Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ลำธารริมลานธรรม (พระไพศาล วิสาโล) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.ค.2005, 3:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

20. ทุนที่ไม่มีวันหมด

หลังจากที่ หลวงพ่อชา สุภทฺโท ได้ริเริ่มบุกเบิกวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่ปี ๒๔๙๗ เป็นต้นมา วัดนี้ก็ค่อยๆ เติบโตจนกลายเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นเหตุให้มีผู้คนหลั่งไหลมาจาริกบุญศึกษาธรรมที่วัดนี้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งมีความคิดว่า วัดหนองป่าพงควรมีมูลนิธิเหมือนอย่างวัดอื่นบ้าง เพื่อวัดจะได้มีทุนดำเนินงานอย่างมั่นคง

เมื่อลูกศิษย์นำความดังกล่าวไปปรึกษาหลวงพ่อ ประโยคแรกที่ท่านตอบก็คือ

“อย่างนั้นก็ดีอยู่ แต่ผมคิดว่ามันยังไม่ถูกต้อง”

แล้วท่านก็ให้ความเห็นต่อว่า “ถ้าพวกท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วคงจะไม่อด พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่เคยมีมูลนิธิเลย ท่านก็โกนหัวปลงผมทำอะไรเหมือนพวกเรา ท่านก็ยังอยู่ได้ ท่านได้ปูทางไว้ให้แล้ว เราก็เดินตามทางของท่านก็น่าจะพอไปได้นะ”

แล้วหลวงพ่อก็สรุปว่า

“บาตรกับจีวรนี่แหละ มูลนิธิที่พระพุทธเจ้าตั้งไว้ให้เรา กินไม่หมดหรอก !”

หลวงพ่อชาเป็นอยู่อย่างมักน้อยสันโดษมาก กุฏิของท่านแทบจะโล่ง เพราะมีแต่เตียงนอนและของใช้ที่จำเป็น เช่น กระโถน ไม่มีของใช้ฟุ่มเฟือยเลย ส่วนวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่ญาติโยมนำมาถวายอยู่เสมอนั้น ท่านก็ส่งต่อไปให้ลูกศิษย์ตามวัดสาขาต่างๆ หมด

ท่านไม่เคยมีบัญชีเงินฝากส่วนตัว ปัจจัยหรือเงินทำบุญที่โยมถวายนั้น ท่านให้เป็นของกลางหมด “เราพอกิน พออยู่แล้ว จะมากอะไรทำไมนะ กินข้าวมื้อเดียว” ท่านเคยพูดให้ฟัง

บ่อยครั้งที่โยมมาตัดพ้อต่อว่า เพราะได้ปวารณาถวายปัจจัยไว้ให้ท่านใช้ในกิจส่วนตัว แต่หลวงพ่อไม่เคยเรียกใช้สักที ท่านเคยปรารภกับลูกศิษย์ว่า “ยิ่งเขามาปวารณาแล้ว ผมก็ยิ่งกลัว”

คราวหนึ่งมีผู้เอารถไปถวายหลวงพ่อ รบเร้าให้หลวงพ่อรับให้ได้ โดยขับรถมาจอดไว้หลังกุฏิท่าน แล้วเอากุญแจใส่ย่ามท่านไว้ แต่ปรากฏว่าหลวงพ่อไม่เคยไปดูรถคันนั้นเลย พอออกจากกุฏิท่านจะเดินไปทางอื่น จะไปในเมือง ท่านก็ขึ้นรถคันอื่น หลังจากนั้นเจ็ดวัน ท่านก็เรียกโยมคนหนึ่งมาหาแล้วบอกว่า “ไปบอกเขาเอารถกลับคืนไปนะ เอามาถวายข้อย ข้อยก็รับไปแล้ว ได้บุญแล้ว เดี๋ยวนี้ข้อยจะส่งคืน มันไม่ใช่ของพระ”

อีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจะไปวัดถ้ำแสงเพชร ลูกศิษย์ที่มีรถส่วนตัวคันงามยี่ห้อดัง ต่างแย่งกันนิมนต์ให้ท่านขึ้นรถของตนซึ่งจอดเรียงรายอยู่ที่ลานวัดให้ได้ หลวงพ่อกวาดตาดูสักครู่ ก็ชี้มือไปที่รถเก่าบุโรทั่งคันหนึ่งพร้อมกับพูดว่า “อ้า ไปคันนั้น” เจ้าของได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจสุดขีด รีบเปิดประตูนิมนต์ให้หลวงพ่อนั่ง

ว่ากันว่าการเดินทางวันนั้นใช้เวลานานกว่าปกติ เพราะขบวนรถคันงามความเร็วสูงต้องค่อยๆ ขับตามหลังรถโกโรโกโสไปโดยดุษณียภาพ


........

ยิ้ม
 

_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.ค.2005, 9:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

21. รู้ธรรมจากความประหยัด

มีศิษย์เพียงไม่กี่คนที่รู้ว่า ท่านอาจารย์พุทธทาส มี “สมบัติชิ้นเอก” อยู่ชิ้นหนึ่งสมบัติชิ้นนี้หาในกุฏิก็ไม่พบ เพราะอยู่ข้างกายท่านตลอดเวลา สมบัติชิ้นที่ว่าก็คือ แหนบถอนหนวด

แหนบดังกล่าวไม่ได้ทำด้วยวัสดุพิเศษอะไรเลย ออกจะด้อยคุณภาพด้วยซ้ำเพราะทำจากขาปิ่นโตที่ลูกศิษย์เอามาถวาย ท่านเพียงแต่เอาพับก็เป็นแหนบได้แล้ว หากจะมีความพิเศษก็ตรงที่เป็นของที่ท่านใช้มานานร่วม ๗๐ ปี คือตั้งแต่บวชมาได้ ๒ พรรษา แม้จนบั้นปลายชีวิตท่านก็ยังใช้แหนบดังกล่าวอยู่

ท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นพระที่ขึ้นชื่อ ในเรื่องความประหยัดและใช้สิ่งต่างๆ อย่างระมัดระวัง ท่านเคยเล่าว่าหากไม่ประหยัด สวนโมกข์คงจะ “พินาศ” ไปนานแล้วเนื่องจากตั้งอยู่ในป่าไกลจากแหล่งชุมชนมาก สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ จึงหาได้ยากไม่เหมือนปัจจุบัน แม้กระทั่งกระดาษชำระ ก็เป็นของมีค่าสำหรับสวนโมกข์

ท่านเคยเล่าว่า หากมีคนเอาวิมานมาให้ท่านหลังหนึ่งกับกระดาษชำระม้วนหนึ่ง ท่านขอเอากระดาษชำระม้วนเดียวเพราะกระดาษมีประโยชน์ ตรงกันข้ามกับวิมานซึ่งใช้ทำอะไรไม่ได้เลย เวลาฉันอยู่ หากมีแกงหก ท่านจะดึงกระดาษชำระ (แบบม้วน) มาใช้เพียงแผ่นเดียวเมื่อเช็ดเสร็จท่านจะไม่ทิ้ง แต่วางไว้บนโต๊ะ หากมีใครจะเก็บไปทิ้งท่านจะห้ามไว้ โดยให้เหตุผลว่าปล่อยไว้สักครู่กระดาษก็จะแห้ง สามารถเอามาเช็ดใหม่ได้อีก

กระดาษคาร์บอนที่ใช้พิมพ์สำเนาต้นฉบับสมัยนี้ใช้ ๒ - ๓ ครั้งก็ทิ้งแล้ว แต่ท่านจะใช้พิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้คาร์บอนจะจางแล้ว หากยังพิมพ์ได้อยู่ท่านก็ยังใช้ต่อจนคาร์บอนจะจางกระทั่งอ่านไม่ออก ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือต้นฉบับพิมพ์ดีดหลายพันหน้า ที่ออกจากสวนโมกข์สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นเรียกได้ว่าไม่เคยสัมผัสกับยางลบหมึกเลย

เวลาลูกศิษย์พิมพ์ผิด ท่านจะแนะให้ใช้เข็มซ่อนปลายค่อยๆ เขี่ยเอา การแก้ไขคำผิดด้วยวิธีนี้ ทำให้ลูกศิษย์ต้องพิมพ์ดีดอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้ผิด นับเป็นการฝึกสติอย่างดี

ท่านอาจารย์ไม่ได้ประหยัดเฉพาะกับอุปกรณ์ที่ต้องซื้อต้องหามาเท่านั้น กระทั่งของที่หาได้ง่ายๆ ในสวนโมกข์ ท่านก็ใช้อย่างระมัดระวัง เวลาฉันน้ำท่านจะเตือนให้ลูกศิษย์ใส่น้ำมาเพียงครึ่งแก้ว อย่าใส่เต็มแก้ว ท่านว่าท่านฉันครึ่งแก้วแล้ว ต้องทิ้งอีกครึ่งแก้วไม่เป็นการประหยัด เรียกว่าไม่ใช้น้ำด้วยสติปัญญา

ทุกวันนี้ เรามักได้ยินคำประกาศเชิญชวนให้ประหยัดน้ำไฟและอะไรต่อะไรมากมาย แต่การรณรงค์ให้ประหยัดในปัจจุบันมักเกิดจากความจำเป็นบีบบังคับ เช่นเพราะว่าทรัพยากรกำลังขาดแคลน สิ่งแวดล้อมกำลังวิกฤต

แต่สำหรับท่านอาจารย์พุทธทาส ความประหยัดไม่ได้เกิดจากความจำเป็นเท่านั้น หากยังเป็นคุณธรรมในตัวมันเอง นั่นหมายความว่า แม้สิ่งของจะมีมากก็ไม่ควรใช้อย่างฟุ่มเฟือย การใช้อย่างประหยัด นอกจากจะเป็นการฝึกให้มีสติใช้สิ่งของอย่างระมัดระวังและละเอียดละออแล้ว ยังทำให้พึ่งพิงวัตถุน้อยลง และเอื้อให้ชีวิตเป็นอิสระและโปร่งเบามากขึ้น

ท่านเคยเล่าว่า ธรรมะเป็นของละเอียด ดังนั้นคนที่จะรู้ธรรมะได้จึงต้องเป็นคนละเอียดละออ ความละเอียดละออนี้มาจากไหน ส่วนหนึ่งก็มาจากการใช้สิ่งต่างๆ อย่างระมัดระวังนั่นเอง


........

ยิ้ม
 

_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.ค.2005, 10:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

22. เผชิญเสือโคร่ง

พระอาจารย์ชอบ ฐานสโม เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต วิปัสสนาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคปัจจุบัน พระอาจารย์ชอบเป็นผู้ฝักใฝ่ในการเที่ยวธุดงค์กรรมฐาน และนิยมบำเพ็ญปฏิบัติอยู่ในป่าเขามาโดยตลอด เมื่อ ๔๐-๕๐ ปีก่อน ป่าดงพงไพรปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ สิงสาราสัตว์จึงมีอยู่อย่างชุกชุม พระอาจารย์ชอบจึงมักพานพบสัตว์ป่านานาชนิดอยู่ไม่ขาด

มีคราวหนึ่งท่านไปเที่ยวธุดงค์ในประเทศพม่า ขณะนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำราว ๕ โมงเย็นก็เห็นเสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอนตัวหนึ่งเดินมาหน้าถ้ำ แม้ท่าทางดูน่ากลัว แต่เมื่อมันมองเข้ามาในถ้ำสบตาท่าน แทนที่จะแสดงอาการกลัวหรือคำรามตามวิสัยสัตว์ป่า กลับมีอาการเฉยๆ เมื่อขึ้นมาถึงถ้ำแล้วก็กระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนก้อนหินด้านทางขึ้นถ้ำสูงประมาณ ๑ เมตร ห่างจากท่านประมาณ ๖ เมตร แล้วก็นั่งเลียแข้งเลียขา โดยหาได้สนใจท่านแต่อย่างใดไม่ ท่านว่ามันนั่งราวกับสุนัขบ้าน พอเลียแข้งเลียขาเหนื่อยก็นอนหมอบแบบสุนัขอีก แล้วก็เลียขาแล้วลำตัวต่อโดยไม่สนใจอะไร

แม้ท่าทีของมันจะไม่ดุร้ายแต่ท่านก็ไม่วางใจ จึงงดออกไปเดินจงกรมที่หน้าถ้ำเหมือนอย่างเคย ในใจรู้สึกหวาดเสียวเล็กน้อยแต่ก็นั่งภาวนาต่อไปตามปกติ เสือโคร่งนานๆ ก็หันมามองดูท่านสักครั้งหนึ่ง เป็นการมองอย่างธรรมดาๆ คล้ายกับมิตร แม้มันเลียแข้งเลียขาเสร็จนานแล้วแต่ก็ไม่ไปไหนต่อ จนมืดแล้วท่านจึงเข้าไปในกลดตกดึกท่านจะเข้านอนมันก็ยังอยู่ที่เดิม

ท่านตื่นนอนราวตี ๓ มองไปที่หน้าถ้ำ ก็ยังเห็นมันนอนอยู่ท่าเก่าจวบจนรุ่งเช้า ก็เกิดปัญหาขึ้นมาว่า ท่านจะไปบิณฑบาตได้อย่างไรในเมื่อมันนอนอยู่หน้าถ้ำ แต่ท่านตัดสินใจว่าจะต้องออกไป แม้ว่าทางที่จะเดินห่างตัวมันราว ๑ เมตรเศษๆ เท่านั้น

เมื่อท่านครองผ้าสะพายบาตรเสร็จก็ดำรงสติมั่น เจริญเมตตาแล้วพูดกับมันว่า “นี่ถึงเวลาออกบิณฑบาตแล้ว เราก็มีท้องมีปากมีความหิวกระหายเหมือนสัตว์โลกทั่วไป เราจะขอทางไปบิณฑบาตมาฉันหน่อยนะ จงให้ทางเราบ้าง ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ หรือจะไปเพื่อหาอยู่หากินที่ไหนก็ตามใจสะดวก เราไม่ว่า”

ท่านว่า มันนอนฟังท่านเหมือนสุนัขนอนฟังเจ้าของพูด พอพูดจบท่านก็เดินผ่านหน้ามัน ส่วนมันก็นอนสบายปล่อยให้ท่านเดินผ่านออกไป พลางชำเลืองดูด้วยสายตาอ่อนๆ

เมื่อท่านบิณฑบาตกลับมา ก็ไม่พบมันแล้ว นับแต่วันนั้นก็ไม่เห็นมันอีกเลย


........

ยิ้ม
 

_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.ค.2005, 10:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
ดอกพวงประดิษฐ์
..............................................................



23. จิตงดงาม ดอกไม้งาม

ผู้มีภูมิธรรมอันสูงส่ง ไร้ธุลกิเลสในดวงใจ ย่อมยังความสงบเย็นให้แก่ผู้อยู่รอบข้าง กระแสแห่งเมตตาบารมีมิเพียงแต่จะแผ่ไปยังสรรพสัตว์เท่านั้น แม้พรรณไม้ก็อาจได้รับอานิสงส์ดังกล่าวด้วย

ในช่วงปลายอายุขัยของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท ท่านป่วยด้วยโรคน้ำสมองไขสันหลังคลั่ง จำต้องมารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลสำโรง โยมผู้หนึ่งจึงได้กราบนิมนต์ท่านไปพักฟื้นยังที่พักสงฆ์ ซึ่งสร้างเป็นเอกเทศภายในบริเวณบ้านของเธอ ซึ่งไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก

ระหว่างที่หลวงพ่อพำนัก ณ ที่พักสงฆ์แห่งนั้น ปรากฏว่าพันธุ์ไม้ต่างๆ ภายในบริเวณบ้านพัก ผลิดอกออกช่อสะพรั่งพร้อมต่อเนื่องกันเป็นที่อัศจรรย์ใจ โดยเฉพาะไม้ดอกต้นหนึ่งที่ชื่อ พวงประดิษฐ์ ซึ่งแห้งเหี่ยวเฉาและไม่ออกดอกเลยมาเป็นเวลา ๘ ปีแล้ว นับแต่ปีที่บุตรชายของโยมเจ้าของบ้านได้เสียชีวิต แม้จะพยายามเอาใจใส่ดูแลรักษาเพียงใด แต่พวงประดิษฐ์ต้นนี้ก็ไม่ชูช่ออีกเลย

จนเมื่อหลวงพ่อเข้ามาพำนัก ต้นพวงประดิษฐ์ต้นนี้จึงกลับฟื้นตัว มีชีวิตชีวา แตกกิ่งก้านสาขาผลิใบงดงามอย่างรวดเร็วจนเป็นไม้พุ่มใหญ่ ทั้งยังออกดอกสีชมพูสดใสเป็นพวงระย้าทุกข้อทุกแขนง จนมองเห็นแต่พวงสีชมพูที่ระพ้นหญ้า และปกคลุมลำต้นเรื่อยขึ้นไปจนถึงยอด เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจแก่ผู้พบเห็น

หลวงพ่อเองเมื่อทราบเรื่องนี้ ท่านก็ได้ออกมายืนใกล้ๆ ต้นพวงประดิษฐ์อยู่เป็นเวลานาน ราวกับจะแผ่เมตตา และนับแต่นั้นมาพวงประดิษฐ์ต้นนี้ก็ออกดอกให้เจ้าของบ้านได้ชมทุกปี แต่ไม่มากมายสะพรั่งไปทั้งต้นเหมือนคราวที่หลวงพ่อมาพัก


........

ยิ้ม
 

_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 31 ก.ค.2005, 10:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

24. มีแต่ไม่เอา

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพธรรมคนสำคัญที่สุดของจังหวัดสุรินทร์ จวบจนมรณภาพเมื่อปี ๒๕๒๖ ด้วยอายุ ๙๖ เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ วัดบูรพาราม ในอำเภอเมือง เป็นจุดหมายปลายทางของผู้ใฝ่ธรรมทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์

หลวงปู่ดูลย์ หรือพระราชวุฒาจารย์ เป็นศิษย์รุ่นแรกของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร และเป็นสหายธรรมของหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ดังนั้นจึงเป็นที่เคารพนับถือของพระกรรมฐานรุ่นหลังๆ เป็นอย่างมาก

แม้จะมีประสบการณ์โชกโชนในฐานะพระป่า เชี่ยวชาญในกรรมฐานทั้งฝ่ายสมถะและวิปัสสนา แต่ท่านไม่เคยอ้างตนเป็น “ผู้วิเศษ” เวลามีใครมาชวนคุยเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ และสิ่งอาถรรพณ์ลี้ลับ ท่านจะตัดบทหรือไม่สนใจเอาเลย แม้จะมีใครมาขอให้ท่านช่วยกำหนดฤกษ์ยาม เช่นหาวันดีที่จะบวช หรือหาฤกษ์จัดงานมงคล ท่านมักบอกว่า “วันไหนก็ได้ วันไหนก็ดี”

อย่างไรก็ตาม ท่านยอมรับว่า วัตถุมงคลยังมีประโยชน์อยู่บ้าง สำหรับคนบางจำพวก ดังท่านเคยกล่าวว่า “สำหรับผู้มีจิตใจเพลิดเพลินอยู่ ยังยินดีในการเกิดตายในวัฏฏสงสาร ยังไม่สามารถหันมาสู่การปฏิบัติธรรมได้ ก็ให้อาศัยวัตถุภายนอกเช่นวัตถุมงคลเช่นนี้เป็นที่พึ่งไปก่อน” แต่ท่านก็เตือนว่าวัตถุมงคลนั้น “ไม่มีอะไร เป็นเพียงช่วยด้านกำลังใจเท่านั้น”

คราวหนึ่งมีคนเอาเครื่องรางของขลังออกมาอวดกันเองต่อหน้าท่าน คนหนึ่งมีเขี้ยวหมูตัน อีกคนมีนอแรด ต่างอวดว่าของตนวิเศษ ดีอย่างนั้นอย่างนี้ มีคนหนึ่งถามท่านว่าอย่างไหนวิเศษกว่ากัน

ท่านตอบว่า “ไม่มีดี ไม่มีวิเศษอะไรหรอก เป็นของสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน”

นอกจากจะไม่แสดงตัวเป็นผู้วิเศษแล้ว ท่านยังไม่อวดอ้างว่าเป็นพระอริยะ แม้จะมีคนจำนวนมากที่เชื่อเช่นนั้น แต่ถึงจะซักไซ้ไล่เลียงถามถึงคุณวิเศษของท่านเพียงใด ท่านก็ไม่เคยอวดตน

เคยมีคนถามหลวงปู่สั้นๆ ว่า ท่านยังมีความโกรธอยู่ไหม

แทนที่ท่านจะตอบว่า หมดโกรธ หมดโลภ หมดหลงแล้ว ท่านตอบสั้นๆ ว่า “มี แต่ไม่เอา”


........

ยิ้ม
 

_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 31 ก.ค.2005, 10:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

25. เสียงเกี๊ยะ

ธรรมะนั้นไม่จำเป็นต้องสอนด้วยการเทศน์เสมอไป หากมองให้เป็นทุกข์สิ่งทุกอย่างก็สอนธรรมแก่เราตลอดเวลา แต่บางครั้งก็ต้องมีผู้รู้มากระตุ้นให้ฉุกคิด

ครั้งหนึ่ง หลวงปู่บุดดา ถาวโร ได้รับนิมนต์ไปฉันเพลที่บ้านโยมในกรุงเทพฯ เมื่อฉันเสร็จแล้ว เจ้าของบ้านเห็นหลวงปู่เดินทางมาเหนื่อย จึงขอให้ท่านเอนกายพักผ่อนก่อนเดินทางกลับ

ระหว่างนั้นข้างห้องซึ่งเป็นร้านขายของ มีคนเดินลากเกี๊ยะกระทบพื้นบันไดเสียงดัง ศิษย์คนหนึ่งทนเสียงเกี๊ยะไม่ได้ จึงบ่นว่า “แหม เดินเสียงดังเชียว”

หลวงปู่ซึ่งนอนหลับตาอยู่จึงพูดเตือนว่า

“เขาเดินของเขาอยู่ดีๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง”


........

ยิ้ม
 

_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 31 ก.ค.2005, 10:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

26. ต่ออายุพ่อแม่

เมื่อครั้งยังเป็นคฤหัสถ์ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เคยมีอาชีพเป็นพ่อค้า ไปทำมาค้าขายที่ประเทศลาวอยู่เป็นประจำ เมื่อบวชแล้วท่านก็ยังได้รับนิมนต์ให้ไปสอนธรรมที่นั้นอยู่หลายครั้ง เนื่องจากวัดป่าพุทธยานซึ่งเป็นสำนักแรกที่ท่านบุกเบิกที่จังหวัดเลยนั้น อยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำโขงเท่าใดนัก

แนวการสอนธรรมของหลวงพ่อไม่เหมือนพระรูปอื่นๆ ท่านเน้นที่แก่นธรรมมากกว่ากระพี้ จึงพยายามชักชวนผู้คนให้ปฏิบัติธรรมแทนที่จะหมกมุ่นกับพิธีรีตอง แต่ท่านไม่ได้ชักชวนด้วยการพูดเฉยๆ หากมักจะทำให้เป็นแบบอย่าง

ในการจาริกไปประเทศลาวครั้งหนึ่ง ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปสวดต่ออายุโยมคนหนึ่งซึ่งเป็นแม่ของเจ้าภาพ เมื่อไปถึงท่านก็นิ่งเงียบ ไม่ได้สวดเหมือนพระรูปอื่นๆ เจ้าภาพจึงไม่ถวายจตุปัจจัย แต่หลวงพ่อหาได้สนใจไม่ เสร็จพิธีแล้วหลวงพ่อก็ได้ชี้แจงเจ้าภาพว่า หากต้องการต่ออายุพ่อแม่ จะต้องทำดีต่อท่าน ไม่ใช่เพียงแค่นิมนต์พระมาสวดแล้วหวังว่าท่านจะอายุยืน

กล่าวจบ ท่านก็ชวนลูกๆ ให้กราบพ่อแม่ตามท่าน ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นเช่นนั้นก็ตกใจ ฮือฮากันว่าผิดประเพณี เพราะไม่เคยเห็นพระกราบโยม

หลวงพ่อจึงอธิบายว่า “อาตมาไม่ได้กราบโยม อาตมากราบตัวเองที่สามารถสั่งสอนคนให้เข้าใจได้ว่า การต่ออายุที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร”


........

ยิ้ม
 

_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 5:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

27. คำเฉลย

ปัญหาหนึ่งที่คนชอบถามหลวงพ่อชา สุภทฺโท ก็คือ “ชาติหน้ามี จริงหรือไม่ ?”

เมื่อเจอคำถามแบบนี้ หลวงพ่อมักถามกลับว่า “ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ ?”

“เชื่อครับ”

หลวงพ่อจะตอบกลับว่า “ถ้าเชื่อ คุณก็โง่”

อีกคำถามหนึ่งที่ใกล้เคียงกันก็คือ “คนตายแล้วเกิดไหมครับ ?”

หลวงพ่อก็จะย้อนกลับในทำนองเดียวกันว่า “จะเชื่อไหมล่ะ ถ้าเชื่อคุณโง่หรือฉลาด ?”

ใครได้ยินเสียงต้องงง หลวงพ่อจึงต้องขยายความต่อว่า เรื่องแบบนี้ไม่มีหลักฐานจะพิสูจน์ให้เห็นได้ คนส่วนใหญ่จึงต้องเชื่อตามเขาว่า “ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป”

ไม่ใช่แต่คนไทยเท่านั้นที่สนใจเรื่องชาติหน้า ฝรั่งก็อยากรู้เหมือนกัน คราวหนึ่งหลวงพ่อได้รับนิมนต์ไปสอนธรรมประเทศอังกฤษ แหม่มคนหนึ่งตามหลวงพ่อว่า “คนตายแล้วไปไหน ?”

หลวงพ่อแทนที่จะตอบ กลับเป่าเทียนที่อยู่ใกล้ๆ ให้ดับ แล้วถามว่า “เทียนดับแล้วไปไหน ?”

แหม่มรู้สึกงุนงงกับคำตอบที่ได้รับจึงนิ่งเงียบไป หลวงพ่อถามต่อว่า “พอใจหรือยัง ที่ตอบปัญหาอย่างนี้”

แหม่มตอบว่า “ไม่พอใจ”

“เราก็ไม่พอใจคำถามของเธอเหมือนกัน”
คือคำตอบของหลวงพ่อ



<<<<< จบ <<<<<

ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
บุญชัย
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 ก.ค. 2008
ตอบ: 568
ที่อยู่ (จังหวัด): สงขลา

ตอบตอบเมื่อ: 23 ส.ค. 2008, 3:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โมทนาด้วยครับ สาธุ ซึ้ง
 

_________________
ทำดีทุกทุกวัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง