Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 โลกทีปนีต่อ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ผ้าขี้ริ้ว
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2005
ตอบ: 101

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 9:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๔. ตามโพทะนรก
ต่อจากอสินขะนรกไป ก็ถึงตามโพทะนรก ในนรกขุมนี้ มีหม้อเหล็ก
ต้มน้ำทองแดงอยู่มากมาย น้ำทองแดงกำลังเดือดพลุ่ง พร้อมกับมีก้อนกรวด
ก้อนหินปะปนอยู่ด้วยทุกๆ หม้อ สัตว์ใดมาตกอยู่ในนรกขุมนี้ นายนิรยบาลก็
จับให้นอนหงายเหนือแผ่นเหล็กอันรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ แล้วเอาน้ำทองแดง
พร้อมทั้งก้อนกรวดก้อนหินกรอกเข้าไปในปาก น้ำตกไปถึงไหน เช่น ถึงปาก
ถึงคอ ท้อง อวัยวะส่วนนั้นๆ ก็แตกเปื่อยพังทลาย แลัวก็กลับเกิดกลับเป็นขึ้น
มาอีก นายนิรยบาลก็เอาน้ำนรกนั่นกรอกเข้าไปอีก เฝ้าเลวยทุกขเวทนาอยู่
อย่างนี้วันแล้ววันเล่า ด้วยผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อน คือ ในชาติก่อนนั้น
เขาเป็นคนใจอ่อนมัวเมาประมาทดื่มกินสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายคนบ้า
เป็นนิจศีล จึงตัองมาดื่มกินน้ำทองแดงนรกพร้อมกับก้อนกรวดก้อนหินใน
นรกนี้ จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว
๕. อโยคุฬะนรก
ต่อจากตามโพทะนรกไป ก็มาถึงอโยคุฬะนรก ในนรกขุมนี้ เต็มไปด้วย
ก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด ไม่ว่ามองไปทางไหน มีแต่ก้อนเหล็กแดง
ลุกเป็นไฟทั้งสิ้น สัตว์นรกทั้งหลายล้วนแต่มีความหิวโหย ครั้นเห็นก้อน
เหล็กแดงก็ดีเนื้อดีใจ เพราะอกุศลบันดาลให้สัตว์นรกนั้นตาฟ้าฟางตาลาย
เหี่นก้อนเหล็กเป็นโภชนาหาร จึงรีบวิ่งเข้าไปยื้อแย่งกันกิน พอเคี้ยวกลืนเข้าไป
แล้วก็กลับกลายเป็นก้อนเหล็กแดงอันเรืองฤทธิ์ไหม้ ไล้พุงให้ขาดกระจัดกระจาย
เรี่ยรายออกมาต้องได้รับทุกขเวทนา เอามือกุมท้องร้องไห้ร้องครวญครางด้วย
ความเจ็บปวดเหลือคณนา
ได้ทราบมาว่า สัตว์นรกเหล่านั้น ชาติก่อนมีโลภเจตนาหนาแน่น แสดง
ตนว่าเป็นคนใจบุญใจกุศล เที่ยวป่าวร้องเรี่ยไร เอาทรัพย์เขามาว่าจะทำ
การกุศลสาธารณะ ครั้นได้ทรัพย์มาแล้วก็ยักยอกใช้สอยตามสะดวกสบายของ
ตนการกุศลก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้ บางทีก็ไม่ทำเลย หลอกลวงเขา
ได้ด้วยเล่ห์ นึกว่าตนเป็นคนฉลาด จึงต้องพลาดท่ามาตกนรกขุมนี้ กินก้อน
เหล็กแดงด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นโภชนาหารอยู่วันแล้ววันเล่าด้วยความ
หิวโหยลุดประมาณ จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้
๖. ปิสสกปัพพตะนรก
ต่อจากอยคุฬะนรกไป ก็ถึงปิสสกปัพพตะนรก ในนรกขุมนี้มีภูเขาใหญ่
ตั้งอยู่ทั้ง ๔ ทิศ เป็น ภูเขาเคลื่อนที่ไม่หยุดหย่อน กลิ้งบดสัตว์ทั งหลายที่มาเกิด
ในที่นี่ ให้ บี้แบนกระดูกแตกละเอียด ถึงแก่ความตายแล้ว ก็กลับเป็นขึ้นมาใหม่
ให้ต้องทนทุกขเวทนาอยู่อย่างนี้ ตลอดวันตลอดคืนไม่ว่างเว้น
ที่ต้องมาทนทุกขเวทนาเห็นปานนี้ ก็เพราะในชาติก่อนเป็นใหญ่เป็นนาย
บ้าน นายอำเภอ เป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง แต่ประพฤติตนเป็นคนอันธเพาลกดขี่
ข่มเหงราษฎร เช่น ทุบตีเขาเอาทรัพย์มาใหัเกินพระราชบัญญัติอัตรา ไม่มี
ความกรุณาแก่คนทั้งปวง ครั้นชีวิตปลิดปลงก็ลงมาเกิดในนรกขุมนี้ ถูกภูเขา
เหล็กนรกบดขยี้ ร่างกายให้ แตกทำลาย ตายแล้วเป็น เป็นแล้วตายซ้ำซากอยู่
อย่างนี้ จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้
๗. ธุสะนรก
ต่อจากปิสสกปัพพตะนรกไป ก็มาถึงธุสะนรก สัตว์ที่มาเกิดในขุมนรกนี้
ล้วนแต่มีความหิวกระหายน้ำทั้งสิ้น วิ่งวุ่นกระเลือกกระลนไปทั่วนรก ครานั้น
ก็ปรากฏมีสระเต็มไปด้วยน้ำ อันใสเย็นสะอาด สัตว์นรกทั้งหลายเห็นเข้าต่าง
ก็ดีเนื้อดีใจ วิ่งไปถึงแล้วกระโดดลงเพื่อจะกินจะอาบ ด้วยอำนาจกรรมบันดาลพอ
น้ำตกถึงท้องก็กลายเป็นแกลบเป็นข้าวลีบ ลุกเป็นเปลวไฟทั้ง ๆ ที่อยู่ในท้อง
ไหม้ไส้ใหญู่ไส้น้อย ตับปอดเครื่องใน ก็ไหลออกมาทางทวารเบื้องล่าง ให้ได้รับ
ความเจ็บปวด เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส ที่เป็นเช่นนี้ เพราะในชาติก่อน
เป็นคนคดโกง ไม่ซื่อสัตย์ เช่น เป็นพ่อคัา เอาของชั่วปนของดี เอาของดีปน
ของปลอมหลอกขายผู้อื่นด้วยโลภเจตนา จึงจำต้องมาตกนรกขุมนี้ เสวย
ทุกขเวทนาไปจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้
๘. สีตโลสิตะนรก
ต่อจากธุสะนรก ก็มาถึงสีตโลลิตะนรก ในนรกขุมนี้ มีนำ เย็นยะเยือก
ยิ่งกว่าความเย็นทั้งหลาย เมื่อสัตว์นรกตกลงไปก็ตายเพราะความเย็น ด้วย
อำนาจอกุศลกรรม ก็กลับเป็นขึ้นมาอีก แล้วจึงพากันคลานขึ้นมาข้างบน
เพื่อจะให้พ้นจากความเย็นอันจับขั้วหัวใจ นายนิรยบาลทั้งหลายก็จับสัตว์นรก
เหล่านั้นโยนลงไปในน้ำเย็นอีก พอตกลงไปถึงน้ำเย็นก็พากันตาย ร่างกาย
แตกพังทำลายไป แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาเสวยกรรมอีกต่อไป
ได้สดับมาว่า ในชาติก่อน สัตว์นรกเหล่านี มีใจบาปหยาบช้า จับสัตว์ทั้ง
หลายโยนลงไปในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์ทิ้งน้ำ ใหัจมน้ำตาย ทำ
เพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้ ได้รับความทุกข์เพราะน้ำ ครั้นแตกกายทำลายขันธ์ จึง
ต้องมาเสวยผลกรรม ถูกทรมานในนรกขุมนี้
๙. สุนขะนรก
ถัดจากนรกน้ำเย็น ก็เป็นนรกขุมที่ ๙ ซึ่งมีชื่อว่า สุนขะนรก ในนรกขุมนี้
เต็มไปด้วยสุนัขนรกทั้งหลาย และหมานรกนั้นมีอยู่ ๕ จำพวก คือ ๑. หมาดำ
๒. หมาขาว ๓. หมาเหลือง ๔. หมาแดง ๕. หมาลาย หมาทั้ง ๕ จำพวกนี้มี
รูปร่างใหญ่โต แลดูน่ากลัวนักหนา ส่งเลียงเห่าหอนดังฟ้าลั่นฟ้าร้อง สัตว์ที่
ต้องมาตกในนรกขุมนี้ ย่อมถูกสุนัขนรกทังหลายไล่ขบกัดไม่มีเวลาหยุดยั้ง
สุนัขเหล่านี มีกิริยาดุร้ายดุจดังหมาไล่เนื้อของพรานฉะนั้น
นอกจากหมานรกแล้ว ในนรกขุมนี้ ยังปรากฏมีฝูงแร้งและฝูงกาอยู่อีก
เป็นอันมาก แร้งกาเหล่านี้มีลักษณะแปลกประหลาด คือ ที่ปากและตีนเป็น
เหล็กลุกแดงเป็นเปลวไฟ แลดูน่ากลัว มันเหล่านั้น ย่อมบินมาจิกตรงลูกตา
และแหกหัวอกของสัตว์นรกทั้งหลายให้ แตกทำลายกระจุยกระจายและเคี้ยวกิน
กรรมยังไม่ลิ้นตราบใด ก็เกิดขึ้นมาใหม่ให้สัตว์เหี้ยมโหดในนรกทั้งหลายทั้งแร้ง
ทั้งกา และหมาหมู่ขบกัดเอาตามชอบใจไปกว่าจะสิ้นกรรม
ที่ต้องลงมาเกิดในนรกขุมนี้ ก็เพราะว่าในชาติก่อนเขาเป็นคนปากกล้า
สามานย์ โฉดเขลาเป็นพาลไม่ประมาณวาจา ด่าว่าบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย
พี่สาว พี่ชาย ด้วยคำเจ็บแสบหรือพอโกรธขึ้นมา ก็ด่าว่าไม่เลือกหน้า ไม่ว่า
จะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ แม้ผู้มีศีล เช่น สมณะภิกษุสามเณรก็ไม่เลือก ด่าว่าเอา
ตามใจชอบแห่งตน ด้วยผลแห่งวจีทุจริตอันหยาบช้า จึงบันดาลให้มาเกิดใน
นรกขุมนี้ ต้องทนทุกขเวทนา ถูกแร้งกาและหมานรกกัดกินจนกว่าจะสิ้นกรรม
ที่ทำไว้
๑๐. ยันตปาสาณะนรก
ยมโลกนรกขุมลุดท้ายชื่อว่า ยันตปาสาณะนรก ในนรกขุมนี้ ปรากฏว่ามี
ภูเขา ๒ ลูก แต่เป็นภูเขาประหลาด คือ เป็นยนต์หมุนหันกระทบกันอยู่เสมอ
เป็นจังหวะไม่ขาดระยะ พอสัตว์มาเกิดในนรกนี้ แล้ว นายนิรยบาลผู้มีกายกำยำ
ล่ำลันใหญ่โตก็จับศีรษะสัตว์นรกนั้นใล่เข าไปในระหว่างภูเขายนต์ทั้ง ๒ ครั้น
ภูเขากระทบกัน ก็บีบกระทบศีรษะสัตว์นรกเหล่านั้นให้แตกละเอียด เลือดไหล
โซม ดุจหีบอ้อยยนต์ที่หีบอ้อยลดให้น้ำอ้อยไหลออกมาฉะนั้น สัตว์นรก
เมื่อได้ประสบการณ์ดังนี้ ก็ต้องได้รับทุกขเวทนาเหลือที่จะทนได้ ให้เจ็บปวด
กระวนกระวาย ตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมา ต้องเสวยทุกขเวทนาอย่อย่างนี้ จน
กว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้
ได้ทราบมาว่า ชาติก่อนสัตว์นรกเหล่านี้ เป็นหญิงชายใจบาปหยาบช้า ตี
ด่าคู่ครองของตนด้วยความโกรธประทุษร้าย แล้วประพฤตินอกใจไปคบหาสามี
ภรรยาคนอื่นจึงต้องมาทนทุกข์อยู่ที่นี่จนกว่าจะลิ้นกรรมจึงจะไปเกิดในภูมิอื่นได้
ยมโลกนรกทั้ง ๑๐ ขุมที่กล่าวมานี คือ
๑. โลหกุมภีนรก
๒. สิมพลีนรก
๓. อสินขะนรก
๔. ตามโพทะนรก
๕. อโยคุฬะนรก
๖. ปิสสกปัพพตะนรก
๗. ธุละนรก
๘. สีตโลสิตะนรก
๙. สุนขะนรก
๑๐. ยันตปาสาณันรก
ยมโลกนรกทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ตามลำดับถัดกันไป ต่อจากอุสสสุทนรกทั้ง ๔
ในทิศบูรพาเบื้องหน้าของสัญชีวมหานรก แม้ในทิศอื่นๆ อีก ๓ คือ ทิศหลัง
ซ้าย ขวา ก็มียมโลกนรกนี้ปรากฏต่อจากอุสสุทนรกที่กล่าวแล้วทิศละ ๑๐ ขุม
ซึ่งมีชื่อและลักษณะอย่างเดียวกัน จึงปรากฏว่า ในสัญชี วมหานรกนี้มียมโลก
นรกล้อมเป็นบริวารชั้นนอก ๔๐ ขุม นอกจากนี้ ยมโลกนรกยังมีปรากฏในมหา
นรกขุมอื่นอีก ๗ ขุม ขุมละ ๔๐ จึงรวมกันทั้งหมด เป็นยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม
สัตว์นรกทั้งหลายที่ทำกรรมชั่วไว้มาก พอเสวยกรรมในมหานรกแล้ว
หากกรรมยังไม่สิ้น ก็ต้องมาเสวยผลกรรมชั่วในอุสสุทนรกอีก ถึงแม้อย่างนี้
หากกรรมยังไม่สิ้น ก็ต้องมาเสวยผลกรรมในยมโลกทั้ง ๑๐ ที่แวดล้อมมหานรก
นีอยู่ตามอำนาจของบาปกรรมที่ตนทำไว้ ครั้นสิ้นกรรมในนรกเหล่านี้แล้วเศษ
บาปยังให้ผลต้องไปเกิดในอบายภูมิอื่น คือ ต้องไปเกิดเป็นเปรตเป็นอสุรกาย
เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ให้เสวยทุกขเวทนาในลถานที่นั้นๆ แล้ว จึงจะได้ มีโอกาส
กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ตามเดิม
โลกันตนรก
ยังมีนรกพิเศษอีกขุมหนึ่งเป็นนรกขุมใหญ่ยิ่ง ซึ่งอยู่นอกจักรวาล สถานที่
ตั้งของนรกขุมนี้ อยู่ ในระหว่างโลกจักรวาล ๓ โลก! ถ้าจะเปรียบก็เหมือนดอก
ปทุมชาติ ๓ ดอก เอามาตั้งชิดติดกันเข้า ก็จะมีช่องว่างขึ้นในตอนกลาง จักรวาล
ต่าง ๆ ก็ตั้งชิดกันเร่นดอกปทุมชาตินั้น สถานที่ตรงช่องว่างนั้นแหละเป็น โล-
กันตนรก ซึ่งแปลว่านรกที่ตั้งอยู่สุดโลกจักรวาล
ในโลกันดนรกนั้นมีสภาพมืดมนยิ่งนัก แสงดาวเดือน แลแสงดวงตะวัน
ส่องไปไม่ถึง เป็นโลกมืดมนอันธการ สามารถห้ามเสียซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่ง
จักษุวิญญาณ เปรียบปานเช่นคนหลับตาในคราวเดือนดับฉะนั้น เพราะอยู่นอก
จักรวาล พ้นจากโลกสวรรค์-โลกมนุษย์-โลกนรกออกไป
สัตว์ที่ไปเกิดในโลกันตนรกนี้ มีร่างกายใหญู่โต ทั้งมีเล็บมือเล็บเท้ายาว
ยิ่งนัก ต้องใช้เล็บมือเท้าเกาะอยู่ตามชายเชิงจักรวาล ห้อยโหนโยนตัวอยู่ชั่ว
นิรันดร์ เปรียบเช่นค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ ครั้นได้ รับความทุกข์อันแสน
สาหัสเช่นนี้ เขาจึงได้ แต่รำพึงในใจว่า
"ทำไมตูจึงมาอย่ที่นี่ ๆชะรอยจะมีแต่ตูผู้เดียวดอกหรือ? "
การที่เขารำพึงเช่นนี้ก็เพราะมันมืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกด้วย
กัน หรือไม่เห็นอะไรเลยนั่นเอง ตลอดเวลาไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหนโยน
ตัวเปะปะไปด้วยความหิวโหย ครั้นป่ายตะกายไปถูกมือกันและกันเข้าแล้ว ก็
สำคัญว่าพบอาหาร มีกิริยาขวนขวายคว้าฉวยจับกุมกัน ต่างตนต่างก็จะตะครุบ
กันกิน เมื่อต่างก็ปล้ำฟัดกันอยู่อย่างนี้ ไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือที่เกาะอยู่ เลย
พากันพลัดตกลงไปข้างล่าง
บริเวณสถานที่เบื้องล่างที่เขาพลัดตกลงมานั้นมันไม่ใช่พื้นธรรมดา โดยที่แท้
เต็มไปด้วยน้ำกรดอันเย็นยะเยียบอย่างร้ายกาจยิ่งนัก ครั้นเขากอดคอพากัน
ตกลงมา พอถึงพึ้นน้ำบัดเดี๋ยวใจ ตัวตนร่างกายเขาก็เปื่อยแหลกลงสิ้นเพราะ
ฤทธิ์น้ำกรดเย็นนั้นกัดเอา ให้เหลวแหลกละลายเช่นก้อนอุจจาระซึ่งตกลงไป
ในน้ำฉะนั้น เขาก็ถึงความสิ้นใจตายในบัดใจ แล้วก็กลับเป็นตัวตนขึ้นมาเหมือน
เก่า ให้รู้ สึกหนาวเย็นเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขา
จักรวาลด้วยความลำบากยากเข็ญ แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวหาอาหารด้วยความ
หิวโหยต่อไปอีกตามเดิม ครั้นพบปะกันเข้า ก็ตั้งหน้าแต่จะตะครบกันกินด้วย
สำคัญผิดคิดว่าเป็นอาหาร แล้วก็พากันกอดคอตกลงไปในน้ำกรดเย็นถึงแก่
ความตาย แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาตามเดิม แต่เวียนตายเวียนเกิดด้วยความทุกข์
ทรมานอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันสิ้นสุดชั่วพุทธันดรหนึ่ง จึงจะพ้นโทษจากนรกขุมนี้
มีเรื่องควรทราบ ที่จะขอกล่าวแทรกไว้ในที่นี้ ก็คือว่า องค์สมเด็จพระสัม-
มาสัมพุทธเจ้าได้ โปรดประทานพระพุทธฎีกาไว้ ว่า รุปฺปติ โข ภิกขเว เป็นต้น
ซึ่งแปลเป็นใจความว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ที่ชื่อว่า รูป เพราะอรรถว่า เป็น
สิ่งที่จะต้องสลายฉิบหายไป เพราะความหนาวบ้างเพราะความร้อนบ้าง ดังนี้
จึงมีปัญหาว่า ที่ว่ารูปต้องสลายฉิบหายไปด้วยความหนาวนั้น อย่างไรกัน ?
ก็รูปของสัตว์ที่เกิดในโลกันตนรกนี่เอง ที่ต้องแตกสลาย ฉิบหายไปเพราะ
ความหนาว ก็จะไม่หนาวอย่างไรได้เล่า เพราะโลกันตนรกนี้ เป็นนรกน้ำกรด
เย็นโดยแท้ มีภาวะเย็นยะเยือกยิ่งนักเมื่อสัตว์นรกโลกันต์ทั้งหลายซึ่งใช้เล็บมือ
เล็บเท้าอันยาวเกี่ยวเกาะเชิงเขาจักรวาลห อยอยู่ ประดุจคัางคาวมีศีรษะห้อยลง
ในเบื้องต่ำ แล้วก็ปล้ำฟัดกันด้วยลำคัญว่าเป็นอาหาร พลัดตกลงมาในน้ำกรด
เย็นเบื้องล่าง พอรูปกายถูกน้ำกรดอย่างนี้แล้วจะไปเหลืออะไร! ก็มีแต่จะเปื่อย
พังสลายไปด้วยความหนาว เพราะน้ำกรดอันเย็นเหลือประมาณนั่นเอง
ได้ก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่า จึงต้องมาอยู่ในโลกันตนรกนี้ ? ได้เคยทำ
กรรมร้ายกาจหยาบช้าลามกนัก คือ ประทุษร้ายทรมานบิดามารดา เพราะ
ปราศจากความกตัญญูกตเวที มีตามืดบอดไม่เห็นคุณท่านแม้แต่นิดหนึ่ง เกิด
ไม่พอใจขึ้นมาก็ทุบตีด่าว่าอยู่เป็นนิดย์หรือมีจิตหยาบช้า ทำการวางเพลิงเผา
วัดวาอารามทำใหัลมณะผู้ทรงศีลถึงแก่มรณกรรม อีกประการหนึ่งทำกรรม
ชั่วหนัก เช่น ประทุษร้ายผู้ทรงศีล หรือกระทำปาณาติบาตเป็นอาจิณทุกๆ วัน
อำนาจอกุศลกรรม จึงบันดาลให้ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ ซึ่งมีปกติมืดอยู่เป็น
นิตย์ ต่อเมื่อมีพระพุทธเจ้ามาตรัสในโลก จึงจะมีโอกาสปรากฏเป็นแสงสว่าง
ขึ้นนิดหนึ่งชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วระยะเวลามาตรว่าลัดนิ้วมือเดียวเท่านัน นีแหละ
โลกันตนรก!

สรุปนิรยภูมิ
บริวารนรกทั้งหลายที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นสถานที่ปราศจากความสุข
โดยสิ้นเชิงมีแต่ ความทุกข์ทรมานอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อให้จำกันง่ายๆ ก็จะนำ
นรกทั้งหลายมากล่าวซำไว้อีกครั้งหนึ่งว่า นรกมีอยู่ทั้งหมด ๔๕๗ ขุม คือ
๑. มหานรก ๘ ขุม
๒. อุสสุทนรก ๑๒๘ ,,
๓. ยมโลกนรก ๓๒๐ ,,
๔. โลกันตนรก ๑ ,,
รวมกันเป็น ๔๕๗ ขุม
ลัตว์ที่เกิดในนรกเหล่านี้ ต้องเสวยทุกข์โทษอยู่สิ้นกาลช้านาน แต่จะนาน
เท่าใดนั้นไม่แน่นอน เพราะมันขึ้นอยู่กับบาปกรรมทีได้ กระทำไว้ ทั้งนี้ ย่อมเป็น
ไปตามนัยที่ว่า
อปาเยสุ หิ กมมเมว ปมาณ
ในอบายภูมิทั้งหลาย อกุศลที่ทำไว้นั่นเอง
เป็นเครื่องประมาณอายุของสัตว์
หมายความว่า ถ้าทำบาปกรรมไว้มาก ก็ต้องตกนรกอยู่นาน และต้อง
ตกนรกหลายขุม เช่น พอเสวยกรรมในมหานรกแลัว หากบาปกรรมยังไม่หมด
ก็ต้องไปเสวยกรรมในอุสสทนรก ยมโลกนรกเสวยทุกข์เรื่อยไปจนกว่าจะสิ้นกรรม
บางทีตกนรกขุมที่เป็นบริวารก่อนแล้วจึงมาตกมหานรกก็มี สุดแต่ว่ากรรมใด
จะให้ผลก่อน บางทีทำบาปไว้มาก ต้องตกนรกดะเรื่อยไปผ่านมหานรกทั้ง ๘ ขุม
ก็มี บางทีสัตว์ก็ตกนรกเพียง ๑ ขุม ๒ ขุม แล้วก็สิ้นกรรม เหมือนเช่น
พระเทวทัตท่านตกแต่มหานรกอเวจีเพียงขุมเดียวเท่านั้น ก็จะพ้นโทษกลับมา
เกิดเป็นมนุษย์ ในอวสานชาติสุดทัาย ก็จะได้ตรัสเป็นพระปัจเจกพุทธเจัามีนาม
ว่า พระอัฏฐิสระปัจเจกพุทธเจ้า ดังนี้ เป็นต้น
ถ้าทำบาปกรรมไว้น้อย เพียงมาตกนรกได้ไม่นาน กุศลกรรมที่ตนทำไว้
บันดาลให้ระลึกถึงบุญกุศลนั้นขึ้นมา ก็เปลี่ยนสภาพจากสัตว์นรก ไปอุบัติเกิดใน
ภูมิอื่นต่อไป จึงสรุปความได้ว่าจะเสวยทุกข์โทษอยู่ในนรกนานช้าเพียงใด นั่น
ก็สุดแต่กุศลกรรมที่ทำไว้ เป็นประมาณ
ก่อนที่จะหมดเรื่องนิรยภูมินี้ ขอกล่าวย้ำ อีกทีเพื่อเป็นเครื่องชี้ทางว่า
การที่จะไปเกิดในโลกนรกได้ ก็เพราะทำบาปกรรมความชั่วในไตรทวาร คือ
บาปทางกาย ๑ บาปทางวาจา ๑ บาปทางใจ ๑ ถ้าใครทำบาปทั้ง ๓ ทางนี้
ต้องไปเสวยทุกข์โทษไปเกิดในนรกแน่นอน เพราะมีพระพุทธวจนะตรัสไว้ว่า
นิรยํ ปาปกมมิโน (คนทำบาปไว้ต้องลงไปเกิดในนรก) ในข้อนี้ พึงเห็นตัวอย่าง
ดังต่อไปนี้
๑. บุคคลที่กระทำปาณาติบาต คือ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขาเป็นประจำ ครั้น
สิ้นชีวิตตายไป ผลกรรมย่อมจะทำให้ไปเกิดในสัญชีวมหานรก
๒. บุคคลที่จะทำอทินนาทาน คือ ประพฤติเป็นโจร เป็นขโมย ลักเล็ก
ขโมยน้อยเขาเป็นอาชีพ ย่อมถูกกรรมชักนำไปเกิดในกาฬสุตตมหานรก
๓. บุคคลที่กระทำกาเมสุมิจฉาจาร คือ ประกอบด้วยราคะดำฤษณา
ประพฤติผิดประเวณีเป็นประจำ ย่อมนำตนไปเกิดในสังฆาฏมหานรก
๔. บุคคลที่กระทำมุสาวาท คือ ประพฤติวจีทุจริต ทำผิดทางวาจาเป็น
ประจำ ครั้นสิ้นชีวิต กรรมก็จะผลิตผลให้ไปเกิดในโรรุวมหานรก
๕. บุคคลที่ดื่มสุราเมรัยให้เกิดความมัวเมาประมาท ขาดสติสัมปชัญญะ
เป็นประจำ ย่อมเป็นปัจจัยนำตนไปเกิดในมหาโรรุวมหานรก
เท่าที่กล่าวมานี้ เพียงแต่ชี้ ให้เห็นบาปอย่างย่อๆ ว่าเป็นเครื่องนำไปเกิด
ในนรกได้ อย่างไร ถ้าใครไม่สมัครใจจะเป็นสัตว์นรก ก็จงอย่าทำบาป อย่าทำ
ความชั่วทั้งหมดอย่างเด็ดขาดถึงแม้เป็นบาปหรือกรรมชั่วเล็กน้อยก็จงอย่าประมาท
อย่ากระทำเพราะขึ้นชื่อว่าบาปอกุศลกรรมแล้ว ย่อมนำไปเกิดในนิรยภูมิโลก
นรกได้ทั้งนั้น
พรรณนาในนิรยภูมิ เห็นว่าสมควรที่จะยุติได้แล้ว จึงขอยุติลง ด้วย
ประการฉะนี้

เปตติวิสยภูมิ

โลกเปรต
อบายภูมิอันดับต่อไป มีชื่อว่า เปตติวิสยภูมิ หรือเรียกง่ายๆ ว่า โลกเปรต
ภูมินี้เป็นภูมิที่ห่างไกลจากความสุข ไม่มีสถานที่อยู่โดยเฉพาะ สัตว์ที่ไปเกิดใน
ภูมิกำเนิดเปรตนี้แล้ว แม้จะมีความทุกข์น้อยกว่าสัตว์นรกทั้งหลายก็จริงถึง
กระนั้นก็ยังห่างไกลจากความสุขอยู่เป็นอันมาก ฉะนั้น จึงต้องเรียกภูมินี้ว่า
เปตติวิสยภูมิ = โลกที่อยู่ของสัดว์ที่ห่างไกลจากความสุข
ในเปตติวิสยภูมินี้ มีเปรตอยู่หลายพวกหลายประเภทตามแต่อำนาจ
อกุศลกรรมที่ทำไว้จะบันดาลให ไปเกิดเป็นเปรตชนิดใด ปรากฏมีประเภท
ของเปรตที่พอจะนำมากล่าวในที่นี่ ดังต่อไปนี้

วิชชาตเปรต
พวกวิชชาตเปรตนี้ เป็นเปรตชั้นผู้ใหญ่ ชั้นดี มีฤทธิ์มาก เป็นดุจดังพญา
เปรต ทั้งเป็นเปรตที่พอจะรู้ พระจตุราริยสัจธรรม แต่ไม่นำพาคือไม่สนใจปฏิบัติ
ตาม จึงมีความมัวเมาประมาท ทำทุจริตผิดพลาดในปางก่อน เลยต้องมาเสวย
ผลกรรมชั่ว เกิดเป็นเปรตอยู่อย่างนี้ เปรตพวกนี้ อยู่ในแดนของเขาซึ่งตั้ง อยู่
เหนือแดนนรก อยู่กันแต่เฉพาะพวกเขาเท่านั้น เปรตพวกอื่นจะเข้าไปอยู่ปะปน
ด้วยไม่ได้ ต้องเสวยกรรมเป็นเปรตอยู่อย่างนี สิ้นกาลช้านาน จนกว่าจะสิ้น
กรรมที่ทำไว จึงไปถือกำเนิดในภูมิอื่นต่อไป

วิวิธเปรต
ยังมีเปรตพวกอื่นอีกมากมายหลายพวกหลายฝูง นอกจากวิชชาตเปรต
ดังกล่าวแล้ว ซึ่งอยู่ในสถานที่ต่างๆ กันและมีชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกัน คือ
เปรตบางพวก มีรูปร่างชั่วช้า ศีรษะร่างกายผอมโซนักหนา เนึ้อและเลือด
ของเขามิได้มีเลย ทั้งร่างมีแต่กระดูกและหนังที่พอกหุ้มกระดูกอยู่อย่างนั้น
เพราะไม่มีอาหารจะรับประทานหนังท้องเหี่ยวติดกระดูกสันหลัง ดวงตานั้นลึก
กลวงดุจถูกเขาแกล้งควักออกเสียฉะนั้น ผ้าสักชิ้นหนึ่งที่จะปกปิดร่างกายก็มิได้
มีเลย ผมยาวรุ่มร่ามลงมาปกปากปกหน้า เนื้อตัวเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียด
น่ากลัวนัก ร้องไห้ครวญครางอย่างน่าเวทนา เพราะความหิวโหยอาหารหมด
เรี่ยวหมดแรงจะไปไหนๆ ไม่ได้ ก็ได้แต่นอนหงายอิดโรยอยู่อย่างระเกะระกะ
ขณะนั้นหูของพวกเขาย่อมไดัยินเสียงประดุจคน มาร้องเรียกแผ่วๆ ดังแว่ว
มาแต่ไกลว่า
"สูเจ้าทั้ งหลายเอ๋ย พากันมากินข้าว กินน้ำ"
ฝูงเปรตทั้งหลายได้ ยินเสียงกรรมบันดาลเช่นนี้ ก็เข้าใจว่า มีข้าวมีน้ำ
ต่างก็ดีเนื้อดีใจคิดจะลุกขึ้น แต่ก็ลุกขึ้นมิได้เพราะหมดเรี่ยวหมดแรง แล้วก็
พยายามลุกขึ้นอย่างแสนลำบาก บางตนก็ล้มลงนอนหงายแผ่ แต่เสียงเรียกให้
ไปกินข้าวกินน้ำ ก็ยังคงดังแผ่วมากระทบหูอยู่เรื่อย ๆ พวกเขาจึงอุตส่าห์
พยายามเกาะกันล้มลุกล้มหงาย ในที่สุดก็ลุกขึ้นได้ ครั้นลุกขึ้นได้ ก็เอามือ
อันเหี่ยวแห้งพาดขึ้นเหนือหัวชื่นชมยินดี ค่อยพยุงสรีระร่างกายไปสู่ทางทิศที่
ได้ยินเสียงเรียก เร่งไปเร่งหาอยู่ช้านาน แต่จักได้พานพบข้าวและน้ำก็หามิได้
เลย เขาจึงเสียใจรัองไห้ครวญ ครางพลางล้มลงกสิ้งเกลือกด้วยความหิวอยู่
ที่นั่นเอง ในไม่ชัาก็มีเสียงเรียกมา เร้าใจให้พยายามอีก แต่จะได้เจออาหาร
สักนิดก็หามิได้เลยได้ ยินแต่เสียงร้องเรียกแต่อย่างเดียว เป็นอย่างนี้หลายร้อย
หลายพันปี จนกว่าจะสิ้นเวรกรรม
เปรตเหล่านี้ ในชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์ผู้ใจร้าย มักริษยาคนอื่น เห็นคน
อื่นมั่งมีเหนือตนก็ไม่พอใจ ครั้นเห็นคนยากไร้ก็กลับดูแคลน อยากได้ทรัพย์ลิน
ของผู้อื่น ทำเล่ห์ทำกลหลอกลวงเอาทรัพย์ของท่านมาเป็นของตน ทั้งเป็นคน
ตระหนี่ไม่ยินดีในการให้ทาน เห็นคนอื่นเขาให้ทานก็คอยห้ามปราม ฉ้อโกง
ทรัพย์สินที่เป็นของสาธารณะหรือของสงฆ์เอามาเป็นของตนดัวยโลภเจตนา
ครั้นตายแล้วจึงต้องมาเกิดเป็นเปรต เสวยทุกขเวทนาอันร้ายกาจเห็นปานฉะนี้
เปรตบางจำพวก เมื่อมองดูสรีระร่างกาย ก็ดูงดงามประดุจเช่นพระพรหม
มีรัศมีออกจากกายรุ่งเรืองเปล่งปลั่งดังทองธรรมชาติ แต่แปลกประหลาดตรงที่ว่า
ปากของเขานั้นมีสัณฐานเช่นปากสุกรน่าเกลียด เลยทำให้ไม่น่าดูชม ทั้งเป็น
เปรตที่อดอยากนักหนา จะหาสิ่งใดที่จะกินมิได้
เหตุไฉน จึงมาเป็นเปรตแปลกประหลาดเช่นนี้? ได้ทราบว่า เมื่อก่อนเขา
เคยเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนา บรรพชาคือบวชเป็นสงฆ์
อุตล่าห์รักษาศีลอย่างหมดจดบริสุท ธ์ ร่างกายจึงแลดูผุดผ่องเช่นองค์พระพรหม
แต่การที่ต้องมาเกิดเป็นเปรตมีปากเป็นหมูดูน่าชัง ก็เพราะว่าเขาเกิดความ
ประมาทพลั้งพลาดกล่าวคำตำหนิติเตียนครูบาอาจารย์ซื่งไม่มีโทษ ไม่มีผิด
ด้วยความเขัาใจผิดอันเกิดจากอกุศลจิตตน กรรมจึงบันดาลให้เกิดผลเป็นเปรต
เห็นประจักษ์อยู่อย่างนี้
เปรตอีกฝูงหนึ่ง สรีระร่างกายงดงามน่าดูน่าชมราวกะเทพยดา แต่ว่าที่
อวัยวะส่วนหน้าส่วนปากของเขานั้น ส่งกลิ่นเหม็นเน่านักหนา มีหนอนมาก
หลาย ไต่ยั้วเยี้ยเจาะกินปากกินนัยน์ตาของเขาอยู่เนืองนิตย์ ที่เป็นเช่นนี้
เพราะชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์ มีศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา อุตสาหะ
รักษาศีล จึงปรากฏมีร่างกายงดงาม แต่การที่ปากเหม็นเน่า มีหนอนออกบ่อน
กินปากเขานั้น ก็เพราะอกุศลกรรมวจีทุจริต ประพฤติผิดทางวาจาด่าว่า
พระสงฆ์สามเณรเจ้ากูผู้ทรงศีลเป็นอุดมเพศ เหตุทรงไว้ซึ่งเพศอันประเสร ิฐ
สูงสุด อกุศลกรรมจึงฉุดกระชากลากเขาใหัถือกำเนิดเป็นเปรตเลวยกรรมอยู่
อย่างนี้
เปรตอีกฝูงหนึ่ง เป็นเปรตเพศหญิง แม้เสื้อผ้าสักชิ้นหนึ่งก็ไม่มีพันกาย
และมีตัวตนส่งกลิ่นเหม็นนัก ทั่วสรรพางค์กายมีแมลงวันไต่ตอมอยู่หนาแน่น
ผอมโซหาเนื้อหาเลือดในร่างกายไม่มีเลยมีแต่หนังและเอ็นพอกกระดูกอยู่เท่านั้น
เปรตเหล่านี้ได้รับความอดอยากหนักหนา หาสิ่งใดจะกินเข้าไปไม่ได้เลย
ต่อนานๆ เมื่อหิวโหยสุดขีดแล้ว จึงคลอดลูกกรรมลูกเวรออกมาสักตัวหนึ่ง
แล้วก็ฉีกเนื้อลูกของตนนั้นเคี้ยวกิน มีชีวิตเป็นเปรตแสนทุเรศอยู่อย่างนี้ เป็น
เวลาหลายพันหลายหมื่นปี
ที่ต้องมาเสวยกรรมเป็นเปรตน่าทุเรศอย่างนี้ ก็เพราะว่าในชาติก่อน เมื่อ
เขายังเป็นมนุษย์ ได้ให้ยาแก่หญิงมีครรภ์ทำลูกของเขาให้ตกจากครรภ์ มีจิตใจ
ประกอบด้วยอกุศล ไร้ความปรานีต่อสัตว์ที่เกิดในครรภ์ ประกอบกรรมทำเข็ญ
อันเป็นบาปชั่วช้าลามก ใจสกปรกด้วยโลภเจตนา หวังจะได้ทรัพย์สินซึ่งเป็น
ค่าจ้างเพียงเล็กน้อย ไม่คำนึงถึงบาปกรรมภายหน้าจะมาถึงตนอย่างไร ในไม่
ช้าพอสิ้นชีวิต ก็ต้องลงมาเกิดเป็นเปรต ทนทุกขเวทนา มีกายน่าสังเวชสลดใจ
ไม่มีสิ่งใดจะรับประทาน ต้องหิวโหยอดอยาก ผอมโซนักหนา จนต้องกินลูกของ
ตนเองในเปรตวิสัยนี้ ด้วยอกุศลกรรมที่ทำมาแต่ปางบรรพ์
เปรตบางจำพวกนั้น ไม่มีรูปร่างเหมือนสัตว์ที่มีชีวิตทั่วไป แต่มีรูปร่าง
เหมือนกับก้อนเนื้อก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเท่านั้น! กองอยู่เป็นหย่อมๆ มีฝูงแร้งกา
และนกตะกรุมซื่งมีอยู่ในโลกเปรตพากันจิกทึ้งกินอยู่อย่างวุ่นวาย ก้อนเนื้อ
เปรตนั้นก็ได้แต่ร้องโอดโอยครวญครางด้วยความเจ็บปวด เพราะฝีปากของนก
เปรตทั้งหลายที่พากันจิกทึ้งอย่างไม่ปรานี
เหตุไฉนจึงต้องมาเกิดเป็นเปรตก้อนเนื้ออยู่อย่างนี้ ? ได้ทราบว่า เปรตพวกนี้
เมื่อชาติก่อนเป็นมนุษย์ มีใจไม่บริสุทธิ์ละอาด ปราศจากความกลัวบาป คิดจะ
ได้ลาภด้วยการประกอบอาชีพอันไม่ชอบธรรม กระทำปาณาติบาตกรรม ทำ
การฆ่าโคและสัตว์แลัวแล่เนื้อออกเป็นชิ้น ๆ ขายแก่คนทั้งหลาย เป็นอาชีพ
ประจำ ครั้นสิ้นชีวิตดับจิตในชาตินั้น ก็พลันลงไปเกิดเป็นสัตว์นรกสิ้นกาล
ช้านาน พอพ้นจากนรกแล้วกรรมยังไม่สิ้น จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตก้อนเนื้อ
ให้ฝูงแร้งกาและนกตะกรุมเฝัารุมล้อมจิกทึ้งอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม
เปรตบางจำพวก มีรูปร่างและการเสวยกรรมอย่างแปลกพิลึก คือ มีร่าง
กายน่าเกลียดน่ากลัว ล่องลอยไปมาในอากาศดัวยเปรตวิสัย ไม่ได้อยู่กับที่ มี
ร่างใหญ่ บางตนมีขนเป็นหอก บางตนมีขนเป็นธนูหน้าไม้ บางตนมีขนเป็นปืน
ขณะที่ลอยลมไปมาบนอากาศนั้น บรรดาขนเปรตที่เป็นหอก หนาไม้ ปืน ซึ่ง
ติดร่องแร่งอยู่เต็มร่างของเขานั้น ก็มีอันเป็นหลุดกระเด็นไปโดยแรง แลัวก็กลับ
มาประทุษร้ายตัวเขา เปรตตนที่มีขนเป็นหอกๆ นั้นก็กลับมาแทงเอาอย่างแรง
ทุกๆ ขนหอก ขนที่เป็นธนูหน้าไม้ ครั้นกระเด็นออกไปแลัวก็กลับมีลูกเสร็จ
เรียบร้อยแล้วยิงมาถูกตัองตัวเขาให้ได้รับความเจ็บปวดแม้เปรตตนที่มีขนเป็นปืน
ครั้นขนปืนทั้งหลายเหล่านั้นกระเด็นไปแล้ว ก็กลับมีลูกยิงมาถูกต้องตัวเขาสุด
ที่จะนับแผลที่ถูกยิงได้ เพราะขนในกายของเขามีเท่าใดก็กลายเป็นปืนยิงมา
เท่านั้น อย่างนี้จะนับแผลที่ถูกยิงได้ อย่างไรเล่า เปรตทั้งหลายเหล่านั้น ครั้นถูก
ขนจัญไรของตนประทุษร้ายเอาเช่นนี้แล้ว ก็ได้แต่ร้องครวญูครางด้วยความ
เจ็บปวดเหลือทน ต้องเป็นอยู่อย่างนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าสิ้นกาลช้านาน
ได้ทราบมาว่า เปรตเหล่านั้น แต่ก่อนครั้งเป็นมนุษย์ ความโลภฉุดให้ทำ
อกุศลกรรมที่หยาบช้า ทำปาณาติบาตเป็นพรานไพร คว้าได้หอก ได้ธนูหน้าไม้
หรือได้ปืน ก็มุ่งเข้าลู่ป่าเที่ยวล่าเนื้อถึกมฤคีตามแต่จะได้ แล้วนำมาเลี้ยงดูกัน
ขยันทำแต่บาปอยู่ทุกวันเวลา เมื่อถึงมรณาอาสัญกรรมตามทัน จึงต้องไปเกิด
ในนรกเป็นเวลาช้านาน พ้นจากนรกแล้วเศษบาปยังมี จึงต้องมาเกิดเป็นเปรต
จำพวกดังกล่าวมาน
เปรตบางจำพวก เขามีรูปร่างน่าทุเรศ เป็นเปรตชายมีอัณฑะขนาดใหญ่
เท่าหม้อเท่าไหเมื่อเขาเดินไป ต้องแบกลูกอัณฑะของเขาใส่บ่าแล้วเดินไป เมื่อ
เวลานั่ง ก็ต้องนั่งทับลูกอัณฑะ ดูน่าสงสารเป็นหนักหนา มีฝูงแร้งกาพากันตาม
จิกทึ้งเป็นกลุ่ม ๆ เขาก็ได้แต่ร้องทุรนทุรายศรวญครางดัวยความเจ็บปวด
ทรมาน เหลือที่จะพรรณนา
ได้ทราบว่า เปรตเหล่านี้ เมื่อชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์ เป็นคนมีวิชาความรู้
ตั้งอยู่ ในตำแหน่งผู้พิพากษาตัดสินความ แต่เขาปราศจากหิริโอตตัปปะ ถูก
ความโลภเข้าครอบงำ ทำให้ใจไขว้เขววิปริตเอนเอียง ตัดสินความผิดธรรม รับ
สินบนในที่ลับแล้ว เมื่อตัดสินความในที่แจ้งในตำแหน่งวินิจฉัย ก็ให้ชนะที่ตน
รับสินบนเขาไว้เป็นคนชนะ ส่วนชนที่ควรชนะก็กลับตัดสินให้แพ้ แต่ประพฤติ
กรรมอันทำลายความยุติธรรมของโลกตลอดกาลนาน จะได้มีหิริโอตตัปปะบ้าง
ก็ไม่มีเลย ด้วยมาคิดเสียว่าผู้ใดใครผู้หนึ่งจักล่วงรู้กรรมในที่ลับของตนก็หามิได้
ประมาทมัวเมาอยู่อย่างนี้ ครั้นสิ้นชีวิตจึงต้องไปถือกำเนิดเป็นสัตว์นรกตลอด
กาลนาน ครั้นพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังมีอยู่ จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตมี
สรีระร่างน่าทุเรศเห็นปานนี้
เปรตบางจำพวกมีเพศน่าอัศจรรย์ คือ มีเพศเป็นพระภิกษุในพระพุทธ
ศาสนา ทรงผ้าสังฆาฏิ จีวรบาตร ประคดเอว อัฐบริขารต่างๆ ครบบริบูรณ์
เมื่อแลดูไปในไม่ช้า ก็ปรากฏว่ามีไฟลุกขึ้นท่วมหัวไหม้เปรตเหล่านั้นพร้อมทั้ง
บาตร จีวรอัฐบริขาร ให้เหลือแต่เถ้าถ่าน ในไม่ช้าก็กลับปราฏมีรูปร่างเหมือน
อย่างเดิมอีก เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำซาก ไม่ว่าจะเคลื่อนกายไปที่ไหน เขาย่อมถูกไฟ
ไหม้ อยู่ทุกสถานที่ อยู่บนภาคพื้นก็ถูกไฟไหม ที่ภาคพื้น เหาะลอยหนีไปบน
อากาศ ถูกไฟไหม้บนอากาศอยู่แดงฉาน ต้องทรมานอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้น
กรรม
ทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มาเกิดเป็นเปรตประเภทนี้ ? ได้ทราบมาว่า ผู้เป็นผี
เปรตเหล่านี้ เมื่อชาติก่อนโชคดี ได้มีโอกาสเข้ามาบวชในพระบวรพุทธศาสนา
แต่ถูกโลภเจตนาเข้าครอบงำ ทำให้ปัญญาจักษุมืดมัว มองไม่เห็นคุณค่าอัน
ประเสริฐของพระพุทธศาสนา ตั้งหน้าแต่จะได้ลาภลักการะถ่ายเดียว ท่องเที่ยว
ไปในแว่นแคว้นด้วยศีลไม่บริสุทธิ์ ประพฤติตนดุจบวชมาเพื่อทำลายล้าง หรือ
เป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนาโดยการทรงไวัซึ่งเพศภิกษุสามเณร ไม่สำรวมกาย
วาจา รู้ว่าตนเป็นผู้ มีศีลไม่บริสุทธิ์แล้วก็ยังไม่สละคืน กลับประพฤติย่ำยี
ล่วงเกินอาบัติน้อยใหญ่ ไร้ยางอาย ประหนึ่งคนบ้าใบ้โมหจริต ประพฤติผิด
เพราะดูแคลนพระพุทธบัญญัติ ไม่กระทำตามพระโอวาทานุสาสนี มีแต่จะเที่ยว
หลอกลวงชาวบ้านชาวแว่นแคว้น กอบโกยเอาลาภสักการะมาสุดแต่จะได้
ไม่เห็นภัยในวัฏสงสารสมกับนามว่าเป็นภิกษุ เมื่อตนเป็นอลัชชี มีศีลไม่บริสุทธิ์
ไร้ ยางอาย ครองเพศอันอุดมเป็นภิกษุหลอกลวงบริโภคอาหารลาภสักการะของ
ชาวแว่นแคว้นอยู่เช่นนี้ ครั้นถึงแก่มรณภาพตายไป จึงต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก
เสวยกรรมอยู่สิ้นกาลนาน พ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังมี ถึงมาเกิดเป็นเปรต
ถูกไฟไหม้อยู่อย่างนี้ จนกว่าจะสิ้นกรรม
เปรตบางจำพวก มีรูปร่างแปลกประหลาด คือ รูปร่างใหญ่โตบึกบึนแต่
ปราศจากศีรษะ เป็นเปรตหัวขาด มีจักษุและปากอยู่ที่หน้าอก แลดูน่าเกลียด
น่ากลัวยิ่งนัก ยืนทะมึนเฉยอยู่ไม่พูดไม่จา มีฝูงแร้งกาที่บินมาเกาะตามเนึ้อ
ตามตัวแล้วจิกเจาะอวัยวะต่าง ๆ ของเขากินเป็นกลุ่ม ๆ เขาก็ได้แต่โองไห้ทุรน
ทุรายด้วยความเจ็บปวตทั้งกายใจ ไม่อาจที่จะประหัตประหาร หรือขับไล่ฝูง
แร้งกาที่มาประทุษร้ายเขาได้ เพราะสัตว์เปรตเหล่านั้น มันเกิดแต่กรรมของ
เขาเอง
เขาทำกรรมอะไรไว้ จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตเสวยกรรมเช่นนี้? ได้ทราบว่า
ในชาติก่อนเขาเป็นคนที่ไม่รู้ ธรรมะ จึงเห็นแก่สินจ้าง กระทำปาณาติบาตเป็น
เพชฌฆาตตัดคอคนหรือรับสินจ้างสินบนฆ่าคนใหัตายไปตามคำสั่งของนายจ้าง
สุดแต่ว่าเขาจะสั่งให้ฆ่าใคร อกุศลจึงนำไปเกิดในนรกสิ้นกาลช้านานแล้วมา
บังเกิดเป็นเปรต เสวยกรรมอยู่อย่างนี
ยังมีเปรตอีกฝูงหนึ่ง มีร่างสูงยิ่งนัก แลดูเหมือนกับต้นตาลต้นมะพร้าว
ผมเผ้าหยาบกระด้างยาวเหยียด มีกลิ่นเนื้อตัวเหม็นลาบเหม็นสาง ตลอดร่าง
จะหาที่น่าดูน่าชมมิได้เลย เขามีความอดอยากหิวโหยเหลือประมาณ แม้ข้าว
สักเม็ดหนึ่งก็ดี น้ำลักหยดหนึ่งก็ดี ที่จะได้ตกถึงท้องเป็นไม่มีเลย นับเป็นเวลา
หลายแสนหลายล้านปี มีแต่จะเสวยทุกข์อันเกิดจากความหิวโหยอิดโรยอยู่
อย่างนั้น
การที่ต้องมาเป็นเปรตอดอยากอยู่อย่างนี้ ก็เพราะในกาลก่อน เขาเกิด
เป็นมนุษย์สุดจะตระหนี่เหนียวแน่นนักแล มีแต่จะตั้งหน้ากอบโกยเอาทรัพย์สิน
มาเป็นของตนถ่ายเดียว ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ขอแต่ให้ตนได้มาก็แล้วกัน
ด้วยเขานั้นมีใจโลภเหลือประมาณ มิได้ ทำทานด้วยตนเลย ครั้นเห็นคนอื่นเขา
ให้ทานก็คอยห้ามคอยปรามว่า เป็นการกระทำที่หาประโยชน์บ่มิได้ ด้วยนิสัย
ชั่ว ตัวเขาประกอบไปด้วยความโลภสลักจิตเช่นนี้ จึงเกิดมาเป็นเปรตอดอยาก
หิวโหยดังกล่าวแล้ว
ยังมีเปรตอีกฝูงหนึ่ง มีร่างกายน่าเกลียดน่ากลัว ตัวเขามิได้ทำอะไรอื่นเลย
มีแต่เอาค้อนเหล็กลุกแดงด้วยเปลวไฟ เฝ้าตีกระหน่ำลงไปบนศีรษะของตนเอง
ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่มีว่างเว้นแต่ลักเพลา
ที่ต้องมาเสวยกรรมเช่นนี้ ก็เพราะเมื่อเขามีชีวิตเป็นมนุษย์ เขาเป็นคน
พาลสันดานร้าย ประกอบด้วยโทสจริต ลืมคิดถึงคุณแห่งพ่อแม่ แต่พอตนโกรธ
ขึ้นมาก็ยับยั้งไม่ได้ จึงเอาไม้เอามือตบตีหัวบิดามารดา ด วยอกุศลกรรมทำบาป
ต่อบุพการีชนเช่นนี้ พอสิ้นชีวิตลง จึงมาเกิดกลายเป็นเปรตบ้า ก้มหน้าก้มตา
อยู่แต่จะเอาค้อนเหล็กแดง ประหัตประหารศีรษะตนเองอยู่เป็นนิตย์ ด้วยฤทธิ์
แห่งอกุศลกรรมชักนำให้เป็นไป ต้องใช้ กรรมอยู่นานนักหนา
ฉะนั้น ผู้มีปัญญาเห็นทุกข์โทษในอบายภูมิ จึงไม่ควรประมาทในกรรมชั่ว
ขึ้นชื่อว่าบาปธรรมกรรมชั่ว แม้จะมีประมาณน้อย บางทีก็เป็นสนิมในใจ คอย
ขัดขวางไม่ให้ทำความดีอันสูงยิ่งๆ ขึ้นไปได้ มิหนำซ้ำยังนำไปสู่อบายภูมิได้
ง่ายพึงเห็นอุทาหรณ์ดังเรื่องต่อไปนี้

สูกรเปรต
สมัยศาสนาองค์สมเด็จพระโลกเชษฐ์พุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ นั้น
มนุษย์เรามีอายุยืนประมาณสองหมื่นปี ก็มีคนบวชเป็นภิกษุสามเณรเหมือนกับ
กาลทุกวันนี้ คราทีนั้น มีภิกษุ ๒ รูปอยู่ด้วยกัน ณ วัดใกล้ป่าแห่งหนึ่ง รูปอาวุโส
มี พรรษา ๖๐ อีกรูปหนึ่งมีพรรษา ๕๙ พระคุณเจ้าทั้งสองมีความรักใคร่สนิท
สนมดุจพี่น้องคลานตามกันมา ภิกษุผู้อ่อนกว่า ท่านมีสัมมาคารวะเอาใจใส่
ปฏิบัติพระเถระประดุจเช่นตนเป็นสามเณร ฝ่ายพระเถรเจ้าก็มีใจเฝ้าห่วงใย
เอาใจใส่ให้ โอวาทภิกษุผู้ด้อยอาวุโลกว่าอยู่เนืองนิตย์
เมื่อถึงคราวจะวิปริตอาเพศ ก็บังเอิญให้มีพระนักเทศน์เข้ามาในอาวาสนั้น
แล้วเสกสรรปั้นแต่งวาจากล่าวเปสุญญวาท ให้พระคุณเจ้าทั้งสองแตกกัน เมื่อ
แตกกันแล้ว ต่างองค์ต่างก็คว้าเอาบาตรเอาจีวรของตน ออกไปจากอาวาสนั้น
คนละทิศ พระธรรมกถึกก็ยึดอาวาสอยู่สบายตามลำพังแต่องค์เดียว หาได้
เฉลียวใจถึงบาปกรรมที่ตนกล่าวยุยงส่อเสียดให้พระสงฆ์แตกกันแม้แต่น้อยไม่
หนึ่งร้อยปีผ่านไป พระเถรเจ้าทั้งสองที่ถูกยุยงให้แตกกันนั้น มาพบกันเข้า
ในอาวาสแห่งหนึ่ง เมื่อต่างก็ปรับความเข้าใจกันดีแล้ว จึงได้ทราบว่า การที่
ตนหลงขัดใจกันถึงกับต้องออกจากอาวาสด้วยความเสียใจนั้น เป็นแผนการ
ของพระธรรมกถึกผู้ลามก ใจสกปรกคิดจะยึดเอาอาวาสนั้นเป็นที่อยู่ของตน
เมื่อรู้แน่แก่ใจเช่นนี้ พระคุณเจ้าทั้งสองจึงพากันกลับมายังอาวาสเก่าเพื่อจักดู
หน้าพระธรรมกถึกผู้เปสุญญูวาท พอพระธรรมกถึกซึ่งบัดนี้ ได้กลายเป็นเจ้า
อาวาสไปแล้ว ได้ทราบว่า พระคุณเจ้าทั้งสองกลับกลมเกลียวคืนดีเหมือน
อย่างเดิม และกำลังกลับมา จึงเกิดความละอายอยู่วัดนั้นไม่ได้ ต้องเข้าป่าไป
ตั้งหน้าบำเพ็ญสมณธรรม
แต่อุตส่าห์ตั้งหน้าบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่านานนักหนา ก็ไม่อาจจะยัง
คุณพิเศษใหับังเกิดขึ้นได้เพราะจิตใจไม่สงบ ความชั่วผิดในครั้งนั้นติดอยู่ในห้วง
ความคิด ออกฤทธิ์เป็นนิวรณ์คอยกางกั้นไม่ใหัคุณธรรมเบึ้องสูงเกิดขึ้นได้
หมื่นกว่าปีผ่านไป ท่านก็แตกกายทำลายขันธ์ถึงแก่มรณภาพ อกุศลกรรมเพียง
เปสุญญวาท กล่าวส่อเสียดยุยงให้พระสงฆ์โกรธกัน ซึ่งถ้าดูด้วยสายตาสามัญ
ก็น่าจะเป็นบาปเล็กน้อย แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะบันดาลใหัพระธรรมกถึกรูป
นั้น ไปเกิดในอเวจีมหานรก ถูกไฟนรกไหม อยู่สิ้นพุทธันดรหนึ่ง ถึงบัดนี้ เศษ
บาปยังไม่หมด จึงมาบังเกิดเป็นเปรต มีเพศแปลกประหลาด คือ สรีระร่างกาย
ของเขาเหมือนอย่างมนุษย์ธรรมดา แต่ว่าส่วนหน้ากลายเป็นหมูมิหนำซ้ำยัง
มีหางงอกออกมาจากปากเป็นกาวเพิ่มความน่าเกลียด น่าทุเรศให้ เกิดความ
สังเวชแก่ผู้มาพบเห็ นมากยิ่งขึ้น ตลอดเวลามีหมู่หนอนทั้งหลาย ทั้งตัวเล็ก
ตัวใหญ่ไต่เข้าไต่ออกอยู่แถวบริเวณช่องปากนั้น เขานั่งทรมานกายเพราะถูก
หนอนบ่อนปากอยู่สิ้นกาลนาน
เท่าที่เล่ามานี้ ต้องการจะชี้ให้เห็นว่า อกุศลกรรมทุกชนิด อย่าได้ คิด
ประมาทว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยเป็นอันขาดเพราะ อาจนำไปลู่อบายภูมิไดัทั้งนั้น
ขอให้ ท่านทั้งหลายพึงทราบเหตุที่จะนำไปสู่อบายภูมิ ดังต่อไปนี้

เหตุนำไปอบาย
เหตุที่นำไปเกิดในอบายภูมินันก็คืออกุศลกรรมความชั่วทุกชนิด แต่เมื่อ
แย กประเภทที่เป็นไปโดยส่วนมาก ก็ย่อมจะมีประเภท ดังนี้
๑. อกุศลกรรมที่กระทำด้วยโทสะ ย่อมนำไปบังเกิดในนิรยภูมิคือโลกนรก
๒. อกุศลกรรมที่กระทำด้วยโลภะ ย่อมนำไปบังเภิดในเปตติวิสยภูมิคือ
โลกเปรตที่กำลังพูดถึงอยู่นี่ และนำไปบังเกิดในอสุรกายภูมิ
๓. อกุศลกรรมที่ทำด้วยโมหะ ย่อมนำไปบังเกิดในติรัจฉานภูมิ คือในโลก
ของเดียรัจฉาน
อกุศลกรรม ๓ ประการ คือ โลภะ โทละ โมหะ นี เป็นตัวนำให้ไปบังเกิด
ในจตุราบายภูมิคืออบายภูมิทั้ง ๔ ความจริงเนื้อความนี้ ควรจะรอเอาไปกล่าว
ไว้ในตอนหลัง แต่เห็นว่าการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้จบเป็นตอนๆ ไป นึกขึ้นได้
ในตอนนี้ ก็เอามาแทรกใส่ไว้เสียเลย เพื่อจะได้ไม่ตกหล่นในภายหลัง

เปรตในป่าลึก
คนที่มีวาสนาชะตาเสีย ซึ่งมี่อันเป็นจะต้องมาเกิดในโลกเปรตนี้ โดยมาก
เป็นเพราะบาปที่ทำด้วยโลภะเป็นเหตุดังกล่าวแล้ว คือ มีความโลภเป็นใหญ่
มีความโลภเป็นเจ้าหัวใจ อยากได้จนลืมตัว ไม่นึกถึงบาป เหมือนกับเปรตใน
ป่าลึก ซึ่งมีเรื่องเล่าไว้ในพระคัมภีร์ทางศาสนา ดังต่อไปนี้
ยังมีพระภิกษุหลายรูปด้วยกัน จำพรรษาอยู่ในโลหนชนบท ณ ลังกาทวีป
ครั้นออกพรรษาแลัว พระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้นมีความประสงค์จะไปไหว้พระศรี-
มหาโพธิ์ ซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาลัมพุทธเจ้าบรมครู จึง
ชวนกันออกจากวัดเดินลัดรอนแรมมาด้วยศรัทธาเลื่อมใส
เดินทางมาหลายวัน ก็บรรลุถึงป่าใหญ่เต็มไปด้วยแมกไม้ สิงสาราสัตว์
ปราศจากผู้คน ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าป่าลึกเขัาไปทุกที ครั้นเหน็ดเหนื่อย จึงพากันนั่ง
พักบนแผ่นหินใหญ่ซึ่งน่านั่งกว่าที่อื่น เพราะแลดูสะอาดปราศจากดิน นั่งพักอยู่
ที่นั่นทั้งหมดหลายสิบรูปด้วยกัน
พอหายเหนื่อยแล้ว พระเถระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้าในการเดินทาง จึงลุก
ขึ้นเดินตรวจดูไปมา เพราะนึกแปลกใจว่า เหตุไฉน แผ่นหินใหญ่จึงปรากฏมี
ในกลางดินกลางป่า ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะมีภูเขาอยู ใกล้ ๆ เลย ครั้นเล็งแลดูด้วย
ทิพยจักษุ พระผู้ เป็นเจัาก็รู้ว่า แผ่นหินใหญ่ที่ท่านนั่งพรัอมกับพระหลายสิบรูป
ดัวยกันนั้น ไม่ใช่แผ่นหินโดยธรรมชาติ ที่แท้เป็นสัตว์เปรตตนหนึ่งซึ่งเวรกรรม
ชักนำให้มาเป็นเปรตรูปร่างอย่างนี้ จึงมีเถรวาทีถามว่า
"ดูกรเปรต! ท่านทำกรรมอะไรไว้ในชาติปางก่อน จึงต้องมารับกรรมอัน
น่าสังเวชเห็นปานนี้ "
เปรตนั้นจึงตอบพระเถรเจ้าด้วยความเศร้าว่า
ข้าแต่ท่านผู เจริญเมื่อข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ ในครั้งศาสนาของพระบรมครู
กัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้ามีความประมาท ได้ประพฤติย่ำยีทำลายที่นา
ซึ่งผู้มีศรัทธาอุทิศเป็นที่กัลปนาถวายแก่วัดแห่งหนื่งให้ ฉิบหาย โดยมาคิดเสียว่า
กรรมชั่วเพียงเล็กน้อยไม่เป็นไร ครั้นตายลงก็มาเกิดเป็นเปรตอย่างที่พระคุณ
เจ้าเห็นอยู่นี่แหละ ข้าพเจ้าต้องอดข้าวอดน้ำ มีร่างเป็นหินนอนอยู่กับดิน เป็น
เช่นนี้มาหลายหมื่นปีแล้วนะ พระผู้เป็นเจ้า" เปรตผู้น่าสงสารเว้นระยะนิดหนึ่ง
แล้วกล่าวต่อไปว่า
"ขอพระคุณเจ้า จงได้โปรดเมตตาบอกแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า อย่าจงเอา
เยี่ยงอย่างข้าพเจ้า จงอย่าได้ประมาทในบาป จงอุตส่าห์ทำบุญทำทาน ขึ้นชื่อว่า
ของสงฆ์ของวัดแล้ว อย่าได้ ประมาทเป็นอันขาด เพราะจะเป็นทางนำไปสู่นรก
และต้องมาเสวยผลกรรมเช่นกับที่ข้าพเจ้ากำลังได้รับอยู่เวลานี้ และจะหมด
เวรกรรมเมื่อใด ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบเลย"
พระภิกษุทั้งหลาย ได้ฟังวาจาของเปรตหินในป่าลึกก็ให้ รู้สึกสลดใจ
แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร จึงพากันเดินทางต่อไปตามความตั้งใจเดิม คือ
พระศรีมหาโพธิ สถานที่ตรัสรู้ขององค์พระบรมครูสัมมาสัมพุทธเจ้า
ยังมีเปรตในป่าลึกอีกตนหนึ่ง มีสภาพความเป็นอยู่น่าสงสาร และน่า
กลุ้มใจแทนยิ่งนัก คือ เขามีร่างกายจมอยู่ในหินบนภูเขาในป่าลึกแห่งหนึ่ง
ครึ่งตัว ปรากฏรูปร่างคล้ายมนุษย์เพียงส่วนบนเท่านั้น เขาทนทุกขเวทนา
อดข้าวอดน้ำ ตากแดดตากฝนเฉยอยู่อย่างนั้นไปไหนมาไหนไม่ได้ เป็นเวลา
นานนับไม่ถ้วนจำนวนเดือนปี
คราวหนึ่ง มีพระภิกษุหลายรูปหลงทางเข้าไปในป่าเขาแห่งนั้น วนเวียน
ไปมาถึง ๗ วัน ก็ยังหาทางออกไม่ได้ ต่างรูปต่างก็ได้ รับความหิวโหยเป็นกำลัง
แล้วมาพบเปรตตนนั้นเข้าโดยบังเอิญ ทีแรกก็เข้าใจว่าเป็นคนมายืนอยู่ ต่างก็
พากันดีใจว่า เรามาพบคนเข้าแล้ว จักได้ถามหนทางว่าทางออกจากป่าไปทาง
ไหน? ไม่ทันพิจารณา พากันเข้าไปหา แล้วก็ร้องถามขึ้น
"ดูกรประสก หนทางทีจักไปเมืองโน้น ไปทางไหน พวกเราหลงทางมา
๖-๗ วัน แย่เต็มที ไม่เห็นมีทางออกเลย ช่วยบอกหน่อยเถิด
เปรตตนนั้นจึงตอบว่า
"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! พวกท่านหลงทางอยู่ในป่าหิวโหยเพียง ๗ วัน ไม่สู้
เท่าไหร่นัก แต่ข้าพเจ้าสิ ต้องอยู่ที่นี่ถึง ๔ พุทธันดร ข้าวสักเม็ด น้ำสักหยด
ไม่ได้ตกถึงท้องเลย..."
"พูดอะไรเช่นนั้นเล่า ประสก!" ภิกษุหูนื่งขัดขึ้นอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก
นึกว่าเปรตนั้นพูดเล่น
"จริง ๆ นะ พระคุณเจ้าทั้งหลาย" เปรตพูดต่อไป พระคุณเจ้าจงพิจารณา
ให้ดี ข้าพเจ้านี้หาใช่คนไม่ แต่ข้าพเจ้าเป็นเปรต เปรตที่ต้องทนทุกข์ทรมาน
จมอยู่ในหินครึ่งตัว อดข้าวอดน้ำ ตากแดดตากลม อยู่อย่างนี้มาตลอด ๔
พุทธันดรแล้ว"
"ท่านทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มาเกิดเป็นเปรตน่าทุเรศอยู่นานนักหนาถึง
เพียงนี้? "ภิกษุเหล่านั้นถาม
เปรตจึงเล่าให้ฟังว่า
"ในสมัยศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์แรก ในภัทรกัปนี้ คือ องค์พระกกุ-
สันโธพุทธเจ้านั้น ข้าพเจ้าเป็มนุษย์ชาวนา เขตนาของข้าพเจ้าอยู่ติดกับเขตนา
ที่เขาอุทิศให้เป็นของสงฆ์ ข้าพเจ้าเป็นคนละโมบเห็นแก่ได้ ไม่นึกถึงว่าจะ
เป็นบาปเป็นกรรม จึงได้ถอนเสาศิลาปักเลขหมายเขตแดนนาทั้ง ๒ เลย
เลื่อนเข้าไปในฝั่งนาของสงฆ์ ชิงเอานา ของสงฆ์เข้ามาไว้ในเขตแดนของตนเพียง
เล็กน้อย ไม่นึกเลยว่า บาปกรรมจะมี และเกิดผลทรมานหนักหนาเช่นที่
ข้าพเจ้ากำลังได้รับอยู่นี่'' เปรตเว้นระยะนิดหนึ่งแล้ว ก็ยกมือขึ้นชี้บอกแก่
พระภิกษุทั้งหลายว่า
"โน่นแน่ะ หนทางไปเมืองที่พระคุณเจ้าต้องประสงค์จะไป" แล้วก็กล่าว
ต่อไปว่า เมื่อพระคุณเจ้าไปแล้ว ขอจงได้โปรดเมตตาบอกแก่มนุษย์ทั้งหลาย
ว่า อย่าเอาเยี่ยงอย่างข้าพเจ้า ขึ้นชื่อว่าบาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อย อย่าได้
กระทำ เพราะผลของบาปน่ากลัวเหลือเกิน ดูแต่ข้าพเจ้าเถิด มิเพราะความโลภ
ดอกหรือ ความโลภอันประกอบด้วยความโง่เขลารู้ เท่าไม่ถึงการณ์ เห็นแก่
แต่จะได้สถานที่อันเป็นของสงฆ์เล็กๆ น้อยๆ ได้ เป็นเจ้าของครองอยู่เพียงไม่
กี่ปี ครั้นตายแล้วต้องมาเสวยทุกขเวทนาเห็นปานนี้ ฉะนั้น ขอให้พระคุณเจ้า
ช่วยอนุเคราะห์บอกแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า อันสถานที่ที่เป็นของสงฆ์ เช่น ที่วัด
ที่ธรณีลงฆ์และที่กัลปนา ซึ่งเขาอุทิศแด่สงฆ์ เป็นสถานที่ที่ควรเคารพเปรียบ
เสมือนไฟเหมือนยาพิษ ใครมีโลภจิตล่วงละเมิดแม้แต่เพียงเล็กน้อยด้วยความ
ไม่รู้หรือด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา มองไม่เห็นบาปก็ตาม ย่อมให้โทษ
ร้ายแรงหนักหนา เพราะเป็นสถานที่ อัน คนมี ศรัทธาเขาอุทิศถวายพระศาสนา
เป็นการบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยใจประกอบด้วยจากเจตนาเลื่อมใสใน
พระศาสนาสุดประมาณ เมื่อมาทำให้ บิดเบือนกุศลเจตนาของเจ้าของเดิมเสีย
ฉะนี้ ย่อมได้รับโทษเช่นข้าพเจ้ากำลังได้รับอยู่นี่แหละ เปรตในป่าลึกกล่าว
รำพันอย่างยืดยาวในตอนท้าย
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังคำของเปรต ก็ได้แต่สังเวชสลดใจสงสารอยู่ แต่ก็มีมิรู้
ว่าจะช่วยได้อย่างไร เพราะมันเป็นกรรมของเขาเอง ในที่สุดจึงอำลาเปรตไป
ตามทิศที่เขาบอก จนลุถึงลถานที่ประสงค์

ทวาทสวิธเปรต
บัดนี้ จักกล่าวถึงเปรตอีกประเภทหนึ่ง ในเปตติวิลัย คือ ทวาทสวิธเปรต
แปลว่า เปรต ๑๒ จำพวก เปรตเหล่านี้บางพวกก็มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่ว่า
ทั้งหมดนี้อยู่บนผืนแผ่นดินในมนุษยโลกนี้ นับว่าเปรตพวกนี้ ใกลัชิดกับมนุษย์
มากที่สุด แต่ว่ามนุษย์ทั้งหลายมองไม่เห็น เพราะเขามีกายเป็นอทิสมานกาย
สุดวิสัยของมังลจักษุคือตาเนื้อธรรมดาของมนุษย์จักเห็นได้ นอกจากพระ
อริยเจ้าผู้มีทิพยจักขุ คือตาทิพย์เท่านั้น ที่จะเห็นพวกเขาได้ เปรตเหล่านี้มี
ประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้
๑. วันดาสาเปรต มีรูปร่างชั่วช้าน่าเกลียด และ มีความอดอยากหิวโหย
อาหารเป็นกำลัง ครั้นมาสู่แดนมนุษย์ เห็นมนุษย์ทั้งหลายขากเสลดน้ำลาย
ออกมา เปรตเหล่านั้นก็ดีเนื้อดีใจรีบตรงไปดูดเอาโอชะเสลดน้ำลายของมนุษย์
เหล่านั้นได้หน่อยหนึ่งกินเป็นอาหาร แล้วก็หิวโหยต่อไปอีกตามเดิม จนกว่าจะ
สิ้นกรรมที่ทำไว้ จึงจะไปเกิดในภูมิอื่น
ที่ต้องมาเกิดเป็นวันตาสาเปรตนี้ ก็เพราะในซาติก่อนเป็นคนมีมัจฉริยะ
ความตระหนี่จับขั้วหัวใจ เห็นผู้ใดใครผู้หนึ่งอดอยากมาขออาหาร ก็พาลโกรธ
บ้วนน้ำลายด้วยความรังเกียจ ให้อาหารอันเป็นเดนด้วยความไม่เต็มใจ ไม่
เคารพในทาน ให้เพราะเสียไม่ได้ หรือเพราะกลัวคนอื่นเขาตำหนิว่าตนเป็น
คนตระหนี่ดูถูกทานที่ตนให้เช่นนี้ก็ดี หรือมิฉะนั้นเข้าไปในคารวสถานที่เคารพ
บูชา ใจบ้ามืดเพราะโมหะเห็นเป็นที่ไม่สำคัญ ขากเสลดน้ำลายลงลถานที่นั้นๆ
เช่นที่โบสถ์ วิหาร ลานพระเจดีย์เช่นนี้ก็ดี ตายแลัวจึงมาเกิดเป็นวันตาสาเปรต
กินเสลดน้ำลายอยู่เช่นนี้
๒. กุณปขาทาเปรด มีรูปร่างน่าเกลียดพิลึก ซอกซอนหาซากอสุภกินเป็น
อาหารด้วยความหิวโหย ครั้นเห็นซากอสุภของสัตว์ที่ทำกาลกิริยาแตกพังเน่า
เหม็น เขาเหล่านั้นเป็นดีเนื้อดีใจ วิ่งเข้าไปดูดโอชะอันเน่าเหม็นจากซากอสุภนั้น
ด้วยผลกรรมที่ทำมาแต่ปางก่อน
ได้ทราบว่า ในชาติ ก่อนเขาเป็นมนุษย์มีความตระหนี่ ครั้นมีผู้มาขอ
บริจาคทาน ก็ปรารถนาการอันเป็นบาปด้วยจิตโมหันธ์ แกล้งให้ของที่ไม่ควร
ให้ด้วยปรารถนาจะแกล้ง เช่น ให้ เนื้อหมา หมู งู เสือโคร่ง เสือเหลือง ช้าง ม้า
เป็นต้น แก่คนขอ ด้วยจงใจจะแกล้งประชดประชัน ไม่เคารพในทาน
จึงต้องมาเกิดในกำเนิดเปรตพวกนี้
๓. คูถขาทาเปรต มีรูปร่างน่าสะอิดสะเอียน น่าเกลียดน่าชังหนักหนา
เที่ยวแสวงหาคูถคืออุจจาระอันบุคคลถ่ายไว้ ยังมีกลิ่นเหม็นฟุ้งไปก็ยิ่งชอบ
ครั้นเห็นเข้าก็ดีเนื้อดีใจ วิ่งรี่เข้าไปที่กองคูถ ดุจสุนัขเห็นกองคูถในมนุษยโลก
ฉะนั้น ครั้นไปถึงก็ก้มหน้าดูดเอาโอชะอันชั่วเหม็นแห่งคูถนั้นเป็นอาหาร
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะชาติก่อนเป็นพาลชน เห็นคนผู้ ขอมาเยือนบ้าน ก็ให้
ขุ่นเคืองเพราะตนเป็นคนตระหนี่ ไม่มีจิตคิดจะให้ ชี้ ไปที่ขี้วัว ขี้ควาย ขี้หมู ขี้
หมา แล้วบอกว่า เอ็งอยากได้ก็จงเอาไปกินเถิด แต่จะมาเอาข้าวปลาอาหาร
นั้น ตูข้ามิปรารถนาจะให้มึง" แล้วขับไสไล่ส่งไปด้วยความโกรธ ด่าด้วยคำ
ผรุสวาทหยาบคาย ตายแล้วจึงต องมาเกิดเป็นเปรตกินคูถอยู่อย่างนี้
เปรตกินของอสุจิ ของไม่สะอาด คือ ๑. วันตาลาเปรตซึ่งกินเสลดน้ำลาย
๒. กุณปขาทาเปรต ซึ่งกินซากอสุภ ๓. คูถขาทาเปรต ซึ่งกินคูถ ทั้ง ๓ จำพวก
นี้ บางทีท่านเรียกว่า ปิศาจ เพราะมีความหิวโหยเป็นกำลัง ทั้งเกิดในที่อสุจิ
ไม่สะอาด ทั้งบริโภคของอันเป็นอสุจิ จึงเกิดความละอาย เกรงว่าสัตว์ทั้งหลาย
จะเห็นตน ทั้งๆ ที่โดยธรรมดาตนก็เป็นอทิสมานกาย คือ มีกายไม่ปรากฏใน
สามัญจักษุของมนุษย์อยู่แล้ว นอกจากตนต้องการจะแสดงให้เห็นเป็นบางครั้ง
บางคราว ถึงกระนั้น ก็ยังถือเอารากไม้สิ่งหนึ่งกำบังตนเที่ยวหากิน โดยมีเรื่อง
ปรากฏในพระคัมภีร์อรรถกถา ซึ่งจะเก็บความนำมาเล่าไว้ ดังต่อไปนี้

พระเถระเห็นปิศาจ
พระเถระรูปหนื่งจำพรรษาอยู่ที่ถูปาราม ครั้นเวลาเช้ารุ่งอรุณ ก็ออกจาก
อารามไปบิณฑบาต พอเดินมาถึงซุ้มประตูอาราม เห็นเด็ก ๒ คน มีรูปแปลก
พิกลผิดคนธรรมดา นั่งอยู่แทบประตู จึงเข้าไปไต่ถามความเป็นไป เด็กทั้งสอง
จึงบอกว่า "ข้าพเจ้าทั้งสองหาใช่ลูกคนไม่ แต่เป็นเปรต คือ เปรตปิศาจ มานั่ง
คอยปิศาจตั้งอยู่ในฐานะเป็นมารดา ซึ่งเข้าไปในพระนคร บอกว่าจะหาอาหาร
มาให้ข้าพเจ้า แต่คอยอยู่นานแล้วก็ไม่เห็นมาสักที ครั้นเห็นพระผู้เป็นเจ้าออก
มานี่ จึงลำแดงกายให้ พระผู้ เป็นเจ้าเห็นเพื่อจะสั่งว่า ถ้าพระเป็นเจ้าเข้าไป
บิณฑบาตในพระนคร พบมารดาของข้าพเจ้าแล้ว จงได้กรุณาบอกด้วยเถิดว่า
ให้ถือเอาอาหารสิ่งใดสิ่งหนึ่งเร่งรีบมาโดยเร็ว บุตรทั้งสองแสบท้องอยากอาหาร
มิอาจดำรงอยู่ได้ มีความหิวกระหายเป็นกำลัง"
พระเถระจึงถามว่า "เหตุไฉน เราจึงจักเห็นมารดาของพวกเจ้าเล่า?
ปิศาจกุมารทั้งลอง หันมาปรึกษาซุบซิบ แล้วตนหนึ่งจึงส่งรากไม้ให้พระ-
เถระท่อนหนึ่งพลางบอกว่า
"พระผู้เป็นเจ้าจงเอารากไม้ยานี้ ถือไปเถิด แล้วจักเห็นมารดาของข้าพเจ้า
เอง "
เมื่อพระเถรเจ้าได้รากยาที่เด็กปิศาจให้ เข้าไปในพระนคร ตอนรุ่งอรุณวันนั้น
ฝูงยักขินีปิศาจทั้งหลายก็ปรากฏในคลองจักษุแห่งพระเถระมากกว่าร้อยกว่าพัน
ปิศาจเหล่านั้นมีรูปกายน่าเกลียดน่าชัง กำลังเที่ยวแสวงหาซึ่งอสุจิของสกปรก
ทั้งหลายอย่างชุลมุนด้วยความหิวโหย พระเถรเจ้าจึงเข้าไปไต่ถามหามารดา
ของปิศาจกุมารทั้งสอง ครั้นพบแล้วจึงบอกตามที่เขาสั่งมา นางปิศาจฉงนใจจึง
ถามว่า
"เหตุไฉน พระผู้ เป็นเจ้าจึงเห็นตัวข้าพเจ้า"
พระเถรเจ้าจึงชูรากยานั้นขึ้น แล้วบอกตามความเป็นจริง นางปิศาจ
แต่พอเห็นรากยาที่พระเถระเจ้าชูขึ้นเท่านั้น ยังพูดไม่ทันขาดคำเลย ก็วิ่งเข้าไป
ชิงเอามาจากหัตถ์ของพระเถรเจ้าทันที ครั้นไม่มีรากยาถืออยู่ ฝูงปิศาจฝูงผีที่
เห็นอยู่มากมายก็หายวับไปกับตาของพระเถรเจ้าในบัดใจนั้น เป็นอันว่าฝูงเปรต
ปิศาจที่ต้องมากินของอสุจิโสโครกอยู่อย่างนี้ ก็เพราะในชาติก่อนตนไม่เคารพ
ในทานการให้ เหตุมีใจสกปรกด้วยโลภเจตนา
๔. อัคคีชาลมุขาเปรต มีรูปร่างผอมโซเป็นนักหนา ที่ชื่อว่า อัคคีชาลมุขา
เปรต ก็เพราะเหตุที่เขาเหล่านั้นมีเปลวไฟแลบออกมาจากปาก ตลอดเวลาทั้ง
กลางวันกลางคืนไฟไหม้ ปากแลลิ้นเจ็บปวดเจ็บร้อน ครั้นทนไม่ได้ ก็วิ่งร้องไห้
ครวญครางไปไกลตั้งร้อยโยชน์พันโยชน์ไฟก็ไม่ดับ กลับเป็นเปลวเผาลนปาก
และลิ้นหนักเข้าไปอีก
ได้ทราบมาว่า ในชาดิก่อน เปรตเหล่านี้เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น เมื่อมี
ยาจกมาขอ ครั้นจะไม่ให้ก็กลัวคนอื่นเขาจะดูแคลน จึงแกล้งให้ วัตถุอันร้อนแก่
คนขอ หวังจะแกล้งให้ผู้ รับได้รับความทรมานจักได้เลิกมาขอตนอีกต่อไป
เพราะไม่เห็นอานิสงส์ของการบริจาคทาน ตามสันดานของทรซนคนบาป ครั้น
ตายแล้ว จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตถูกไฟไหม้ปากอยู่อย่างนี้
๕. สุจิมุขาเปรด มีรูปร่างแปลกพิกล คือ มีเท้าทั้งสองใหญ่โต มีคอยาวมาก
แต่มีปากเท่ารูเข็ม ได้อาหารจะบริจาคแต่ละทีแต่ละหนนั้นยากนัก ไม่พออิ่มไม่
พออยาก เพราะมีปากเท่ารูเข็มเท่านั้น อาหารไม่อาจจะผ่านช่องปากเข้าไป
โดยง่ายได้เลย ต้องเสวยทุกขเวทนาแสนลำบาก มีร่างกายซูบผอมโซและดำ
เกรียม แลดูน่าเกลียดน่าชังนัก
ได้ยินว่า ในชาติก่อนครั้งเป็นมนุษย์ เปรตเหล่านี้ เป็นคนมัจฉริยะตระหนี่
ยิ่งนัก ปราศจากจิตเมตตาการุณย์ เมื่อมียาจกอนาถามาขอ ก็ไม่ปรารถนาที่จะ
บริจาคทั้งไม่มีศรัทธาถวายทานแก่สมณพราหมณ์ผู้ มีศีล มีจิตหวงแหนทรัพย์
สมบัติของตนเป็นที่ยิ่ง ผลกรรมตามสนองจึงต้องมาเกิดเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม
อดอาหาร จะบริโภคแต่ละทีก็แสนลำบากยากเย็น ต้องทนทกข์อยู่จนกว่าจะสิ้น
กรรม
๖. ดัณหาชิตาเปรต มีรูปร่างผอมและอดอยาก เช่นเดียวกับเปรตพวกอื่น
โดยมาก ที่ชื่อว่า ตัณหาชิตาเปรต ก็เพราะเหตุมีความอดข้าวอยากน้ำ เป็นกำลัง
เดินตระเวนท่องเที่ยวเรื่อยไปเพื่อหาอาหาร คราใดแลไปเห็นสระ บ่อ ห้วย
หนองมหานที ก็ดีเนื้อดีใจรีบวิ่งไปโดยเร็ว ครั้นพอไปถึงน้ำนั้นก็กลับกลายเป็น
สิ่งอื่น ไม่ใช่น้ำ ไปเสีย ด้วยอำนาจกรรมบันดาล เขาเหล่านั้นไม่เคยได้ ยินคำว่า
ข้าวหรือน้ำ มาเป็นเวลาช้านานนับได้ เป็นหมื่นปีแสนปี เสวยทุกข์อันเกิดจาก
ความหิวโหยอยู่อย่างนี้
ได้ทราบว่า ในชาติก่อนครั้งที่ยังเป็นคน เขาเหล่านั้นมีใจประกอบด้วย
อกุศล เป็นคนหวงข้าวหวงน้ำ เที่ยวปิดสระปิดบ่อ ปิดหม้อ ปิดไห ไม่ให้ คนอื่น
ใช้สอยดื่มกิน ครั้นแตกกายทำลายขันธ์จึงมาเกิดเป็นเปรต ต้องอดข้าวอดน้ำอยู่
อย่างนี้
๗. นิชฌามักกาเปรด ที่ได้ ชื่อเช่นนี้ ก็เพราะเหตุว่า พวกเปรตเหล่านี้
เขามีรูปร่างเหมือนดังต้นเสาและต้นไม้ ที่ถูกไฟไหม้ สูงชะลูดดำทะมึนแลดูน่า
เกลียด มีกลิ่นเหม็นเน่า ตีนแลมือเป็นง่อย ริมฝีปากข้างบนห้อยทับริมฝีปาก
ข้างล่าง มีฟันยาว มีเขี้ยวออกจากปาก ผมยาวพะรุงพะรัง มีความอดอยาก
เหลือประมาณ ยืนทื่ออยู่อย่างนั้น
ได้ยินว่า การที่เขาต้องมาเกิดเป็นเปรตน่าทุเรศเห็นปานนี้ ก็เพราะชาติ
ก่อนเขาเป็นคนใจบาปหยาบช้าเห็นลมณพราหมณ์ผู้ มีศีลก็โกรธเคืองมีอกุศลจิต
คิดว่าท่านเหล่านั้นจะมาขอของตนจึงแสดงกิริยาอาการหลอกหลอนเยาะเย้ยขับ
ไล่สมณพราหมณ์เหล่านั้นให้ได้ รับความอายออกจากบ้านตนไปโดยเร็ว หรือมิ
ฉะนั้นเห็นคนแก่คนเฒ่าเป็นโรคเจ็บไข้ ก็แกล้งหลอกหลอนให้ ท่านได้รับ
ความตกใจตายไปเร็วๆ ตนจักได้สมบัติ ด้วยตนเป็นคนพาลสันดานโลภเที่ยว
หลอกหลอนสมณพราหมณ์และคนเฒ่าคนแก่เพื่อความคงอยู่ และความได้
สมบัติดังกล่าว ครั้นแตกกายทำลายขันธ์ จึงต้องเกิดเป็นเปรตมีรูปร่างทุเรศเห็น
ปานนี้
๘. สัพพังคาเปรด มีสรีระร่างกายใหญ่โต มีเล็บตีนเล็บมือยาวคมเหมือน
มีดเหมือนดาบและงอเหมือนขอเหมือนเบ็ด ตลอดเวลา ได้แต่ก้มหน้าก้มตา
ตะกายข่วนกายของตนเองให้ขาดเป็นแผลด้วยเล็บ แล้วกินซึ่งเลือดเนื้อของ
ตนเองเป็นอาหารด้วยอำนาจบาปกรรมที่เขาทำไว้
ได้ยินว่า ในชาติก่อนเขาเป็นคนใจบาป มากไปด้วยความชั่ว หยิกข่วนบิดา
มารดา พี่หญิงพี่ชาย ปู่ย่าตายาย ผู้เฒ่าผู้แก่ หยิกข่วนสมถเพรามหมณ์ผู้
ทรงศีล และเป็นหญิงหยิกข่วนสามีของตนครั้นถึงคราวตายวายชนม์แล้ว จึง
มาบังเกิดเป็นเปรตมีเล็บคมกล้า ควักเนื้อของตนกินเป็นอาหาร ต้องทนทุกขั
เวทนาอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้
๙. สัพพตังคาเปรต มีร่างกายใหญ่เหมือนภูเขา เวลากลางคืนสว่างไสว
รุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ เวลากลางวันเป็นควันล้อมอยู่รอบกาย เขาต้องถูกไฟเปรต
เผาคลอก นอนกลิ้งไปมาดุจดังขอนไม้ อันกลิ้งอยู่กลางไร่กลางป่าอยู่อย่างนั้น
ได้เสวยทุกขเวทนาดังว่าจะขาดใจ เหลือที่จะทนทาน ต้องร้องไห้ ปริเทวนาการ
เป็นโกลาหล ด้วยอำนาจอกุศลที่ทำไว้ แต่กาลก่อน
ได้ทราบว่า ในชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์สุดจะชั่วช้า หาเมตตากรุณาในใจตน
มิได้ เที่ยวเอาไฟเผาบ้านเผาเมือง นิคม กุฏิ วิหาร วัดวาอาราม และโรงร้าน
ศาลาที่พักอาศัยใหญู่น้อยให้ฉิบหายวายวอดเป็นเถ้าถ่านไป ครั้นแตกกาย
ทำลายสังขารแล้ว จึงต้องมาถูกไฟเปรตเผาตนอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะสิ้นกรรมที
ทำไว้
๑๐. อชรคเปรต เปรตพวกนี้มีรูปร่างแปลกประหลาดแตกต่างกันคลัาย
สัตว์เดียรัจฉานต่าง ๆ ในโลกนี้ เช่น บางเปรตมีรูปร่างเป็นงูเหลือม บางเปรต
มีรูปร่างเป็นควาย เป็นเสือ เป็นม้า เป็นวัว เป็นไก่ เป็นหมา เป็นจระเข้ เป็น
มนุษย์ มีรูปร่างต่างกัน แต่ก็ถูกไฟเผาไหม้ตลอดร่างกายอยู่ทั่วทุกตัวเปรตเช่น
เดียวกัน ทั้งกลางวันกลางคืนไม่ว่างเว้น
ได้ยินว่า ในชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์มีวิชาเก่งกล้าในการกระทำอันลึกลับ
เห็นสมณพราหมณ์ผู้มีศีลมาเยือน ก็เข้าใจว่าเป็นยาจกมาขอทรัพย์ลมบึตของ
ตน จึงด่าว่าเปรียบเปรยท่านเหล่านั้นเสมอด้วยสัตว์เดียรัจฉานต่าง ๆ โดย
ประลงค์จะไม่ให้ทาน หรือมิฉะนั้นก็แกล้งหลอกหลอนด้วยวิชาการทางไสยอัน
ลึกลับทำเป็นรูปงู รูปเลือ แกล้งให้ สะดุ้งกลัวตกใจหนีไป อกุศลกรรมจึงซัดให้มา
บังเกิดเป็นเปรต ถือเพศเป็นสัตว์เดียรัจฉานต่าง ๆ ดังกล่าวมา
๑๑. มหิทธิกาเปรต เป็นเปรตมีฤทธิ์ และมีรูปงาม ปรากฏดุจเทพยดา แต่
ว่าอดอยากหิวโหยอาหารยิ่งนัก ครั้นเที่ยวไปในลถานที่ต่างๆ พบเห็นมูตรคูถ
แลของอสุจิสกปรกโสโครกต่างๆ ก็ดูดโอชะบริโภคเป็นอาหาร ด้วยวิบากกรรม
ที่ตนทำไว้แต่ปางก่อน
ได้ทราบมาว่า เปรตพวกนี้ ในชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์ บวชเป็นพระภิกษุ
สามเณร พยายามรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์ จึงปรากฏมีรูปร่างผุดผ่องรุ่งเรือง
ราวเทพยดา แต่ที่ต้องมาเป็นเปรตอดอาหาร กินมูตรคูถของอสุจิสกปรกต่างๆ
ก็เพราะเขาเหล่านั้นได้ แต่รักษาศีลอย่างเดียว ไม่ได้บำเพ็ญธรรม มีใจเกียจ
คร้านต่อการบำเพ็ญสมณธรรม ตามวิสัยแห่งบรรพชิตนักบวช จิตใจจึงมาก
ไปด้วยโลภะ โทละ โมหะ กิเลสเหล่านี้มีอยู่ประจำจิตใจเขามิได้เบาบางลงไป
เพราะเขามีความเข าใจผิดคิดเสียว่า "ตูบวชแล้ว รักษาแต่เพียงศีลก็พอ"
เมื่อเป็นเช่นนี้ ครั้นมีลาภลักการะเกิดขึ้นแก่สงฆ์ เช่น กุฏิ วิหาร ที่อยู่อาศัย
และบริขารเครื่องใช้ต่างๆ นานา ซึ่งทายกมีศรัทธาถวายเป็นของสงฆ์ ก็หวง
ห้ามมิให้ภิกษุสามเณรอื่นบริโภค ด้วยโลภจิดซึ่งติดอยู่ในสันดานตน มิฉะนั้น
เปรตเหล่านี้ บางตนเคยเป็นฆราวาสหวงห้ามที่พักอาศัย เช่น ศาลา โรงร้าน
และศาลซึ่งบุคคลลร้างไว้เพื่อให้เป็นที่พักอาศัยสาธารณะแก่คนทั่วไป หวงห้าม
ไม่ให้คนอื่นเข้าไปพักอาศัยด้วยจิตริษยา หรือหวงเอาไว้ เป็นของตนด้วยโลภ
เจตนา โดยการกล่าวว่า "ตูเป็นคฤหัสถ์ผู้รักษาศีล ย่อมได้อยู่อาศัยในสถานที่นี่"
แล้วก็ยึดเอาเป็นที่อยู่อาศัยของตนแต่ผู้เดียว ด้วยกรรมดีที่รักษาศีลบริสุทธิ์
แต่ปนกับกรรมชั่วที่ปราศจากธรรม กรรมจึงชักนำให้ มาเกิดเป็นมหิทธิกา
เปรตมีรูปงามดังเทพยดา แต่ยากไร้ หาอะไรจะบริโภคมิได้
๑๒. เวมานิกเปรต เปรตพวกนี้ที่ชื่อว่า เวมานิกเปรต ก็เพราะเหตุมีสมบัติ
คือวิมานเป็นทองซึ่งเป็นของทิพย์ บางครั้งเลวยสุขราวเทพยดา บางคราวต้อง
เสวยทุกข์ โดยสมควรแก่อกุศลกรรมที่ตนทำไว้ ผลัดเปลี่ยนกันไปตามกาละ
เปรตประเภทนี้มีอยู่มากมาย
ได้ทราบว่า เปรตเหล่านี้ชาติก่อนเป็นคนมีศรัทธา ก่อสร้างกองการกุศลไว้
มากมาย แต่ไม่รักษาศีล ไม่รักษากายวาจาใหับริสุทธิ์ ครั้นตายลงจึงตรงมาเกิด
เป็นเวมานิกเปรตนี้ หรือมิฉะนั้นเขาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาได้แต่รักษา
ศีลอย่างเดียว แต่ไม่มีศรัทธาสร้างกองการกุศลอย่างอื่นเลย เพราะเ9Hมไปด้วย
ความลังเลสงสัย เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างในบุญในบาป ถึงทำบุญรักษาศีลก็ทำอย่าง
เสียไม่ได้ ทำโดยไม่ตั้งใจเลย ครั้นตายลงจึงตรงมาเกิดเป็นเวมานิกเปรต พึงดู
ตัวอย่างให้ แจ้งชัดดังต่อไปนี้

เปรตมีวิมาน
ยังมีเปรตตนหนึ่ง มีวิมานอยู่ดุจเทวดาในสวรรค์ ประดับด้วยอาภรณ์แล
ดูงามหนักหนา แต่ว่าเขาอดอยากยากไร้เป็นอันมากหาอาหารจะกินไม่ได้
ตลอดเวลาได้ แต่เอาเล็บมืออันคมกริบดุจมีดกรด ข่วนขูดเอาเนื้อและหนังของ
ตนมากินต่างอาหาร เป็นอยู่อย่างนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก
ได้ทราบว่า ชาติก่อน เปรตผู้นี้เป็นเจ้าเมืองมีใจกอบด้วยโลภเจตนา มัก
กินสินจ้างสินบนของชาวราษฎร มิได้กครองเมืองโดยธรรม มุ่งหน้าแต่จะ
กอบโกยทรัพย์สมบื่ตของประชาชนเอามาเป็นของตน การทำบุญการกุศลไม่
เคยใฝ่ใจมาเป็นเวลานาน
กาลวันหนึ่ง เป็นวันจำศีลอุโบสถ องค์พระราชาในประเทศนั้น ท้าวเธอ
เป็นผู้มั่นในพระศาสนา จึงเรียกบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายมาประชุมในท้องพระโรง
แล้วก็ตรัสถามไปทีละคนว่าใครเป็นคนจำศีลบ้าง เจ้าเมืองคนอื่นเขาเป็นคน
จำศีลตามพระราชา ก็ทูลตอบว่า "ข้าพระบาทจำศีล พระเจ้าข้า" ดังนี้ ทุกคน
ครั้นมาถึงลำดับเจ้าเมืองคนนั้น พระราชาจึงตรัสถามมันว่า "สูมึงจำศีลหรือมึง
มิได้จำศีล" ก็แลเจ้าเมืองคนนั้นมันมิเคยจำศีลแต่ลักครั้งเลย แต่ว่าเกิดความ
ละอายแก่คนทั้งหลาย ตลอดถึงองค์พระราชา มิรู้จะทำฉันใด ก็เลยกราบทูล
ไปว่า "ข้าพระบาทได้จำศีล พระเจ้าข้า"
คราทีนั้น ยังมีเกลอเขาคนหนึ่ง หมอบอยู่ข้างๆ รู้สันดานเขาดีว่า เจ้านี่
มันมิจำศีล มิรู้ทำบุญ มิรู้บำเพ็ญธรรมแต่สักน้อย จึงเกลอผู้นั้นค่อยๆ สอบถาม
เขาว่า "เกลอเอ๋ย! สูมึงจำศีลจริงหรือ? " เขาก็กระซิบบอกแก่เกลอผู้นั้นตาม
ตรงว่า "กูมิได้จำศีล ครั้นกูจะว่าตามตรงไซร้ ก็จะได้ ความละอายแก่คนทั้งหลาย
กูจึงกล่าวสับปลับไปว่า กูได้จำศีลแล" เจ้าเกลอนั้นจึงโอวาทอนุลาสน์ว่า
"ผิว์ดังนั้นไซร้ ตั้งแต่เพลานี้ ไปจนตลอดคืน เกลอจงจำศีล ๘ อันมีนามว่า
อุโบลถศีล อย่ากินข้าวเลย อดให้ถึงรุ่งขึ้น พอรุ่งเช้าจึงกินข้าว อย่างนี้ย่อมได้
บุญูแก่เกลอ อนึ่ง เกลอก็ได้กราบทูลแก่ท่านว่า ได้ จำศีลแล้ว ผิว์ไม่กระทำดัง
คำข้า ก็จะเป็นการอำพรางเจ้าอำพรางนาย" แล้วจึงลอนอุโบลถศีลใหัแก่เขา
ซึ่งเขาก็เห็นชอบตามนั้น จึงต้องลมาทานศีลด้วยจำใจ เริ่มอดข้าวเพราะกลัว
ศีลจะทำลายแต่บัดนั้นไป เหตุว่า เขามิเคยลมาทานศีลอุโบลถอดข้าวในยาม
วิกาล ครั้ นมาอดข้าวเข าในเพลากลางคืน ก็เป็นลมตายในเทียงคืนนั้น
แล้วมาเกิดเป็นเวมานิกเปรต ได้วิมานทิพย์ และเครื่องประดับอลังการ
สวยงามนักหนา เพราะอานิสงล์ผลบุญที่ตนเชื่อฟังคำเกลอผู้ ให้โอวาทสั่งสอน"
ได้รักษาอุโบสถศีลจนกระทั่งดับจิตตายไป แต่ที่ต้องเป็นเปรตอดอยาก เอาเล็บ
มือเล็บตีนข่วนเนื้อหนังของตนเองกิน ก็เพราะมันเป็นเจ้าเมืองมาก่อน แต่กิน
สินจ้างสินบนมิได้บังคับความตามคลองธรรม แลไม่มีศรัทธาทำบุญทำทาน
มาเลย
ฝูงเปรตทั้งหลายในเปตโลก เท่าที่ได้พรรณนามามากมายตั้งแต่ต้น
จนกระทั่งถึงขณะนี้ทุกจำพวก เป็นเปรตที่เกิดด้วยอำนาจอกุศลกรรมและ
เศษบาปของตนเอง ต้องเสวยผลกรรมชั่วของตนไปจนกว่าจะสิ้นกรรม จะรับ
ส่วนบุญูล่วนกุศลของใครไม่ได้ เพราะยังต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่ จิตใจยังไม่
เลื่อมใสใคร จะรับส่วนบุญ ของใคร ถึงแม้หมู่ญาติจะใจดีทำบุญกรวดน้ำอุทิศ
ให้ด้วยความเป็นห่วง จะทำใหญ่โตมโหฬารสักเท่าไรก็ตาม ก็ไม่สามารถจะ
รับส่วนบุญนั้นได้ ต่อเมื่อได้สิ้นเวรกรรมที่ตนเสวยแล้ว มาเกิดเป็นเปรตอีก
ประเภทหนึ่ง จึงจะคอยรับส่วนบุญูที่พวกญูาติมิตรอุทิศให้ได เปรตประเภทที่ว่า
นี้ก็คือ ปรทัตตูปชีวีเปรต

ปรทัตตูปชีวีเปรต
เปรตพวกปรทัตตูปชีวีน เป็นเปรตจำพวกเดียวเท่านั้น ที่สามารถจะรับ
ส่วนบุญกุศลที่พวกญาติแลมิตรอุทิศให้แต่มนุษยโลกนี้ เพราะเขามีอกุศลเบา
บาง จึงมีจิตยินดีที่จะอนุโมทนาส่วนกุศล โดยที่ตนมีความอยากข้าวน้ำเป็นกำลัง
จึงท่องเที่ยวไปมา นึกถึงหมู่ญาติของตนว่าใครผู้ใดอยู่ที่ไหนบ้าง ครั้นนึกได้และ
พบเจอแล้ว ก็คอยอยู่ใกล้ๆ คอยท่าอยู่ โดยหวังว่า "เมื่อใดญาดิของดูทำกุศล
แล้วเขาคงอุทิศให้ดูบ้าง" ครั้นญาติผู้นั้นทำบุญกุศลแล้วแต่ลืมอุทิศให้ตน หรือ
อุทิศให้แก่คนอื่นไม่อุทิศให้ตน เขาก็เดินวนไปมาหน้าเศร้าสร้อยด้วยความ
ผิดหวังน้อยใจ ถึงกับล้มซบสลบลงด้วยความหิวโหยสุดประมาณ ได้แต่หวัง
อยู่ว่า "ครั้งด่อไปเขาคงไม่ลืมดู เขาคงอุทิศให้ดูบ้าง" เป็นอยู่อย่างนี้นานแสน
นาน บางทีก็สำเร็จสมประสงค์ บางทีก็ไม่ลมประสงค์ เพราะพวกญาติมิตร
ของตนไม่เคยทำบุญทำกุศลโดยเหตุที่เป็นมิจฉาทิฐิชน หรือว่าทำบุญูกุศล
แล้วหลงลืมเสีย ไม่อุทิศให้ ก็ยังไม่ได้อนุโมทนา ต้องรอคอยอยู่นานนักหนา
ในกรณีนี้ มีเปรตตัวอย่างที่จะนำมาเล่าไว้ ดังต่อไปนี้

เปรตคอยรับส่วนบุญ
อดีตกาลนานมาแล้ว แต่ครั้งพระศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงพระนามว่า พระปุสสะบรมโลกนายกปรากฏขึ้นในโลก นับย้อนหลังตั้งแต่
ภัทรกัปของเรานี้ไปได้ ๙๒ กัป ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารเกิดเป็นขุนคลัง รับจัด
การถวายทานแด่พระสงฆ์ ซึ่งมีองค์พระปุสสะพุทธเจัาเป็นประมุข ตามพระ
บัญชาของพระกุมารสามพระองค์ซึ่งเป็นนาย ขุนคลังนั้นครั้นรับหน้าที่ใหญ่ต้อง
จัดการเลี้ยงพระสงฆ์มากมายทุกวัน จึงไปเรียกเอาญาติของตนหลายคนมา
ช่วยทำงานในโรงครัว และช่วยเลี้ยงพระ คนพวกนี้มาทำงานตอนแรก ๆ ก็ดีอยู่
แต่พอหลายวันผ่านไป ชักเกิดความประมาทขึ้น แอบบริโภคอาหารก่อน
พระสงฆ์ บ้างแอบนำอาหารที่เขาทำไว้เพื่อถวายพระสงฆ์ไปให้บุตรภรรยาของ
ตนที่บ้านบ้าง ทำอยู่เช่นน เป็นนิจเสมอมา ตามวิสัยของคนโลภ ครั้นถึงคราว
ตาย พระราชกุมารทั้งสามกับขุนคลัง ก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสรวงสวรรค์
แต่ว่าพวกคนโลภเหล่านั้นต้องลงไปเกิดในนรกสิ้นกาลช้านาน ครั้นพ้นโทษ
จากนรกแล้วจึงไปเกิดในเปรตวิสัย ครั้งสุดท้ายมาเกิดเป็น ปรทัตตูปชีวีเปรต
คือ เปรตประเภทที่กำลังพูดถึงกันอยู่นี่
ปรทัตตูปชีวีเปรตพวกนั้น ต้องหิวโหยอดอยากอยู่นาน เพราะไม่มีใคร
ทำบุญอุทิศให้ ครั้นจำเนียรกาลล่วงมาถึงสมัยแห่งสมเด็จกกุสันโธสัมมาลัมพุทธ-
เจ้า ซึ่งเป็นลมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์แรกในภัทรกัปนี้ ประชาชนทั้งหลาย
ได้ ฟังเทศน์รู้ธรรมแล้วจึงก่อลร้างกองการกุศลทำบุญสุนทรทาน แล้วแผ่ส่วน
กุศลราศีไปถึงญาติของตนๆ ในเปรตวิสัย เปรตทั้งหลายที่เป็นญาติของใคร
ครั้น เขาแผ่ส่วนบุญไปให้ต่างก็ดีเนึ้อดีใจ ยกหัตถ์ขึ้นท่วมหัวอนุโมทนาสาธุการ
ส่วนบุญ ก็พ้นจากเปรตวิสัยในโลกเปรต ไปเกิดในภูมิอื่นตามยถากรรม
เบึ้องว่า เปรตทั้งหลายผู้เป็นญูาติของขุนคลัง ครั้นเห็นหมู่เพื่อนเปรตของ
ตน ได้ส่วนบุญจากญาติพ้นทุกข์ไปตามๆ กันเช่นนั้น แต่ว่าตนไม่มีใครอุทิศให้
ยังต้องเป็นเปรตอยู่ตามเดิม ก็มีความน้อยใจเสียใจอย่างสุดซึ้ง ในที่สุดถึงกับ
พากันไปเฝ้าสมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้าแล้วทูลถามว่า "ข้าพระบาททั้งหลาย
จักได้อาหาร และจักพันจากภาวะความเป็นเปรตนี้ เมื่อไหร่หนอพระเจ้าข้า"
พระพุทธองค์จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
"ในศาสนาของเรานี้ ท่านจักยังไม่พ้นก่อน ต่อเมื่อเรา
ตถาคตนิพพานไปแล้ว นานแสนนาน แผ่นดินสูงขึ้น ๑
โยชนุ์ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมน์ จักมาตรัสในโลก
นี้ ขอท่านจงคอยเข้าไปถามพระโกนาคมน์นั้นเถิด"
ครั้นศาสนาแห่งพระกกุสันโธเสื่อมสิ้นจากโลกนี้แล้ว พระพุทธเจ้า
ทรงพระนามว่าพระโกนาคมน์ก็อุบัติขึ้นในโลก เปรตทั้งหลายเหล่านั้น จึงเข้าไป
ทูลถาม พระองค์ผู้ทรงมีพระมหากรุณาจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
"แม้ในศาสนาของเรานี้ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นจากเปรต
วิสัยก่อน ต่อเมื่อเรานิพพานไปแล้ว แผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์
พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสโป จักมาตรัสในโลกนี้ ขอให้
ท่านทั้งหลายจงอดใจคอยถามพระกัสสโปนั้นเถิด "
เปรตทั้ง หลายก็อดกลั้นเสียซึ่งความอยาก พยายามอดทนต่อความลำบาก
หิวโหยอยู่ตลอดกาลนาน จนกระทั่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนาม
ว่า กัลสโป เสด็จอุบัติตรัสในโลกนี้ จึงพากันเข้าไปทูลถาม พระองค์จึงทรงมี
พระมหากรุณาตรัลบอกว่า
"แม้ในศาสนาของเรานี้ ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นจาก
เปรตวิสัย ยังไม่ได้รับส่วนบุญ ต่อเมื่อเราเข้าสู่นิพพานแล้ว
แผ่นดินสูงขึ้นได้ ๑ โยชน์ จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ทรงพระนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดมบรมโลกุตมาจารย์ มา
ตรัสในโลกในกาลครั้งนั้น จักมีขัตติยาธิบดีผู้เป็นฌาติเก่าของ
ท่านทั้งหลาย พระนามว่าพระเจ้าพิมพิสาร จะถวายทาน
แล้วอุทิศส่วนกุศลแผ่บุญให้แก่ท่าน พวกท่านจึงจะพ้นจาก
เปรตวิสัย และจักได้บริโภคอาหารในกาลครั้งนั้น"
ครั้นสมเด็จพระกัสสปทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้
เปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ดีเนื้อดีใจราวกะว่าตนจะได้ในวัน
พรุ่งนี้ ยับยั้งอยู่พุทธันดรหนึ่ง ครั้นถึงพุทธุปบาทกาลนี้ สมเด็จพระศรี
ศากยมุนี โคดมบรมครูของเรามาตรัสในโลก โปรดพระเจ้าพิมพิลารให้ได้สำเร็จ
พระโสดาปัตติผล ตั้งอยู่ในอจลศรัทธา มีความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระรัตน-
ตรัยแล้ว ท้าวเธอจ็งทรงจัดแจงเครื่องบิณฑบาตถวายแด่พระพุทธองค์พร้อม
กับพระสงฆ์แลัวก็หาได้ทรงกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไม่ ด้วยว่าองค์ขัตติยาบดีมี
พระทัยวุ่นวายไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ทรงครุ่นคิดอยู่แต่ว่า จะก่อสร้าง
คันธกุฎีถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างไร เป็นเหตุให้ทรงลืมแผ่ส่วนพระราช
กุศล
ปรทัตตูปชีวีเปรตพวกนั้นรอตั้งนานแล้วเพราะพระพุทธดำรัสพระ
กัสสปสัมพุทธเจ้า ยังก้องอยู่ในโสตแห่งตนว่าจักพ้นเปรตวิสัยได้บริโภคข้าวปลา
อาหาร ในสมัยที่พระเจ้าพิมพิสารทำกุศลทานในศาสนาของพระสมณโคดมของ
เรานี้ จึงต่างก็หวังอยู่เต็มที่ ดีเนื้อดีใจว่า เวลาวันนี้จักได้ส่วนบุญู จงพากันมา
คอยอยู่รอบพระราชนิเวศน์ เพื่อจะคอยอนุโมทนาส่วนกุศล ครั้นเห็นพระองค์
ทรงเฉย ไม่อุทิศให้แต่ประการใดก็เศรัาใจยิ่งนัก ผิดหวังไม่สมความคิดที่รอ
มานานนักหนา จึงในเวลากลางคืน ไดัพากันรัองโอดโอย สำแดงอาการหิวโหย
ด้วยลำเนียงเปรต แหลมเล็กวิเวกวังเวงจับขั้วหัวใจ เมื้อพระเจ้าพิมพิสารได้
สดับเสียงเปรต ก็ทรงสะดุ้งจิตตกพระทัยเป็นกำลัง รุ่งเชัาจึงทูลถามพระผู้มี
พระภาคเจ้าว่า "ข้าพระบาทได้ลดับเสียงอันพิลึกดังนี้ เหตผลจะมีดังฤๅ"
พระพุทธองค์จึงทรงชี้แจงว่า "ดูกรบพิตรพระราชสมภาร! อย่าได้ทรง
กลัวเลย ลามกอันใดอันหนึ่งจะได้ บังเกิดมีแก่พระองค์นั้นหามิได้ สำเนียงที่
ทรงสดับนั้นเป็นเสียงแห่งฝูงเปรตผู้เป็นญาติของพระองค์ ไดัรับความลำบาก
อดอยากมาช้านาน มาคอยรับส่วนกุศลซึ่งบพิตรพระราชสมภารบำเพ็ญแล้ว
อุทิศให้ ครั้นมิได้ รับส่วนกุศลดั่งตนปรารถนา จืงมาร้องทวงเอาด้วยเสียงอันดัง"
ครั้นได้ ทรงสดับพระพุทธฎีกาดังนี้ องค์ขัตติยาธิบดีจึงทูลเกล้าฯถวายน้ำ
ทักขิโณทกแล้ว ทรงอุทิศล่วนพระราชกุศลราศีว่า
อทํ โน ญาตีนํ โหตุ
ขอผลทานนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าด้วยเถิด
สระโบกขรณีเดียรดาษด้วยปทุมชาติทั้งหลายก็ปรากฏเกิดขึ้นแก่เหล่าเปรต
ในขณะมาตรว่าพระองค์ออกพระโอษฐ์อุทิศจบลง เปรตทั้งหลายต่างก็ดีใจพา
กันลงอาบดื่มกินน้ำในสระโบกขรณี สรีระเนื้อตัวมีสีดังทอง ความหิวกระหาย
ระงับไปหมดสิ้น สมเด็จพระภูมินทร์จึงถวายข้าวยาคู ข้าวสวยและสรรพาหาร
แล้วทรงอุทิศ ส่วนกุศลให้ โภชนาหารทิพย์ก็บังเกิดแก่เปรตทั้งหลาย ต่อมา เมื่อ
ขัตติยาธิบดีถวายผ้าเสนาสนะคันธกุฎีแล้วอุทิศให้ ผ้าทิพย์แลวิมานก็บังเกิดขึ้น
แก่เขา ตามจำนวนวัตถุทานที่ทรงอุทิศ เมื่อได้อนุโมทนาด้วยกุศลจิต เกิดเป็น
ปัตตานุโมทนามัยกุศล คือ บุญกุศลอันเกิดจากการอนุโมทนา ส่วนบุญ ที่คนอื่น
ทำแล้วอุทิศให้ตน เปรตทั้งหลายก็พ้นจากเปตวิสัยภูมิโลกเปรต เปลี่ยนเพศไป
บังเกิดเป็นเทพบุตรในสรวงสวรรค์
ที่นำเรื่องนี้มาพรรณนาไว้ ก็เพื่อจะชี ให้เห็นว่า ในบรรดาเปรตทั้งหลายนั้น
เปรตพวกอื่นไม่สามารถที่จะรับส่วนบุญกุศลที่พวกญาติมิตรทำแล้ว อุทิศให้ แต่
มนุษยโลกนี้เลย จะรับได้ก็แต่เปรตพวกปรทัตตูปชีวีนี้เท่านั้น เพราะเปรต
พวกนี้ มีอกุศลบางเบา จึงมีจิตพอที่จะอนุโมทนาส่วนบุญของผู้อื่นได้ ถึงแม้ว่า
เปรตพวกนี้จะสามารถรับส่วนบุญได้ก็ตาม แต่การที่จะได้รับส่วนบุญอันจัก
อำนวยผลให้พ้นจากเปรตวิลัย ย่อมเป็นการยากยิ่งนัก เพราะต้องประกอบด้วย
องค์ ๓ ประการผลบุญ จึงจะลำเร็จแก่เขา คือ
๑. ทานที่พวกญาติมิตรในมนุษยโลกนี้บำเพ็ย ต้องเป็นทานที่ถวายแก่สงฆ์
ซึ่งเรียกว่า สังฆทาน
๒. ครั้นเขาถวายแล้ว ต้องอุทิศให้เปรตปรทัตตูปชีวี
๓. เปรตปรทัตตูปชีวีนั้น ต้องมาคอยรับแล้วอนุโมทนา
ต้องพร อมไปด้วยเหตุ ๓ ประการนี้ ผลบุญจึงจะสำเร็จแก่พวกปรทัตตูป-
ชีวีเปรต ทีนี้ ขอให้ท่านผู้มี ปัญญาทั้งหลายจงวินิจฉัยใคร่ครวญดูเถิดว่า กว่า
เปรตจักได้ รับส่วนบุญที่ญาติมิตรอุทิศให้ แต่มนุษยโลกนี้ จะเป็นสภาพที่ยากเย็น
เพียงไร เพราะว่าหากขาดเหตุ ๓ นี้อย่างใดอย่างหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ รับ เช่น ญาดิ
มิตรให้ทานแก่ยาจกวณิพกผู้ปราศจากศีล แล้วอุทิศล่วนบุญให้ เปรตก็ไม่
สามารถรับไดั เพราะขาดเหตุข้อที่ ๑ เช่นนี้เป็นต้น

สรุปเปตติวิสยภูมิ
บรรดาลัตว์ที่ทำกาลกิริยาตายไปถือกำเนิดในเปตติวิลยภูมิคือเกิดในโลก
เปรตนั้น มีอยู่หลายประเภทหลายชนิด สุดแต่อกุศลทุจริตที่ตนก่อสร้างไว้ แต่
ปางก่อน ครั้นเขามาเกิดในโลกเปรตนี้แล้ว ย่อมได้รับความทุกข์ทรมานฯ
อดอยาก ด้วยการเสวยผลกรรมมีประการต่าง ๆ จะหาความสุขมิได้ เลย เพราะ
โลกเปรตนี้ เป็นโลกที่อยู่ของสัตว์ผู้ห่างไกลจากความลุข
ฉะนั้น ถ้าใครรู้ตัวว่า ตนเป็นคนรักความสุข เกลียดความทุกข์ ก็ต้อง
พยายามทำตัวใหัพ้นจากโลกเปรตนี้ อย่าไปเกิดเป็นอันขาด ตัองหาทางป้อง
กันเสียแต่เนิ่นๆ ด้วยการละเวันความชั่วหรือที่เรียกว่า บาป ให้หมดแล้วตั้ง
หน้าสร้างกองการกุศลอันเป็นความดีเสียวันนี้ อย่าทำเป็นคนปัญญาดี คิด
ฟุ้งซ่านไปตามประสาคนมีทิฐิอันใช้ไม่ค่อยได้ว่า โลกเปรตไม่มี อย่างนี้ ครั้น
ตายไปเกิดเป็นเปรต ได้รับความทุกข์ทรมานเข้า จักเลียใจภายหลัง และเป็น
การสายเกินไป สุดวิสัยที่จะแก้ได้ ถ้าผู้ใดใครผู้ หนื่งเกิดความคิตวิตถาร มีใจรัก
ความทุกข์ทรมาน เกลียดความสุขสบายในภายหน้า ก็จงเร่งอุตส่าห์ทำบาป
เข้า อย่าทำมันเลยความดี ขมีขมันทำแต่ความชั่วอยู่เนืองนิตย์ ก็จักได้สมคิด
คือ ตายไปต้องไปเกิดในโลกเปรต อันเป็นสถานที่ที่ห่างไกลจากความสุขสม
ปรารถนา
พรรณนาในเปตติวิสัยภูมิ เห็นว่าสมควรที่จะยุติได้แล้ว จึงขอยุติลงด้วย
ประการฉะนี้

อสุรกายภูมิ
โลกอสุรกาย
อบายภูมิอันดับต่อไปมีชื่อว่า อสุรกายภูมิ ที่ได้ชื่อว่า อสุรกายภูมิ ก็
เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายที่กรรมชักนำให้ไปบังเกิดในภูมนี่แล้ว จะไม่มีความร่าเริง
เลยเป็นอันขาด ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่บนโลกอสุรกายนี้ ไม่มีความสนุกสนาน
ร่าเริง ไม่มีการเล่นให้ได้รับความบันเทิงใจในบางคราว เหมือนมนุษยโลกของ
เรานี้แม้แต่สักน้อยหนึ่งเลย ฉะนั้น ภูมินี้จึงชื่อว่า อสุรกายภูมิ =- ภูมิที่อยู่ของ
สัตว์ซึ่งปราศจากความร่าเริงสนุกสนาน
สัตว์ทั้งหลายที่อุบึตเกิดในภูมินี้ บางทีท่านเรียกชื่อว่า กาลกัญชิกาสุรกาย
เพราะเหตุที่สัตว์เหล่านั้นมีสภาพที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ มีมุขทวารช่อง
ปากเล็กยิ่งนัก ประมาณเท่ารูเข็มที่ใช้กันอยู่ในมนุษยโลกเท่านั้น พึงทราบ
ลักษณะของอสุรกายสัตว์ทั้งหลาย ดังต่อไปนี้
กาลกัญชิกาลุรกายบางจำพวก มีสรีระร่างแลดูน่าทุเรศพิลึก เพราะว่า
มีร่างกายผ่ายผอมนักหนา แต่ว่าสูงชะลูดนับได้เป็นร้อยเป็นพันวาขึ้นไป เนื้อ
และโลหิตในสรีระร่างของเขามาตรว่าสักนิดหนึ่งไม่มีเลย มีแต่หนังหุ้มกระดูก
เป็นสัตว์ตายซากประดุจดังใบไม้แห้งเหม็นสางสุดประมาณดวงตาของเขาทั้งสอง
มีประมาณเล็กเท่ากับตาปูที่เห็นกันอยู่นี้เท่านั้น และไม่ได้ ตั้งอยู่ที่บนใบหนัา
อย่างตาของมนุษย์เรา แต่ว่าตั้งอยู่บนศีรษะ ตรงกระหม่อมของเขา แม้ปากก็
เช่นเดียวกันเขามีมุขทวารช่องปากเล็กประมาณเท่ารูเข็ม ตั้งอยู่บนศีรษะ
กลางกระหม่อม ใกล้ ๆ กับดวงตาของเขานั่นเอง
นอกจากจะมีรูปร่างแปลกพิลึกน่าทุเรศดังกล่าวมา กาลกัญชิกาสุรกายยัง
มีชีวีตความเป็นอยู่อย่างแสนลำบากยากเย็น ต้องต่อสู้กับความหิวกระหายอยู่
ตลอดเวลา เพราะการแวงหาอาหารนั้น เป็นไปได้ยากนักหนา ก็จะไม่ยาก
อย่างไรได้เล่า เพราะดวงตาเขาเล็กเหลือเกิน ไม่สมกับรูปร่าง มิหนำซ้ำยัง
ไพล่ไปตั้งอยู่กลางกระหม่อมอีก อย่างนี้แล้วจะมองเห็นอาหารได้ง่าย ๆ อย่างไร
กัน ครั้นพบเจออาหารตามอสุรกายวิสัยแล้ว จะบริโภคแต่ละครั้งก็แสนจะ
ลำบากเพราะว่าปากของเขาตั้งอยู่กลางกระหม่อม เหนือศีรษะ เวลาจะบริโภค
อาหารจึงต้องเอาหัวปักลงมาข้างล่าง เอาตีนชี้ฟ้า ต้องตั้งท่าอย่างนี้จึงจะ
บริโภคเข้าไปได้ และกว่าอาหารจะเข้าปากไปได้ก็แสนจะลำเค็ญ เพราะเขามี
ปากเท่ารูเข็มเท่านั้น ต้องเสวยกรรมเป็นอสุรกายสัตว์น่าสงลาร ทนทุกข์ทรมาน
หิวกระหายอยู่อย่างนี้ เป็นเวลาหลายพันหลายหมื่นปี จนกว่าจะสิ้นอกุศลกรรม
ที่ทำไว้
บางอสุรกายมีรูปร่างแปลกประหลาดแตกต่างจากประเภทที่กล่าวมา คือ
มีท้องยานใหญ่ยิ่งนัก ส่วนหลังไม่น่าดู ตลอดลำตัวสูงใหญ่ มีสีกายดำทะมึนน่า
กลัว เล็บมือเล็บเท้ายาวรีแหลมคม และมีสันดานร้าย ใจคอเหี้ยมโหดดุดัน มัก
ข่มเหงเพื่อนอสุรกายด้วยกัน ตลอดวันเวลา มีมือถือกระบองเหล็กอลุรกาย
อันรุ่งเรืองแดงฉานด้วยเปลวไฟ เที่ยวแสวงหาอาหารด้วยความหิวโหยเกิน
ขนาด เดินไปในอสุรกายสัตตาวาสอย่างแสนลำบาก ครั้นมาพบอสุรกายดัวย
กัน ก็มีอาการประหนึ่งเป็นบ้าวิกลจริต แสดงฤทธิ์ประหารกันด้วยกระบอง
ยังกันและกันให้ได้ รับทุกขเวทนาเจ็บปวดหนักหนา เป็นอย่างนี้ ช้านาน จนกว่า
จะสิ้นอกุศลกรรมที่ทำไว้
หากจะมีข้อลงลัยว่า สัตว์ทำกรรมประเภทใดไว้ จึงตัองมาถือกำเนิดเป็น
สัตว์ในอสุรกายภูมินี้ คำตอบก็มีว่า เท่าที่ปรากฏโดยมาก อกุศลกรรมที่สัตว์
ทั้งหลายทำด้วยโลภเจตนา ย่อมส่งผลให้มาเกิดในภูมินี้ เช่นเมื่อครั้งเป็นมนุษย์
มีความโลภมากประจำจิต ประกอบทุจริตกรรมด้วยการปล้นขโมยหรือฉ้อโกง
ลักทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ไม่รู้จักประกอบอาชีพทำมาหากิน เห็นท่านมีสมบัติ
ก็เกิดอิสสาริษยาปรารถนาจะทำลายล้าง หรืออยากจะเอาไว้เป็นของตนแล้วก็
ลงมือประกอบอกุศล เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งสมบัติที่ตนปรารถนา หรือมิฉะนั้น
ก็เป็นคนโลภมาก ฉ้อโกงเอาทรัพย์สินอันเป็นของสงฆ์ ซึ่งบุคคลผู้มีจิตศรัทธา
ทั้งหลายอุทิศเป็นทานวัตรนับเข้าในสังฆทาน หรือมิฉะนั้น เห็นเขาขุดบ่อ
ขุดสระสร้างสาธารณสถานสำหรับคนทั่วไป ก็หาทางทำลายล้างไม่ให้ผู้คน
บริโภคใช้สอยด้วยน้ำจิตริษยาเป็นพาลชน ครั้นแตกกายทำลายตน อกุศลกรรม
เหล่านี้ ก็ฉุดกระชากลากลงไปเกิดในนรก ตัองหมกไหม้ อยู่ด้วยไฟนรกสิ้นกาล
ช้านาน พ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังไม่สิ้น จึงต้องมาถือกำเนิดในอสุรกายภูมินี้
เท่าที่พรรณนามานี้ จะเห็นได้ว่า สัตว์อสุรกายนี้มีสภาวะที่ละม้ายเหมือน
กับสัตว์เปรตเป็นส่วนมาก ทั้งความเป็นอยู่แลอกุศลถรรมที่ทำไว้แต่ชาติปาง
ก่อน ทั้งนี้ก็เพราะภูมิทั้งสองนี้ ใกล้ชิดติดต่อกันมาก ฉะนั้น ท่านจึงเรียกติดต่อ
กันไปเลยว่า เปรตอสุรกาย เพื่อเข้าใจง่าย พึงสังเกตสภาวะที่แตกต่างกัน
แห่งอบายภูมิทั้ง ๓ คือ นิรยภูมิ เปตติวิสยภูมิ และอสุรกายภูมิ ดังต่อไปนี้
๑. นิรยภูมิ หรือโลกนรก สัตว์ทั้งหลายที่ไปบังเกิดในโลกนี้ เขาย่อม
ประสบทุกขเวทนาเพราะความร้อนเป็นส่วนมากเช่น ในอเวจีมหานรกนั้น
รุ่งเรืองด้วยเปลวไฟอยู่เป็นนิตย์ หาเวลาหยุดพักมิได้แผ่นพื้นอเวจีนรกล้วน
แล้วไปด้วยเหล็กอันร้อนแรงรุ่งโรจน์โชตนาการด้วยเปลวไฟ สัตว์นรกทั้งหลาย
ต้องเสวยทุกข์ใหญ่ จะนับประมาณความร้อนแรงนั้นเหลือคณานับ
๒. เปตติวิสยภูมิ หรือโลกเปรต สัตว์ทั้งหลายที่ไปบังเกิดในโลกนี้ เขา
ย่อมประสบทุกขเวทนา เพราะความอยากอาหารเป็นส่วนมาก แท้จริง สัตว์
ทั้งหลายในเปตติวิลัยนั้น บางพวกมิได้บริโภคโภชนาหารเลย ตลอดสองสาม
พุทธันดรก็มี แสบร้อนในท้องในไส้ของตนยิ่งนัก เพราะถูกไฟในกายเผาไหม้
เสียนักหนา เปรียบดังว่าไฟอันไหม้ อยู่ในโพรงไม้ฉะนั้น เปรตทั้งหลายย่อม
เสวยทุกข์ใหญ่ จะนับประมาณความอดอยากนั้นเหลือคณานับ
๓. อสุรกายภูมิ หรือโลกอสุรกาย สัตว์ทั้งหลายที่มาบังเกิดในโลกนี้เขา
ย่อมประสบทุกขเวทนาเพราะความกระหายน้ำ เป็นส่วนมาก แท้จริง สัตว์
ทั้งหลายในอสุรกายภูมินั้นบางพวก เพราะวิบากแห่งอกุศล แต่กระแสชลจะได้
หยดถูกปลายชิวหามาตรว่าจะให้เปียกสักนิดไม่มีเลย ตลอดเวลาสองสาม
พุทธันดร บางทีเห็นชโลธร คือ บ่อบึงและมหานที ก็ยินดีว่าจะดื่มกินซึ่งน้ำ
พยายามตะเกียกตะกายไป แต่พอไปถึง กระแสชลก็มิได้มี ทรายในท้องนที
กลายเป็นเพลิงรุ่งโรจน์โชตนาการกลับเผาตน หรือบางทีก็กลายเป็นแผ่นศิลา
อันแห้งผาก อสุรกายทั้งหลายก็มีจิตเหือดแห้งเพราะกระหายน้ำ ต้องเสวยทุกข์
เพราะความกระหายน้ำ อยู่อย่างนี้ จนกว่าจะสิ้นอกุศลที่ตนได้กระทำไว้แต่ปาง
หลัง
โดยความแตกต่างของสัตว์ในอบายภูมิทั้ง ๓ ที่กล่าวมานี้ ท่านผู้มี
วิจารณญาณก็ย่อมจะเห็นได้แล้วว่า เปรตกับอสุรกายนั้นมีสภาวะต่างกันที่พอ
จะสังเกตได้ คือ เปรตทั้งหลายมีความอดอยากอาหารเป็นสัญลักษณ์เครื่อง
ทรมาน ส่วนอสุรกายทั้งหลายนั้นมีความหิวกระหายน้ำเป็นสัญลักษณ์เครื่อง
ทรมาน เรื่องอสุรกายมีความกระหายน้ำเป็นกำลัง พึงพิจารณาเห็นตัวอย่าง
ดังต่อไปนี้

อสุรกายกระหายน้ำ
อสุรกายตนหนึ่ง มีความกระหายน้ำ มานานนักหนา จึงท่องเที่ยวเรื่อยมา
จนถึงมหาคงคาอันกว้างใหญ่ ก็รีบลงไปในมหาคงคานั้นทันใด กระแสชลใน
คงคากลับกลายเป็นควันด้วยกรรมบันดาล อสุรกายนั้นเดินไปดังว่าเดินบน
แผ่นศิลาที่ถูกไฟเผาตั้งแต่หัวค่ำจนรุ่งราตรีกาล เขาได้ยินแต่เสียงน้ำ แต่หาเห็น
น้ำไม่ ทั้ งๆ ทีเดินอยู่บนผืนน้ำ
พอรุ่งอรุณ พระภิกษุประมาณ ๓๐ รูป เดินมาที่ริมฝั่งคงคาเพื่อโคจร
บิณฑบาต เห็นสัตว์ประหลาดเดินอยู่บนนำ เช่นนั้น จึงถามว่า "ตัวท่านนี้ เป็น
ใคร เหตุไฉนจึงเดินบนน้ำได้เล่า" เขาจึงตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นอสุรกาย เที่ยว
หาน้ำเพื่อจะดื่มกิน เพราะหิวกระหายมานานนัก พระผู้เป็นเจ้าได้โปรดบอกที
เถิดว่าน้ำมีอยู่แห่งใด" ภิกษุทั้งหลายจึงบอกว่า "ท่านเดินอยู่บนน้ำ แล้วยังไม่
เห็นอีกหรือ" เขาจึงตอบว่า "ทีแรกข้าพเจ้าเห็นน้ำ มีมากมายแต่ไกล ครั้นเข้า
มาใกล้ น้ำหายไป มิได้มี เห็นแต่เปลวอัคคีพรัอมกับควัน จึงดิ้นรนค้นหาน้ำ
จนตลอดราตรี แต่จะได้พบน้ำมาตรตรว่าสักหยาดเดียวก็หามิได้"
ภิกษุทั้งหลายมีใจกรุณาจึงบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น ท่านจงมานอนลงที่เนิน
ทรายนี่เถิด เราทั้งหลายจักตักน้ำมาให้" แล้วต่างรูปต่างก็เอาบาตรของตนไป
ตักน้ำจนเต็มบาตร แล้วค่อย ๆ เทลงในปากเท่ารูเข็มของอสุรกาย แต่เฝ้า
พยายามช่วยกันเทลงในปากของอสุรกาย จนกระทั่งสายเกือบหมดเวลาภิกขา
จาร และต่างรูปต่างก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงถามว่า "เราช่วยกันตักน้ำ เทลง
ในปากของท่านสิ้นทั้ง ๓๐ บาตร ท่านได้รับความชุ่มชื่นหมดความกระหายไป
บ้างแล้วหรืออย่างไร" อสุรกายนั้นสั่นศีรษะให้ปฏิญญาว่า
" เปล่าเลย พระคุณเจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ รู้รสน้ำว่าเป็นอย่างไรเลย
เป็นความสัตย์จริง หากข้าพเจ้าได้ดื่มน้ำ ไม่มากแต่กึ่งซองมือก็ดี ขออย่าให้
ข้าพเจ้าได้ผุดได้เกิด ขอให้ข้าพเจ้าอยู่ในกำเนิดอสุรกายนี้ตลอดไปเถิด ที่
พระคุณเจ้ามีจิตกรุณาช่วยก็เป็นพระคุณ แต่เป็นกรรมของข้าพเจ้าเอง จึงไม่ได้
ดื่มกินซึ่งน้ำ ขอพระคุณเจ้าจงรีบไปภิกขาจารเถิด" พระภิกษุทั้งหลายได้ฟัง
ก็เกิดความสังเวชใจ แต่มิรู้จะทำประการใด จึงรีบไปโคจรบิณฑบาตตามสมณ-
วิสัยต่อไป

สรุปอสุรกายภูมิ
เท่าที่กล่าวมานี้ พอสรุปได้ว่า อสุรกายภูมิเป็นภูมิที่น่ากลัวหนักหนา
เพราะเต็มไปด้วยความอดอยากหิวกระหายเหลือประมาณด้วยอกุศลกรรมที่ก่อ
ไว้แต่ปางก่อนย้อนมาตามทัน ฉะนั้น เ
 

_________________
คำพูดเพียงน้อยนิดอาจเปลี่ยนชีวิตของคนได้
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 05 ต.ค.2008, 10:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ

ตาลายอะ ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง