Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ไม่ได้สร้างกรรมชั่วแต่ได้รับชั่วบอกว่าเป็นกรรมเก่า แต่พอสร้า อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
T
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2005, 3:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อันนี้พบเจอโดยทั่วไปมีผู้ใดอธิบายให้กระจ่างทีครับ
 
T
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2005, 3:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพราะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้คนปัจจุบันไม่อยากทำความดีเพราะมักไม่ให้ผลทันทีหรือไม่ได้รับเลย มีแต่รับกรรมเก่าตลอด ซึ่งไม่รู้ไปสร้างไว้ตอนไหน
 
T
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2005, 3:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้อคิดเห็นส่วนตัว ทำมัยไม่มีผู้รู้ที่สามารถเห็นว่านรก สวรรค์ มีอยู่จริงแสดงอะไรสักอย่าง สักครั้ง ที่ปรากฎต่อสายตา ให้คนที่ได้รู้ ได้เห็น เกิดความเชื่อมั่น ศรัทธา และเกรงกลัว ละอาย ต่อบาป หันมาสร้างบุญ สร้างกุศล แทนที่จะคิดว่ากลัวคนจะงมงาย

หรือบอกว่าต้องรู้ด้วยตัวเอง



อีกอย่างหนึ่งถ้าวิเคราห์ตรงจุด คือคนไม่เชื่อ หรือไม่มีโอกาสที่จะปฎิบัติให้เกิดความเชื่อ หรือเห็นในเรื่องบาปได้ จึงทำให้คิดว่า ไม่มีหรอก ทำไปเถอะ ตายไปก็จบ ทุกอย่างจบ ไม่มีเกิด ทุกอย่างดับวูบ อย่างนี้แล้วคนก็คิดแต่จะหาความสุขใส่ตัว

จึงทำให้สังคมทุกวันวุ่นวาย เพราะคิดว่าศาสนาเป็นแค่เครื่องมือการอยู่ร่วมกัน แต่คนปัจจุบันคิดแต่เอาความสุขส่วนตัวเท่านั้น



ทุกท่านคิดว่าควรแก้ไข หรือ ชี้นำอย่างไร
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2005, 11:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=d_dhamma&No=2175


http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=d_dhamma&No=2160
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2005, 11:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรรมชั่วและกรรมดี


http://www.dhammajak.net/book/kam/kam03.php



หลักฐานเรื่องนรกสวรรค์จากพระไตรปิฎก


http://www.dhammajak.net/book/kam/kam10.php
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ความเห็น
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 มิ.ย.2005, 6:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ด้วยเหตผลดังที่กระทู้กล่าวกระมังครับ พระพุทธองค์จึงมีธรรมมะให้ปฏิบัติที่ลึกซึ่งขึ้นไปอีกในชั้นต่อไปเป็นแนวทางไว้ให้สำหรับผู้ที่เริ่มหลุดพ้นจากความคิดที่ว่าการปฏิบัติธรรมมีเพียงทำดีละเว้นความชั่วเช่นการสอนของศาสนาทั่วไปเท่านั้น หรืออาจเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าผู้นั้นเริ่มเข้าใจหรือเห็นแสงสว่างของธรรมะไรไรสามารถก้าวไปสู่ความคิดต่อไปคือแสวงหาหนทางอันทำจิตให้บริสุทธิเป็นการปฏิบัติธรรมที่สูงขึ้น ด้วยสมาธิและวิปัสสนา

หากต้องการเห็นผลการปฏิบัติแบบทันที ต้องขยับการปฏิบัติธรรมให้สูงขึ้นกว่าการทำแค่ความดีละเว้นชั่ว คือการปฏิบัติให้เข้าถึงสมาธิและวิปัสนาให้สำเร็จไปทีละขั้นละขั้นไปครับ ถึงจะสำเร็จเพียงแค่ขั้นต่ำต่ำก็ยังสามารถเห็นผลจากการปฏิบัติได้ในทันที สำหรับวิธีการต้องเสาะแสวงหาและเรียงลำดับแต่ละขั้นที่เราควรจะปฏิบัติด้วยตนเองครับ เพราะมีคำสอนเป็นแนวทางให้เลือกทำเยอะแยะมาก เดี๋ยวนี้มีทั้งที่อธิบายเป็นบาลีอ่านเข้าใจยากและที่เป็นภาษาไทยธรรมดาด้วย ลองค้นคว้าดูหลายหลายแหล่งแล้วเลือกมาทำครับแต่สำคัญเลยต้องปฏิบัติและทำต่อเนื่องเป็นกิจวัตรเลย แล้วจะเริ่มเข้าใจว่าแก่นแท้ของคำสอนในพุทธศาสนาคืออะไรทีละนิดทีละนิดแบบไม่มีคำพูดอธิบายเลย
 
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 มิ.ย.2005, 7:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การปลูกต้นไม้วันนี้ จะให้เกิดดอกออกผลวันนี้ทันทีคงเป็นไปไม่ได้คงเห็นแต่เพียงต้นที่ปลูกไว้ ซึ่งถ้าไม่ดูแลรักษาให้ดีเพียงพอ ก็จะไม่เกิดดอกออกผล ฉันใดก็ฉันนั้น การทำบุญหรือบาป บางเรื่องเห็นผลเร็ว เหมือนพืชอายุสั้น บางเรื่องเห็นผลช้าเหมือนผลไม้

แต่ตัวต้นไม้ที่มองเห็น ทันทีเปรียบเหมือนความสุขหรือความทุกข์ทางใจในระยะสั้น ๆ ถ้าเราได้ลองช่วยเหลือใครหรือทำความดี หรือแม้แต่ความชั่วเช่นลักทรัพย์ฯลฯก็ตาม ลองถามใจในระยะสั้น ๆ ก็จะรู้ดีว่าเป็นเช่นไร ซึ่งความรู้สึกเป็นสุขหรือทุกข์เช่นนั้นเป็นความรู้สึกที่รู้ได้เฉพาะตัวใช่ไหม ตัวอย่างนี้เป็นเพียงผลบุญและบาปชั้นต้นที่สามารถสัมผัสได้ทันที ส่วนความละเอียดของบุญและบาป ก็ต้องแล้วแต่สภาพจิตของแต่ละคน คนที่จิตใจหยาบมาก ๆ เวลาไปลักทรัพย์ของใคร ก็จะมีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ที่กลัวว่าจะถูกจับได้ แต่ถ้าเป็นสุจริตชนแล้วคิดว่าน่าจะสัมผัสกับบุญและบาปขั้นต้นนี้ได้
 
น้องพี่บอย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 มิ.ย.2005, 9:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยคิดท้อแท้ใจ ที่ทำดีแทบตายแล้วไม่ได้ดีดังหวังสักที แต่เมื่อได้อ่านลิ้งค์ที่พี่ปุ๋ย นำมาให้อ่านแล้ว ผมเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วครับ

ผมจะรอผลกรรมดีตอบสนองด้วยความอดทนครับ ผมเริ่มมีความมั่นใจแล้วว่า สักวันหนึ่งความดีที่ผมทำไว้ จะงอกผลออกมาให้ผมเหมือนกับการบ่มเพาะเมล็ดพืชที่ต้องใช้เวลาเพาะมีเวลางอกของมัน ......ถ้าผมมีโอกาส ผมจะไปรักษาศีลที่วัดอย่างคนอื่นเค้ามั่ง อย่างเช่น วัดมเหยงค์ งี้อ่ะครับ...ขอบคุณพี่ปุ๋ย ครับ.
 
T
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 มิ.ย.2005, 8:00 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณทุกๆท่านในที่นี้ด้วยครับที่ช่วยกันให้ความเห็นในกระทู้ที่ผมตั้งขึ้น เนื่องจากว่าในความเป็นจริงมีคนมากมายมองแบบนี้จึงทำให้สังคมเรา เป็นเหมือนอย่างปัจุบันคือเสื่อมมากขึ้น อนึ่งผมคิดว่าเหตข้อนี้แหละที่ทำให้คนไม่คิดทำดี สำคัญที่สุดนะความคิดผม
 
อิทธิ
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 22 มิ.ย. 2005
ตอบ: 6

ตอบตอบเมื่อ: 29 มิ.ย.2005, 9:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนโดยทั่วไปเวลาพบกับสิ่งที่ดีๆ มีความสุข ย่อมที่จะมองไม่เห็นทุกข์เป็นธรรมดา

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ให้ละชั่ว ทำความดี และทำจิตให้ผ่องใส คนส่วนใหญ่ไม่ละชั่วและไม่ทำความดี ทำกรรมเช่นไรย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ทำดีต้องได้ดีแน่นอน ถ้าทำไม่ดีมาแล้วกรรมที่ไม่ดีต้องเกิดขึ้แน่นอน กรรมคือการกระทำ ถ้าท่านเป็นผู้กินแต่ไปให้ผู้อื่นอิ่มแทนคงเป็นไปไม่ได้นะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 มิ.ย.2005, 12:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ใช่แล้วครับ คนส่วนใหญ่ ย่อมยังไม่เชื่อมั่นในเรื่องกรรม และผลของกรรม ในระดับข้ามภพข้ามชาติ มักคิดว่า กรรมชั่วถ้าทำแบบหลบซ่อนไว้ ไม่ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับได้ ย่อมไม่มีผล เป็นเพราะความไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต บดบังเอาไว้



ด้วยเหตุนี้ บุคคลเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงบังเกิดขึ้นมาครับ เพื่อที่จะมาบอกกล่าวเรื่องราวเหล่านี้ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ว่า คนเราเวียนว่ายตายเกิดจริงนะ และผลของชาติใหม่ จะขึ้นกับวิบากกรรมในชาตินี้จริงนะ การเกิดเป็นทุกข์นะ เกิดบ่อยๆ ก็ทุกข์บ่อยๆ นะ ทางออกจากทุกข์มีนะ ทำอย่างนี้สิ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ใส ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไปจนถึงที่สุด เป็นต้น พระองค์จึงถือว่ามีพระคุณมากๆๆๆๆ เลยครับ



ลองคิดดูว่า ถ้ามาเกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อะไรจะเกิดขึ้น ก็ขนาดอยู่ในยุคที่พระองค์ตรัสรู้ แต่ปรินิพพานไปแล้ว คำสอนของพระองค์แม้ยังอยู่ แต่เริ่มเรือนราง ก็ยังคงเป็นประโยชน์กับผู้ปฏิบัติ แต่ถ้าไม่มีพระองค์ จะมีใครมาบอกว่า ดำเนินชีวิตอย่างใดถูกต้อง อย่างใดผิดพลาด ผมคนหนึ่งล่ะ เวลาทำความดี จะอธิษฐานไปตลอดว่า ถ้าบุญบารมียังไม่เต็มเปี่ยม ขอให้ได้มาเกิดในยุคที่คำสอนของพระพุทธเจ้า ยังดำรงอยู่ และตัวเองก็เข้าใจในคำสอนนั้น (มีสัมมาทิฐฐิ) และละชั่ว ทำดี ทำใจให้ใส ไปตลอดทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งอยู่เป้าหมายสูงสุดของชีวิตเลยทีเดียวครับ



 
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มิ.ย.2005, 12:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตามความรู้ที่ได้ศึกษามา





การกระทำใดก็ตามที่ทำให้ได้ผลสุดท้ายคือความสบายใจ การกระทำนั้นจะเรียกว่าการทำบุญ หรือการทำความดี

การกระทำใดก็ตามที่ทำให้ได้ผลสุดท้ายคือความไม่สบายใจ การกระทำนั้นเรียกว่าการทำบาป หรือการทำความชั่ว



ทำบุญต้องได้บุญ ทำบาปต้องได้บาป เสมอครับ และส่งผลทันทีที่ทำเลยครับ





คนเราทำดีเพื่ออะไร เพื่อให้ใจสบาย คลายความทุกข์ ใช่ไหมครับ

หรือคนเราทำความดีเพื่ออย่างอื่น เช่นคนเราบริจาคทานเพราะหวังว่าความดีที่ทำไปจะส่งผลให้ร่ำรวย ซึ่งมันก็คนละเรื่องกัน มันจะส่งผลให้ได้อย่างไร คนส่วนใหญ่คิดกันแบบนี้จึงเกิดปัญหาทำดีไม่ได้ดีเพราะคิดกันผิด ๆ ...แต่ที่แน่ ๆ เมื่อเราบริจาคทาน ความดีส่งผลไปที่ใจเราทันที เราจะรู้สึกอิ่มเอิบใจ สบายใจ นั่นล่ะผลของความดีที่เราทำ เพียงแค่นี้ก็พอจะคลายความทุกข์ที่ติดตัวเรามาได้บ้าง



"ไม่ได้สร้างกรรมชั่วแต่ได้รับชั่วบอกว่าเป็นกรรมเก่า " ขอทำความเข้าใจว่าคนเราเกิดมาพร้อมกับความทุกข์อยู่แล้ว กรรมชั่วคือการกระทำที่ทำให้คนเราเกิดความไม่สบายใจ เป็นทุกข์ใจ คนเราแม้ไม่ได้ทำชั่วก็มีความทุกข์(ได้รับชั่ว)อยู่ได้เสมอ เป็นเรื่องธรรมดาครับ อาจเรียกว่าเป็นกรรมเก่าก็ได้ มีกันทุกคน





"ทำมัยไม่มีผู้รู้ที่สามารถเห็นว่านรก สวรรค์ มีอยู่จริงแสดงอะไรสักอย่าง สักครั้ง ที่ปรากฎต่อสายตา ให้คนที่ได้รู้ ได้เห็น เกิดความเชื่อมั่น ศรัทธา และเกรงกลัว ละอาย ต่อบาป หันมาสร้างบุญ สร้างกุศล แทนที่จะคิดว่ากลัวคนจะงมงาย "





นรกสวรรค์ในมุมมองของคุณ T เป็นแบบที่ว่าทำชั่วแล้วต้องไปตกนรกปีนต้นงิ้วอะไรทำนองนั้นใช่ไหมครับ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็อย่าหาเลยครับผู้รู้ที่จะมาแสดงสิ่งเหล่านี้ให้เห็นจริง นรกสวรรค์แบบนี้ไม่มีใครพิสูจน์แสดงให้เห็นได้ อาจจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ได้ สมมติว่าผมรู้ว่ามีจริง ผมเล่าให้ใครฟังโดยที่ไม่สามารถแสดงหรือพิสูจน์ให้ใคร ๆ เห็นได้ .......มันจะมีประโยชน์อันใดที่จะเล่า



...เรื่องนรกสวรรค์ในมุมมองของผม ผมก็เคยโพสท์ในกระทู้ก่อน "สวรรค์ในอก นรกในใจครับ" ทำดีสบายใจคือขึ้นสวรรค์ ทำชั่วเป็นทุกข์ใจคือตกนรก .....

คิดได้แค่นี้ คนเราก็อยากทำดีกันแล้วล่ะครับ
 
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มิ.ย.2005, 1:20 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตามความรู้ที่ได้ศึกษามา





การกระทำใดก็ตามที่ทำให้ได้ผลสุดท้ายคือความสบายใจ การกระทำนั้นจะเรียกว่าการทำบุญ หรือการทำความดี

การกระทำใดก็ตามที่ทำให้ได้ผลสุดท้ายคือความไม่สบายใจ การกระทำนั้นเรียกว่าการทำบาป หรือการทำความชั่ว



ทำบุญต้องได้บุญ ทำบาปต้องได้บาป เสมอครับ และส่งผลทันทีที่ทำเลยครับ





คนเราทำดีเพื่ออะไร เพื่อให้ใจสบาย คลายความทุกข์ ใช่ไหมครับ

หรือคนเราทำความดีเพื่ออย่างอื่น เช่นคนเราบริจาคทานเพราะหวังว่าความดีที่ทำไปจะส่งผลให้ร่ำรวย ซึ่งมันก็คนละเรื่องกัน มันจะส่งผลให้ได้อย่างไร คนส่วนใหญ่คิดกันแบบนี้จึงเกิดปัญหาทำดีไม่ได้ดีเพราะคิดกันผิด ๆ ...แต่ที่แน่ ๆ เมื่อเราบริจาคทาน ความดีส่งผลไปที่ใจเราทันที เราจะรู้สึกอิ่มเอิบใจ สบายใจ นั่นล่ะผลของความดีที่เราทำ เพียงแค่นี้ก็พอจะคลายความทุกข์ที่ติดตัวเรามาได้บ้าง



"ไม่ได้สร้างกรรมชั่วแต่ได้รับชั่วบอกว่าเป็นกรรมเก่า " ขอทำความเข้าใจว่าคนเราเกิดมาพร้อมกับความทุกข์อยู่แล้ว กรรมชั่วคือการกระทำที่ทำให้คนเราเกิดความไม่สบายใจ เป็นทุกข์ใ
 
T
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มิ.ย.2005, 8:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คืออันนี้จริงครับ

แต่โดยส่วนใหญ่มักจะคิดไปในแนวว่าเมื่อสวรรค์อยู่ในอก นรกในใจ ดังนั้นผู้คนที่คิดชั่ว ทำชั่ว จึงมองว่าเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็ทำกรรม แล้วเก็บไว้ ทำใจให้ไม่ทุกข์ หรือสุขมากกว่า เช่น คนที่ชอบข่มขืนผู้หญิง ทำแล้วมีความสุขมากกว่าทุกข์เสียอีก บางคนก็ทำเรื่อยๆ บอ่ยๆ ไม่มีใครจับได้ หรือรู้ก็มี เพราะคิดว่าผลกรรมสามารถหลบหนีตำรวจได้หลากหลายวิธี ถ้ารอด ก็ถือว่าพ้นกรรม เพราะมันไม่มีอะไร ตายไปก็สูญ



อะไรแบบครับ แต่ในส่วนตัวผมเชื่อเรื่องกรรมอยู่แล้วนะครับแต่อยากจะหาเหตุผลให้เชื่อยิ่งๆขึ้นไปอีก



ขอบคุณครับ
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มิ.ย.2005, 12:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดังที่คุณ T ให้ความเห็นมาก็ถูกต้องครับว่า ถ้าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ย่อมทำให้คนกลุ่มหนึ่ง คิดไปว่า เราก็ทำชั่วแล้ว ทำใจให้สบายก็ใช้ได้แล้ว เป็นอันว่าไม่มีนรกสำหรับเรา คนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยเลยจะคิดอย่างนี้



แล้วทำไม ไม่ทำให้กฏแห่งกรรมเกิดขึ้นแบบเห็นผลในทันที สำหรับทุกๆ กรณี อันนี้เป็นเพราะว่า พระพุทธเจ้า ท่านไม่ใช่ผู้ออกแบบและสร้างกฏแห่งกรรมขึ้นมาครับ พระองค์เป็นเพียงผู้ค้นไปพบกฏแห่งกรรมเท่านั้นเอง



พระองค์ค้นพบไปด้วยว่า กฏนี้มีอยู่ และมีอยู่มานานแสนนานมากๆ แล้ว นานเกินจินตนาการเลยทีเดียว และผู้ออกกฏเขาก็ตั้งกฏไว้แบบนี้เสียด้วย เหมือนกับต้องการไม่ให้มนุษย์รู้เรื่องนี้ เพื่อมนุษย์จะได้หลงไหลเพลิดเพลินใจในสิ่งล่อของเขา จะได้ไม่มีใจมาแสวงหาความเป็นจริงของชีวิต



แสดงว่า (กฏนี้ไม่ใช่กฏแห่งความยุติธรรม) แต่เป็นกฏเกณฑ์ที่ออกมาเพื่อถ่วงเวลา ให้มนุษย์รู้ความจริงของชีวิต ช้าที่สุด และน้อยที่สุด แต่ทำอย่างนั้นไปทำไม ก็เพื่อให้มนุษย์ หลงเวียนวนติดข้องอยู่ในสังสารวัฏ ไม่คิดแสวงหาทางหลุดพ้น แล้วทำเช่นนั้นไปทำไม ผู้เห็นธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะรู้ครับ แต่ผมยืนยันได้อย่างหนึ่ง ดังที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า "ผลทุกอย่าง ย่อมมาแต่เหตุ"



การกระทำเช่นนี้ ย่อมมีสาเหตุของการกระทำอย่างแน่นอนครับ





 
วิสัชชนา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ค.2005, 3:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณกำลังสงสัยในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นข้อห้ามอย่างหนึ่งในการทำสมาธิ

จริงอยู่ศาสนาพุทธมีการสอนเรื่องกรรมดี กรรมชั่ว กรรมเก่า ชาตินี้ ชาติที่ผ่านมา

แต่สิ่งสำคัญที่พระพุทธเจ้าสอนก็คือการดับทุกข์ภายในใจ ซึ่งเราสามารถเรียนรู้และนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ได้ในชีวิตปัจจุบัน เช่น ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่หรือเกิดขึ้น ไม่นานมันก็ดับไป

และท่านจงพึงระลึกอยู่เสมอว่า ขณะนี้ท่านอยู่ในปัจจุบัน อย่าไปกังวลถึงอดีตหรืออนาคตมากนัก มันจะทำให้ใจของท่านเป็นทุกข์ในปัจจุบัน

ฉะนั้น เมื่อเกิดความทุกข์ขึ้นภายในใจแล้ว ทำไมไม่ใช้ธรรมขจัดทุกข์ให้ออกจากใจไปโดยเร็วที่สุด
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง