Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อารยนคร (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 05 มิ.ย.2006, 12:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



Wallpaper 22.jpg


อารยนคร
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑ หน้า ๕-๑๑


เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๙๖ แต่ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนว่าเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ นี่เองทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนแจ่มใส ไม่เคยลืมเลือนไปจากความทรงจำเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เคยผ่านมาเลย เรื่องมันเป็นดังนี้ คือ วันหนึ่งเราได้นัดแนะกับเพื่อนฝูงหลายคน ว่าจะเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่โดยรถยนต์ รถออกจากกรุงเทพฯ เวลา ๖.๐๐ น. ที่บ้านคุณสนิท โชติกเสถียร เดินทางไปตามถนนพหลโยธิน มีคุณสนิทพร้อมด้วยครอบครัว และข้าพเจ้าอีกคนหนึ่ง การเดินทางตลอดทางทุกสิ่งทุกอย่างสะดวกเรียบร้อย จนกระทั่งถึงปากน้ำโพประมาณ ๑๒.๐๐ น. เราได้แวะพักผ่อนที่บ้านญาติข้างฝ่ายภรรยาของคุณสนิท ที่นั่นเราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ในที่สุดเราก็ตกลงพักค้างแรม ๑ คืน รุ่งเช้าจึงออกเดินทางต่อไป คืนนั้นเองข้าพเจ้าได้ประสบเหตุการณ์ประหลาด.........

........เราได้เดินทางไปโดยรถยนต์ผ่านสถานีต่างๆ จนถึงทางระหว่างอำเภอเถินกับอำเภอลี้ ซึ่งทางการเพิ่งจะทำเสร็จใหม่ๆ เราต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่กรมทาง และผ่านไปได้ด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี เราขึ้นรถมาสักพักใหญ่ก็จะต้องขึ้นเขา ที่เชิงเขามีป้ายเตือนผู้ขับขี่ยวดยานไว้ว่า

“หยุดตรวจดู ห้ามล้อของท่าน น้ำ และน้ำมันก่อนที่จะขึ้นไป”

เราได้ตรวจดูเครื่องทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มเดินทางขึ้นไปทันที การขึ้นเขาครั้งนี้รู้สึกว่าชันและเต็มไปด้วยความน่ากลัวอันตราย ทั้งถนนก็แคบและโค้งเลี้ยวก็อยู่ในระยะสั้น รถต้องเปิดหน้าขึ้นไปและต้องใช้เกียร์หนึ่งเกียร์สองอยู่ตลอดเวลา เครื่องยนต์ทำงานหนักเครื่องร้อนทำให้หม้อน้ำเดือด แต่พอไปถึงสันเขาก็หยุดพักรถเพื่อให้เครื่องเย็น ฯลฯ

ระหว่างที่รถหยุดพักบนเขานั้น ข้าพเจ้าได้ออกเดินเล่นไม่ห่างไปจากรถจอดเท่าไรนัก พอเดินพ้นจากรถเพียงเหลี่ยมเขาบังรถอยู่ เบื้องหน้าก็มองเห็นทุ่งกว้างเป็นเนินเขาเขียวชะอุ่ม แลดูน่าเพลินตา หญ้าเขียวชะอุ่มเป็นชั้นๆ สวยงามอย่างยิ่ง ทำให้จิตใจหลงใหลในความงามของธรรมชาติอย่างเหลือตัว จึงรีบเดินลงจากเนินไปทันที จะเป็นเวลานานเท่าใดข้าพเจ้าไม่ทราบ ได้พาตัวเดินไปตามทางเล็กๆ สายหนึ่งอากาศสดชื่น ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องนั่งรถขึ้นเขานั้นหายไปดังปลิดทิ้ง ราวกับว่าตนเองได้เข้ามาสู่ดินแดนมหัศจรรย์

นอกจากธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวจะมีความงามประหลาดล้ำแล้ว ยังเกิดความรู้สึกว่าในดินแดนแห่งนี้จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นเลย ข้าพเจ้าเดินต่อไปอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ยิ่งเดินยิ่งทำให้จิตใจชื่นบานมากขึ้น คิดแต่ว่าเป็นสถานที่ซึ่งมีแต่ความรื่นรมย์และสุขใจอย่างที่สุด ตามเนินเป็นไม้ป่าออกดอกนานาสีกลิ่นหอมระรื่น อยากจะกล่าวว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีความสุขสบายใจเช่นนี้เลย เพราะสิ่งแวดล้อมนานาประการได้ทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงไป ข้าพเจ้าเพลิดเพลินและจิตใจอบอุ่นไม่มีความหวาดกลัว แม้จะไม่พบผู้คนเลยก็รู้สึกว่าปลอดภัย ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว อยากจะเดินชมให้ทั่วบริเวณ

สักครู่ก็เห็นคนเดินมาแต่ไกล ครั้นเข้ามาใกล้ก็มองเห็นว่าผู้นั้นเป็นชายอายุกลางคน ข้าพเจ้ามีความยินดีมาก เพื่อจะไต่ถามดูถึงตำบลและหมู่บ้านว่าชื่ออะไรแน่ จึงสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วทำความเคารพ เมื่อมองเห็นหน้าพ่อลุงคนนั้นก็เกิดความรู้สึกว่า แกมีสายตาที่เป็นมิตรอย่างน่าเคารพ การแต่งกายเรียบร้อย นุ่งผ้าสีน้ำเงินแก่แบบชาวบ้านหรืออย่างชาวเหนือ ที่เรียกว่าม่อฮ่อม เป็นการน่าประหลาดที่เพียงแรกมาพบปะ ข้าพเจ้ารู้สึกเคารพรักใคร่ชายผู้นี้ สายตาของพ่อลุงคนนั้นเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและยิ้มแย้มอย่างผู้มีใจดี ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นว่า

“พ่อลุง อยู่ที่ตำบลนี้ใช่ไหม ผมอยากทราบว่าเมืองนี้ชื่อเมืองอะไรครับ ช่างน่าอยู่เหลือเกิน ดินฟ้าอากาศสดชื่นอย่างนี้ ผมยังไม่เคยพบเห็นที่ไหนเลย”

“ใช่แล้วคุณ ผมอยู่ในเมืองนี้ ที่เราเรียกว่า “เมืองผา” คุณคงมาจากเมืองใต้กระมัง ?”


รับคำแกแล้ว ข้าพเจ้าถามถึงความเป็นอยู่ต่างๆ ก็ได้รับคำตอบว่า ที่นี่ไม่มีการลักขโมยหรือโจรกรรมอย่างไร เขาอยู่กันด้วยความสงบสุข พ่อเมืองเป็นผู้ปกครองอย่างยุติธรรมและเป็นผู้พิพากษาคดีทุกอย่างทุกชนิด

“เอ ! ถ้าเช่นนั้น มิเป็นเผด็จการหรือพ่อลุง” ข้าพเจ้าสอดขึ้น

แต่แกก็ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เอ ! อ้ายเผด็จการเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่พ่อเมืองก็ปกครองมาด้วยความสุขสบายทั่วหน้ากัน”แล้วแกทำท่าจะนึกขึ้นได้ “อ้อวันนี้พ่อเมืองจะออกชำระคดีเรื่องหนึ่ง ถ้าคุณต้องการพบพ่อเมืองผมจะพาไป”

ข้าพเจ้ารีบรับปากทันที เมื่อพ่อลุงมีไมตรีจิตออกปากพาไปเช่นนั้น หลังจากสนทนาพอสมควรแล้ว แกก็พาข้าพเจ้าเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ยิ่งเดินไปก็ยิ่งใกล้หมู่บ้านหนาแน่นเข้าทุกที ผู้คนก็ยิ่งหนักแน่นมากขึ้น สังเกตดูกิริยาผู้คนทั้งหญิงชาย ต่างมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แสดงว่ามีความสุขสบายทั่วหน้ากัน และทุกคนเป็นมิตรกัน ข้าพเจ้าหันมาทางพ่อลุงผู้อารีคนนั้นและพูดว่า “พวกชาวบ้านนี้ ดูช่างมีความสุขสำราญหน้าตาแจ่มใสทุกคน”

พ่อลุงหัวเราะอยู่ในลำคอ “พวกเราในเมืองนี้รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง พร้อมที่จะยอมเสียสละให้แก่กันและกันโดยไม่เอารัดเอาเปรียบ ทุกคนเป็นผู้ยอมเสียสละทั้งสิ้น”

ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจในคำพูดเช่นนี้ จึงย้อนถามไปว่า “ถ้าเช่นนั้น ในเมืองนี้ก็ไม่มีทหารและตำรวจน่ะซีครับ”

ได้รับคำตอบว่า “ไม่มีคำว่าตำรวจหรือทหารไม่มีใครเรียกหรือรู้จักเลย”

“ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรจึงจะนำตัวจำเลยมาให้พ่อเมืองได้”

“จำเลยสมัครใจมาเองโดยไม่ต้องคุมตัว”

เราคุยกันมาตลอดทาง ชั่วครู่เดียวก็ถึงหุบผาแห่งหนึ่ง ผู้คนหนาแน่น ช่องผาทางเข้านั้นใหญ่โต สว่างไสวด้วยแสงประหลาดไม่ต้องใช้ไฟ มีลวดลายตามผนังงดงามมาก มีผู้คนเดินเข้าออกกันไปมาไม่ขาดสาย ทุกคนมีหน้าตายิ้มแย้มต่อข้าพเจ้าเหมือนกับที่เห็นผ่านๆ มาแล้ว ข้าพเจ้าหันมาถามพ่อลุงว่า “การชำระคดีนี้ มีการชำระกันทุกๆ วัน ตลอดปีอย่างนี้หรือ”

“นานๆ จะมีสักครั้งหนึ่ง วันนี้คุณมีโชคดี พอมาถึงได้เห็นพ่อเมืองชำระคดี”

แกตอบเป็นปกติ แต่มันทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจมากที่ผ่านผู้คนมาตั้งแต่น้อยจนหนาแน่นเข้าทุกที ข้าพเจ้าเห็นยิ้มกับข้าพเจ้าไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่ คล้ายว่าข้าพเจ้าเป็นเพื่อนรักหรือญาติสนิทที่จากกันไปนานๆ แล้วมาพบกัน

จากการสังเกตกิริยาท่าทาง เมื่อผ่านเข้ามาที่ประชุมใหญ่ในหุบผา ทุกคนที่ข้าพเจ้าเห็นหรือเห็นข้าพเจ้าก็แสดงเช่นเดียวกันหมด เมื่อเดินมาถึงที่ชำระความของพ่อเมืองซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ ตรงกลางเป็นแท่นศิลาใหญ่มีผู้คนล้อมรอบแท่น ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านพ่อเมืองจะออกว่าความ พวกชาวเมืองคงนั่งสนทนากันไปตามถนัด คอยกว่าพ่อเมืองจะออกมา ข้าพเจ้ากระซิบถามว่าคนไหนเป็นโจทก์ คนไหนเป็นจำเลย พ่อลุงก็ชี้ให้ดูว่า คนที่ใส่เสื้อขาวคนนั้น ชื่อผาคำเป็นโจทก์ และคนที่ใส่เสื้อชาวนา (สีน้ำเงินแก่) คนนั้นชื่อโฉมเป็นจำเลย และคู่พิพาทกำลังนั่งคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีเค้าว่าจะมีการขัดแย้งกันจนเกิดคดีขึ้นโรงศาล รู้สึกว่าทั้งสองฝ่ายรักใคร่กันดี ไม่น่าเชื่อว่าเป็นความพิพาทกันเลย ควรจะปรองดองกันให้เรียบร้อยได้ ทำให้ข้าพเจ้าสงสัยจริงๆ จึงอดที่จะถามพ่อลุงไม่ได้ว่า

“เหตุใดทั้งคู่จึงต้องเป็นความกัน ในเมื่อสังเกตดูว่าทั้งสองมีความรักใคร่กันมาก”

พ่อลุงยิ้มแล้วตอบว่า “เรื่องมันตกลงกันไม่ได้ซิคุณ จึงต้องร้อนถึงท่านพ่อเมือง”

“มันร้ายแรงอะไรนักหรือ จึงตกลงกันไม่ได้ พ่อลุงรู้หรือเปล่า”

พ่อลุงจึงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า “นายโฉมผู้เป็นจำเลยมีนาแปลงหนึ่ง มีข้าวออกรวงเหลืองอร่ามไปทั้งท้องทุ่ง นายผาคำผู้เป็นโจทก์มีควายอยู่ตัวหนึ่ง ได้เดินผ่านนาของนายโฉม เห็นข้าวในนาน่ากินแต่กินไม่มากนัก พอนายผาคำมาถึงก็รีบจูงควายกลับบ้าน แล้วก็รีบไปสารภาพความผิดของตนที่ได้ปล่อยให้ควายกินข้าวในนาของนายโฉม ตนเองยินดีใช้ค่าเสียหายเป็นข้าว แต่ฝ่ายนายโฉมเจ้าของนาไม่ยอมรับ ถือว่าไม่ใช่ความผิดของนายผาคำหรือของควาย ถ้าจะเอาความผิดแล้ว ควรจะเอาผิดกับข้าวของนายโฉมมากกว่า เพราะถ้าในนาไม่มีข้าวควายก็คงไม่กิน เรื่องก็คงไม่มี แล้วต่างคนไม่ตกลงกันหรือตกลงกันไม่ได้”

ก่อนที่จะซักถามพ่อลุงอีกต่อไป ได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้น ๓ ครั้ง เสียงพูดกันว่าพ่อเมืองออกแล้ว เรามัวแต่ก้มหน้าคุยกัน พอเงยหน้าหันไปดูก็เห็นพ่อเมืองอยู่บนแท่น ทุกคนก้มลงกราบ ข้าพเจ้าทำตามเขาบ้างโดยความสมัครใจ เมื่อกราบเสร็จแล้ว พ่อลุงก็พาข้าพเจ้าเข้าไปใกล้แท่นที่ประทับของพ่อเมือง ทุกคนหลีกทางให้ด้วยความยินดี

เมื่อเข้าไปใกล้แท่น ข้าพเจ้าได้มองเห็นท่านพ่อเมืองชัดเจนถนัดตา ทำให้ข้าพเจ้าต้องตะลึง รูปร่างของพ่อเมืองนั้น ไม่ผิดแปลกกับพระปิยมหาราชฯ รัชกาลที่ ๕ ของเราเลย พระองค์มีพระพักตร์ยิ้มแย้ม ดวงเนตรแจ่มใส ครั้นแล้วพ่อเมืองก็พูดกับฝ่ายโจทก์และจำเลย เป็นการซักถามปากคำจากโจทก์และจำเลยตามเรื่องที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว

เมื่อพ่อเมืองได้พิจารณาเสร็จแล้ว ก็วินิจฉัยและตัดสินว่า การที่นายโฉมจำเลยไม่ยอมรับค่าเสียหาย จากนายผาคำผู้เป็นเจ้าของควาย ซึ่งลงไปกินข้าวในนาของเขานั้น โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นความผิดของตนเองที่ได้ปลูกข้าวไว้ทางเดินทางของควาย เพราะฉะนั้นจึงไม่ยอมรับค่าเสียหาย เพราะควายเป็นสัตว์ที่เรียกว่าไม่มีความคิด ว่าจะเป็นความเสียหายหรือไม่ ส่วนนายผาคำผู้เป็นโจทก์แถลงว่าตามปกติควายของตัวไม่เคยที่จะไปกินข้าวในนาของใคร แต่บังเอิญควายตัวนี้เกิดมีครรภ์ ทำให้รู้สึกผิดชอบแปรปรวนไป เนื่องด้วยลูกในท้องทำให้อยากกิน ฉะนั้น พ่อเมืองจึงตัดสินให้ยกลูกควายที่อยู่ในท้องจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมียให้นายโฉม ๑ ตัว ไม่ว่าจะออกมากี่ตัวก็ตาม

เมื่อพ่อเมืองทรงตัดสินเรียบร้อย ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ร้องสาธุ ฝ่ายโจทก์ก็มีจิตใจชื่นบานที่ได้ชดใช้ค่าเสียหายเรื่องข้าวให้เป็นที่เรียบร้อยไป ต่อจากนั้นพ่อเมืองก็ลุกขึ้น ก้มคีรษะรอบๆ ตัว รับความเคารพของปวงชนที่อยู่ในที่นั้น แล้วก็เสด็จขึ้นเข้าในหุบผาทันทีก่อนที่จะเสด็จไปนั้นท่านได้หันมายิ้มกับข้าพเจ้า แล้วกล่าวเรียบๆ ว่า

“ขอให้สูเจ้าจงเดินทางต่อไปโดยความปลอดภัยเถิด”

ข้าพเจ้ายกมือขึ้นประณมทำความเคารพท่านที่รัก ข้าพเจ้าเห็นท่านพ่อเมืองเพียงครั้งเดียว รู้สึกมีความจงรักภักดี มีความเคารพด้วยจิตใจอันสุจริต ความจงรักภักดีนี้ดื่มด่ำอยู่ในความรู้สึก มันเกิดขึ้นจากส่วนลึกของดวงใจอย่างสะอาดบริสุทธิ์ ยากที่จะบรรยายให้ถูกต้องได้ ความจงรักภักดีนี้ทำให้ข้าพเจ้าสามารถจะยอมพลีชีวิตของข้าพเจ้าเพื่อพ่อเมืองได้ทุกเวลา ทั้งๆ ที่พ่อเมืองยังไม่เคยที่จะชุบเลี้ยง หรือให้ความช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้าแต่ประการใดเลย

แล้วพ่อลุงก็ชวนข้าพเจ้าลุกขึ้นและเดินทางออกจากหุบผา ข้าพเจ้าไม่ได้พูดจาอะไรกับพ่อลุงอีกเลย สมองต้องขบคิดอย่างหนักต่อเหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับหุบเขาที่ข้าพเจ้าได้พบเห็นมานี้ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังใช้ความคิดอันนี้เอง ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นก็เห็นคุณสนิทกำลังเขย่าตัวอยู่บอกว่าจวนเวลาแล้ว จะเดินทางต่อไป ข้าพเจ้าจึงได้รู้สึกตัวว่าข้าพเจ้าได้ฝันไป ฝันอย่างยืดยาว ฝันอย่างประหลาด ข้าพเจ้าอยากให้เป็นความจริง ข้าพเจ้าจึงเล่าให้คุณสนิทฟังถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากนั้นเราได้รับประทานอาหารกันราวตี ๕ ของวันใหม่ แล้วก็ออกเดินทางกันต่อไป พอเข้าสู่ภูมิประเทศที่ถนนไต่ขึ้นไปบนไหล่เขา ช่างน่าประหลาดอะไรเช่นนั้นต้นไม้และทิวเขาทุกสิ่งทุกอย่างตลอดจนสันเขาที่ข้าพเจ้าจะเลี้ยวเดินลงที่ลาดเชิงเขา ช่างเหมีอนกับภาพในฝันของข้าพเจ้าทุกแห่ง แต่ไม่มีทุ่งลาด ข้าพเจ้ารู้สึกเสียดายอาลัยอาวรณ์ยิ่ง เมื่อจะจากไปรู้สึกราวกับว่าข้าพเจ้าได้จากสาวที่รักยิ่งคนหนึ่งอย่างไม่มีโอกาสที่จะได้พบกันได้อีกต่อไปในชีวิตนั้น ซึ่งสถานที่นั้นมีปรากฏอยู่จริงๆ และข้าพเจ้าก็ได้ผ่านไปทั้งฝันและทั้งตื่น


สาธุ สาธุ สาธุ

Image

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้ กฎแห่งกรรม โดย... ท.เลียงพิบูลย์
ในลานธรรมจักร dhammajak.net

http://www.dhammajak.net/dhamma/kam.php
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
ไม้อ่อน
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2007
ตอบ: 62

ตอบตอบเมื่อ: 10 พ.ค.2007, 12:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หรือจะเป็นนิมิตเมืองลับแลหนอ อายหน้าแดง
 

_________________
Image
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง