Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กรรมยังไม่สิ้น (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 8:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

กรรมยังไม่สิ้น
โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)


จากหนังสือกฎแห่งกรรม เล่มที่ ๓ ภาคกฎแห่งกรรม


เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๑ ชาววัดคู อ.พรหมบุรี ต้องโศกเศร้าและตระหนกตกใจ ในการตายของยายจำรัส สุภานิน คนบ้านใกล้เรือนเคียง แกเป็นอุบาสิกาของวัดคูทำบุญร่วมกุศล และถือศีลทุกวันพระเป็นประจำ (ประมาณ ๑ ปี) เป็นที่รู้จักรักใคร่ของคนทั่วไป

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ยายจำรัสกำลังสาละวนยืนหยิบขนมป้อนหลานอยู่บนชานบ้านพัก ปรากฏว่ายายจำรัสต้องล้มลงทันใด พลางเอามือลูบคลำตรงบริเวณที่ปวดแถบชายโครง เมื่อเหลียวดูปรากฏว่ามีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ญาติพี่น้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน แต่แกทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงสิ้นใจเสียก่อน

แพทย์ได้ชันสูตรพลิกศพ ปรากฏว่าถูกกระสุนปืนขนาด ๑๑ มม. จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองตลอดจนพยานรู้เห็น ไม่สามารถจะจับตัวมือปืนได้ ไม่มีใครยิงปืนในบริเวณนั้น มีบางคนบอกว่าขณะที่เขากำลังอาบน้ำที่แม่น้ำเจ้าพระยาหน้าบ้านของเขา ได้ยินเสียงคล้ายเสียงปืนดังปังทางฝั่งตรงข้ามแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก พออาบน้ำเสร็จแล้วกลับขึ้นมาจึงรู้ข่าวยายจำรัสถูกยิงตาย

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจพิจารณาสถานที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะภายในบริเวณบ้านตำบลบ้านแป้ง หมู่ที่ ๑ ก่อนเกิดเหตุ บริเวณชานเรือนมีไม่ระแนงตีกั้นเป็นช่องโดยรอบ หากยิงปืนจากฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ข้ามมายังบ้านผู้ตายแล้วความเร็วแรงของกระสุนวิถีจะอ่อนลงตามลำดับ เพราะความกว้างของแม่น้ำตอนเกิดเหตุมีระยะทางหลายร้อยเมตร ยิ่งเป็นลูกปืนขนาด ๑๑ มม. ด้วยแล้วก็คงเป็นปืนพกเท่านั้น ระยะยิงไกลก็เพียง ๕๐ หลา ระยะแม่นยำหวังผลก็เพียง ๒๕ หลาเท่านั้น หากกระสุนวิถีข้ามผ่านมาได้จริง เหตุใดเล่าจึงไม่กระทบไม้ระแนงซึ่งตีกั้นไว้อย่างถี่ยิบ ทำไมจึงลอดช่องอย่างจำเพาะเจาะจงมาถูกยายจำรัสถึงแก่ความตายได้

เมื่อการสอบสวนไม่เป็นผล ทางญาติพี่น้องได้จัดการฌาปนกิจศพยายจำรัสตามประเพณี อยู่มาไม่นานนัก วิญญาณของยายจำรัสได้ล่องลอยวนเวียนอยู่ระหว่าง วัดคูกับวัดอัมพวัน และที่ใกล้เคียง ยังมีความห่วงหิวโดยรอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงและต้องการปฏิบัติกรรมฐาน ดังจะเห็นได้ในปรากฏการณ์บางอย่างที่แสดงออกในลำดับต่อไป

วันหนึ่งเป็นวันธรรมสวนะ อุบาสกอุบาสิกาชาววัดคู คงจำศีลอยู่ที่ศาลาตามที่เคยปฏิบัติมา เมื่อตะวันคล้อยลอยต่ำใกล้สนธยา อุบาสกอุบาสิกาต่างก็ลงบันไดเดินกลับบ้านของตน ในทันใดนั้นเอง สายตาทุกคนก็มองเห็นหญิงคนหนึ่งเดินออกหน้า เมื่อพิจารณารูปร่างลักษณะโดยถ่องแท้แน่ใจแล้ว ก็แน่ใจว่า “.....เอ นั้นมันเป็นจำรัสนี่นา” ก็เผาผีมันไปแล้ว ทำไมยังมาเดินลอยนวลอยู่ได้อีกเล่า !”

จึงเป็นที่เลื่องลือกันมาไม่จบสิ้น เพราะพวกอุบาสกอุบาสิกาไม่เคยเชื่อว่าวิญญาณมีจริงมานานแล้ว เมื่อประสบเข้าเช่นนี้ จึงเชื่อแน่ว่าวิญญาณต้องมีแน่ๆ อย่าสงสัย กาลเวลาผ่านไปไม่นานนัก วิญญาณนางจำรัส สุภานิน ได้เข้าสิงสู่อยู่กับ นางบุญชูศรี พวงวงษ์ ตั้งบ้านเรือนอยู่หลังวัดอัมพวันและทำงานอยู่โรงเรียนวัดอัมพวันมาเป็นเวลาหลายปี

นายสงวนได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟังอย่างน่าอัศจรรย์และได้บันทึกเรื่องราวด้วยตนเองและยินดีให้ลงเรื่องต่างๆ ที่เกิดกับภรรยาของตน ตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อเป็นวิทยาทานต่อสาธุชน ได้พิจารณาค้นหาสาเหตุแห่งความจริงในเรื่องวิญญาณนั้นมีจริงหรือไม่


(มีต่อ)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 8:19 pm, ทั้งหมด 4 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 8:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นายสงวนได้เล่าว่า เมื่อเดือน ๙ ข้างขึ้นในปีนั้นนางชูฯ ได้ป่วยเกี่ยวกับโรคประจำตัวปวดข้อมือและข้อเท้ามีอาการกระตุกอยู่เสมอ วันนั้นปวดทุรนทุรายจนญาติพี่น้องช่วยกันบีบนวดและขึ้นทับทั้งตัว อาการของคนไข้รู้สึกทุเลาลงเมื่อเวลาประมาณบ่าย ๔ โมง

อยู่ต่อมาชั่วระยะหนึ่งประมาณ ๑ ทุ่มเศษ อาการของนางชูฯ ก็กำเริบขึ้นอีก ญาติพี่น้องก็ช่วยกันบีบนวดกันจนอยู่ถึงเที่ยงคืน อาการก็ทุเลาลงและหลับไปจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่ ญาติพี่น้องจึงลากับบ้านของตน ส่วนนายสงวนก็ออกไปทำงานที่โรงเรียน คงปล่อยให้ภรรยาอยู่บ้านตามลำพัง

เมื่อนายสงวน ทำงานเสร็จได้เห็นภรรยานั่งพิงโอ่งน้ำอยู่ข้างโรงเรียนและหันหลังให้ นายสงวนจึงร้องถามว่า “แกมาทำไมที่นี่”

นางชูฯ ตอบว่า “มาช่วยแกถูโรงเรียนนะซี”

นายสงวนจึงบอกไปว่า “ข้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว” ทันใดนั้นเองนางชูฯ ก็เดินกลับไปบ้าน แต่ไม่ยอมขึ้นบ้าน คงเดินเลยไปในวัดไปขอข้าวแม่ชีกิน

แม่ชีได้ถามว่า “แกมายังไงกัน”

แม่ชูฯ ตอบว่า “พ่ออ้ายยุทธเขาไม่ให้กินข้าว” แม่ชีจึงหาอาหารมาให้กิน แต่อาการนางชูฯ เป็นที่ผิดสังเกต นัยน์ตาขวางไม่ยอมมองหน้าคน เมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ก็เดินไปหยิบกระเทียมของแม่ชีจะเอาไปบ้านตน

นายสงวน จึงได้ทัดทานไว้โดยพูดว่า “แกจะเอาของเขาไปไหน”

นางชูฯ ได้ตอบว่า “ก็เป็นของๆ เราเอาไปบ้าน” นายสงวนจึงได้ยื้อแย่งเอากระเทียมของแม่ชีเก็บไว้และจึงรีบพาตัวภรรยากลับบ้านของตน และนายสงวนได้รีบหุงข้าว จัดอาหารให้ภรรยากิน

นางชูฯ ก็เข้าไปกินอย่างผิดวิสัยคนธรรมดาเสียแล้ว โดยเอาน้ำปลาราดลงไปในข้าว แล้วกินได้กินดี เวลาประมาณ ๓ โมงเช้า พวกญาติพี่น้องได้มาเยี่ยมอีกตามเคย แต่ครั้งนี้ นางชูฯ ไม่ยอมมองหน้าคนได้แต่พูดพร่ำรำพันไม่เป็นเรื่องเป็นราว มองดูบ้านของตัวก็บอกว่า อ้ายนั่นก็สวย อ้ายนี่ก็สวยไปทั้งนั้น

ป้าจ๊ะ ได้เอ่ยปากพูดกับนายสงวนว่า “อ้ายทิดผิดท่าเสียแล้ว เอ็งรีบไปตามหมอมาด่วน”

นางชูฯ ได้ยินจึงสวนคำขึ้นว่า “หาหมออะไรกันไม่ได้ไม่ดีก็หาว่าผี” และนางชูฯ ก็พูดไปต่างๆ นานา และขอหมากกินติดๆ กัน ๓ คำ จึงเป็นที่ผิดสังเกตของพี่น้อง ที่จ้องดูอาการอยู่ด้วยความเป็นห่วง

ป้าจ๊ะ จึงพูดด้วยเสียงดังขึ้นว่า “นางชูฯ นี่ผีกินเสียแล้ว”

นางชูฯ ได้ยินจึงพูดขึ้นว่า..... “อะไรก็ผีอะไรก็ผีกิน ขอหมากให้ข้ากินอีกหนึ่งคำ” ขณะนั้นเองนางชูฯ ก็ทำท่าทางต่างๆ นานา เอามือข้างหนึ่งลูบคลำบริเวณสีข้างนานๆ ก็ลูบคลำอีก

ป้าจ๊ะจึงถามว่า..... “แกคลำทำไม”

นางชูฯ ตอบว่า..... “มันเจ็บ”

นายสงวนถามว่า..... “ทำไมถึงเจ็บอยู่ดีๆ เจ็บอย่างไรกัน”

นางชูฯ ตอบด้วยความโมโหว่า..... “แหม ! อ้ายหงวน แกไม่รู้จักข้าหรือ ข้ามาเยี่ยมนางชูฯ มันเป็นน้องสาวข้า”

ป้าจ๊ะจึงถามว่า..... “มาอย่างไรกัน”

นางชูฯ ตอบว่า..... “มากับพวกที่ไปเรียนนักธรรม เลยแวะมาเยี่ยมนางชูฯ มัน เพื่อขอหมากมันกิน”

ป้าจ๊ะถามว่า..... “ทำไมเขาทำไปให้ไม่ได้กินหรือ”

นางชูฯ ตอบว่า..... “มากับพระ ขอทิดมงคล นางขวัญ เขาก็ไม่ให้ ขอพี่สี เขาก็ไม่ให้กิน เลยแวะมาเยี่ยมนางชูฯ มัน”

ป้าจ๊ะได้พูดว่า..... “ได้กินแล้วก็ไปเสียซิ”

นางชูฯ ตอบว่า “ข้าไม่ไป จะอยู่กับนางชูฯ มัน จะเข้าไปอยู่กับหลวงพ่อ เคยมาปฏิบัติกรรมฐานอยู่กับท่าน เจ้าของวัดเขาก็ไม่ให้เข้า”

ป้าจ๊ะถามว่า..... “ใครยิงแกๆ รู้ไหม”

นางชูฯ ตอบว่า “ข้ารู้แต่ไม่บอก เราเคยทำมาอย่างไรก็ใช้กรรมไป”

นายสงวนเห็นท่าไม่ได้การแล้ว จึงรีบไปตามนายบ่าย ซึ่งเป็นพ่อมาจัดการไล่ผียายจำรัส ให้ไปจากร่างนางชูฯ เสีย เมื่อนายบ่าย มาถึงก็ถามนางชูฯ ว่า..... “แกตายไปแล้วก็ขอให้ไปอยู่ที่อื่น จะมาอยู่กับนางชูฯ ไม่ได้”

นางชูฯ ตอบว่า..... “ข้ายังอยู่ที่ไหนไม่ได้ จะเข้าไปอยู่วัดกับหลวงพ่อก็ไม่ได้ เจ้าของวัดเขาไม่ให้เข้า”

นายบ่ายถามว่า “เดี๋ยวนี้เอ็งอยู่ที่ไหน”

นางชูฯ ตอบว่า “ข้าอยู่ต้นมะพลับหลังวัด”

เมื่อการเจรจาขอร้องให้ไปเสียโดยดีไม่เป็นผล นายบ่ายจึงเอามือจับศีรษะนางชูฯ แล้วเป่าลง ๓ หน นางชูดิ้นอย่างปลาถูกทุบและได้ร้องขึ้นสุดเสียง เงียบไปประมาณ ๑๐ นาที นางชูฯ ก็รู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาเห็นทุกคนเต็มบ้าน จึงถามว่า “มาอย่างไรกัน”

พี่น้องพวกนั้นก็พูดว่า “ผียายจำรัสมาเข้าแก”

นางชูฯ พูดว่า..... “มาเข้าเมื่อไรไม่รู้สึกตัวเลย” ต่อจากนั้นนางชูฯ ก็หายเป็นปกติ อยู่มาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้

จากเหตุการณ์ปรากฏดังกล่าวข้างต้น เป็นหลักฐานยืนยันว่า วิญญาณนั้นมีจริง ได้เรียนถามท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ในเรื่องนี้ ท่านอธิบายชี้แจงว่า วิญญาณจะมาทาบกับจิตของคนไข้ชั่วขณะหนึ่ง จะทำให้คนไข้นั้นไม่ได้สติ จะพูดจะโต้ตอบตามผู้ซักถาม แสดงอาการเหมือนกับบุคคลผู้นั้น เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่

กรณีวิญญาณยายจำรัสนี้ แสดงว่ากรรมยังไม่สิ้น ยังมีความหิวโหยรอการช่วยเหลือและมีความปรารถนาใคร่ธรรม แต่ก็มีวิญญาณเจ้าของที่คอยกีดกัน มิให้เข้าร่วมอุโบสถ จึงให้ชื่อเรื่องว่า “กรรมยังไม่สิ้น” จะถูกผิดอย่างไร ขอให้ผู้รู้ช่วยเสนอแนะ ยินดีรับฟัง และจะได้แก้ไขตามความเหมาะสมต่อไป


จากหนังสือประวัติและผลงานของ
พระครูภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) พ.ศ. ๒๕๓๐




>>>>> จบ >>>>>
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
suvitjak
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen

ตอบตอบเมื่อ: 13 มิ.ย.2008, 1:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พุทโธ ขออนุโมทนาครับ
 

_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 15 ส.ค. 2008, 10:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรรมมีจริง ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ อนุโมทนาสาธุ เจ้าค่ะ สาธุ พุทโธ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง