Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สดับปกรณ์ (เสฐียรพงษ์ วรรณปก) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
webmaster
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 04 มิ.ย. 2004
ตอบ: 769

ตอบตอบเมื่อ: 23 ก.พ.2008, 7:24 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

สดับปกรณ์
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก



จำได้ว่าใน งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของสมเด็จย่า มีการถ่ายทอดพระราชพิธีทางทีวี ให้ประชาชนได้ชมกันทั่วประเทศ พระสงฆ์ได้รับนิมนต์มาสวดหน้าพระบรมศพ พิธีกรบอกผู้ชมผู้ฟังว่า พระสงฆ์จำนวนเท่านั้นเท่านี้ “สดับปกรณ์” แม้ใน งานพระราชพิธีพระศพของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระพิธีธรรมก็รับนิมนต์มา “สดับปกรณ์” เช่นกัน

หลายคนถามผมว่า “สดับปกรณ์” คืออะไร

คำว่า “สดับปกรณ์” มาจากคำเดิมว่า “สัตตัปปกรณ์” ซึ่งแยกเป็น สัตต (เจ็ด) + ปกรณ์ (คัมภีร์) รวมเป็น สัตตัปปกรณ์ แล้วก็กร่อนเป็น สดับปกรณ์

สดับปกรณ์ จึงหมายถึง อภิธรรม 7 คัมภีร์ คำนี้ความจริงเป็นคำนามใช้เรียก อภิธรรม 7 คัมภีร์ แต่เห็นใช้เป็นคำกริยาได้ด้วยว่า “พระสงฆ์สดับปกรณ์ (คือ สวดอภิธรรม 7 คัมภีร์)” และใช้เรียกผ้าบังสุกุลว่า “ผ้าสดับปกรณ์”

ถ้าเป็นงานศพสามัญชน เราเรียกการสวดแบบนี้ว่า “สวดมาติกา” ส่วนสดับปกรณ์ใช้เฉพาะกับงานพระราชทานเพลิงศพเจ้านายชั้นสูง ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป

อภิธรรม 7 คัมภีร์ ที่พระสงฆ์นำมาสวดนี้ ไม่ได้สวดหมดทั้ง 7 คัมภีร์ สวดเฉพาะ “หัวข้อ” หรือ “แม่บท” ของพระคัมภีร์ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสสรุปใจความสั้นๆ อันเรียกว่า “มาติกา” (แม่บท, หัวข้อใหญ่)

7 คัมภีร์ที่ว่านี้คืออะไรบ้าง ถ้าไม่นำมาเล่าให้ฟังก็จะไม่เป็นบทความที่ครบถ้วน จึงต้อง “กัดฟัน” นำมาลงให้อ่าน (ที่ต้อง “กัดฟัน” ก็เพราะอภิธรรมนั้นเป็นพระไตรปิฎกส่วนที่ว่าด้วยเนื้อหาลึกซึ้ง อ่านไม่ค่อยจะเข้าใจ ยิ่งเป็นบท “มาติกา” สั้นๆ ด้วยแล้วยิ่งยากขึ้นอีกหลายเท่า)

อภิธรรม 7 คัมภีร์ คือ

1. ธัมมสังคณี รวบรวมหัวข้อธรรมต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ มาจัดเข้าเป็นกลุ่มๆ แล้วแยกออกอธิบายเป็นประเภทๆ

2. วิภังคะ แยกแยะหัวข้อธรรมที่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ในข้อ 1 นั้นออก แสดงให้เห็นรายละเอียดโดยพิสดาร

3. ธาตุกถา จัดธรรมที่กล่าวไว้ในธัมมสังคณีและวิภังค์เข้าเป็น 3 ประเภท คือ ขันธ์ อายตนะ และธาตุ ว่าเข้ากันได้หรือไม่โดยชาติ สัญชาติ กิริยา และคณนา

4. ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วยการบัญญัติเรียกบุคคลตามคุณธรรมหรือคุณสมบัติที่มีในบุคคลนั้น จัดเป็นพวกๆ และอธิบายให้เห็นลักษณะอาการของบุคคลที่บัญญัติเรียกอย่างนั้นๆ โดยชัดเจน
5. กถาวัตถุ ว่าด้วยคำถามคำตอบแสดงทรรศนะที่ขัดแย้งกันของนิกายต่างๆ ในพระพุทธศาสนายุคแรกๆ (ในราวพุทธศตวรรษที่ 2-3) รวม 18 นิกาย แล้วชี้ให้เห็นว่าทรรศนะที่ถูกต้องเป็นอย่างไร รวมทั้งสิ้น 219 กถา คัมภีร์นี้เป็นนิพนธ์ของพระเถระรูปหนึ่งชื่อ พระโมคคลีบุตรติสสเถระ รจนาขึ้นเมื่อมีการสังคายนาครั้งที่ 3

6. ยมกะ ว่าด้วยการอธิบายธรรมเป็นคู่ๆ เช่นกุศลกับอกุศล เป็นต้น โดยวิธีตั้งคำถามคำตอบ

7. ปัฏฐาน อธิบายปัจจัย (เงื่อนไขทางธรรม) 24 อย่าง ว่าธรรมข้อใดเป็นปัจจัยของธรรมข้อใด โดยปัจจัยชื่ออะไร

คำสอนในอภิธรรมปิฎกมีเนื้อหาบรรจุในหนังสือถึง 12 เล่มใหญ่ ย่อความได้สั้นขนาดนี้ อ่านเข้าใจก็บุญแล้วครับ

มีคำถามอีกว่า ทำไมชาวพุทธจึงได้นำเอาอภิธรรม 7 คัมภีร์ มาใช้สวดในงานศพ ก็เห็นจะต้องเล่าถึงความเป็นมาของอภิธรรมสักเล็กน้อย ดังนี้ขอรับ

พระพุทธเจ้าหลังจากทรงประกาศพระศาสนา สั่งสอนประชาชนให้ได้ลิ้มรสพระธรรมเป็นจำนวนมากแล้ว ทรงหวนรำลึกว่า พระองค์ได้สงเคราะห์เวไนยสัตว์ทุกหมู่เหล่าแล้ว ยังเหลือแต่พระพุทธมารดาเท่านั้นที่มิได้รับรสพระธรรมจากพระองค์ เนื่องจากพระนางได้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระพุทธองค์ยังทรงมีพระชนม์เพียง 7 วัน ด้วยพระประสงค์จะ “โปรด” พระพุทธมารดา ซึ่งขณะนั้นได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต พระพุทธองค์จึงเสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์สวรรค์ เหล่าเทพยดาอันมีท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์เป็นประมุข ได้มาเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธองค์ตลอดเวลา 3 เดือน ที่พระองค์เสด็จประทับจำพรรษา

เทพบุตร อดีตพุทธมารดา ความจริงอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงกว่า แต่ก็ลงมาร่วมฟังธรรมด้วย ว่ากันว่าธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น คือ อภิธรรม อันเป็นหลักธรรมที่ลึกซึ้ง

กล่าวถึงประชาชนทั้งหลาย เมื่อพระองค์ทรงหายไป ก็ถามไถ่พระสารีบุตร อัครสาวก พระสารีบุตรก็แจ้งให้ประชาชนทราบว่าพระองค์ประทับจำพรรษาอยู่ ณ ดาวดึงส์สวรรค์ ต่างก็ใคร่จะสดับธรรมจากพระองค์ดังที่เคยปฏิบัติ พระพุทธองค์ทรงทราบความประสงค์ของประชาชน จึงเสด็จลงมายังมนุษย์โลก ทรงแสดงอภิธรรม (ที่พระองค์ตรัสสอนเหล่าเทวดา) ให้พระสารีบุตรฟัง พระสารีบุตรก็นำไปถ่ายทอดให้ประชาชนฟังอีกต่อหนึ่ง

นี้คือเหตุผลที่ว่า ทำไมอภิธรรมที่ทรงแสดงแก่เทวดา มนุษย์จึงมีโอกาสได้รับรู้ และได้รับการบันทึกลงในคัมภีร์พระพุทธศาสนา (คือรู้จากพระสารีบุตรอีกต่อหนึ่งนั่นเอง)

เมื่อครบสามเดือนแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงมายังโลก ณ เมืองสังกัสสะ ท่ามกลางประชาชนคอยเฝ้ารับเสด็จมากมาย ว่ากันว่า วันนี้เป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงทำปาฏิหาริย์ “เปิดโลก” คือทรงบันดาลให้สัตว์โลกทุกหมู่เหล่าได้มองเห็นกัน บันดาลให้เทพ พรหม มนุษย์ สัตว์นรก อยู่ในมิติเดียวกัน สามารถมองเห็นกันหมด ยังกับอยู่ใกล้กัน

ชาวพุทธเรามีประเพณีทำบุญตักบาตรในวันคล้ายวันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากเทวโลกนี้ เรียกว่า “วันเทโวโรหณะ” (วันที่เสด็จลงจากเทวโลก) มาจนทุกวันนี้ บางวัด (อย่างวัดทองนพคุณ ที่ผมเคยบวชอยู่) จำลองสถานที่คล้ายกับสวรรค์ และมนุษย์โลกจริงๆ คือนิมนต์พระสงฆ์ขึ้นไปบนเขาที่บรรจุพระพุทธบาท สมมุติเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ขณะพระสงฆ์อุ้มบาตรเดินลงจากเขา ประชาชนที่ยืนรออยู่บนพื้นราบก็เตรียมใส่บาตรทีละรูปๆ ในใจก็นึกไปถึงเมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เมื่อสองพันกว่าปีล่วงมาแล้ว

ฟังประวัติความเป็นมาแล้ว โยงได้ไหมครับ ว่าทำไมอภิธรรม 7 คัมภีร์ จึงเกี่ยวข้องกับคนตาย หรืองานศพ ไม่เกี่ยวก็ต้องอธิบายให้เกี่ยวจนได้สิน่า

พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์จะ “โปรด” พระพุทธมารดาซึ่งได้สวรรคตไปเกิดในเทวโลก ได้ทรงแสดงอภิธรรม ซึ่งเป็น “ปรมัตถธรรม” (ธรรมชั้นสูง, ธรรมชั้นยอด) ชาวพุทธจึงดำเนินตามรอยพระยุคลบาท เมื่อต้องการจะให้ผู้ล่วงลับซึ่งเป็นผู้มีบุญคุณต่อตน เช่น บิดามารดา เป็นต้น ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด จึงให้มีการสวดอภิธรรม 7 คัมภีร์

คติเทศน์อภิธรรมโปรดมารดานี้ สืบได้ว่า ถือมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ดังพระยาลิไททรงพระราชนิพนธ์ “ไตรภูมิกถา” (ไตรภูมิพระร่วง) ก็เพื่อโปรดพระราชมารดาของพระองค์

ว่ากันอย่างนั้นนะครับ จริงเท็จอย่างไรผู้รู้ย่อมรู้เอง ผู้ไม่รู้ย่อมไม่รู้เป็นของธรรมดา (อยู่แล้ว)


Image
เสฐียรพงษ์ วรรณปก


หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10935
 

_________________
ธรรมจักรดอทเน็ต
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.พ.2008, 9:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุค่ะคุณ webmaster สาธุ สู้ สู้ ยิ้มเห็นฟัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.พ.2008, 2:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...คุณ webmaster

ขอบคุณมากค่ะ สำหรับสาระดีดี...ที่นำมาฝาก

ธรรมะสวัสดีค่ะ

ยิ้ม ยิ้มแก้มปริ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง