Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เหตุการณ์ในวันปวารณาออกพรรษาในพรรษาที่ ๗ กับ บั้งไฟพญานาค อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 14 ต.ค.2008, 5:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านใดนึกภาพไม่ออกว่าเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร ลองดูจากสมุดภาพพระพุทธประวัติครับ

สมุดภาพพระพุทธประวัติ
http://84000.org/tipitaka/book/


ทรงสำแดงยมกปาฏิหาริย์ข่มพวกเดียรถีย์ที่ต้นมะม่วงคัณฑามพฤกษ์
http://84000.org/tipitaka/picture/f62.html

แล้วเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพระพุทธมารดา
http://84000.org/tipitaka/picture/f63.html

ถึงวันมหาปวารณา เสด็จลงจากดาวดึงส์โดยบันไดแก้ว บันไดทอง บันไดเงิน
http://84000.org/tipitaka/picture/f64.html

ครั้นแล้วก็ทรงเปิดโลก บันดาลให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกแลเห็นซึ่งกันและกัน
http://84000.org/tipitaka/picture/f65.html

วันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์นั้น พระองค์ได้แสดงปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่ง คือขณะที่พระองค์ประทับยืนอยู่ที่บันไดแก้ว ทรงทอดพระเนตรไปทางทิศเบื้องบน เทวโลกและพรหมโลกก็เปิดมองเห็นโล่ง เมื่อทรงทอดพระเนตรไปในทิศเบื้องต่ำ นิรยโลกทั้งหลายก็เปิดโล่ง ในครั้งนั้น สวรรค์ มนุษย์ และสัตว์นรก ต่างก็เห็นซึ่งกันและกันทั่วจักรวาล

ภาพนี้อยู่ในเหตุการณ์ตอนเดียวกับวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกเหตุการณ์ตอนนี้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเปิดโลก โลกที่ทรงเปิดในเหตุการณ์คราวนี้มี ๓ โลก คือ เทวโลก มนุษยโลก และยมโลก

เทวโลก หมายถึง ตั้งแต่พรหมโลกลงมาจนถึงสวรรค์ทุกชั้น มนุษย์โลกก็คือโลกมนุษย์ และยมโลกซึ่งอยู่ทางเบื้องต่ำ คือ นรกทุกขุมจนกระทั่งถึงอเวจีมหานรก

พระพุทธเจ้าขณะเสด็จลงจากสวรรค์ ทอดพระเนตรดูเบื้องบนโลกทั้งมวลตั้งแต่มนุษย์ก็สว่างโล่งขึ้นไปถึงเทวโลก เมื่อทรงเหลียวไปรอบทิศรอบด้านสากลจักรวาลก็โล่งถึงกันหมด และเมื่อทอดพระเนตรลงเบื้องล่าง ความสว่างก็เปิดโล่งลงไปถึงนรกทุกขุม

ผู้อาศัยอยู่ในสามโลกต่างมองเห็นกัน มนุษย์เห็นเทวดา เทวดาเห็นมนุษย์ มนุษย์และเทวดาเห็นสัตว์นรก สัตว์นรกเห็นเทวดาและมนุษย์ แล้วต่างเหลียวมองดูพระพุทธเจ้าผู้เสด็จลงจากสวรรค์ด้วยพระเกียรติยศอันยิ่งใหญ่

คัมภีร์ธรรมบทที่พระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้แต่งบอกว่า "วันนี้คนทั้งสามโลกได้เห็นแล้ว ที่ไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่มีเลยสักคน" ปฐมสมโพธิพรรณนาไว้ยิ่งกว่านี้เสียอีก คือว่า

"ครั้งนั้นเทพยดามนุษย์แลสัตว์เดรัจฉาน กำหนดที่สุดมดดำมดแดง ซึ่งได้เห็นองค์พระชินสีห์ แลสัตว์คนใดคนหนึ่งซึ่งจะมิได้ปรารถนาพุทธภูมินั้นมิได้มีเป็นอันขาด"

พุทธภูมิ คือ ความเป็นพระพุทธเจ้า

-----------------------------------------------------------------------------


ประวัติพระอภิธรรม
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14797&start=0&postdays=0&postorder=asc&highlight=&sid=3e44281e212d5acd9043c171b5fad520

-----------------------------------------------------------------------

บั้งไฟพญานาค

บั้งไฟพญานาคนี้ ถูกอธิบายว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ดวงไฟขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือไปจนถึงขนาดใหญ่เท่าผลส้ม มีสีแดงอมชมพูออกสีบานเย็นหรือสีแดงทับทิม ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ไม่มีเปลว ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ลอยขึ้นเหนือลำน้ำ ตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร และจะพุ่งขึ้นไปสูงประมาณระดับ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที แล้วก็จะดับหายวับไปในอากาศทั้งๆ ที่ดวงไฟยังโตอยู่ โดยจะเกิดเฉพาะเวลาหลังอาทิตย์ตกดินจนถึง 23.00 น ซึ่งเกิดเป็นประจำทุกปี เป็นที่มาของปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่หลายท่านคุ้นเคยกันดี โดยชาวบ้านเชื่อว่าบั้งไฟพญานาคเกิดจากการพ่นไฟของพญานาคที่อยู่บริเวณลำน้ำโขง

(ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 14 ต.ค.2008, 5:13 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จาก pantip ครับ

อ้างอิงจาก:
...“ บั้งไฟพญานาคา บูชาองค์พระสัมมา” ...
..............“ บั้งไฟพญานาคา บูชาองค์พระสัมมา” .........



เหตุการณ์วันพุทธเจ้าเปิดโลก ได้มาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญในปัจจุบัน คือ ปรากฏการณ์

“ บั้งไฟพญานาค”

ซึ่งมีแห่งเดียวในโลก ณ แผ่นดินแม่น้ำโขง บริเวณ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย หรือ ปากน้ำงึมของฝั่งลาว ตรงกับวันออกพรรษาของไทย หรือวันมหาปวารณาของลาว ซึ่งปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๗ ตุลาคม

ตามคำบอกเล่าของคนในพื้นที่ ซึ่งเล่าสืบต่อกันมาหลายร้อยปี และมีข้อมูลปัจจุบัน คือ


พญานาคใต้ลำน้ำโขงจะขึ้นมาพ่นบั้งไฟเป็นดวงประทีปถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อสรรเสริญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นการระลึกนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต

เมื่อครั้งที่พระศาสดาทรงเสด็จลงจากเทวโลกชั้นดาวดึงส์ และทรงใช้พุทธานุภาพ “ เปิดโลก”

เพื่อให้มนุษย์ เทวดา พรหม และสัตว์ในอบายภูมิได้เห็นกันหมด

พญานาคที่ลุ่มน้ำโขงก็เป็นท่านหนึ่งที่เห็นพุทธานุภาพนั้น

บังเกิดความเลื่อมใส และยิ่งตอกย้ำถึงความปรารถนาดั้งเดิมที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต

จึงอธิษฐานซ้ำไปอีก และเมื่อถึงวันเข้าพรรษาทุกปี

พญานาคก็จะออกมาจาก นาคพิภพมาจำศีลภาวนาใต้ลำน้ำโขง ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เสพเมถุนตลอดเวลา ๓ เดือน

เมื่อถึงวันออกพรรษา แล้วก็ระลึกนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันที่เสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ด้วยใจที่ปลื้มปีติ

แล้วพ่นไฟที่กลั่นจากใจใสๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ พร้อมทั้งอธิษฐานว่า

ด้วยอานิสงส์ นี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต

ดวงไฟออกมาอย่างนุ่มนวลเป็นฟองอยู่ใต้น้ำก็กลม ๆ เนื่องจากเป็นของกึ่งหยาบกึ่งละเอียด ทำให้เวลาลอยพ้นน้ำขึ้นมา ผิวน้ำจะไม่กระเพื่อม คือ เหมือนผ่านอากาศ แล้วลอยขึ้นไปสว่างวาบบนท้องฟ้า

ตอนแรกท่านก็มาตามลำพังตนเดียว

ต่อมาบริวารเกิดศรัทธา ตามขึ้นมาจำศีลด้วย บั้งไฟที่ส่องสว่างขึ้นบนท้องฟ้า ช่วงสั้นบ้าง ยาวบ้าง ดวงโตบ้าง ดวงเล็กบ้าง

แล้วแต่อานุภาพของแต่ละท่าน ใครกำลังบารมีอ่อนก็พ่นได้ไม่กี่ดวง แล้วก็สูงไม่มาก

แต่ของพญานาคจะสูงทีเดียว ด้วยเหตุนี้

บั้งไฟพญานาคจึงเกิดขึ้นในวันออกพรรษาทุกปี
และเริ่มมีมากขึ้นตาม ห้วยหนองคลองบึงต่าง ๆ

พุทธศาสนามีเรื่องราวให้ศึกษามากมายทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ดังเช่น เหตุการณ์

“ พระพุทธเจ้าเปิดโลก” “ บั้งไฟพญานาค”

หรือ วันมหาปวารณาและวันออกพรรษา ดังกล่าว

เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังที่ตามมา ได้ศึกษาและสืบทอดพระพุทธศาสนาให้เป็นประโยชน์ต่อชาวโลกต่อไป


----------------------------------------------------------

จากพระอภิธัมมัตถสังคหะ http://abhidhamonline.org/aphi/p5/011.htm

เทวดาในจาตุมมหาราชิกาภูมิ ที่มีใจโหดร้ายก็มีถึง ๔ จำพวก คือ

๑. คันธัพโพ คันธัพพี ได้แก่ เทวดาคันธัพพะ ที่ถือกำเนิดภายในต้นไม้ที่มี กลิ่นหอม เราเรียกกันว่า นางไม้ หรือ แม่ย่านาง ชอบรบกวนให้เกิดอุปสรรคต่าง ๆ เช่น ให้เกิดเจ็บป่วย หรือทำอันตรายแก่ทรัพย์สมบัติ ของผู้ที่นำไม้นั้นมาใช้สอย หรือมาปลูกบ้านเรือน เทวดาจำพวกนี้อยู่ในความปกครองของท้าวธตรัฏฐะ

คันธัพพเทวดานี้ สิงอยู่ในต้นไม้นั้นตลอดไป แม้ว่าใครจะตัดฟันไปทำเรือ แพ บ้านเรือน หรือเครื่องใช้ไม้สอยอย่างใด ๆ ก็คงสิงอยู่ในไม้นั้น ซึ่งผิดกับรุกขะเทวดา ที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้เหมือนกัน แต่ถ้าต้นไม้นั้นตาย หรือถูกตัดฟันก็ย้ายจากต้นนั้น ไปต้นอื่น

๒. กุมภัณโฑ กุมภัณฑี ได้แก่ เทวดากุมภัณฑ์ ที่เราเรียกกันว่ารากษส เป็น เทวดาที่รักษาสมบัติต่าง ๆ มีแก้วมณีเป็นต้น และรักษาป่า ภูเขา แม่น้ำ ถ้ามีผู้ล่วง ล้ำก้ำเกิน ก็ให้โทษต่าง ๆ เทวดาจำพวกนี้อยู่ในความปกครองของท้าววิรุฬหกะ

๓. นาโค นาคี ได้แก่ เทวดานาค มีวิชาเกี่ยวแก่เวทย์มนต์คาถาต่าง ๆ ขณะ ท่องเที่ยวมาในมนุษย์โลก บางทีก็เนรมิตเป็นคน หรือเป็นสัตว์ เช่น เสือ ราชสีห์ เป็นต้น โดยเฉพาะ ชอบลงโทษพวกสัตว์นรก เทวดาจำพวกนี้อยู่ในความปกครอง ของท้าววิรูปักขะ

๔. ยักโข ยักขินี ได้แก่ เทวดายักษ์ พอใจเบียดเบียนสัตว์นรก เทวดา จำพวกนี้อยู่ในความปกครองของท้าวกุเวระ หรือท้าวเวสสุวรรณ

-----------------------------------------------------
แผนที่จักรวาล ที่มองจากข้างบน และ ด้านข้าง
http://larndham.net/index.php?showtopic=12898&st=11

กลางเขาสิเนรุ เป็นที่ตั้งของเทวดาชั้น จาตุมหาราชิกาภูมิ
รอบเขาทั้ง ๔ ทิศ เป็นที่สถิตของท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ
ท้าวธตรัฏฐ ประจำอยู่ทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหก ประจำอยู่ทิศใต้
ท้าววิรุฬปักข์ ประจำอยู่ทิศตะวันตก และท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ
ประจำอยู่ทิศเหนือ มหาราชทั้ง ๔ เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ที่ดูแล
เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ทั้งหมด รวมทั้งมนุษยโลกของเราด้วย

ตอนกลางของภูเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงตอนใต้พื้นมหาสมุทร
มีชานบันไดเวียน ๕ รอบ คือ
ชั้นที่ ๑ ที่อยู่ใต้พื้นน้ำ เป็นที่อยู่ของพญานาค
ชั้นที่ ๒ เป็นที่อยู่ของครุฑ
ชั้นที่ ๓ เป็นที่อยู่ของ กุมภัณฑ์เทวดา
ชั้นที่ ๔ เป็นที่อยู่ของยักเทวดา
ชั้นที่ ๕ เป็นที่อยู่ของ จาตุมหาราชิกา ๔ องค์

-------------------------------------------

พญานาคเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ใต้พื้นน้ำมหาสมุทร

แต่ไม่ใช่ แม่น้ำโขงหรือมหาสมุทร ที่มองเห็นด้วยตาเปล่าบนโลกเล็ก ๆ ใบนี้นะครับ แต่เป็นภพภูมิที่ละเอียด อยู่นอกโลกเราออกไป (ดูภาพจักรวาลประกอบ)

แต่เคยได้ยินมาว่า พญานาคบางจำพวกก็อาศัยในโลกมนุษย์ เพื่อรักษาพุทธสถานต่าง ๆ

เมื่อครั้งพระพุทธองค์ลงมาจากเทวโลก หลังแสดงพระอภิธรรม โปรดพุทธมารดา พระพุทธองค์ทรงกระทำปาฏิหาริย์เปิดโลก เห็นภพภูมิต่าง ๆ มองเห็นกันด้วยตาเปล่า

ทรงเปิดโลก บันดาลให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกแลเห็นซึ่งกันและกัน
http://84000.org/tipitaka/picture/f65.html


ทรงทรมานนาคราชร้าย ขดกายพญานาคใส่บาตรให้ชฎิลดู ชฎิลก็ยังไม่เลื่อมใส
http://84000.org/tipitaka/picture/f39.html
-----------------------------------------------

พญานาค มีทั้งที่เป็น มิจฉาทิฏฐิ และ สัมมาทิฏฐิ

จึงมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก

และผมเข้าใจว่า ทุกวันออกพรรษา พญานาคจะกระทำปาฏิหาริย์ กระทำลูกไฟสีต่าง ๆ เป็นพุทธบูชา ที่แม่น้ำโขง

ซึ่งทางวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ไม่ได้เลย ทำไมเกิดเฉพาะวันออกพรรษา หรือจะอ้างว่า ทหาลาวแอบบมายิงปืนกลางแม่น้ำ แบบที่ ทีวีช่องหนึ่งนำเสนอ ก็ฟังไม่ขึ้น


อนึ่ง พญานาค , เทวดา, เปรต, อสุรกาย , สัตว์นรก , เขาสิเนรุ ฯลฯ มีรูปละเอียด มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

มีบางท่านเดาเอาว่า พญานาคคือมนุษย์จำพวกหนึ่ง

เทวดาก็คือมนุษย์จำพวกหนึ่ง เขาสิเนรุ คือ เขาหิมาลัย

เพราะท่านเหล่านี้ มิได้เข้าใจเรื่อง รูป ดีพอ

รูปบางอย่างละเอียดกว่า ๑ ใน ๘๒ ล้านส่วน ( ปรมาณู ในทางพระพุทธศาสนา )

สสารและพลังงานในพระพุทธศาสนา (๑)
(รูปสังคหวิภาค พระอภิธรรมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๖)
โดย. ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร

http://larndham.net/index.php?showtopic=27992&st=4

ความสำคัญของเรื่องปรมาณูในพระพุทธศาสนาอีกบางประการจะละเลยไม่กล่าวเสียหาได้ไม่ คือ

ในหนึ่งปรมาณูนั้นแยกออกเป็น ๘ อย่างรวมกัน คือมีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ สี กลิ่น รส โอชะ เรียกว่า อวินิพโภครูป และปรมาณูนั้น ย่อมจะมีธาตุทั้ง ๘ นี้อยู่รวมกันเสมอไป จะเอาอันใดอันหนึ่งออกเสียมิได้เลย พูดง่ายๆ ก็ว่า มีปรมาณูอยู่ที่ไหน ธาตุทั้ง ๘ นี้ก็จะอยู่ในที่นั้น

คำว่าปรมาณูในธรรมะแสดงว่าเป็น "รูป" แม้ว่าปรมาณูจะเล็กน้อยกระจ้อยร่อยถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังเป็นรูปที่หยาบ เพราะมีสุขุมรูปที่ละเอียดยิ่งกว่านี้อีกถึง ๑๖ รูป ในจำนวนรูปทั้งหมด ๒๘ รูปด้วยกัน


หน้า ๓๘

อำนาจของจิตซึ่งมองหาตัวตนไม่เห็นยังมีอำนาจทำให้เกิดรูปได้ถึงเพียงนี้ จะมีผู้ใดบ้างเล่าที่คิดเข้าไปถึงอำนาจของกรรมที่เก็บสั่งสมเอาไว้ในจิต ซึ่งก็มองหาตัวไม่เห็น และสัมผัสถูกต้องไม่ได้เหมือนกัน แต่แม้กระนั้นมันก็มีอำนาจทำรูปได้ เรียกรูปที่เกิดมาจากรรมนี้ว่า "กรรมชรูป"

กรรมชรูปเริ่มทำงานของมันตั้งแต่ในขณะปฏิสนธิ เรียกว่า ปฏิสนธิกาล คือ เริ่มต้นเกิดมีชีวิตขึ้นเป็นครั้งแรกในครรภ์ของมารดาเพียงเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่ง

ถ้าเกิดเป็นผีสางเทวดาซึ่งเป็นรูปของปรมาณูทั้งสิ้น ก็เรียกในขณะแรกเกิดว่า ปฏิสนธิเหมือนกัน แต่ร่างกายใหญ่โตทันที

ในขณะปฏิสนธิ แม้จะเกิดขึ้นเพียงขณะจิตเดียว แต่กรรมชรูปก็เริ่มทำรูปของมันขึ้นมา ณ ที่นั้นแล้ว
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 14 ต.ค.2008, 6:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สู้ สู้ ดีมากเลยจ้า ขอบคุณนะจ๊ะ ท่านเฉลิมศักดิ์ 1 สาธุ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
kokorado
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 14 ต.ค.2008, 7:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณเฉลิมศักดิ์ เอาความรุ้ดีๆ มาฝากอีกแล้ว ได้ความรู้ประดับตัวอีกเยอะเลย แต่สงสัยว่า พญานาค เป็นเทวดาชั้น จาตุมหาราชิกาเหรอ นึกว่าสวรรค์อยู่บนฟ้าซะอีก ผมคิดว่า พญานาค เป็นบริวาร ของ เทวดา หรือเป็นจำพวกสัตว์ทิพย์ ในป่าหิมพานต์รึเปล่า
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 14 ต.ค.2008, 8:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะคุณเฉลิมศักดิ์ สาธุ

สาธุ สาธุ สาธุ

พญานาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่
ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล
เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา
ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

เป็นสัญญลักษณ์ของเทพผู้ปกป้องดูแลพระพุทธศาสนา

ในทางพระพุทธศาสนานั้น
พญานาคจัดเป็นเดรัจฉาน (ผู้ไปตามขวาง) กึ่งเทพ
ในชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งจัดอยู่ในสุขคติภูมิ
ไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้
อาศัยอยู่ทั้งในบาดาล (ลึกลงไปใต้ดิน ๑ โยชน์/๑๖ ก.ม)
แม่น้ำ ทะเล ถ้ำ และ อากาศ รวมทั้ง มหานทีสีทันดร


มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้
จัดเป็นอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค
สามารถแปลงเป็นคนได้
เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า
ดังที่ในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง

หากเกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก
หากเกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น

แม้พญานาค ถึงแม้จะสามารถเนรมิตกายเป็นอะไรได้ดังใจปรารถนา
แต่ในสภาวะ ๕ อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม

- ขณะเกิด
- ขณะลอกคราบ
- ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค
- ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ
- ตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม

ตามตำนานกล่าวว่า

พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง ๖๔ ชนิด

สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้
ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย

พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก
พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย
แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ
จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย
และพญานาคต้องคายพิษทุก ๑๕วัน

กล่าวกันว่า

พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้
แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้
เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู
มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว ๓, ๕ และ ๗ เศียร

พญนาคสามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์
ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล
กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด
ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ

สาธุ สาธุ สาธุ

โปรดติดตาม :

พญานาคกับพระพุทธศาสนา : มมร.สาธุ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=18418&start=0&postdays=0&postorder=asc&highlight=
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 15 ต.ค.2008, 4:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ขอบคุณมากครับ คุณกุหลาบสีชา ที่มาเพิ่มเติมความรู้


----------------------------------------------------
http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=107690

อ้างอิงจาก:
นักท่องเที่ยวสมใจ บั้งไฟพญานาคโผล่ให้เห็นแล้ว [14 ต.ค. 51 - 22:01]



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 ต.ค.) นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่หลั่งไหลมาชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ที่ จ.หนองคาย ต่างพากันดีใจเมื่อบั้งไฟพญานาคลูกแรก ปรากฎขึ้นให้ได้เห็น ทั้งที่บ้านท่าม่วง อ.รัตนวาปี และที่หน้าวัดไท อ.โพนพิสัย โดยบั้งไฟลูกแรกขึ้นเมื่อเวลา 18.45 น.


สำหรับภาพรวมการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลออกพรรษาในปีนี้พบว่านักท่องเที่ยวให้ความสนใจเข้าชมปรากฎการณ์บั้งไฟพญานาคมาก แม้สถานการณ์ทางการเมืองจะไม่นิ่งก็ตาม ส่วนยอดจองที่พักในพื้นที่ จ.หนองคาย นั้น จากการตรวจสอบไปยังโรงแรม เกสท์เฮ้าส์ และโฮมสเตย์ที่มีอยู่ประมาณ 1,000 ห้อง พบว่ายอดจองเต็ม


ขณะที่ จ.อุดรธานี ก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย เนื่องจากนักท่องเที่ยวบางรายที่ไม่ได้จองที่พัก ส่วนใหญ่ก็จะเข้าพักที่ จ.อุดรธานี ก่อนจะเดินทางไปชมบั้งไฟพญานาคทำให้ขณะนี้มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยร้อยละ 80 โดยคาดว่าตลอดการจัดงานเทศกาลออกพรรษาและบั้งไฟพญานาคที่จัดขึ้นตลอด 7 วัน จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน เงินสะพัดไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท


สำหรับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ชาวบ้านเชื่อว่า พญานาคมีความศรัทธาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงพ่นลูกไฟถวายเป็นพุทธบูชา ขณะที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพระมารดา ในคืนวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11


------------------------------------------------------------------------------


ที่จังหวัดอุบลบ้านผม ก็มีบั้งไฟ พญานาค คงมีโอกาสได้กลับไปดูสักครั้งหนึ่ง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 15 ต.ค.2008, 5:07 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

kokorado พิมพ์ว่า:
คุณเฉลิมศักดิ์ เอาความรุ้ดีๆ มาฝากอีกแล้ว ได้ความรู้ประดับตัวอีกเยอะเลย แต่สงสัยว่า พญานาค เป็นเทวดาชั้น จาตุมหาราชิกาเหรอ นึกว่าสวรรค์อยู่บนฟ้าซะอีก ผมคิดว่า พญานาค เป็นบริวาร ของ เทวดา หรือเป็นจำพวกสัตว์ทิพย์ ในป่าหิมพานต์รึเปล่า


คุณ koko นาค เป็น โอปปาติกะ ผมว่ามีทั้งที่ ปฏิสนธิใน สุคติภูมิ คือ เป็นเทวดา ชั้นจาตุมหาราชิกา และที่ ปฏิสนธิใน ทุคติภูมิ เป็นสัตว์เดรัจฉาน (โอปปาติกะ )

เทวดา บางครั้งก็มีภพภูมิในโลกมนุษย์ได้ เช่น เทวดาที่อยู่บนต้นไม้ ( รุกขะเทวดา) อยู่บนอากาศ ( อากาสัฏฐะเทวดา )


อ้างอิงจาก:
แผนที่จักรวาล ที่มองจากข้างบน และ ด้านข้าง
http://larndham.net/index.php?showtopic=12898&st=11

กลางเขาสิเนรุ เป็นที่ตั้งของเทวดาชั้น จาตุมหาราชิกาภูมิ
รอบเขาทั้ง ๔ ทิศ เป็นที่สถิตของท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ
ท้าวธตรัฏฐ ประจำอยู่ทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหก ประจำอยู่ทิศใต้
ท้าววิรุฬปักข์ ประจำอยู่ทิศตะวันตก และท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ
ประจำอยู่ทิศเหนือ มหาราชทั้ง ๔ เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ที่ดูแล
เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ทั้งหมด รวมทั้งมนุษยโลกของเราด้วย

ตอนกลางของภูเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงตอนใต้พื้นมหาสมุทร
มีชานบันไดเวียน ๕ รอบ คือ
ชั้นที่ ๑ ที่อยู่ใต้พื้นน้ำ เป็นที่อยู่ของพญานาค
ชั้นที่ ๒ เป็นที่อยู่ของครุฑ
ชั้นที่ ๓ เป็นที่อยู่ของ กุมภัณฑ์เทวดา
ชั้นที่ ๔ เป็นที่อยู่ของยักเทวดา
ชั้นที่ ๕ เป็นที่อยู่ของ จาตุมหาราชิกา ๔ องค์

-------------------------------------------


ทวีปทั้ง ๔ โดยท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=11275

------------------------------------------------

อ่านกระทู้นี้แล้วขอศรัทธา ๔ ยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะครับ

ศรัทธา ๔
http://larndham.net/index.php?showtopic=25621&per=1&st=11&#entry354397

สัทธา ความเชื่อ;
ในทางธรรม หมายถึง เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ, ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล, ความมั่นใจในความจริงความดีสิ่งดีงามและในการทำความดีไม่ลู่ไหลตื่นตูมไปตามลักษณะอาการภายนอก
ท่านแสดงสืบๆ กันมาว่า ๔ อย่างคือ
๑. กัมมสัทธา เชื่อกรรม
๒. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม
๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
๔. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต;
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง