Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ...เกิดดับ... (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2008, 3:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย
ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ
อันเป็นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาแล้ว
ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี
เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวันอาทิตย์ก่อนไม่ได้แสดงปาฐกถาให้ญาติโยมฟัง
เพราะว่าเสียงมันแห้งไป ก็เนื่องจากใช้มันมากไปหน่อย
ญาติโยมที่มาฟังก็พลาดไป ได้ฟังองค์อื่นก็เหมือนกัน
ท่านก็เทศน์ธรรมะให้เราทั้งหลายฟังเช่นเดียวกัน
วันนี้คอเป็นปกติ แล้วก็มาพูดกับญาติโยมทั้งหลายต่อไป
ตามหน้าที่ของผู้ชี้ทางบรรเทาทุกข์ชี้ทางสุขเกษมสานต์
ให้แก่ญาติโยมทั้งหลาย
แต่ว่าพระนี่ทำหน้าที่แต่ผู้ชี้ทาง
ส่วนการเดินทางนั้นเป็นหน้าที่ของเราทุกคน
ที่จะต้องเดินด้วยตัวของเราเอง
คือ การปฏิบัติเป็นหน้าที่ของเรา
ผู้อื่นเป็นแต่เพียงผู้บอกทางให้เรารู้ทาง
เมื่อรู้ทางแล้วก็อย่าไปยืนอยู่ปากทางเฉยๆ
แต่ต้องเดินไปข้างหน้า เพื่อให้ถึงจุดหมาย
คือ ความสงบ ทางด้านจิตใจต่อไป


อันเรื่องธรรมะ เป็นเรื่องที่เราควรจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา
คล้ายๆ กับยาแก้โรคภัยไข้เจ็บ
เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ว่าเป็นโรคอะไร ขนาดไหน
เราก็ไปหาหมอเพื่อให้ตรวจเช็คร่างกาย
เมื่อหมอตรวจเสร็จแล้วก็รู้ว่า มีความบกพร่องด้วยเรื่องอะไร
ไม่สบายด้วยเรื่องอะไร เราก็ต้องหายามารับประทาน แก้โรคนั้นต่อไป
อันหมอนั้นมีหน้าที่ตรวจโรค แล้วก็แจกยาให้แก่พวกเราทั้งหลาย
เราทั้งหลายจะต้องเอายานั้นไปรับประทาน
การรับประทานก็ต้องรับประทานให้ถูกกับที่หมอสั่งไว้
แล้วคอยสังเกตดูอาการ ว่าโรคที่เราเป็นนั้น
เมื่อได้รับประทานยาชนิดนั้นเข้าไปแล้ว
มันเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือไม่หรือว่าคงที่อยู่
ถ้าหากว่าดีขึ้นแสดงว่า ยานั้นชนะโรค โรคภัยพ่ายแพ้ไป
แต่ถ้าว่าไม่ดีขึ้นก็แสดงว่า โรคยังเก่งอยู่
ยายังไม่สามารถจะปราบมันได้ ก็ต้องไปปรึกษาหมอต่อไป
เพื่อให้จัดยาใหม่ เพื่อให้โรคนั้นหายไปตามที่เราต้องการฉันใด

ในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเรานี้ก็เหมือนกัน
เราทุกคนมีชีวิตอยู่ในโลก
ชีวิตกับความทุกข์นี้ดูเหมือนว่า
จะเป็นของที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ทุกข์นี่เป็นสัจจะ
หมายความว่า เป็นความจริงเป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ตลอดเวลา
มีพระพุทธภาษิตบทหนึ่งตรัสว่า
ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่
ทุกข์เท่านั้นดับไป นอกจากทุกข์หามีอะไรไม่
ชีวิตจิตใจของเรานั้นมีเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์อยู่ตลอดเวลา
เกิดดับ เกิดดับ อยู่ในชีวิตของเรา
แต่ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้น เป็นเรื่องที่แก้ได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าของชาวเราทั้งหลาย
เป็นผู้ค้นพบวิธีการแก้ทุกข์เป็นคนแรก
แล้วก็ใช้วิธีนั้นเยียวยาพระองค์เอง
จนพระองค์หลุดพ้นไปจากความทุกข์ความเดือดร้อนอย่างเด็ดขาด
ไม่มีความทุกข์ยากลำบากใจเกิดขึ้นในใจต่อไป
พระองค์มีพระกรุณาอันยิ่งใหญ่ต่อชาวโลกทั้งหลาย
เห็นว่า ชาวโลกยังเวียนว่ายอยู่ในกระแสของความทุกข์
จึงได้นำธรรมะนั้นมาประกาศให้เราทั้งหลายได้ปรึกษา
ได้นำไปปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตของเราต่อไป

ถ้าเรารู้ตัวว่า ชีวิตนี้ มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ
เราก็ต้องหันหน้าเข้าหาธรรมะ เพื่อหาธรรมไปแก้ไขปัญหาเหล่านั้น
ทีนี่ตามปกติคนเราไม่ได้เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา
ที่เป็นทุกข์เกิดขึ้นนั้นก็เพราะ ความคิดผิดในเรื่องเกี่ยวกับชีวิต
ในเรื่องเกี่ยวกับความคิดนึกจิตใจของเรา
เมื่อใดเราคิดผิดไป เราก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
คือว่า การที่คิดผิดนั้นก็เพราะอำนาจอวิชชา
ความไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับชีวิต
ในเรื่องปัญหาเหล่านั้น ความทุกข์อาจเกิดแทรกแซงขึ้นได้
แต่ว่าความทุกข์มันก็เป็นสิ่งไม่เที่ยงเหมือนกัน
ไม่ใช่ว่าเป็นของเที่ยงแท้ถาวรคงทนอยู่อย่างนั้นตลอดไป
อะไรๆ มันเกิดขึ้นนั้น มันอยู่ในสภาพที่เรียกว่า
เกิดดับ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่ญาติโยมควรจะได้กำหนดไว้ในใจ
ยึดเป็นหลักสำหรับที่จะได้แก้ไขปัญหาอะไรต่างๆ
ให้รู้ไว้ว่าอะไรทั้งหลายนั้น มันไม่ได้คงที่อยู่อย่างนั้นตลอดไป
แต่ว่ามันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
ความทุกข์ก็เกิดดับ เกิดดับ-ความสุขก็เกิดดับเกิดดับ
อะไรๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น
มันเป็นเรื่องเกิดดับเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
แต่ว่าถ้ามีเหตุปัจจัยเครื่องส่งเสริม การเกิดนั้นก็เกิดง่ายมาก
แล้วก็ดับอยู่เหมือนกัน เกิดดับเกิดดับ
ความเกิดดับของสิ่งทั้งหลายนั้น มันชั่วขณะเดียวเท่านั้น
ชั่วขณะหายใจเข้าหายใจออกเท่านั้นเอง
แล้วมันก็ดับไปก่อน แต่มันเกิดอีก
ทำไมจึงได้เกิดขึ้นมาอีก
ก็เพราะว่าเราเอาใจเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นในทางที่ผิด
เราไปยึดสิ่งนั้นไว้ ไปคิดในเรื่องนั้นโดยไม่ถูกต้อง
เราก็มีความทุกข์ติดต่อเรื่อยๆ กันไป


สาธุ สาธุ สาธุ
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 20 พ.ค.2008, 4:06 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2008, 3:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตัวอย่าง เช่นว่าเรากลุ้มใจ
ความกลุ้มใจนั้นก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
แต่ว่าเราก็ยังกลุ้มอยู่ตลอดเวลา
ที่เรากลุ้มนั้นก็เพราะว่า เราใส่เชื้อแห่งความกลุ้ม
เข้าไปในความคิดของเรา คล้ายกับไฟที่มันไหม้เชื้อ
เมื่อมีเชื้อให้ไหม้ไฟก็ลุกโพลงเรื่อยไป ไม่รู้จักดับไม่รู้จักสิ้น
แต่ถ้าหมดเชื้อเมื่อใด ไฟมันก็ดับลงเมื่อนั้น
แต่ถ้ายังมีเชื้ออยู่ไฟก็ไม่ดับ
คนที่หมั่นใส่เชื้อเพลิง ไฟก็ลุกโหมอยู่ตลอดเวลาฉันใด
ในจิตใจของเรานี้ก็เหมือนกัน
ถ้าเราเพิ่มเชื้อให้แก่ความทุกข์ ให้แก่ความกลุ้มใจอะไรก็ตาม
สิ่งนั้นก็เกิดเรื่อยไป ไม่รู้จักจบสิ้น
เช่นว่าความกลุ้มใจเกิดขึ้น เพราะว่าเราคิดในแง่ที่ให้เกิดความกลุ้มใจ
ความโกรธ ก็คิดในแง่ที่ให้เกิดความโกรธ
ความเกลียด ก็เพราะคิดในแง่ที่ให้เกิดความเกลียด
ความริษยาเกิดขึ้นในใจ ก็เพราะความคิดในแง่ริษยา
แล้วมันก็เชื้อคือ อารมณ์ที่เราใส่ลงไปนั่นแหละ
มันก็ลุกโพลงๆ อยู่ในใจของเรา
เผาใจของเราให้เร่าร้อนอยู่ด้วยปัญหาอย่างนั้นตลอดเวลา
ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น เพราะว่าเราไม่รู้จักตัดต้นเหตุ

พระพุทธเจ้าท่านชี้ไว้ชัดในเรื่องนี่ว่า
สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ไม่มีเหตุผลจะเกิดขึ้นไม่ได้
แต่บางทีเราก็ลืมไปถึงหลักความจริงข้อนี้
ไม่ได้เอาหลักความจริงข้อนี้มาใช้เป็นหลักในการปฏิบัติ แก้ไขปัญหา


เช่น มีอะไรเกิดขึ้นเราก็ไม่ได้คิดนึกตรึกตรอง
เพื่อจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้น
เราปล่อยให้ใจของเรามีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนตลอดเวลา
ไม่คิดแก้ไม่สะสาง เราก็มีความทุกข์เรื่อยไป
เพราะฉะนั้นในการแก้ไขปัญหาชีวิต
คือ ความทุกข์ความเดือดร้อนนี้
เราต้องใช้ธรรมะเป็นเครื่องประกอบ เอาธรรมะเข้าไปแก้
บางที มันมีเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
แล้วเราก็มีความไม่สบายใจด้วยปัญหานั้นๆ

ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ เช่นว่า เราต้องสูญเสียอะไรบางอย่าง
ในชีวิตของเราไป จะเป็นบุคคลก็ตาม
จะเป็นวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ไม้สอยก็ตาม
เวลาสิ่งนั้นสูญหายไป เราก็มีความระทมตรมตรอมใจ
มีความทุกข์อยู่ในใจตลอดเวลา ไม่สบายไม่อยากจะพูดกับใคร
เรานั่งคนเดียว ปล่อยจิตปล่อยใจไปตามอารมณ์
อันเป็นเหตุที่จะให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนใจเท่านั้น
ไม่พยายามเปลี่ยนความคิด ไม่พยายามวิเคราะห์วิจัยตัวปัญหา
ที่มันเกิดขึ้นในใจของเราว่า มันคืออะไร
ทำไมมันจึงทำให้เรามีความคิดอย่างนั้นมีความคิดอย่างนี้
เราไม่วิเคราะห์วิจัยในเรื่องนั้น
การไม่วิเคราะห์วิจัยนั้นแหละเรียกว่า ไม่ใช้ปัญญา
เป็นเครื่องพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
พระพุทธเจ้า ท่านสอนไว้ชัดในเรื่องนี้
ท่านบอกว่า เมื่อใดมีอะไรเกิดขึ้นในใจของเรา
จงใช้ปัญญาเพ่งพินิจในเรื่องนั้น
เพ่งพินิจหมายความว่าดูอย่างละเอียด ดูอย่างรอบคอบ ดูให้มันลึกซึ้ง
เพื่อจะให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และเราจะแก้ไขสิ่งนั้นอย่างไร
ตามปกติคนเราทั่วๆ ไปนั้น ไม่ค่อยจะได้ใช้สิ่งนี้
ที่ไม่ได้ใช้นั้นเพราะอะไร เพราะว่าไม่เคยใช้ เลยก็ใช้ไม่เป็น
แต่ถ้าหัดใช้บ่อยๆ ก็เคยชินเป็นนิสัย
แล้วเราก็จะหยิบเอาปัญหาขึ้นมาวินิจฉัยได้ง่ายขึ้น
จึงอยากขอแนะนำญาติโยมทั้งหลายว่า
เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นเราต้องหมั่นคิด
แต่ว่าการคิดนั้น อย่าคิดในแง่ที่ให้เกิดความกลุ้มใจ
ในแง่ที่ให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ
เราต้องคิดในแง่ที่ว่าความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร
ความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร มันเกิดจากอะไรมันอาศัยอะไร
แล้วเมื่อสิ่งนั้นมาอยู่ในใจของเรานั้น
สภาพจิตใจของเราเป็นอย่างไร
มีความทุกข์มีความเบาใจมีความสุขใจ
ร้อนใจ เย็นใจ หรือว่าสงบใจอย่างไร
เป็นเรื่องที่จะต้องเพ่งลงไปพิจารณาลงไป
ให้เข้าใจเรื่องนั้นชัดเจนถูกต้อง
ถ้าเราพิจารณาอย่างนี้ ความแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นก็จะเกิดขึ้น
แล้วการพิจารณาอย่างนี้นี่แหละเรียกว่า ทำวิปัสสนา
วิปัสสนาก็คือ การคิดการค้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องปัญหาชีวิต
คือ ความทุกข์ความเดือดร้อนนั่นเอง
เราก็ยกสิ่งนั้นมาพิจารณาเพื่อแก้ไขต่อไป


สาธุ สาธุ สาธุ
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 20 พ.ค.2008, 4:05 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2008, 3:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตัวอย่างเช่นว่าในครอบครัวของเรา
มีคนที่เราเคารพบูชาสักการะอย่างสูงสุด
ผู้ที่เราเคารพก็คือ บิดามารดาของเรานั่นเอง
เพราะว่าท่านเกิดเรามาท่านเลี้ยงเรามา
ท่านอุปถัมภ์ค้ำชูเรามาทุกสิ่งทุกประการ
เรามองท่านทั้งสองนั้นว่าเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ที่ให้ความสุขใจเย็นใจแก่เรา
ทีนี้ความคิดอันหนึ่งเกิดขึ้นในใจของเรา เรียกว่า ฝืนธรรมชาติธรรมดา
ความคิดที่ว่า ไม่อยากให้ท่านจากเราไป
อยากให้ท่านอยู่กับเราตลอดไป
ความคิดอย่างนี้อาจเกิดขึ้นแก่ใครๆ ก็ได้
เมื่อเรามีความรักเคารพในสิ่งนั้น เช่น เรามีความรักในมารดาบิดา
เราก็มีความคิดอยู่ ว่าขออย่าให้ท่านไปจากเราเลย
ขอให้ท่านอยู่กับเราตลอดไป
ความคิดอันนี้แหละความคิดที่เป็นไปได้หรือไม่ อยู่ในวิสัยหรือไม่
ก็อยากจะตอบว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่อยู่ในวิสัยที่จะเป็นไปอย่างนั้น
เพราะความคิดในรูปนั้นเป็นการฝืนกฎธรรมดาฝืนธรรมชาติ
สิ่งทั้งหลายมีเกิดแล้วก็มีดับเป็นธรรมดา ไม่ว่าของอะไรก็ตาม
มันมีสามขณะเท่านั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สามขณะอย่างนี้หนีไม่พ้น
ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เป็นอะไรก็ตาม
แม้ความคิดที่เกิดขึ้นในใจของเรา มันก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปทั้งนั้น
สามขณะเท่านั้น สามจุดเท่านั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เวียนกันอยู่เป็นสังสารวัฏฏ์ ในจิตใจของเราอยู่ตลอดเวลา
อะไรๆ นั้นมันก็มีความเป็นอยู่ในรูปอย่างน

ทีนี้มนุษย์ เรานี่มักจะฝืนธรรมชาติ
ไม่คล้อยตามธรรมชาติในเรื่องธรรมชาติที่มันแน่นอนที่สุด ที่จะต้องเป็น
เราก็ไปคิดว่า ขอให้ท่านมีชีวิตอยู่โลกนานๆ
แม้จะแก่ชราเท่าใดก็ไม่อยากให้ท่านจากไป ให้อยู่ได้เห็นหน้ากัน
แล้วก็รู้สึกว่าอุ่นอกอุ่นใจ มีความสบายใจ
นี่คือความคิดธรรมดาสามัญทั่วไปในมนุษย์เราทั้งหลาย
เราไม่เคยคิดในแง่ความจริงในสิ่งนั้น
คือ ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ที่ท่านจะไม่อยู่กับเราตลอดไป
วันหนึ่งท่านก็จะจากเราไป
เพราะสังขารร่างกายนี่มันเปลี่ยนแปลง ชรา ชำรุดทรุดโทรม
ร่างกายของมนุษย์นี่เปลี่ยนแปลงทุกลมหายใจเข้าออก
หายใจเข้าก็เปลี่ยนหายใจออกก็เปลี่ยน
เปลี่ยนไปสู่ความแตกดับทั้งนั้น
ไม่มีร่างกายของคนใดที่จะคงทนถาวร อยู่ได้ตลอดกาลนาน
มีความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แล้วผลที่สุดแตกดับไป
นั่นเป็นเรื่องของธรรมชาติ
แม้ไม่มีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียน
มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องอย่างนั้น
แล้วก็ต้องแตกดับไปตามเรื่องอย่างนั้น
แต่ว่า มันไม่ได้เป็นเพียงเท่านั้น
กฎธรรมชาติมันมีอยู่แล้ว คือ การไหลเวียน เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
แต่ว่ายังมีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียนร่างกายอยู่ตลอดเวลา
พระพุทธะเจ้าว่า โรคนิทฺธํ ร่างกายนี้ เป็นเรือนโรค
เป็นที่อาศัยของโรคนานาชนิด
ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นมันเป็นตัวจุลินทรีย์ตัวเล็กๆ
ลอยฟ่องอยู่ในอากาศ หายใจเข้าไปทางจมูกบ้าง
ติดเข้าไปกับอาหารบ้าง มาเกาะที่ร่างกายของเรา
แล้วมันเจาะใชชอนเข้าไปในร่างกาย
ไปยึดเอาร่างกายของเราเป็นที่อยู่อาศัย
ร่างกายของมนุษย์นี่เป็นเรือนของโรคแท้ๆ


ในสมัย เป็นเด็กๆ บ้านนอก
ขออภัยเถอะเวลาไปถ่ายมีตัวไส้เดือดขนาดเส้นฟางออกมา
ยาวตั้งคืบเห็นแล้วนึกว่า แหมมันใหญ่เหลือเกิน
มาอยู่ในไส้ของเราได้อย่างไร มันเข้ามาทางไหน
ไม่รู้สาเหตุของเรื่องอยู่มีวันหนึ่ง พวกหมอสาธารณสุขนี่แหละ
เข้าไปที่โรงเรียนแล้วบอกเด็กทุกคนว่า
พรุ่งนี้ให้ถ่ายอุจจาระแล้วใส่ตลับนี้มา
แจกตลับคนละใบๆ เราก็เอาไปบ้าน
ไปถึงรุ่งเช้าถ่ายก็เอาใส่ตลับมานิดหน่อย
ห่อกระดาษเรียบร้อนเซ็นชื่อไว้เหนือตลับ เอามาให้เขาตรวจ
เจ้าหน้าที่ตรวจด้วยกล้องจุลทัศน์
แล้วก็บอกว่าแหมในท้องของเธอนี่ มันเยอะแยะมีพยาธิแส้ม้า
พยาธิปากขอ พยาธิอะไรๆ มากมาย
เราไม่รู้เพราะว่า เราเป็นเด็ก หมอเขาบอกอย่างนั้นก็ไม่เชื่อหรอก
แหมมันอยู่อย่างไรมากมายอย่างนั้น
บอกว่าพรุ่งนี้แหละฉันจะเอาออกมาให้พวกเธอดูว่า มันอยู่เท่าไหร่
เลยเขาให้ทานยาชนิดที่ทำลายพยาธิ
เสร็จแล้วสักชั่วโมงกว่าๆ ต้มน้ำดีเกลือขึ้นเป็นปี๊ปเลย
นักเรียนเข้าแถวเข้า ให้กินน้ำดีเกลือขมๆ หน้าบูดเบี้ยวไปตามๆ กัน
เสร็จแล้วก็ให้นั่งพักไปตามเรื่อง ไม่เท่าใดก็เริ่มแล้ว
เจ้าพวกนั้นออกมาต้วมเตี้ยมออกมาแล้ว
พวกเราก็เห็นว่า พุทโธ่ แหม ในไส้เรานี่เหลือเกิน
นี่แหละจึงกินข้าวแล้วไม่อ้วนไม่พีกับเขา
อาหารพวกนั้นแย่งเขาไปกินหมดเลยจนเขาพูดว่า
แหม มันหิวจนไส้เดือนตัวหัวปีมันตายไปแล้ว
ไส้เดือนมันมีอย่างนั้น มันอยู่ในท้องในไส้ของเรา
มันเป็นตัวใหญ่ๆ ที่เรามองเห็น
ตัวเล็กๆที่มองไม่เห็นไปเที่ยวแอบอยู่ในตับใตใส้พุง
ตรงนั้นตรงนี้อะไรต่างๆ มีมากมาย


สาธุ สาธุ สาธุ
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 20 พ.ค.2008, 4:03 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2008, 3:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วอีกอย่างหนึ่ง มนุษย์เราในสังคมปัจจุบันนี้เจริญในทางวัตถุ
เรื่องของวัตถุที่เจริญนี่เป็นพิษเป็นภัย ก็ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน
ทำให้เราต้องสูดอะไรๆเข้าไปในตัว สูดควันพิษเข้าไปบ้าง
เขามียุงมากัดก็ใช้ผงดี ดี ที ที่ฉีดกันยุง มันไม่ใช่ยุงที่เดือดร้อน
กรรมสนองกรรมเราก็เดือดร้อนกับยุงไปด้วยเหมือนกัน
เพราะสูดเอาผง ดี ดี ที เข้าไป
เดี๋ยวนี้ปลูกผักปลูกพืชเพื่อให้มันโตไวๆ ใช้ยาฉีดกันทั้งนั้น
แล้วยาก็ติดอยู่ในพืชในผักเหล่านั้น
เราก็รับประทานเข้าไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เชื้อโรคมันก็ติดเข้าไปบ้าง
สิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยก็ติดเข้าไปในร่างกายบ้าง
แล้วก็เกิดทุกข์เกิดโทษแก่ร่างกาย เป็นโรคมะเร็งอะไรขึ้นมา
วันนั้นไปเทศน์งานศพแห่งหนึ่ง เป็นโรคมะเร็งตาย
ลูกของคนที่ตายบอกว่า คุณแม่นี่ชอบกินปลาเค็ม
หมอเขาว่า กินปลาเค็มนี่เป็นโรคมะเร็ง
กินปลาเค็มเป็นโรคมะเร็ง นี่คนไทยต้องเป็นกันใหญ่
เพราะว่าชอบกินปลาเค็มกันทั้งนั้น
กินปลาเค็มกับข้าวต้ม อะไรต่ออะไรเขาบอกว่ามันมีเชื้อรา
เอาไปทำให้สุกแล้วก็ไม่ตาย เลยเข้าไปในท้องเป็นอันตราย
ถ้าฟังเรื่องเกี่ยวกับสุขวิทยาอนามัยที่เขาแถลงแล้ว
มนุษย์นี่จะอยู่ไม่ได้แล้วในสมัยนี้ รถติดแอร์ก็อันตรายแล้ว
วันก่อนหนังสือพิมพ์เขาว่าอย่างนั้น ไอ้โน่นก็อันตรายไอ้นี่ก็อันตราย
ผลที่สุดเราก็จะต้องกลัวกันใหญ่ มันจะตายกันทั้งนั้น
อย่างนี้เป็นตัวอย่าง อันตรายมันมีรอบข้างแก่ชีวิตของเรา

เพราะฉะนั้น คนที่เรารักเรานับถืออย่างไร ท่านก็ต้องจากเราไป
ถ้าเรามาคิดในแง่ว่า ท่านเกิดก่อนเรา ท่านมีชีวิตมาก่อนเรา
ท่านก็ต้องไปก่อนเราเป็นเรื่องธรรมดา ตามคิว
แต่ว่าบางทีก็ลัดคิวบ้าง เหมือนกันคุณแม่ยังไม่ไป ลูกไปก่อน
อย่างนี้เขาเรียกว่า ลัดคิว
ถ้าไปตามคิวก็ คุณแม่คุณพ่อก็ไปก่อน
แล้วพี่คนหัวปีก็ไปเป็นลำดับนั่นตามคิว แต่มันไม่แน่
เพราะอะไรๆมันก็ไม่เที่ยงดังที่กล่าวแล้ว
บางทีก็ลัดคิวไปเยอะแยะ

พี่ยังอยู่น้องไปล่วงหน้าตั้งหลายคนแล้ว ไปรออยู่ข้างหน้าแล้ว
เราก็จะตามไปทีหลัง อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
คนเรามีญาติมากมีมิตรมาก ก็ต้องมีคนตายมากเป็นธรรมดา
เช่นในครอบครัวเรามีหลายคนพี่น้อง
ก็จะพบว่า เดี๋ยวคนนั้นตายเดี๋ยวคนนี้ตาย ตายกันบ่อยๆ
ญาติมากมันก็ต้องตายมาก ต้องป่วยมาก
แล้วก็ต้องมีปัญหามากตลอดเวลา
เขาเล่าว่านางวิสาขามีหลานเยอะแยะ
แล้ววันหนึ่งน้ำตานองหน้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามว่า ทำไมเธอมาวัดด้วยน้ำตานองหน้าอย่างนั้น
นางวิสาขาบอกว่า นัดดาหญิงคนขยันถึงแก่ความตายไป
คือ หลานสาวที่น่ารัก เอางานเอาการช่วยเหลือคุณย่า
ในเรื่องการทำบุญสุนทานมาก แล้วก็มาถึงแก่กรรมก็มีความเสียดาย
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าคนในเมืองสาวัตถี
เป็นหลานของเธอทั้งหมด เธอมิต้องร้องให้วันละยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือ
ถามอย่างนั้น พอถามอย่างนั้นนางวิสาขาก็เป็นคนมีปัญญา
คิดขึ้นมาได้เลยเช็ดน้ำตาแล้วก็ไม่ร้องต่อไป
เพราะคิดว่าคนเมืองสาวัตถีนี้มันตายกันทุกวัน ไม่ใช่ตายแต่หลานเรา
คนอื่นเขาก็ตายเหมือนกัน มันเป็นเรื่องธรรมดา

พระสารีบุตร ปรินิพพานพระอานนท์ก็ร้องเหมือนกัน
เพราะพระอานนท์ยังไม่เป็นพระอริยบุคคล
ร้องให้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์ก็ถามว่า อานนท์ ทำไมเธอจึงร้องไห้
พระอานนท์บอกว่า เสียใจ ที่พระสารีบุตรนิพพานไป
พระองค์ก็ถามว่า พระสารีบุตรนิพพานนี่
พาเอาธรรมขันธ์ไปด้วยหรือเปล่า
พระอานนท์บอกว่า ไม่ได้เอาไป
ก็ไม่ได้เอาธรรมะไป แล้วเธอจะเสียใจอะไร
เพราะร่างกายนี้มันเป็นของไม่เที่ยง
เกิดจากเครื่องปรุงแต่ง เราได้บอกเธอทั้งหลายบ่อยๆ ไม่ใช่หรือว่า
ว่าสิ่งทั้งหลายมีเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องมีความแตกความดับเป็นธรรมดา
อะไรที่เกิดแล้วไม่แตกไม่ดับนั้นจะหาได้ที่ไหน
เมื่อได้ฟังคำปลอบโยนอย่างนั้น
ท่านพระอานนท์ก็เลยหายเศร้าโศก
ที่หายเศร้าโศกนั้นเพราะอะไร เพราะมองเห็นสัจจะธรรม
เห็นธรรมะเห็นความจริงว่า สิ่งทั้งหลายมันก็เป็นอย่างนั้น
เลยคลายจากความทุกข์ความเดือดร้อน
ในชีวิตของเราแต่ละคนนี้ก็เหมือนกัน
เตรียมตัวไว้เถอะว่า เราจะต้องประสพปัญหามากมาย
เรามีคุณปู่ คุณปู่ก็ต้องตายไป คุณย่าก็จะต้องตายไป
แล้วก็จะถึงวาระของเราบ้าง เรานี่ก็ต้องไปเหมือนกัน
ตามเส้นทางที่คนทั้งหลายได้เดินไปแล้ว
หลีกหนีไม่พ้นเรื่องอย่างนี้นึกได้เดินไปแล้ว
หลีกหนีไม่พ้นเรื่องอย่างนี้นึกได้อย่างนี้ใจก็สบาย
พอจะคลายความทุกข์ความเศร้าใจ


สาธุ สาธุ สาธุ
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 20 พ.ค.2008, 4:00 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2008, 3:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทำไม คนเราจึงเสียดายคนที่ตายไป
ไม่ใช่เสียดายเรื่องคนตาย แต่ว่าเราเสียดาย ความงามความดีนั่นเอง
เพราะว่าคนนั้นเป็นผู้มีความดี เรารักความดีเราเสียดายความดี
เราอยากจะให้ความดีอยู่ต่อไป
แต่ถ้าเรามานึกถึงว่าความดีนั้นไม่ได้ตาย ตายแต่คนที่ใช้ความดี
เมื่อคนนั้นตายไปความดีก็ไม่ได้ตาย เราจะไปเสียใจอะไร
เพราะร่างกายนี้เป็นของประสม เป็นของปรุงแต่ง
ที่พระท่านเรียกว่า "สังขาร"
เราสวดมนต์ตอนท้ายว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
สังขารคือ ร่างกายจิตใจ รูปธรรม นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง
เกิดขึ้นแล้วดัลไปเป็นธรรมดา เราว่ากันบ่อยๆ
อย่าเพียงแต่ว่าเฉยๆ ต้องเอามาคิดนึกตรึกเตือนจิตสะกิดใจไว้บ่อยๆ
เพื่อให้เกิดปัญญา แล้วเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเรา
เราจะได้ปลงตกได้ว่า เรื่องธรรมดาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
เราหนีจากสิ่งนี้ไปไม่พ้น จะไปนั่งกลุ้มอกกลุ้มใจเรื่องอะไร
เศร้าโศกเสียใจทำไม ควรจะคิดทำอะไรๆที่เป็นประโยชน์ต่อไป

เช่นคุณพ่อคุณแม่เราถึงแก่กรรมไป
เราก็คิดว่าควรจะทำอะไรเป็นเครื่องสนองบุญคุณของท่านทั้งสองนั้น
อันจะเป็นประโยชน์เป็นความสุขต่อไป
หรือว่าเราควรจะรับสิ่งใดของท่านไว้
สิ่งที่ควรจะรับไว้ก็คือคุณธรรมความงามความดีทั้งหลาย
ที่ท่านได้ทำให้เราเห็น เช่น คุณแม่จากเราไป เราก็นึกว่า
คุณแม่ท่านมีอะไรดีบ้าง เราเอาความดีทั้งหมดนั้นมาใส่ไว้ในตัวของเรา
รักษาไว้ในจิตใจของเรา เรียกว่า เชิญวิญญาณของท่าน
มาใส่ไว้ในใจของเรา รักษาไว้ถ่ายทอดไปถึงลูกเราหลานเราต่อไป
ให้อยู่ในทางนี้เป็นทางดีทางชอบ เป็นทางที่ผู้ใหญ่เดินมาแล้ว
ปลอดภัยมีความสุขความก้าวหน้า ในชีวิตในการงาน
เราสอนลูกสอนหลานต่อไปอย่างนี้
ตระกูลของเราก็จะตั้งมั่นต่อไปไม่หวั่นไหว ไม่ง่อนแง่นโยกโคลง
อันนี้เป็นเรื่องที่เราควรคิดอย่างนั้น คือ คิดให้เห็นว่าธรรมดาเหลือเกิน
เรื่องเกิด เรื่องแก่ เรื่องตาย เรื่องเจ็บ
เรื่องอะไรทั้งหลายนี้ เป็นเรื่องธรรมด๊า ธรรมดา
ที่จะต้องมีเกิด ต้องมีแก่ด้วยกันทั้งนั้น นี่ประการหนึ่ง

ทีนี้อีกประการหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายจิตใจของเรานี้
โดยเฉพาะร่างกาย มันก็ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บเป็นธรรมดา
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราคิดว่า เราต้องมีความแก่เป็นธรรมดา
มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดามีความตายเป็นธรรมดา
ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเราชอบเป็นธรรมดา
เราทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นก็เป็นของเรา
ทำดีเราก็ได้ดี ทำชั่วเราก็ได้ชั่ว
เราหนีจากผลที่เราได้กระทำไว้หาได้ไม่
อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราคิดนึกบ่อยๆ
อย่างน้อยก็วันละครั้ง เพื่อจะเป็นเครื่องเตือนใจไว้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ โรคภัยไข้เจ็บ
อาจจะเกิดขึ้นแก่ใครเมื่อใดก็ได้

อากาศเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวก็เป็นหวัดคัดจมูก
อากาศร้อนรับประทานอาหารไม่ดีเข้าไป
เดี๋ยวลำไส้ ท้องเสีย ระบายท้อง บางทีท้องไม่ระบาย
คนเรานี่มันทุกข์ทั้งนั้น เวลาท้องเดินมากก็เป็นทุกข์ท้องไม่เดินก็เป็นทุกข์
นอนหลับมากไปก็ไม่ค่อยดี มันมากไปหน่อยนอนน้อยไปก็ไม่ค่อยดี
กินข้าวไม่ได้ก็ไม่สบายใจ กินมากไปมันก็เดือดร้อน
เพราะว่าต้องใช้มาก เรื่องมันยุ่งทั้งนั้น คิดดูแล้วมันก็ยุ่งทั้งนั้น
แต่ถ้าเราฉลาดมันก็ไม่ยุ่ง ยุ่งเพราะว่าเราไม่คิดในแง่ที่ถูกต้อง
ก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
เช่นในร่างกายของเรานี้เราไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร
ในท้องในไส้ของเรามันเป็นอะไรก็ไม่รู้
เราไม่ได้เปิดดูว่า มันเป็นอะไร นานๆเดี๋ยวมันปวดตรงนี้ ปวดกันไป
ปวดตุ๊บๆอยู่ในท้อง ปวดแน่ๆ ปวดเสียดแทงอะไรต่างๆ
เราก็ต้องไปหาหมอ หมอก็ตรวจเช็คดูร่างกายว่า ปวดเป็นเพราะอะไร
บางคนก็เป็นเรื่องเล็กเช่นเป็นไส้ติ่ง
ไส้ติ่งนี่เรื่องเล็กหมอผ่าตัดสบายๆ
หมอบอกว่า ผ่าท้องเหมือนกับเปิดประตูหน้าต่าง แล้วก็ปิดเท่านั้นเอง
ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ว่าบางทีเรากลัวไป
แหม เรื่องผ่านี้เรื่องใหญ่เหลือเกิน มันไม่ใหญ่หรอกสมัยนี้เรื่องผ่านี่

มีพระบ้านนอกองค์หนึ่ง มากรุงเทพฯ ท้องไส้ไม่ค่อยดี
หมอบอกว่า ต้องผ่าตัด พอบอกว่า ต้องผ่าตัดเท่านั้น
กลับไปถึงเก็บข้าวของลงกระเป๋ากลับบ้านเลย
อาตมาไปพบ ถามว่า ทำไมมาเสียล่ะ หมอตรวจแล้วว่าอย่างไร
เขาตรวจแล้วว่า จะผ่า ไม่เอาจะผ่าพุงผม มาตายบ้านดีกว่า
ว่าเอ้าเรื่องธรรมดา เดี๋ยวนี้เขาผ่าวันหนึ่งไม่รู้สักกี่คน
หมอชำนาญการผ่าตัดเขาผ่าเฉยๆ ไม่มีเรื่องอะไร
ผ่าเสร็จแล้วเขาเย็บให้เรียบร้อยต่อไป
อย่าว่าผ่าท้องเลยเดี๋ยวนี้เขาผ่าหัวก็ยังได้
ถามว่าผ่าอย่างไรหัว ก็เอาเลื่อยตัดหัว เอ้าแล้วไม่ตายหรือ
ไม่ตายเขาผ่าหัว เป็นโรคเนื้องอกในสมองเขาผ่าดู แล้วก็ตัดเนื้องอกออก
ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ บอกว่า ไม่เอาแล้วเรื่องผ่าๆ ไม่ไหว
แล้วก็ไม่มาก็ไปกินยาอะไรตามบ้านนอกของแกต่อไป
เวลานี้แกก็ยังไม่ตายเหมือนกัน แกยังอยู่ได้นี่มันเป็นอย่างนี้
คนเรามันเป็นอย่างนี้มันกลัวไป ในเรื่องอะไรๆ
เช่นเรื่องผ่านี่ก็น่ากลัวอันตราย เราอย่าคิดให้เป็นเรื่องน่ากลัว
คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ให้ไว้ใจหมดในสมัยนี้
เพราะหมอเดี๋ยวนี้การผ่าตัดเขาชำนาญ
มีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัด หมอเมืองไทยนี่ผ่าตัดเก่งมาก
เก่งกว่าหมดประเทศ ใกล้เคียง
มาลายูคนที่มั่งคั่งยังมารักษาโรคเมืองไทย มารักษาตาเมืองไทย
มาผ่าท้องเมืองไทย เขาไว้ใจว่า หมอไทยนี่เก่ง เก่งกว่าหมอมาลายู
เขาอุตสาห์มารักษาเราอยู่ในเมืองไทยหมอเยอะแยะ เราเลือกได้
จะไปรามาหรือจะไปศิริราช หรือว่าจะไปจุฬาลงกรณ์
แล้วยังเลือกหมอได้อีกว่า จะให้หมอคนไหนผ่าตัด
เราจะเอา คุณหมออุดมหรือ ว่าจะเอาหมออะไร
หมอชั้นดี ไปเลือกได้ แล้วหมอก็ผ่าตัดให้เรา เราต้องเตรียมใจไว้


สาธุ สาธุ สาธุ
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 20 พ.ค.2008, 3:58 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2008, 3:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สมมติว่าเราจะเข้าไปผ่าตัดที่โรงพยาบาล
ต้องเตรียมกายเตรียมใจไว้พร้อม เตรียมใจที่แหละสำคัญ
คือ อย่าวิตกกังวล อย่าหวาดกลัวในเรื่องอะไรๆ
เรื่องหวาดกลัวในเรื่องอะไรๆ นี้ต้องคิดอย่างนี้
คิดว่า เมื่อมันจะเป็นก็ให้มันเป็นเถอะ คิดว่า ยอมมันเสีย
เมื่อมันจะเป็นก็ให้มันเป็นไป เมื่อมันจะตายก็เอาตายไป
เราลองนึกว่า เรานี่เกิดมานานเท่าไหร่แล้ว อยู่ในโลกมากี่ปีแล้ว
คำนวนอายุดูว่า เอมันตั้งเท่านี้แล้ว
แล้วคนที่เกิดหลังเราบางคนก็ตายไปก่อนเราแล้ว
ก่อนเราไม่แปลกที่เกิดหลังเรามันตายไปก่อนเรา
เช่นเรามีเพื่อนมีฝูง เพื่อนฝูงบางคนของเราตายไปแล้วไม่ได้เห็นกันแล้ว
เรายังอยู่ แล้วเราก็ไปรักษา
ถ้าสมมติว่า มันจะมีอันเป็นไปคือ
ร่างกายจะต้องแตกดับไป ก็ไม่มีอะไรที่น่าเสียดาย
เพราะเรานึกว่าเราเกิดมามีอายุป่านนี้แล้ว
ได้ทำอะไรๆ ตามสมควรแก่ฐานะแล้ว
ในฐานะเป็นพลเมืองในชาติในประเทศเราก็ได้ทำอะไรทุกอย่างแล้ว
ในฐานะเป็นคนในตระกูลในครอบครัว
ก็ได้ทำหน้าที่อย่างดี ในครอบครัวแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อย
มันจะเป็นอะไรก็เป็นไปเถอะ นึกอย่างนั้น พอนึกอย่างนั้นใจมันก็สบาย
ไม่มีอะไรนอนบนเตียงเข็นไป
เข้าไปด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสจิตใจสบาย
ให้นึกว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเรา ไม่เที่ยงแท้ แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเขาจะผ่าตัดก็เอาเรื่องของคุณหมอทำไปตามหน้าที่ เขาก็ทำไป
เราก็ทำใจให้สบาย ก่อนที่จะไม่รู้ตัว เพราะว่า เขาวางยาสลบ
เราทำใจสบายแล้วก็ไม่รู้สึกตัวอะไร ทำไปตามเรื่อง
เสร็จแล้วมันก็หมดเรื่องกันในการผ่าตัด
ไม่ต้องวิตกอะไรให้วุ่นวายจิตใจ เราทำใจให้สบาย
ครั้นฟื้นคืนตัวขึ้นมาหมดฤทธิ์ยาที่เขาทำให้สลบ
เราก็ฟื้นขึ้นมา ฟื้นขึ้นมาแล้วก็อย่าคิดอะไรให้มันวุ่นวาย
เพียงแต่รับรู้ว่าร่างกายของเรานี้ถูกผ่าตัดแล้ว
ได้รับการเยียวยาจากหมอแล้ว แล้วเราก็ฟื้นขึ้นมา ไม่เป็นไร
แล้วเราก็ตั้งใจให้ดีๆ ให้สงบสบาย
นอนอยู่บนเตียง ไม่มีอะไรจะทำ เราก็กำหนดกรรมฐาน
เช่นเจริญอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก
ภาวนาพุทโธ พุทธหายใจเข้า โธ หายใจออก
เราไม่คิดเรื่องอะไร อย่างนี้ใจก็สบาย
หรือมิฉะนั้นก็มาคิดว่า ร่างกายของมนุษย์นี้เรื่องมันมาก
ประเดี๋ยวตรงนั้นเป็นอย่างนั้น ประเดี๋ยวตรงนี้เป็นอย่างนี้
ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ก็มันเป็นของประสมปรุงแต่งมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ
เหมือนกับรถยนต์ที่เราใช้ประเดี๋ยวแบตเตอรี่หมด
ประเดี๋ยวอ้ายนั่นเสียอ้ายโน่นเสีย
ใช้รถมา คันหนึ่งๆ ต้องอะไหล่กี่ครั้งกี่หนต้องเปลี่ยนบ่อยๆ
ก็ร่างกายของเรานี้ไม่มีอะไหล่จะเปลี่ยน
ของเก่ามันยังพอใช้ได้ก็ใช้ไปก่อน ดีกว่ามันไม่มีใช้เสียเลย
แต่ว่าถ้ามันจะใช้ไม่ได้ก็เรื่องธรรมดา ร่างมันก็ต้องเป็นอย่างนี้
เรานึกอย่างนี้ใจก็สบาย ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องวิตกทุกข์ร้อน
ให้เกิดปัญหาขึ้นในจิตใจของเรา
อันนี้เราต้องปลง ต้องวางลงไป

ทีนี้ บางทีมันก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นในใจ
คนเรามีเงินมีทองมีข้าวมีของ อาลัยในสิ่งของเหล่านั้น
อาลัยบ้านที่อยู่ อาลัยในเครื่องแต่งเนื้อแต่งตัว
อาลัยในความสุขความสบายที่เราได้รับ
อันนี้พระท่านสอนไว้แล้วว่า
เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเราชอบใจเป็นธรรมดา
อะไรๆ ที่เรามีเราได้ไว้นั้น ให้นึกว่าเป็นของยืมเท่านั้นเอง
เอามาใช้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แล้วเราก็จะจากสิ่งนั้นไป
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นสมบัติของโลก ไม่ใช่สมบัติของเรา
แต่ว่าเราเอามาใช้ตามกรรมวิธี ที่เราได้ประพฤติปฏิบัติ
คือ ทำงาน เราทำงาน เราลงทุน เราใช้สมองใช้ปัญญา
คนใดมีปัญญามาก มีความคิดมาก เขาก็ทำงานได้มาก
คนใดปัญญาน้อย มีความคิดน้อย ก็ทำงานได้น้อย
มนุษย์เรามันไม่เท่ากันหรอก ทำงานไม่เท่ากัน
ผลที่ได้ก็ไม่เท่ากัน มันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนี้
ทีนี้เราได้สิ่งใดมาก็อย่างไปยึดถือในสิ่งนั้นมากเกินไป
ให้นึกๆ แต่เพียงว่าเราได้สิ่งนี้มา
แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ของเราแท้จริง เราได้มาโดยการแลกเปลี่ยน
คือ การปฏิบัติงาน ให้เราใช้ตามหน้าที่
เรามีหน้าที่ใช้ แต่ไม่มีหน้าที่ไปยึดถือในสิ่งเหล่านั้น
ว่าเป็นของเราเป็นตัวเราขึ้นมา
เพราะถ้าเราขืนไปยึดถือเข้าอย่างนั้น เราจะเป็นทุกข์ทางใจ
มีความเดือดเนื้อร้อนใจเปล่าๆ
คนเราควรจะอยู่ด้วยใจสบาย สงบ ใจโปร่ง ใจว่าง
เพราะฉะนั้น มองแล้วก็ต้องคิดว่า นี่ไม่ใช่ของฉันแท้จริง
และฉันใช้ตามสิทธิที่จะพึงมีพึงได้จากธรรมชาติเท่านั้นเอง
แต่ว่าวันหนึ่งของนี้อาจจะจากฉันไปก็ได้ ฉันอาจจะจากสิ่งนี้ไปก็ได้
ให้นึกไว้อย่างนั้น ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ในของเหล่านั้นมากเกินไป
เหมือนกับคนโบราณพูดว่า ลงจากบันไดเรือนก็ไม่ใช่ของเราแล้ว
คือ มันไม่เที่ยง ไม่รู้ว่าเราจะได้กลับบ้านหรือเปล่า
มันไม่ใช่ของเรา เราก็เสียสละไป นึกว่า เป็นของคนอื่นต่อไป
ที่จะรับมรดกตกทอดตามกฎหมาย ตามบ้านตามเมืองที่เขาได้ตราไว้
สิ่งเหล่านั้นก็เป็นของคนนั้นคนนี้ต่อไป
คิดอย่างนี้ใจก็สบาย ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน

อีกอย่างหนึ่ง บางทีเราคิดไปว่า โลกนี้มันยังเจริญต่อไป ยังก้าวหน้าไป
ยังน่าดูน่าอยู่ต่อไป อย่าคิดให้มันน่าอยู่เลย
โลกต่อไปมันไม่น่าอยู่แล้ว ไม่น่าอยู่
แต่ว่าเมื่อยังไม่ได้ ก็อยู่ไปก่อนก็แล้วกัน
แต่ถ้ามันจะแล้วก็นึกว่า เออดีเหมือนกันจะได้ไปเสียทีหนึ่ง
มันวุ่นวายกันเต็มทีโลกนี้ โลกบ้าๆ บอๆ ว่าอย่างนั้นเถอะ
มันวุ่นวายมันมีปัญหาเยอะแยะ ต่อไปข้างหน้าไม่รู้จะเป็นอย่างไร
เมืองไทยเราจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้
ถ้าสมมติว่า เรามีอันเป็นไป หมดลมหายใจไปก็ดีเหมือนกัน
ไม่ต้องอยู่ดูความทารุณโหดร้ายทั้งหลายที่มันจะเกิด
จะมีในกาลต่อไปข้างหน้า นึกอย่างนี้
เราก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่า น่าอาลัยน่าใยดี
แต่เราพร้อมที่จะจากสิ่งเหล่านั้นไป
จิตใจก็สบายการไม่มีอะไรก็ตาม
การใช้อะไรก็ตาม การได้อะไรมาก็ตาม
อย่าทำใจให้มันเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น
แต่เราทำใจให้สบายก็เพราะรู้เท่าทันต่อสิ่งนั้นๆ ตามสภาพที่เป็นจริง
อันนี้ต้องเอาหลักสัจจะธรรม สามประการมาคิดบ่อยๆ
สัจจธรรมสามประการนั้นคือ อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง
ทุกขตา ความเป็นทุกข์
อนัตตา ความไม่มีเนื้อแท้ ในตัวของมันเอง
คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่ของเราของเขาให้นึกไว้อย่างนั้น
เราไม่มีอะไรที่เป็นของเราแท้ๆ เราต้องมองไว้บ่อยๆ
พิจารณาถึงความเที่ยงความเปลี่ยนแปลงไว้เสมอๆ
จิตใจก็จะผ่องใสไม่ขุ่นมัว มีอะไรเกิดขึ้นก็ถึงบางอ้อทุกที
พออะไรเกิด อ้ากูว่าแล้วว่ามันจะเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนี้
เรารู้เท่ารู้ทันการอยู่ด้วยความรู้เท่า รู้ทันนั่นแหละเป็นสุขใจสบายใจ
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็รู้ว่า มันเหมือนดังที่ว่า
เหมือนดังที่คิดไว้ ไม่มีผิดเลย
เรานึกอย่างนั้น จิตใจก็อยู่ในสภาพที่สงบ
ไม่ต้องกังวลห่วงใยปัญหาอะไรๆ ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา

หรือบางที เราอาจจะมีงานการทำอะไรเอาไว้
ถ้าสมมติว่าเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นห่วง
ว่างานยังไม่เสร็จอะไร อย่างนั้นอย่างนี้
เช่นอาตมานี่ สร้างกุฏิ ถ้าสมมติว่าเจ็บไข้ได้ป่วย
อาจจะไปเป็นห่วงว่า กุฏิยังไม่เสร็จ
อาตมาไม่ได้คิดอย่างนั้น ไม่ได้คิดเป็นห่วงว่า
มันยังไม่ได้เสร็จไวๆ นี่แหละ
แต่ถ้าหากว่า มันตายลงไป ก็นึกว่าคนอื่นก็ทำต่อไป
มนุษย์ไม่สิ้นโลก เราทำไว้เพียงเท่านี้ คนอื่นเขาทำต่อไป
โลกเรามันก็เป็นอย่างนั้น
บรรพบุรุษของเราตายไปแล้วลูกหลานเหลนโหลนทำอะไรต่อๆ กันมา
เขาสร้างกรุงเทพฯ กันมาตั้งแต่รัชกาลที่หนึ่ง
ยังไม่เรียบร้อยจนบัดนี้ก็ยังต้องสร้างกันต่อไป
ยังสร้างกันต่อไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด
เรามันเป็นตัวละครที่ออกมาแสดงตามกำหนดของฉากเท่านั้น
ผู้กำกับเขาบอกว่า เอ้า ออกไปแสดงเป็นพระเอก
เราก็ทำท่าทำทางไปตามเรื่อง
พอจบบทเขาบอกว่า เอ้า เข้าฉาก เรื่องมันไม่ดี
ต้องเข้าฉากคนอื่นเขาแสดงต่อไป อย่างนี้ฉันใด
เรื่องอะไรต่างๆ ในชีวิตของเรา ทรัพย์สินเงินทอง
ข้าวของการงานต่างๆ ที่เราสร้างไว้ คนอื่นเขาก็จะดำเนินการต่อไป
เราอย่าไปคิดวิตกกังวลล่วงหน้า บางคนอย่างนั้น
อาตมาเคยคุยกับคนบางคนท่านมีสตางค์หน่อย
บอกว่า ผมนี่นั่งกลุ้มใจเวลานี้ กลุ้มใจว่า ลูกมันจะไม่เหมือนผม
เอ้าโยม ไม่เข้าเรื่องแล้ว จะไปกลุ้มอะไร ว่าลูกมันจะไม่เหมือนผม
แล้วลูกเหมือนโยมหรือเปล่า เอามายืนเคียงกันดู
ร่างกายมันก็ไม่เหมือน โยมนี่ใหญ่กว่าลูกตั้งไหนๆ ลูกตัวนิดเดียว
ไม่โตเท่าโยมเลย สติปัญญามันก็ไม่เท่ากัน
แล้วจะไปนึกวิตกว่ามันจะไม่เหมือนอย่างไร
แล้วยังคิดล่วงหน้าไปว่า ถ้าผมตายแล้วลูกมันจะลำบาก
มันจะลำบากอะไร เขาโตแล้วเขาก็ต้องทำมาหากินไปตามเรื่องของเขา
สัตว์เดรัจฉาน พอโตแล้วมันก็ไปหากินตามเรื่องของมัน


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2008, 3:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มนุษย์มีปัญญามีสมองเก่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เราจะไปทุกข์อะไร
เราเลี้ยงเขาตามหน้าที่ ให้การศึกษา ให้การอบรม
ชี้แนะแนวทางชีวิตให้แก่เขาตามหน้าที่
เมื่อเราได้ทำหน้าที่ของเราสมบูรณ์แล้ว เสร็จเรื่อง
แต่ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็ช่วยแนะแนว เตือนจิตสะกิดใจอะไรไปตามฐานะ
แต่ถ้าเมื่อเราจะจากไป เราก็อย่าไปคิดว่า เขาจะลำบากเขา
ไม่ลำบากอะไรหรอก เขาทำไปตามเรื่องของเขา
ก็จะเกิดมาแล้วคุณพ่อคุณแม่ตายไป ท่านตายไปตั้งแต่อายุเท่าไหร่
บอกว่า อายุเท่านั้น แล้วโยมเป็นอย่างไร ผมก็ต่อสู้มาทำงานทำการ
โยมเมื่อก่อนนี้มั่งมีหรือเหล่า เปล่าไม่มีอะไร
พ่อแม่ก็เป็นชาวสวนธรรมดา แต่ว่าผมนี่พยายามบากบั่นต่อสู้ทุกวิถีทาง
จนสามารถมั่งมีขึ้นมาได้ เอ๊าโยมทำได้ ลูกมันก็จะต้องทำต่อไป
เราจะไปนึกทุกข์ร้อนอะไรในเรื่องอย่างนั้น
คุยๆ ให้พอสบายใจ ไปเที่ยววิตกไปอย่างนั้นคิดให้มันมากไป
เรื่องนั้นเรื่องนี้ อะไรให้วุ่นวาย มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องคิดไปไกลขนาดนั้น
เราคิดแต่ปัญหาเฉพาะหน้าว่า
เราจะทำอย่างไรทำตัวปัจจุบันนี่ให้เรียบร้อยก็แล้วกัน
ถ้าตัวปัจจุบันเรียบร้อย ปัจจุบันกลายเป็นอดีต มันก็เรียบร้อย
เช่นวันนี้เรียบร้อยแล้วมันก็ผ่านพ้นไป กลายเป็นเมื่อวานไป
มันก็ยังเรียบร้อยอยู่นั่นแหละ
แล้วอนาคตที่สัมพันธ์กับวันนี้มันก็เรียบร้อยเพราะปัจจุบันเรียบร้อย

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า "ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ
ให้เพ่งพิจารณาธรรมะที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
คำว่า เพ่งพิจารณาธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
นั้นหมายความว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ที่ผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรา เป็นสิ่งเฉพาะหน้า เราต้องเพ่งในสิ่งนั้น
ให้เห็นว่า มันไม่เที่ยงอย่างไร มันแปรเปลี่ยนไปอย่างไร
เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างไร รูปอันหนึ่งผ่านมามันก็หายไป
เสียงหนึ่งผ่านมาแล้วก็หายไป กลิ่นอันหนึ่งผ่านมาแล้วก็หายไป
รสที่เราใส่เข้าไปในปากเคี้ยวๆ แล้วก็กลืนหายไป
อะไรมาถูกต้องกายประสาทมันก็หายไป
ความคิดอันหนึ่งเกิดแว๊ปขึ้นมาแล้วก็หายไป
มีอะไรคงที่อยู่บ้าง มีอะไรถาวรอยู่บ้าง ในตัวเราในจิตใจของเรา
มันไม่มีอะไรมั่นคงถาวร เปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนี้
เรานึกอย่างนี้ จิตใจก็ค่อยสลายคลายจากความกังวล
ความทุกข์ความเดือดร้อน
จะมีชีวิตสดชื่นมองอะไรก็มองเห็นในแง่ถูกต้อง

การเห็นถูกต้องคือ เห็นว่ามันไม่เที่ยง มันมีความทุกข์อยู่ตามสภาพ
ไม่มีอะไรที่เรียกว่า เป็นเนื้อแท้ในตัวมันเอง
อย่างนี้เขาเรียกว่า มองเห็นความจริงของสิ่งนั้นๆ
คนเราถ้าของเห็นความจริงแล้ว ใจมันสบาย
ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อนด้วยปัญหาต่างๆ
อันนี้แหละเป็นหลักที่เราควรจะนำไปพิจารณา
เพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตของเรา โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้
ปัญหาต่างๆ มีมากมาย ที่จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตของเรา
อันจะทำให้เราเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
จงใช้หลักธรรมะเป็นเครื่องประคับประคองใจของเราไว้
อย่าให้เกิดเป็นความทุกข์ใจเดือดร้อนใจ ได้เท่าใดยิ่งดี
เรื่องนี้ทุกท่านต้องสังเกตตัวเอง ว่าเรามีความวิตกกังวลขนาดไหน
มีความกลุ้มใจขนาดไหน แล้วเราก็ค่อยๆ แก้ไปพิจารณาไป
ญาติโยมที่เข้าวัดบ่อยๆ ฟังธรรมบ่อยๆ อ่านหนังสือธรรมะบ่อยๆ
ก็เห็นประจักษ์อย่างว่า ใจดีขึ้นเยอะสบายขึ้น มีอะไรเกิดขึ้นก็เฉยๆ
พอปลงพอวางว่าอย่างนั้นเถอะ ไม่แบกอยู่ตลอดเวลา
ไม่ยึดไว้ตลอดเวลา ปลงได้วางได้
การปลงได้วางได้นั่นแหละคือ ใจมันสบาย
เพราะเราคิดไปในแง่ให้สบาย


วันหนึ่งๆของชีวิต อยากจะแนะนำญาติโยมว่า
ต้องคอยเตือนตัวเองไว้บ่อยๆ
เตือนให้เกิดความคิดในทางที่ถูกที่ชอบ เตือนในแง่ธรรมะ
เช่น เตือนให้รู้ว่านี่มันไม่เที่ยง นี่มันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ร่างกายเรานี่ก็ไม่คงทนถาวร อาจจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อใดก็ได้
คนเราอยู่ดีๆ เอ๊า เดี๋ยวเข้าโรงพยาบาลแล้ว
เข้าไปแล้วมีการทำอะไรกันเป็นการใหญ่
เดี๋ยวผ่าตัดไปแล้ว มันเป็นไปตามเรื่อง
ตามที่สิ่งทั้งหลายมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้น
ขอให้รักษาสภาพจิตใจไว้ให้คงที่ อย่าให้ขึ้นลงกับสิ่งที่มากระทบ
ก็ทำให้จิตใจสงบไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อนด้วยปัญหาอะไรต่างๆ

อีกอันหนึ่งอยากจะขอฝากว่า เมื่อใดเราไม่สบายใจนี่ควรจะมาวัด
มารับฟังธรรมะ วันอาทิตย์มาวัดฟังธรรม
ทีนี้โดยมากไม่ค่อยจะได้คิดอย่างนั้น
ภาระมันมากงานการเยอะ ทิ้งเสียบ้าง เจ็ดวันเขาให้หยุดกันวันหนึ่ง
มาวัดมาวามาหาความสงบใจ
ทำให้ใจเป็นอิสระไม่พัวพันกับสิ่งทั้งหลาย
ตัดปัญหาออกไป หาความสงบให้มากขึ้น
อย่าให้ขาดทุน อย่าให้เสียทีที่เกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา
ถ้าไม่มาก็เอาหนังสือส่งไป ให้เขาอ่านบ้าง
จิตใจจะได้สบาย คลายจากความทุกข์ความเดือดร้อน
ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ธรรมะช่วยได้อย่างนี้
ดังที่กล่าวมาเพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ
แก่ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย มาประชุมกันในวันนี้
ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงนี้


คัดลอกจาก...เกิดดับ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)
วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐


http://www.panya.iirt.net/
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง