เท่านั้น ในที่สุดวันหนึ่งก็ต้องตายจากกันไป ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารให้ยึดไว้ได้ ปล่อยวางจากอัตตา ตัวตนของตัวเองที่เคยรู้สึกว่าใครทำผิดใจไม่ได้ ต้องทำให้ถูกใจเราทุกอย่างจึงจะพอใจ คนอื่นมีหน้าที่ทำให้เราพอใจ ไม่เช่นนั้นจะต้องทะเลาะกัน





วันลาอดทนเงียบไปได้ 2 ครั้ง แฟนก็เลิกทะเลาะด้วย หลังจากนั้นมา ก็เริ่มเห็นใจกัน มีเมตตาต่อกัน และอยู่ร่วมกันด้วยความสุข









 
สีสุราช
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 1:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วันลากับพี่ชาย เคยทะเลาะกันเรื่องที่ดิน ทั้งสองมีบ้านของตัวเองอยู่แล้ว จึงแย่งที่ดินบ้านพ่อแม่ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นของใครดี ทำให้พี่น้องทะเลาะกันเอง สะใภ้พลอยทะเลาะกันด้วย ลูกก็ทะเลาะกัน พ่อแม่ก็เสียใจ ไม่มีความสุขกันทั้งบ้าน





ตอนนี้วันลาเห็นแล้วว่า ไม่มีอะไรต้องยึดมั่นถือมั่น ทรัพย์สมบัติแม้จะเอามาได้ วันหนึ่งก็ต้องตกไปเป็นของคนอื่นอยู่ดี ไม่มีอะไรเป็นของเขาจริง บ้านที่เขาอยู่ปัจจุบันเขาก็หามาเอง วันหนึ่งก็จะตกเป็นของลูก แต่ก็ไม่แน่ โตขึ้นลูกอาจจะหาได้เอง ภูมิใจที่มีของเขาเองก็ได้ สิ่งที่เขาควรให้ลูกคือ การศึกษาและสอนให้เป็นคนดีมากกว่า เขาไม่อาจกำหนดได้ว่า ลูกจะต้องมารับมรดกบ้านของเขา แม้ว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม แต่มันก็ไม่แน่ มันไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง เขาควรคิดล่วงหน้า วางแผนล่วงหน้าเพื่อลูกก็จริง แต่เขาจะต้องไม่ไปพะวงไปในอนาคต ว่ามันจะต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้ กรรม ต่างหากเป็นผู้วางแผนที่แท้จริง





เขาบอกพี่ชายว่า ถ้าต้องการที่ดินนั้นจริง ก็ให้ เอาไปเถอะ ทั้งสองก็เลิกทะเลาะกัน สะใภ้ก็เลิกทะเลาะกันด้วย ลูกก็เลิกทะเลาะกันด้วย พ่อแม่ก็ดีใจ วันลารู้สึกสบายใจที่ชีวิตมีความสุขไม่ต้องทะเลาะกับใคร





พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ โลกทะเลาะกับเรา แต่เราไม่ทะเลาะกับโลก “





เพื่อนบอกว่า การยอมแพ้ทำให้เสียที่ดินไป แต่วันลาไม่ได้รู้สึกว่าเขายอมแพ้ กลับรู้สึกว่าเขาชนะความโลภของตัวเองได้ เขาได้อะไรหลายอย่าง ได้ครอบครัวที่มีความสุข ได้ลดอัตตาตัวตนของตัวเองลง ได้เป็นคนมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อพี่น้อง ได้มีเมตตาอยากให้คนอื่นเป็นสุข ได้มีกรุณาให้คนอื่นพ้นทุกข์ รวมทั้งตัววันลาเองด้วย รวมทั้งตัววันลาเองด้วย ได้มองเห็นความหลงของตัวเองที่เคยหลงยึดว่า ถ้าได้ที่ดินมาแล้วก็จะมีความสุข ตอนนี้เขาพบแล้วแม้จะไม่ได้ที่ดินมาเขาก็มีความสุขได้





วันลาเคยเครียดกับหนี้สินจำนวนมากมาย เฝ้าแต่คิดวนไปมาว่าเหน็ดเหนื่อยกับการใช้หนี้ และใช้ได้หมดเมื่อใด ยิ่งคิดวนก็ยิ่งเหนื่อย และเห็นหมดหนทาง





หลวงพ่อสอนให้ปล่อยวาง วันลาก็วางทันที แต่การวางก็ไม่ใช่วางได้ขาดแบบพระอรหันต์ แต่ก็คอยมีสติ เมื่อความคิดโผล่เข้ามา ก็รู้ทัน เหมือนเมื่อมีใครเอาก้อนหินมาใส่มือ เราก็วาง เอามาใส่มืออีก เราก็วางอีก เมื่อก่อนพอความคิดเข้ามาก็กอดไว้







เดี๋ยวนี้วันลาเลิกคิด คิดว่าทำงานไปใช้หนี้ไป หมดเมื่อใดก็เมื่อนั้น วันหนึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามกฎอนิจจังไม่เที่ยงการค้าอาจดีขึ้น หรือมีโอกาสใหม่ ๆ ให้หนี้จบเร็วกว่าที่คิดก็เป็นไปได้ การมานั่งคิดวนไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เราคงเคยติดหนี้เขามาแต่ชาติก่อน ก็ได้ใช้คืนเขาไปก็แล้วกัน มันคงเคยเป็นกรรมที่เราเคยก่อไว้ ตอนนี้เราต้องทำใจยอมรับผลกรรมของเราที่เคยทำไว้ เมื่อคิดได้ดังนี้ ก็ปลงใจได้ สบายใจ





เดี๋ยวนี้วันลาคิดว่าชื่อของเขา แปลว่าลาจากความทุกข์ เขาเริ่มชอบความหมายใหม่ของชื่อเขาเองมากขึ้นทุกวัน









 
บ้านยาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 1:15 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไปไม่ถึงธรรมะ




รุ้งตวัด มีงานยุ่งเป็นยุงตีกันทุกวัน เจอหน้าจันทร์เฉยก็จะบ่นให้ฟังถึงความเหน็ดเหนื่อย จันทร์เฉยบอกว่าให้ฝึกธรรมะสิใจจะได้รู้สึกไม่ยุ่ง รุ้งตวัดส่ายหน้า





“ เอาไว้เกษียณก่อนค่อยไป ตอนนี้ไปไม่ไหวมันยุ่ง ไม่ว่างเลย “





จันทร์เฉย ตอบว่า “ อ๋อ ถ้าเกษียณแล้ว ไม่ต้องไปหรอก ว่างงานแล้วไม่มีเรื่องยุ่ง ก็ไม่มีปัญหา แล้วจะไปทำไม “





“ อ้าว ก็ไปฟังเทศน์ “





“ ไปหลับนะซี แก่ป่านนั้นแล้ว แล้วจะฟังเทศน์เอามาใช้อะไร ในเมื่อเกษียณแล้ว ธรรมะเหมือนข้าว เอาไว้กินตอนหิว ไม่ได้เอาไว้กินตอนนอน “





รุ้งตวัดงงไปหัวเราะไป พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง จันทร์เฉยจึงบอกว่า





“ ธรรมะเป็นข้อคิด ข้อแนะ เมื่อมีปัญหาที่เกิดขึ้นกับเราแล้วทำให้ใจเราเป็นทุกข์ ธรรมะช่วยให้หายทุกข์ใจ เราทุกข์ใจก็เวลาเราทำงาน แก่อยู่กับบ้าน ไม่ค่อยทุกข์อะไรหรอก มีแต่ฟุ้งซ่านไปเอง ฟังเทศน์ก็หลับเพราะแก่ ไม่ได้ประโยชน์อะไร “





“ ก็ไปทำบุญ “ รุ้งตวัดหลบซ้าย





“ ทำบุญ ทำไมไม่ทำตอนนี้ ทำตอนนี้จะได้ทำมากกว่าตอนโน้นตั้งหลายสิบปี ไม่กลัวได้บุญน้อยเหรอ “





“ ไม่กลัว ทำทุกวันเดี๋ยวก็เยอะเอง “ รุ้งตวัดหลบขวา





“ แล้วถ้าเกิดตายก่อนล่ะ “





“ เออ เอาไว้ชาติหน้าก็ทำได้ “ จันทร์เฉยหัวเราะกลิ้งกับคำตอบนั้น





จันทร์เฉยเคยได้ยิน คุณอาเล่าให้ฟังว่า คนบางคนไม่ถึงเวลา บางทีแม้แต่เจ้ายังไม่ยอมให้ไหว้ คิดจะไปไหว้เจ้า เดี๋ยวก็มีธุระพออีกวันจะไป ก็มีคนพาไปที่อื่น อีกวันพยายามจะไป ไปถึงเย็น เขาปิดประตูพอดี ไม่ได้ไหว้เจ้า





คนบางคนยังไม่ถึงเวลาฟังธรรม แสดงว่ามีกรรมต้องใช้ต่อไป มีมารมาบังธรรม ศัพท์ท่านว่าอย่างนั้น เอาหนังสือไปให้อ่านก็เอาไปเลี้ยงปลวก แบบนี้บางทีต้องนึกถึงคำพระท่านว่า “ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม “ ต้องเอาอุเบกขาเข้าข่ม







 
บ้านยาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 1:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต่างกรรมต่างวาระ






ดังที่เกริ่นไว้ในตอนต้นแล้วว่า ธรรมเหมือนยาในตู้ที่ต้องเลือกใช้ในวาระต่างกัน จุดประสงค์ต่างกัน วันนี้ปวดท้องกินยาแก้ปวดท้อง วันต่อมาปวดหัวก็กินยาแก้ปวดหัว บางคนอยู่ว่าง ๆ ชอบเอายาแก้ปวดท้องมาบดรวมกับยาแก้ปวดหัว แล้วก็นั่งมองพยายามคิดเพื่อให้ปวดหัว





ระรวย นั่งมองดูขนมหยิบ ด้วยสายตาอุเบกขา เมื่อขนมหยิบบอกว่า ระรวยสอนอะไรไม่รู้เรื่อง เมื่อกี้ก็บอกว่า “ ตัวตนไม่มี มีแต่ธาตุ 4 “ ตอนนี้ก็มาบอกว่า “ ตนเป็นที่พึ่งของตน “ ก็ไหนว่าไม่มีตัวตน แล้วจะพึ่งได้ยังไงเล่า





“ มันคนละเรื่องกัน “ ระรวยพยายามอธิบาย “ ในเวลาที่ขนมหยิบเดือดร้อน ขนมหยิบต้องคิดช่วยเหลือตัวเองก่อน อย่ามัวแต่ไปรอคนอื่นมาช่วย ตัวเราเองนั่นแหละต้องช่วยตัวเอง เป็นที่พึ่งของตัวเอง หรืออย่างเวลาไปสอบก็ต้องดูหนังสือเองอ่านเอง แล้วไปสอบ จะไปหวังพึ่งคนอื่นไม่ได้ อันนี้เหมือนกับยาแก้ปวดท้อง ใช้กินเวลาปวดท้องเท่านั้น “





“ ส่วนเรื่องตัวตนไม่มี มีแต่ธาตุ 4 ท่านหมายถึง เราประกอบด้วยธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ได้มีตัวตน แต่เป็นองค์ประกอบของสิ่งที่มารวมกัน ถ้าเราตาย ร่างกายเราก็คือดินก็สลายไป น้ำในร่างกายก็เหือดแห้งไป ลมหายใจก็ไม่มี ไฟคือความร้อนในร่างกายก็ไม่มี เราก็หายไป ไม่มีไปด้วย เขาเอาไว้มองชีวิตในมุมกว้าง ให้รู้จักตัวเราเองว่าเป็นยังไง จุดประสงค์เพื่อจะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับตัวเรานี้นักหนา อันนี้เหมือนยาแก้ปวดหัว ใช้กินเวลาปวดหัวอย่างเดียว “





ขนมหยิบพยักหน้าหงึกหงัก แต่ยังหน้างอ ระรวยจึงบอกว่า “ ถ้าเราจะเปลี่ยนคำว่า “ ตนเป็นที่พึ่งของตน “ ให้ขนมหยิบ เอาเป็นว่า “ ข้าพเจ้าเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า “ ก็ค่อยยังชั่วขึ้นไหม ส่วนอีกอันก็แบบหลวงพ่อพุทธทาสว่าเลยง่าย ๆ “ ตัวxxx ของxxx “ อย่างนี้ขนมหยิบจะได้ไม่งง ที่เรียกว่า

“ ตน “ เหมือนกัน ดีไหม “







 
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2004, 7:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

[colow=blue]จากหนังสือ ธรรมะรอบกองไฟ โดย ขวัญ เพียงหทัย








 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
rr
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2005, 7:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



ไฟล์ชนิด '' ถูกปิดไว้โดยผู้ดูแล จึงไม่สามารถแสดงให้ดูได้


 
เว็บมาสเตอร์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2005, 7:15 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน





เอาออกไม่ได้หรอกครับ



 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง