Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ช่วยกันเสนอแนะเกี่ยวกับศีล 5 เชิงนามธรรมหน่อยคะ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
nuch
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 03 ม.ค. 2008
ตอบ: 6
ที่อยู่ (จังหวัด): พิษณุโลก

ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2008, 7:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อายหน้าแดง อายหน้าแดง อายหน้าแดง อยากให้เพื่อนๆ ช่วยกันเสนอแนะเกี่ยวกับความเข้าใจเกี่ยวกับศีล 5 ในเชิงนามธรรมหน่อยคะ

1. ปาณาติปาตาฯ คือ การที่เราเข้าไปจัดการกับอารมณ์หรือสภาวะทางใจต่างๆ ด้วยจิตที่ไม่เป็นกลาง ทั้งที่สิ่งต่างๆ เค้าก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นและดับไปด้วยตัวของเค้าเองตามธรรมชาติ

2. อทินนาทานาฯ คือ การที่เราเข้าไปยึดกายกับใจว่าเป็นตัวเรา ของๆ เรา ทั้งที่ธรรมชาติเพียงให้เรายืม ชั่วคราวเท่านั้น แต่เรากับมีอุปทานยึดมั่นถือมั่น ไม่ยอมปล่อย แม้แต่สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในใจ ก็ยังเข้าไปแทรกแซง สร้างภพ สร้างชาติ ว่าเป็นเรา

3. กาเมสุมิจฉาจาราฯ คือ การที่เราส่งจิตออกนอก หลงกับสิ่งภายนอก ออกจากการรู้ที่กายกับใจ เรียกว่านอกใจ นอกใจจากสติปัฏฐาน 4 ที่เป็นคู่แท้ของจิต

4. มุสาวาทาฯ คือ การที่สติไม่มีความตั้งมั่นพอ จนหลงกล่าววาจาที่แสดงถึงมานะ อัตตาของเรา ออกมา หรือหลงไปกับความคิด (กิเลส) ที่ลากจูงให้เกิดการพูด

5. สุราเมรยฯ คือ การที่จิตหลงเข้าไปเสพอารมณ์ ที่เกิดจากจิตทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล แล้วเข้าไป มีอุปทานกับความรู้สึกนั้นๆ เช่นมีความพอใจในการที่ได้กระทำกรรมดี แล้วรู้ไม่ทันกับความรู้สึกสุขนั้น จนสร้างภพชาติของเทวดาขึ้น หลุดจากการรู้สึกตัว ที่เป็นหนทางหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร

จิตใดยังทำผิดศีล 5 ข้อนี่ มรรคผลก็มิอาจเกิดขึ้นได้ จนกว่าเราจะเจริญสติจนสามารถรักษาศีลของใจได้บริสุทธิ์ ธรรมอันเป็นเครื่องออกจากทุกข์ก็จะเกิดขึ้นเอง ขำ ขำ ขำ สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2008, 8:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้าจะแนะแนวทางให้กับคุณ และท่านอื่นๆ รวมไปถึงผู้ทีเกี่ยวข้องกับ พุทธศาสนาเอาไว้ว่า

รู้มาผิดๆ ก็ย่อมคิดไปผิดๆ แล้วก็เลยสอนไปผิดๆ ไม่มีหลักเกณฑ์ ไม่มีบรรทัดฐาน ต่างคนต่างเข้าใจ ตามแต่ความหลงเชื่อ ของตัวเอง แทบทั้งสิ้น

ข้อศีล ทั้งหลายที่มีอยู่ ล้วนเป็นข้อปฏิบัติเพือให้เกิดธรรมะในตัวบุคคลนั้นๆ
ธรรมะคือสภาพสภาวะจิตใจ หรือ ความคิด หรืออารมณ์ หรือ ความรู้สึก อันก่อให้เกิด ความสบายใจทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น

ศีล เป็นสิ่งสร้าง ความคิด และเป็นสิ่งสร้าง การระลึกนึกถึง
ถ้าเราไม่มีความคิด ไม่มีการระลึกนึกถึง จะมีศีลสักกีร้อยกี่พันข้อ ก็ไม่มีความหมาย

ศีลทุกข้อ มีความหมายจำเพาะเจาะจงก็จริงอยู่ แต่การที่บุคคล จะกระทำในทางตรงกันข้ามกับข้อศีล นั้น ก็ย่อมต้องมีปัจจัย มีสาเหตุ มีบริบท มีสิ่งแวดล้อม อันจะทำให้นำไปสู่การประพฤติผิดในข้อศีล
นั่นย่อมหมายความว่า ปัจจัย สาเหตุ บริบท สิ่งแวดล้อม อันจักนำไปสู่การประพฤติผิดในข้อศีล เป็นการประพฤติผิดตามข้อศีลด้วย มิได้หมายความว่า ถ้าฆ่าสัตว์ เป็นการผิดศีล
แต่จะผิดศีล ก็เริ่มตั้งแต่เหตุที่จะฆ่าสัตว์ เป็นต้นไปแล้ว
เนื่องจากเวลามีน้อย จึงอธิบายพอสังเขป
ขอได้นำไปพิจารณาด้วยตัวเองเถิด
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2008, 9:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเข้าใจว่า คุณกำลังชวนคุยว่า...
"ศีลคืออะไร ทำไมต้องมีศีล"



ตอนเด็กๆมากๆ เราไม่รู้เรื่องหรอก เล่นต่อสุ้ ปล่อยพลังเต่าไปตามประสา
ปรากฏว่าทำบ้านพัง ทำข้างของเสียหาย
เราเลยโดนสั่งห้าม โดนตี โดนบังคับด้วยมาตรการต่างๆให้สงบลง
นี่คือเริ่มเป้นศีลแล้ว เราสงบเพราะถูกบังคับ
ถ้าไม่มีโทษ คนไม่เห็น เราก้จะเล่นอีก
นี่เป็นศีลที่ทำให้เกิดความสงบขึ้น โดนบังคับให้มีศีล


ทีนี้ พอโตขึ้นมา
เราเริ่มพูดรู้เรื่อง เราคิดใคร่ครวญได้ รู้จักระบบเหตุผล
รู้จักโทษของการเล่นว่ามันเสียหาย ไม่ดี
เราเลยสงบระงับ ไม่เล่นอีก เพราะเราคิดได้
เรามีศีลเพราะเราคิดได


โตขึ้นมาอีก
เราทำมาหากินเอง เริ่มเข้าใจว่าทำไมพ่อแม่โมโหนักที่เราทำข้าวของเสียหาย
เกิดความสลด สำนึก สังเวชขึ้นว่า เออนะ ที่เราเคยทำมาอย่างนั้นไม่ดีจริง
เลิกละ เลิกเด็ดขาด
นี่คือ มีศีลเพราะคิดได้ดีขึ้นๆไปอีก


แต่ทีนี้ กิเลสมันไม่ได้ง่ายเหมือนเล่นมด x พังข้าวพังของ
ตอนเราโต มันมีกิเลสที่หอมหวานมากมาย ซับซ้อนขึ้น ละเลิกได้ยากขึ้นไปอีก

อย่างความสุขจากการร่วมเพศ
ถ้าเราหาวิธีคิดๆๆไปให้มันละเลิกได้ .... มันไม่ง่าย ไม่น่าจะสำเร็จ

มีแต่แก่แล้ว หมดน้ำยาแล้ว อุปกรณ์มันเสื่อมแล้ว จำต้องยอมละวางเพราะสังขารไม่อำนวย
แต่พอมีไวอะกร้ามาขาย ตาชักลุกโพลง เช็ดปากเช็ดคาง กิเลสกำเริบ


จากนั้น แก่สุดๆ ไวอะกร้าเอาไม่อยู่
จึงมาปฏิบัติธรรม เจริญสติปัฏฐาน 4
จนพบความจริงขั้นสุงที่ปรากฏในใจ และเห็นจิตใจมันแสดงอริยสัจจจนเราชินชา ยอมรับความจริงอันนั้น
เมื่อนั้นเราจึงวางกิเลสตันหาต่างๆได้อย่างหมดใจ ไม่อาลัยอาวรณ์
นี่เป็นศีลที่เกิดจากการมีปัญญา
เป้นศีลที่เกิดเพราะมีได้วิปัสนาปัญญา


ไม่ต้อง เกิดศีลเพราะถูกบังคับ แบบตอนเด็กๆ
ไม่ต้อง เกิดศีล เพราะ"ขบคิดใคร่ครวญเอา" แบบตอนโต
แต่เกิดศีลเพราะเห็นอริยสัจในกิจกรรมของจิตใจ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 11 ต.ค.2008, 8:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มนุษย์ ทุกคน ล้วนได้รับการขัดเกลาจากสิ่งแวดล้อม ในสังคมนั้นๆ
ธรรมชาติของมนุษย์ และสัตว์อีกหลายอย่าง ย่อมมีการผสมพันธุ์ เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
ธรรมชาติของมนุษย์ และสัตว์อีกหลายชนิด ย่อมต้องเสาะแสวงหา อาหารมาเลี้ยงชีพ
ธรรมชาติของมนุษย์ และสัตว์อีกหลายชนิด ย่อมมีการติดต่อสื่อสาร
เป็นเรื่องธรรมดา ที่มนุษย์จะมีความสัมพันธ์ทางเพศ
เป็นเรื่องธรรมดา ที่มนุษย์จะฆ่าสัตว์ที่เขาเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหาร (มนุษย์สามารถเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช ไว้เพื่อเป็นอาหาร ประทังชีวิต)
มนุษย์ย่อมมีการติดต่อสื่อสาร คือเจรจาต่อกันและกัน
มนุษย์สามารถสร้าง หรือประดิษฐ์ อะไรต่อมิอะไรได้อีกมากมายนับไม่หมด รวมไปถึง การประดิษฐ๋หรือทำ สิ่งที่เรียกว่า "สุรา" หรือเครื่องดองของเมา มาดื่ม ไม่รู้เหมือนกันว่าเดิมเพื่ออะไรกัน แต่ก็ยังมี
ดังนั้น จึงเกิดมี ศีล 5 ขึ้น (มันจะมาจากไหนหรือมาจากศาสนาไหนก่อนก็ช่างมันเถอะขอรับ )
ศีล 5 มีไว้เพื่อลด ความเหี้ยมโหดของมนุษย์ในสมัยโบราณโน้น
เพราะ การฆ่าสัตว์ ในสมัยโบราณ เพื่อบูชาเทพเจ้า มันเหี้ยมโหด อีกทั้ง การฆ่ากันและกันของมนุษย์ ก็ยังความทุกข์ ไม่สบายให้กับมนุษย์ ไม่รู้จักจบสิ้น ฆ่ากันไป ก็ฆ่ากันมา อาฆาตไม่มีที่สิ้นสุด ศีล ให้ละเว้นการฆ่าสัตว์จึงเกิดขึ้น มีศีล ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ให้ฆ่าสัตว์
อยากให้เอาพวกที่อวดว่า ไม่ฆ่าสัตว์กินแต่เจ แล้วอวดอ้าง ว่าให้คนที่กินเนื้อสัตว์ ไปอยู่ในถิ่นที่ปลูกพืชไม่ได้ มีแต่เนื้อสัตว์อย่างเดียว อยากจะรู้ว่าพวกเขาจะยอมอดอาหารตาย หรือว่ายอมกินเนื้อสัตว์ (ที่มนุษย์ปกติรับประทานกันนะขอรับ)
ศีลข้อ เว้นจากการหยิบฉวยหรือถือเอาทรัพย์หรือสิ่งของที่เจ้าของไม่อนุญาตหรือไม่ให้ ไม่ใช่ ศีลเว้นจากการลักทรัพย์ คำว่า "ลักทรัพย์ ขโมยสิ่งของ" มันมาทีหลัง
แต่ก็มีพวกอวดอุตริ ชอบบิดเบือนศีลข้อนี้ให้กลายเป็น เว้นจากการลักทรัพย์ หรือขโมยสิ่งของ มันต่างกันเยอะขอรับ ข้าพเจ้าไม่อยากจะกล่าวอะไรเกินเลย ก็ขอให้ ผู้เกี่ยวข้องกับศาสนา ได้ใส่ใจในความของศีลข้อ เว้นจากการหยิบฉวยหรือถือเอาทรัพย์หรือสิ่งของที่เจ้าของไม่อนุญาตหรือไม่ให้ เพราะมันกว้าง กว่า คำว่า "ลักทรัพย์ หรือขโมยสิ่งของ" (ท่านที่คิดจะโต้แย้ง ถ้าไม่มีประสบการณ์ก็อย่าได้โต้แย้ง) การหยิบฉวยหรือถือเอาทรัพย์สิ่งของที่เจ้าของไม่อนุญาต หรือไม่ให้ นั้น ย่อมทำให้เกิดความแตกแยกความสามัคคีในสังคมนั้นๆ อีกทั้งยังเป็นความโลภ ของบุคคลนั้นๆ สร้างอุปนิสัยที่ไม่ดี อยากได้อะไรฟรี ฯลฯ ศีลข้อนี้จึงเกิดขึ้น
ศีลข้อ มุสา คือ เว้นจากการพูดเท็จ พูดไม่จริง หรือพูดโกหก ศีลข้อนี้สำคัญ ในการดำรงตนอยู่ในสังคม เพราะการโกหกหลอกลวงผู้อื่นนั้น บ้างเป็นการฆ่าผู้อื่นทางอ้อมก็มี อีกทั้งยังก่อให้เกิดความแตกแยกสามัคคีในหมู่เหล่า ทำให้เกิดความวุ่นวาย ศีลข้อนี้ มุสาฯ จึงเกิดขึ้น
ศีลข้อ กาเมฯ ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปในตอนต้นว่า มนุษย์ และสัตว์อีกหลายชนิด ย่อมมีการสืบพันธุ์ ผสมพันธ์ เป็นธรรมชาติ ในสมัยโบราณ บุคคลบางบุคคล มีอำนาจ มีกำลัง ฯ ก็มักใช้อำนาจ หรือกำลัง ไปฉุดลากเอา หญิงอื่น ลูกเขาบ้าง เมียเขาบ้าง (ผิดศีลหลายข้อเลยละ) ตามแต่ใจตัวเองชอบ มาบำบัดความต้องการของตัวเอง ศีลข้อ กาเมฯจึงเกิดขึ้น
ศีลข้อ สุราฯ คือ เว้นจากการดื่มน้ำเมา สุรา หรือเครื่องดองของเมา เพราะเมื่อเมาแล้วมนุษย์มักกระทำสิ่งใดใดไปโดยไม่มีความยั้งคิด อาจไปฆ่าผู้อื่น ทำร้ายผุ้อื่น อาจไปโกหกหลอกลวงผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดความเกลียดชัง จนอาจถูกทำร้าย หรืออาจไปฉุดกระชากลากถูเอาลูกเขาเมียเขา หรือ อาจไปหยิบฉวยเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ให้ โดยไม่มีความยั้งคิด อย่างนี้เป็นต้น ศีลข้อ สุราฯจึงเกิดขึ้น
มนุษย๋ได้รับการขัดเกลาจากสิ่งแวดล้อม ถ้าสิ่งแวดล้อมดี มนุษย์ก็ดีตามไปด้วย แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป ศีล ก็ยังใช้ได้ เพราะศีลเป็นข้อฝึกตนเพื่อให้เกิดธรรมะ มีศีล ระลึก ,ดำริ ถึงศีลอยู่เสมอ ก็ย่อมขัดเกลาอบรม บุคคลให้ดีได้ ถึงแม้จะไม่ทุกคน ก็ยังดีกว่า สังคมจะสับสนวุ่นวาย เพราะไม่มีสิ่งสอนใจสอนความคิด
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 14 ต.ค.2008, 6:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณ ท่านอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน ไปพร้อมกับคุณ nuch ด้วย

ที่ชอบถ่ายทอดความรู้มาตลอด จะติดตามอ่านไปเรื่อย ๆ นะจ๊ะ สู้ สู้ สาธุ ยิ้ม
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง