Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 โลกทีปนี...พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ผ้าขี้ริ้ว
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2005
ตอบ: 101

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 9:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปฌามพจน์
นมตฺถุ รตนตฺตยสฺส
ข้าพเจ้าขอถวายนมัสการองค์สมเต็จพระพิชิตมาร บรม
ไตรโลกุตตมาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงมีพระมหา
กรุณาแผ่ไปในไตรภพและพระนพโลกุตรธรรมอันล้ำเลิศ กับ
ทั้งพระอริยสงฆ์ผู้ ทรงพระคุณอันประเสริฐด้วยเศียรเกล้าแล้ว จะ
ขออภิวาทนบไหว้ซึ่งท่านบูรพาจารย์ทั้งหลาย ผู้เป็นอริยสัปปุรุษ
มีญาณและพระคุณบริสุทธิ์ ทรงไว้ซึ่งนิกายไตรปิฏกนำพระพุทธ
ศาสนาสืบๆ กันมา ด้วยคารวะเป็นอย่างยิ่งแล้ว จักรจนาเรียบ
เรียงอรรถวรรณนา ซึ่งตั้งชื่อว่า โลกทีปนี เพื่อชี้ แจงถึงโลก
ต่างๆ อันสัตว์ทั้งหลายที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารต้องอุบัติเกิด
พร้อมทั้งแสดงเหตุแห่งการเขัาถึงโลกเหล่านั้นตามสมควร ขอ
มวลชนคนดีมีปัญญาทั้งหลาย จงดั้งใจสดับอรรถวรรณนาของ
ข้าพเจ้า ซึ่งจักกล่าวในโอกาสต่อไปนี้ด้วยดีเทอญ

อารัมภบท
สมมติว่า ยังมีผู้วิเศษหนื่งซึ่งมีจักษุญาณผ่องใส ไปนั่งเฝัาประจำอยู่ ณ
สถานที่ลี้ลับแห่งหนึ่ง สถานที่ที่ว่านี้ ก็คือเขตแดนระหว่างความเป็น กับความ
ตาย นั่งดูอยู่ที่นั่นแล้ว เขาก็จะเห็นว่า วันหนึ่งๆ มีผู้คนเดินทางผ่านเขตแดน
จากมนุษยโลกนี้หายวับเขัาสู่แดนมัจจุราชมากมายนักหนา ทุกวันเวลามีอยู่
เสมอไม่ว่างเว้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ากฎธรรมดาของคนเราที่เกิดมาในโลกนี้
ผลที่สุดก็ต้องตายเกิดมาเท่าใดเป็นต้องตายหมดเท่านั้น
เมื่อพิจารณาดูไป เราท่านทั้งหลายที่เกิดมาก็เหมือนกับนักโทษที่เขาจะฆ่า
ธรรมดานักโทษที่ต้องประหารนั้น ขณะที่นายเพชฌฆาตนำตัวไปสู่ตะแลงแกง
ถ้าขืนต่อสู้ ดุร้ายเป็นบ้าระห่ำพยายามขัดขืนจะหนีไปไม่ให้ฆ่า เขาก็จะตัดศีรษะ
หรือยิงเสียให้ตายโดยพลันในที่นั้นเอง ไม่ให้ลอยนวลอยู่หนักแผ่นดินต่อไปได้
ถ้าไม่ขัดขืนเดินตามเขาไปด้วยหัวใจฝ่อห่อเหี่ยวแห้งแลัง ก็เหมือนแกล้งเดิน
เข้าไปหาความตายทุกฝีก้าว ครั้นถึงที่ประหารเล่า เขาก็จะมัดเขัากับหลัก
แน่นหนาแล้วทำพิธีฆ่าลงดาบตัดคอให้ ขาดกระเด็น หรือเข่นฆ่าด้วยอาชญูาวุธ
คือ ปีนผาหน้าไม้ ยิงตรงหัวใจให้ ตายลงโดยฉับพลัน ตัวเราก็เหมือนกัน
เกิดมาแล้วก็เหมือนนักโทษของพญูามัจจุราช จะตัองขาดชีวิตดับชีพไปด้วย
อาการ ๒ อย่าง คือ
๑. ตายปัจจุบันทันด่วน เช่น ถุกยิงตาย ถูกแทงตาย ถูกฟันดาย รถชนตาย
จมน้ำตาย ถึงแก่มรณกรรมด้วยอาการตายโหงเหล่านี้ ก็เหมือนกับนักโทษ
ที่พยายามจะหนขดขนเพราะไม่สมัครใจจะตาย เลยถูกเขาตัดศีรษะเสียฉับพลัน
ให้ ตายโหงในปัจจุบันนั้นเอง
๒. ตายธรรมดา เช่น เจ็บป่วยเป็นไข้ ประกอบไปด้วยทุกขเวทนาใหญู่
เจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย ลุกนั่งไม่ไหว เคลื่อนกายไม่ได้ นอนนิ่งไม่ไหวติง
อยู่บนเตียงที่ตาย ยังอยู่แต่ใจสั่นริกๆ คอยอยู่แต่ว่าจะดับจะตายลงไปเมื่อใด
เท่านั้น อย่างนี้ก็เหมือนกับนักโทษที่ใจฝ่อใจสั่น ถูกเขามัดเข้ากับหลักมัน รอ
เวลาที่จะลงดาบประหาร กาลใดเขาลงดาบตัดศีรษะ ก็จะขาดใจตายวิญญาณ
ดับไปเมื่อนั้น นี่แหละท่านทั้งหลาย ความจริงมีอยู่เช่นนี้ และมีมาแต่ไหนแต่ไร
แล้ว ฉะนั้น การที่เราจะแคล้วจากความตายเป็นอันไม่มี

ความตาย
คราวนี้ก็มีปัญหาอยู่ว่า ที่ว่าความตายๆ นั้น มันเป็นอย่างไร? ความตาย
นั้นก็คือความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ ขณะที่เรากำลังยังเป็นๆ อยู่นี่ มีชีวิตินทรีย์
คอยหล่อเลี้ยงรูปกายเราให้สดใสไปมาเคลื่อนไหวได้ เมื่อใดขาดชีวิตินทรีย์
เราก็เคลื่อนไหวไปมาไม่ได้ หมดความรู้สึก มีรูปกายแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้
ถ้าจะเปรียบก็เหมือนไฟตะเกียง อาศัยน้ำมันชุบที่ไส้ จึงได้มีแสงสว่างรุ่งเรือง
ถัาน้ำมันเปลืองหมดก็ดับมืดฉันใด รูปกายนี้ก็เหมือนกับตะเกียง ชีวิตินทรีย์
เหมือนน้ำมัน ถ้าชีวิตินทรีย์ขาดหมดไป รูปกายก็ใช้การอะไรไม่ได้ เหมือนกับ
ไฟตะเกียงดับมืดฉะนั้น อนึ่ง ชีวิตินทรีย์นี้คอยหล่อเลี้ยงรูปกายเป็นเหมือนกับ
น้ำ คอยหล่อเลี้ยงดอกอุบลไว้ เมือน้ำแห้งขาด ดอกอุบลก็พินาศเหี่ยวแห้งไม่
สดใส รูปกายนี้ เมื่อชีวิตินทรีย์ขาดก็ถึงความพินาศตายไป เหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า ความตายก็คือความขาดชีวิตินทรีย์
เมื่อชีวิตินทรีย์ขาดก็ลิ้นลมหายใจ ครั้นลิ้นลมหายใจ วิญญาณก็ดับ ตาก็
ไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน จมูกก็ไม่ได้กลิ่น ลิ้นก็ไม่รู้รส กายก็หมดความรู้สืก
นอนแข็งทื่อเหมือนท่อนฟืนที่รอการยัดเข้าเตาไฟ ไม่หวั่นไหวต่อความเย็นร้อน
อ่อนแข็งแต่ประการใด ถัาทิ้งไว้ก็มีแต่ซะเน่าเหม็นขึ้นพอง ถึงภาวะน่าเกลียด-
น่าชัง คนที่เคยคลั่งไคล้ ใหลหลงกันมาก่อนก็ไม่อยากเขัาใกล้ ถึงขั้นนี้ แล้วเอา
ไว้ด้วยไม่ไดั จำต้องเอาไปเผาเสียให้สูญในกองไฟ ไม่เช่นนั้น ก็พากันนำไปฝัง
เสียในแผ่นดินให้ ลิ้นทุเรศนัยน์ตา เพราะถ้าเอาเก็บไว้ ก็มีแต่เหม็นสาบเหม็น-
สางให้รำคาญนาสาหาคุณค่าอันใดมิได้ อย่างนี้ แลเรียกว่าความตาย ก็ความ
ตายอย่างที่ว่ามานี่ เราท่านทุกคนย่อมประสบพบปะแน่นอนเที่ยงแท้ในวันหนึ่ง
ข้างหน้า แต่ว่าจะเป็นเมื่อไรและที่ไหนนั้น เราไม่มีวันที่จะรู้ได้เลย เพราะว่า
มันเหมือนกับคนตาบอดตกยอดไม้
ตาบอดตกยอดไม้
ยังมีบุรุษชราจักษุมืดคนหนึ่ง บังเอิญูพลาดพลั้งตกจากยอดไม้ อันสูงลิบ
เมื่อตกแล้วก็มีอันเป็นตีนมือกาง ลิ่ว ๆ ลงมากลางหาว อกสั่นขวัญแขวน จะได้
รู้ตัวว่าตนจะกระทบกระทั่งสิ่งใดบ้าง ครั้นตกลงมาถึงพื้นดิน ร่างกายจะแตก
แหลกเหลวป่นปี้ไปเมื่อใด อย่างนี้ก็หารู้ไม่เลย รู้ อยู่แต่เพียงว่า "ตูข้านี้ชะรอย
จะสิ้นอายุพลันตายเสียในครั้งนี้เป็นแน่แท้ ไม่มีใครช่วยแก้ไขได้ อุปมานี้ฉันใด
เราทั้งหลายนี่ก็เหมือนกัน พอเกิดมาก็ชื่อว่าพลัดตกลงมาแล้ว วันคืนเดือน
ปีล่วงไป ๆ ก็ได้ ชื่อว่า ตัวเรากำลังลอยลิ่ว ๆ ลงมาแล้ว ใกล้ ความแตกความตาย
เข้าไปทุกที แต่ที่จะให้รู้ว่าจักถึงพื้นดินแตกตายลงไปเมื่อใดนั้น ย่อมไม่มีวันรู้
เลย รู้อยู่แต่เพียงว่าเกิดมาแล้วก็เที่ยงที่จะตายไปท่าเดียวคือ ต้องตายแน่ๆ
จะเหลียวแลหาคนช่วยแก้ไขให้พ้นจากความตายนั้นเป็นอันไม่มี ความจริง
เป็นอยู่อย่างนี้จงเชื่อเถิด
ตาย-เกิด
อันว่าเราท่านทั้งหลายนั้น ครั้นเมื่อตายไปแล้ว หากว่าแลัวกันไปก็หมด
เรื่องหมดราว แต่นี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ตราบใดที่ยังมีกิเลสตัณหาอยู่ ก็ต้องเวียน
เกิดเวียนตายอยู่ในวัฏลงสารไม่มีที่สิ้นสุด สถานที่ที่เราต้องไปเวียนเกิดเวียน
ตาย ซึ่งเรียกว่าวัฏสงสารนั้น มีอยู่หลายที่หลายแห่ง ที่หนึ่ง ๆ จะเรียกว่า โลก
หนึ่งๆ ก็ได้ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มีโลกอยู่มากมาย เช่น โลกนรก
โลกมนุษย์ และโลกเทวดา เป็นต้น เราตายไปแล้วใช่ว่าจะกลับมาเกิดใน
โลกมนุษย์นี้อยู่ร่ำไปก็หาไม่ อาจจะไปเกิดในโลกอื่นๆ อีกมากมาย แต่จะไป
เกิดในโลกไหน และเกิดเป็นอะไรนั้น ก็สุดแต่กรรมที่ทำไว้ หรือตามสภาพของ
จิตของแต่ละบุคคล และการที่จะไปเกิดแต่ละครั้งนั้น ใช่ว่าอยู่ ๆ ก็ปุบปับไป
เกิดส่งเดชอย่างนั้นเอง ไม่ต้องมีเหตุมีผลอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น อันที่จริงสัตว์
ที่จะตายไปเกิดนั้น ก่อนที่จะตายลงไปจริง ๆ ย่อมต้องเกิดมีอารมณ์ ขึ้นก่อน
อารมณ์นี้ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับเป็นมัคคุเทศก์ชี้ทางบอกให้ผู้ตายรู้ล่วงหน้าว่า
ตนจักไปเกิดในโลกไหน มีสุขมีทุกข์ผิดแผกแตกต่างกันอย่างไร จักไปเกิดในโลก
ใหม่ซึ่งมิใช่โลกมนุษย์ หรือว่าจักไดักลับมาเกิดในมนุษยโลกนี้อีกต่อไป

อารมณ์ก่อนตาย กาลเมื่อสัตว์ทั้ งหลายใกล้จะถึงแก่มรณะ ย่างเขัาไปสู่แดนมฤตยู แล้วจะไป
บังเกิดอยู่ในโลกอื่นต่อไปนั้น ในมรณาสันกาล คือ กาลที่ใกล้จะตายนั้น ย่อมมี
อารมณ์ ๓ ประการ ปรากฏเป็นอารมณ์แห่งปฏิลนธิจิตก่อน ดังต่อไปนี้
.. กรรมารมณ์ ได้ แก่ กรรมที่ ตนเคยกระทำไว แต่ก่อนๆ มาปรากฏให้
ระลึกขึ้นไดั ในขณะที่ถำลังร่อแร่จะตายไปในพริบตานี้ ถัาเป็นผู้มีบาปเคยทำ
อกุศลกรรมไว้ ในขณะนี้ก็จะปรากฏเป็นภาพให้เห็นชัดเจนในมโนทวาร เช่น
ตนเคยฆ่าคนไว้ ภาพทีตนฆ่าคนก็มาปรากฏ ตนเคยเตะถีบด่าว่าพ่อแม่เอาไว้
หรือเป็นคนติดเหล้าดื่มสุราเมรัยเป็นประจำ เคยทำอทินนาทานลักขโมยและ
ปล้นคนอื่น เคยประพฤติกามมิจฉานอกใจสามีภรรยาเอาไว้ ก็จะปรากฏเป็น
ภาพให้เห็นขัดเจนอย่างที่ตัวทำไว้ไม่ผิดเพี้ยน แล้วจิตก็ยึดหน่วงเอาภาพเหล่า
นั้นมาเป็นอารมณ์ เมื่อดับจิตตายลงไปแล้ว ก็น้อมนำไปเกิดในทุคติภูมิ เช่น
โลกนรก เป็นต้น หากว่าตนเคยทำกุศลกรรมไว้ ในขณะนี้ก็จะปรากฏเป็นภาพ
ให้เห็นอย่างชัดเจนในมโนทวารคือทางใจเหมือนกัน เช่น ตนเคยบริจาคทาน
เคยทำบุญเลี้ยงพระ เคยขุดสระสร้างศาลา เคยรักษาศีล ก็จักเห็นเป็นภาพของ
ตัวเองกำลังกระทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างแจ้งชัดจำได้ ทำให้ ใจคอชุ่มชื่น แล้ว
ดับจิตตายลงไปทันใด อารมณ์อันดีงามนี้ก็จะน้อมนำไปเกิดในสุคติ อารมณ์
เหล่านี้เรียกว่า กรรมารมณ ที่ปรากฏแก่คนที่ใกล้จะตาย ในขณะที้เขากำลัง
ย่างเข้าสู่แดนมฤตยู เขาเห็นของเขาอยู่คนเดียวเท่านั้น เราท่านเวลานี้ยังไม่
เห็น เพราะยังไม่ตาย ยังมีชีวิตเป็นปกติดีอย่ถ้าอยากจะเห็นก็ต้ องอดใจรอไป
ก่อน โน่นจวนจะดับจิตตายไปโน่นแหละเป็นเห็นแน่ แต่ถ้ากรรมารมณ์นี้ไม่
ปรากฏให้เห็น ก็จะปราถฏอารมณ์อีกอย่างหนึ่ง คือ
๒. กรรมนิมิตตารมณ์ ได้แก่ อุปกรณ์ของการกระทำในอดีตมาปรากฏ
ให้เห็น เพราะตามธรรมดาในการประกอบกรรมทุกชนิด ย่อมมีอุปกรณ์เครื่อง
มือทั้งสิ้น เช่น จะทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ฆ่าคน ก็ตัองมีดาบ มีด ปืน แหลน
หลาว เป็นเครื่องมือ หรือจะทำบุญทำทาน ก็ต้องมีอาหาร เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ
เป็นเครื่องมือ อุปกรณ์เหล่านี้จะมาปรากฏเป็นกรรมนิมิตในขณะที่จะดับจิต
มองเห็นเป็นภาพชัดเจนยิ่งนัก ในทางอกุศลก็จะปรากฏเครื่องมือของการทำ
บาปให้ เห็นในขณะนี้ เช่น เห็นมีด ปืน หอก ดาบ เครื่องมือการพนัน การชน
ไก่ กัดปลา เรือกสวนไร่นาที่โกงเขาไวั อะไรเหล่านี้ เป็นต้น สุดแต่ตนจะเคย
ทำชั่วดัวยสิ่งใด ก็จะมาปราฏให้เห็นระลึกได้ จิตยึดหน่วงไว้เป็นอารมณ์ ดับจิต
ตายไปก็น้อมนำไปเกิดในทุคติภูมิ ในทางกุศล ถ้าตนเคยทำบุญไว้ด้วยสิ่งใด
สิ่งนั้นก็จะมาปรากฏให้เห็นเหมือนกัน เช่น เห็นผ้าไตรเครื่องกฐินที่ตนเคยทอด
ถวายไว้ เห็นเครื่องสักการบูชาตอกไม้ที่ตนเคยทำการบูชาไว้ เห็นขบวนแห่ใน
การทำบุญต่างๆ เห็นกุฏิวิหารที่ตนเคยสร้างไว้ ถ้าเป็นคนภายนอกศาสนาเช่น
ฝรั่งมังค่า ก็เห็นโรงพยาบาลหรือสถานที่สาธารณะที่ตนมีน้ำใจ เป็นกุศลสร้าง
เอาไว้ อะไรเหล่านี้ อันเป็นอุปกรณ์เครื่องมือในการทำกุศลกรรม มาปรากฏให้
เห็นอย่างแจ่มชัดทีเดียว จิตยึดเหนี่ยวเอาเป็นอารมณ์แล้วดับลง ก็ตรงไปอุบัติ
เกิดในสุคติภูมิ อุปกรณ์แห่งการกระทำต่างๆ เหล่านี้ เรียกว่า กรรมนิมิตตารมณ์
ย่อมจะมาปรากฏให้ คนที่ใกล้จะตายได้ เห็น ในขณะที่กำลังย่างเข้าสู่แดนมฤตยู
แต่ถ้ากรรมนิมิตตารมณ์นี้ ไม่ปรากฏ อารมณ์อีกอย่างหนึ่งก็ปรากฏ นั่นคือ
๓. คดินิมิตตารมณ์ ไดัแก่ นิมิตต่างๆ อันบ่งบอกถึงคติของโลกที่ตนจะ
ต้องไปเกิดในเวลาที่ดับจิตไปแล้ว ปรากฏขึ้นให้ เห็นชัดเจนทางมโนทวาร บาง
ทีก็เป็นภาพที่ตนเคยเห็น บางทีก็เป็นภาพที่ตนไม่เคยเห็น แต่ส่วนมากเป็นภาพ
ที่ตนไม่เคยเห็นทั้งสิ้น แบ่งเป็นประเภทได้ ดังนี้
ก. ถ้าจะเกิดในโลกนรก เมื่อจะขาดใจตายนั้น ย่อมเห็นเป็นเปลวไฟร้อน
ระอุ เห็นหม้อเหล็กแดง เห็นไม้งิ้วหนามเหล็ก เห็นฝูงผีปีศาจราชทูต รูปร่าง
พิกล ไม่เคยเห็นมาก่อน ถือไม้ค้อนเหล็กจะตีกบาล หรือถือหอกเหล็กโตเท่า
ลำตาลจะพุ่งมาที่ทรวงอก หรือมาฉุดกระชากลากตัวไป บางทีเห็นเป็นแร้งกา
กำลังมาจะฉีกกัดเลือดเนื้อของตัวกิน เขาผู้จวนจะตายนั้นย่อมเห็นอย่างชัดเจน
ทำให้ มีความตกใจสะดุ้งกลัวใจลั่นระรัว ถ้าส่งเสียงได้ ในขณะนี้ ก็จะร้องโวยวาย
ให้คนทั้งหลายช่วย เป็นที่น่าสงสารยิ่งนัก นิมิตนี้ชี้ว่า เขาผู้นั้นต้องไปตกนรก
แน่นอน
ข. ถ้าผู้ ที่ตายนั้นจะไปเกิดเป็นเปรตอสุรกาย ย่อมเห็นคตินิมิตเป็นหุบเขา
หรือถ้ำอันมืดมิด บางทีก็เห็นเป็นแกลบและข้าวลีบมากมาย ให้รู้ลึกหิวโหย
อาหารและกระหายน้ำเป็นกำลัง บางครั้งก็เห็นเป็นน้ำเลือดน้ำหนอง น่า
รังเกียจน่าละอิดสะเอียนยิ่งนัก บางครั้งก็เห็นเป็นเปรตอสุรกายมีร่างใหญ่โต
น่าเกลียดน่ากลัว เนื้อตัวสกปรกรุงรัง ภาพดังกล่าวนี้มาปรากฏในมโนทวารใหั
เห็นชัดเจนแจ่มใส นิมิตนี้ชี้ ให้รู้ว่า เขาผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็นเปรตอสุรกาย
ค. ถ้าผู้ที่ตายนั้นจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ย่อมเห็นคตินิมิตเป็นทุ่งหญ้า
ป่าไม้ เชิงเขา ชายน้ำ กอไผ่ ภูเขา บางทีก็เห็นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ มาปรากฏ เช่น
เห็นเป็นเนื้อถึก โคกระบือ หมู หมา เป็ด ไก่ เหี้ย นก หนู จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งกือ
ไส้เดือน เหล่านี้เป็นต้น มาปรากฏอย่างชัดเจนแจ่มใสทางมโนทวารคือทางใจ
อย่างนี้ก็เป็นนิมิตชี้ ให้รู้ว่า เขาผู้นั้นจะได้ไปบังเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน
ง. ถ้าผู้ที่ตายนั้นจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษยโลกนี้อีก เขาย่อมจะ
เห็นคตินิมิตในขณะที่จวนจะดับจิตนี้ เป็นก้อนเนื้อ คือ เห็นเป็นก้อนเนื้อเล็กๆ
อยู่ในครรภ์มารดา หรือเห็นครรภ์มารดาในชาติหน้าซึ่งจะมาถึงในพริบตานี้
ปรากฏให้เห็นเป็นภาพชัดเจนแจ่มใส เมื่อเห็นไปเช่นนี้ ก็เป็นนิมิตชี้ให้รู้ว่า
เขาผู้นั้นจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้
จ. ถ้าผู้ที่ตายนั้นจะได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาในสวรรคเทวโลก เขา
ย่อมจะเห็นคตินิมิตเป็นทิพยวิมาน เห็นปราสาทราชวังอันสวยสดงดงามซึ่งไม่
มีในเมืองมนุษย์ บางทีก็เห็นเป็นต้นกัลปพฤกษ์และเป็นต้นไม้สวรรค์ ซึ่งตนไม่
เคยเห็นมาก่อนเลย หรือเห็นสิริไสยาสน์ที่นอนอันประเสริฐปรากฏในทิพย
พิมาน แล้วไปด้วยแก้วและทองมีประการต่าง ๆ งดงามนักหนา บางทีก็เห็น
เป็นเทพบุตรเทพธิดาชาวฟ้าชาวสวรรค์พากันขับระบำรำฟ้อน เป็นที่เริงสราญ
ชื่นบานยิ้มแย้มแจ่มใส ประดับกายด้วยอาภรณ์อันประณีตสวยงามน่าดูชม
อารมณ์เหล่านี้มาปรากฏเป็นภาพให้เห็นชัดเจนทางมโนทวาร ทำให้ผู้จะถึงกาล
กิริยาตายนั้นมีจิตใจเพลิดเพลิน เกิดความยิมย่องผ่องใสโสมนัส บัดนี้ ถ้ามีผู้
สังเกตดูหน้าตาก็จะรู้ได้ว่า เขาจะหลับตาตายอย่างสุขสงบไปพบลุคติแน่ในไม่
ช้า เพราะนิมิตนี้ชี้ให้รู้ว่า เขาผู้นั้นจักได้ไปเกิดในสวรรค์เมืองฟ้าเป็นเทวดา
แน่นอน
จึงเป็นอันว่า ก่อนที่จะดับจิตตายลงไป คือ ในขณะที่กำลังย่างเข้าสู่แดน
มฤตยูนั้น คตินิมิตย่อมบังเกิดปรากฏต่างๆ ดังกล่าวมา และการปรากฏของ
นิมิตเหล่านี้ บางทีก็ไม่ปรากฏอย่างเดียว เพราะบางคนเคยทำกองการกุศล
ไว้ก็มี และพร้อมกันนั้นก็เคยทำบาปกรรมไว้ บ้างก็มี ทำดีทำชั่วปนกันไว้
ตามประสาคนมีกิเลสดิดสันดานอย่างนี้ คราทีจะตาย บางทีก็ให้เห็นเป็นนิมิต
ปรากฏหลายอย่าง เดิมทีนิมิตฝ่ายข้างนรกมาบังเกิดก่อน แล้วนิมิตข้าง
สวรรคเทวโลกมาบังเกิดให้เห็น บางทีนิมิตข้างสวรรคเทวโลกมาปรากฏให้
เห็นก่อนแลัวนิมิตข้างฝ่ายนรกมาบังเกิดซ้อนให้เห็นทีหลัง บางครั้งนิมิตฝ่าย
ข้างมนุษย์มาบังเกิดปรากฏให้เห็นก่อน แล้วนิมิตฝ่ายเดียรัจฉานจึงย้อนมา
ปรากฏอีกเล่า บางทีนิมิตฝ่ายเดียรัจฉานปรากฏให้เห็นก่อน แล้วนิมิตฝ่าย
มนุษย์จึงมาปรากฏให้เห็นทีหลัง เมื่อเป็นดังนี้ นิมิตที่ปรากฎทีหลังย่อมมี
กำลังกว่า จิตของเขาผู้จะตายยึดหน่วงเอาเป็นอารมณ์ ย่อมนำไปสู่คติตามที่
นิมิตทีหลังปรากฏ ในกรณีที่นิมิตปรากฏหลายชนิดนี้ พึงเห็นตัวอย่างดัง
ต่อไปนี้

สามเณรเฒ่า
ยังมีภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งปรากฏนามในพระศาสนาว่า พระโสณเถระ ท่าน
เป็นผู้ มีปัญญูาวิลารทะคือแกลัวกล้าชำนิชำนาญในพระปรมัตถธรรม รู้อรรถ
อันสุขุมลุ่มลึกในพระพุทโธวาท พระผู้เป็นเจ้ามีปกติอยู่เป็นประจำ ณ เชิงเขา
โสณคีรีบรรพต ตามสมณวิสัย ล่วนบิดาของพระคุณเจ้ามีอาชีพเป็นพรานไพร
ท่องเที่ยวไปในอรัญพร้อมกับฝูงสุนัข เพื่อล่าเนื้อถึกมฤคีทุกวัน พระโสณะ
ผู้บุตรนั้นห้ามปรามว่ากล่าวแก่บิดาอยู่เสมอ แต่พรานเฒ่าผู้มีสันดานหยาบ
นิยมไพรไม่เชื่อฟัง ยังแอบเข้าป่าไปล่าเนื้ออยู่เนืองนิตย์ เมื่อชราภาพลง
ร่างกายอ่อนแอเข้าป่าไม่ไหวแล้ว พระคุณเจ้ามีจิตเอ็นดูกรุณาแก่บิดา จึงบอกว่า
บิดาเป็นผู้ชราแล้ว แต่นี้ ไปก็จักเป็นผู้มีความตายเป็นไปในเบื้องหน้าไม่ช้านี้
ฉะนั้น ท่านอย่าฉิบหายจากสิ่งอันเป็นกุศลเสียเลย จงตั้งหน้ารักษาศีล คือ
จงบวชเลียเถิด " ตาเฒ่าไม่มีศรัทธา ได้ฟังภิกษุผู้บุตรมาว่าดังนี้ ก็ตกใจ
รีบบอกปฏิเสธเป็นพัลวัน อ้างโน่นอ้างนี่กล่าวเป็นโวหารบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยง
มากมาย พระเถรเจ้าก็มิว่ากระไร แต่ในไม่ช้า ก็มาว่าขานประสงค์จะให้
พรานผู้บิดาบวชอีก พรานเฒ่าก็ปฏิเลธเช่นเคย พระเถรเจ้าเฝ้าชี้แจงอ้อนวอน
พรานบิดาอยู่นานหนักหนา ในที่สุดพรานบิดาก็ยอมบวชแต่เพียงเป็นสามเณร
เพื่อรักษาน้ำใจบุตรผู้อ้อนวอนไว้ พระเถระก็สอนให้รักษาสิกขาบทสิบไม่ให้
ขาดได้
พอสามเณรแก่บวชแล้วได้วันเดียว ก็เกิดอาพาธหนัก ใกล้ตายเต็มที
ลงนอนบนเตียงคิลานไสยาลน์ ไม่อาจลุกขึ้นได้ ในขณะที่สามเณรเฒ่ากำลังย่าง
เข้าไปสู่แดนมฤตยูนั้น พลันนิมิตอกุศลก็มาปรากฏก่อน คือ ให้เห็นเป็นสุนัข
ใหญ่ ๆ วิ่งออกมาจากเชิงเขา แล้วเข้าแวดล้อมลามเณรเฒ่านั้น แสดงอาการ
ราวกะว่าจะกัดเนื้อหนังมังสาเป็นภักษาหาร พรานใจบาปผู้เป็นเณรเฒ่าเห็น
เช่นนั่น เข้าก็ละดุ้งตกใจกลัว ใจลั่นระรัวร้องโวยวายขึ้น เรียกพระเถระผู้เป็น
บุตร ซึ่งนั่งเฝ้าพยาบาลอยู่ใกล้ ๆ ให้ช่วยห้ามสุนัข พระเถระจึงถามว่า "ดูกร
บิดาท่านเห็นซึ่งสิ่งดังฤๅ?" สามเณรเฒ่าจึงเล่าแจ้งทุกประการว่า "ดูกรผู้เป็น
บุตรเอ๋ย บิดานี้ได้เห็นหมู่สุนัขมันวิ่งมาเป็นอันมากล้วนแต่ดุร้ายแยกเขี้ยวจะ
กัดกินซึ่งบิดา ขอพ่อจงมีจิตเอ็นดูแก่บิดา ซ่วยห้ามปรามมันเสียทีเถิด"
พระโสณเถระผู้เป็นบุตรจึงปริวิตกว่า "บิดาเรา ชะรอยจะไปเกิดในนรก
เป็นแน่แท้ จึงให้ปรากฏเห็นนิมิตเช่นนี้ ก็บัดนี้ถ้าบุญมีอยู่บ้าง หากบิดายัง
ไม่ตายแลัวไซร้ เราจะช่วยให้สมกับที่เป็นบิดาของบุตรผู้ มีปัญญาเช่นกับตัวเรา"
คิดแลัวพระผู้เป็นเจ้าจึงตรวจดู ก็รู้ว่าบิดายังไม่ตาย เพียงแต่ถึงวิสัญูญูภาพ
สลบลงเท่านั้น จึงลุกเดินมาข้างนอก ออกคำสั่งลามเณรเด็กทั้งหลายผู้เป็นศิษย์
ตน ให้ไปเก็บบุปผชาติต่าง ๆ มากระทำเป็นเครื่องลาดดาดประดับดอกไม้
สักการบูชา ณ ลานพระเจดีย์ศรีมหาโพธิ์เป็นอันมากแล้ว จึงให้ช่วยหามเตียง
ของสามเณรแก่ผู้บิดา ไปยังลานพระเจดีย์โดยไว พอเณรเฒ่าได้ สติลืมตาขึ้น
พระเถระจึงชี้ให้ ดูดอกไม้นานาพันธุ์สีสันสวยสด ปรากฏตั้งอยู่ที่ใกล้ พระเจดีย์
ศรีมหาโพธิ์เป็นเครื่องสักการบูชา แล้วสอนว่า "บิดาจงยังจิตให้เลื่อมใสเป็นอันดี
ดอกไม้เหล่านี เป็นของบิดา เขาหามาเพื่อให้บิดาได้กระทำสักการะพระเจดีย์
อย่างนี้จะเป็นที่พอใจหรือไม่?" ครั้นเห็นบิดาผู้ใกล้จะตายพยักหน้ารับเอาแล้ว
จึงลอนต่อไปว่า "แต่นี้บิดาจงทำใจให้ ดี แล้วว่าในใจตามข้าพเจ้า
...ภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระบรมโลกนาถ อยํ
ปูชา เครื่องสักการบูชาเหล่านี้ ข้าพระองค์ขอน้อมถวายอุทิศ
แด่พระองค์ เครื่องสักการบูชาอันเป็นทุคตบรรณาการนี้
เป็นของข้าพระองค์น้อมถวายกระทำสักการบูชาแด่พระองค์
เครื่องสักการบูขาอันเป็นทุคตบรรณาการนี้ เป็นของ
ข้าพระองค์น้อมถวายกระทำสักการบูชาแด่พระองค์ "
สามเณรแก่ประณมมือว่าตามถ้อยคำที่พระเถระผู้ บุตรสอนอยู่ในใจ เพราะ
ป่วยหนัก ออกวาจามิได้ แต่ในใจเลื่อมใส ชุ่มชื้นนักหนา พอบูชาเสร็จก็หลับ
ตาลง ขณะนั้นนิมิตข้างฝ่ายสวรรค์เทวโลกก็พลันบังเกิดขึ้น บันดาลให้
สามเณรแก่เห็นเป็นทิพยวิมาน พร้อมทั้งสวนนันทวันและสวนผรุสกวันในสวรรค์
ชั้นดาวดึงล์ แต่พอภาพนั้นเลือนหายไป ภาพใหม่ก็ปรากฏมาอีกเล่า เป็นชาว
สวรรค์เทพอัปสรกัญญามาแวดลัอมอยู่โดยรอบ ตาแก่ชอบใจจึงมีแรงออก
โอษฐ์ขับไล่พระเถระผู้ เป็นบุตรว่า "ดูกรพระโสณะ! ท่านจงถอยออกไปหน่อย
พระเถระจึงค่อยถามว่า "บิดาเห็นสิ่งใดหรือ จึงมาขับข้าพเจ้าเสียฉะนี้'' สาม
เณรเฒ่าจึงมีวาจาตอบว่า "นางเทพอัปลรที่จะเป็นมารดาของท่าน มาแวดล้อม
ต้อนรับเรา ท่านจงหลีกเขาหน่อยเถิด อย่าให้เขาต้องเข้าใกล้ตัวท่านผู้เป็น
สมณะ" พระโสณเถระก็รู้แจ้งว่า นิมิดข้างฝ่ายสวรรค์มาปรากฏเช่นนี้ บิดาตน
จักต้องไปเกิดในสรวงสวรรค์แน่นอน พระเถระคิดฉะนี้ แลัว ก็ถอนใจมองดูบิดา
หลับตาตายอย่างเป็นสุข
อารมณ์ปฏิสนธิจิตแห่งสรรพสัตว์ในโลกทั้งหลาย ซึ่งบังเกิดขึ้นในขณะ
ใกล้จะตาย ๓ ชนิดคือ กรรม ๑ กรรมนิมิต ๑ คตินิมิต ๑ ดังกล่าวมานี้
ย่อมเกิดแก่ลรรพลัตว์ทุกรูปนาม ไม่มียกเว้นว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ อารมณ์
เหล่านี้ย่อมอุบัติเกิดอย่างเที่ยงแท้ ไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะตายด้วยอาการอย่างใด
ก็ ตาม ก็ต้องเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงตาย ถ้าไม่เกิดอารมณ์เหล่านี้ก็ยังไม่ตาย
แม้บุคคลที่กำลังเดินไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วถูกคนย่องมาข้างหลัง แอบฟันด้วย
ดาบอันคมกล้าคอขาดกระเด็น เช่นนี้ อารมณ์อันใดอันหนึ่งนั้นก็ต้องปรากฏขึ้น
ก่อน แล้วจึงจะดับจิตตายไป มิฉะนั้นคนกำลังนอนหลับเพลินอยู่ ถูกคู่อริผู้ใจ
ขลาดย่องมาแล้วเงือดเงื้อซึ่งดาบอันคมกริบ ฟันคอสุดแรงเกิด จนศีรษะหลุด
จากบ่า อย่างนี้เขาก็ต้องเห็นอารมณ์ทั้ง ๓ นั้นก่อน แล้วจึงจะขาดใจตาย แม้
คนที่โชคร้ายจมลงไปในน้ำลึก ก่อนที่จะขาดใจตาย อารมณ์เหล่านั้นย่อมพลัน
มาปรากฏให้เห็นก่อนเช่นเดียวกัน เพราะวาระจิตนั้นเร็วพลันนักหนา พึง
ทราบว่า แม้แต่แมลงวันตัวหนึ่งบังเอิญบินมาเกาะอยู่ที่ด้ามสิ่ว ในขณะที่คน-
งานเงือดเงื้อค้อนขึ้นแล้วตอกลงที่ด้ามสิ่วนั้นโดยพลัน ถูกแมลงวันบี้แบนตาย
ทันที อย่างนี้ก็คงมีกรรมหรือกรรมนิมิต คตินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏ
เป็นอารมณ์ขึ้นก่อนแล้ว แมลงวันนัน้จึงจะทำกาลกิริยาตายไป ดังนั้น เรา
ท่านทั้งหลายก่อนที่จะขาดใจตาย คือ ในขณะที่กำลังย่างเข้าลู่แดนมฤตยู
ย่อมจะเห็นอารมณ์ทั้ง ๓ อย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน เมื่อต้องเห็นแน่แล้วก็
ขอให้เห็นแต่อารมณ์ที่เป็นฝ่ายกุศลเถิด อย่าเกิดให้เห็นอารมณ์ฝ่ายอกุศล
เลยจึงจะเป็นการดี แต่การที่จะให เป็นไปตามความปรารถนาเช่นว่ามานี้เป็น
สิ่งที่เป็นไปโดยยากนักหนา เพราะว่าใจเรานี้ ย่อมเป็นอนัตตา ใครจะไปบังคับ
บัญชาไม่ได้ จะคิดจะเห็นอะไรก็เป็นไปตามเรื่องตามราวที่เขาปรารถนา
หากว่าจิตใจเป็นอัตตา เราสามารถบังคับบัญชาได้แล้วไซร้ ป่านนี้ ก็น่าดูน่าชม
คือ พวกเราไม่ต้องทำบุญูกุศลอะไรทั้งสิ้นก็ได้ เพียงแต่สั่งบังคับจิตของตนไว้
เสียแต่ในตอนที่กำลังดี ๆ อยู่ คือในขณะนี้เลยทีเดียวว่า "เว้ย เฮ้ยเจ้าจิต!
เวลาตูข้าจะขาดใจตายนั้น เจ้าต้องเห็นคตินิมิตที่ดี ๆ คือทิพยวิมานในเมืองแมน
แดนสวรรค์นะเว้ย อย่าลืมเลียล่ะ เพราะข้าอยากจะไปเกิดบนสวรรค์เมืองฟ้า "
สั่งไวัเสียอย่างนี้ก็สิ้นเรื่อง ไม่ต้องสิ้นเปลืองทำบุญูให เหนื่อยยากไปเปล่า ๆ
แต่นี่มันใช่เช่นนั้นที่ไหนเล่า เพราะเจ้าจิตของเรานี้มีสภาวะเป็นอนัตตาหาตัวตน
มิได้ ใครจะสั่งอย่างใดย่อมไม่ฟังทั้งสิ้น ถวิลหวังลิ่งใดย่อมจะเป็นไปดามใจชอบ
เมื่อจิตชอบบาป มีบาปสลักอยู่ในจิต ครั้นจวนจะตาย ก็จะเห็นนิมิตที่เป็นบาป
ตรงข้ามกัน คือ หากว่าจิตชอบกุศล ก็ย่อมจะเห็นนิมิตอารมณ์ที่เป็นบุญกุศล
ดีงาม ฉะนั้น ถ้าไม่อยากเห็นอารมณ์ทีเป็นอกุศล ก่อนที่จะขาดใจตาย เพราะ
เกรงว่าจะพาเราไปอบาย ก็ต้องพยายามฝึกจิตของเราให้ ชอบในบุญกุศลเสียแต่
บัดนี้ แล้วเมื่อถึงที่สำคัญที่ว่านั้น จิตก็จะเห็นอารมณ์ที่ดีงามเป็นกุศลเอง
นี่แลเป็นทางเดียวที่จะนำเราไปสู่สุคติภูมิได้
พรรณนาถึงเรื่องก่อนจะตายมาพอสมควรแล้ว ต่อแต่นี้ไปจักกล่าวถึง
โลกทีปนี คือ จะชี้แจงถึงโลกต่างๆ ที่ลัตว์ทั้งหลายต้องไปเกิด หลังจากที่ได้
ล้มหายตายจากโลกนี้ ไปแล้ว พร้อมกับแลดงถึงกรรมที่ทำให้ต้องไปเกิดใน
โลกนั้นๆ พอสมควร ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลาย ผู้มีอันจะต้อง
ตายอย่างแน่นอนในวันหน้าทุกท่านทุกคน ควรจะสนใจรู้แลรับฟังไว้พิจารณา
เพื่อความสุขสวัสดีของตนในปรโลกภายภาคหน้า ฉะนั้น ขอท่านผู้มีปัญญา
จงทำจิตให้โอฬาร์กว้างขวาง ให้ห่างจากความเห็นแคบ ๆ เลียแต่บัดนี้ แล้ว
รับฟังเรืองโลกต่าง ๆ ซึ่งจักได้บรรยายในโอกาลต่อไปนี้เถิด

นิรยภูมิ
โลกนรก
บัดนี้ จักแสดงถึงโลกต่ำช้าหาความสุขมิได้ ซึงมีชือว่า อบายภูมิ ได้ แก่
โลกที่ปราศจากความสุข ไม่มีสมบัติ ๓ ประการ คือ มนุษยสมบัติประการหนึ่ง
เทวสมบัติประการหนึ่ง และพรหมสมบัติประการหนึ่ง เหตุนั้น จึงเรียกว่า
อบายภูมิ = โลกที่ปราศจากความสุข ซึ่งมี อยู่ ๔ โลกด้วยกัน คือ
๑. นิรยภูมิ = โลกนรก
๒. เปตติวิลยภูมิ = โลกเปรต
๓. อสุรกายภูมิ = โลกอลุรกาย
๔. ติรัจฉานภูมิ = โลกเดียรัจฉาน
ในบรรดาจตุราบายภูมิ คืออบายภูมิทั้ง ๔ นั้น จักพรรณนาถึงอบายภูมิ
อันดับแรกก่อน อบายภูมิอันดับแรกเป็นที่หนึ่งนี้ มีชื่อว่า นิรยภูมิ หรือจะ
เรียกว่าโลกนรกก็ได้ โลกนี้เต็มไปดัวยความทุกข์ลัวนๆ เป็นโลกที่ปราศจาก
ความสุขโดยสิ้นเชิง สัตว์ผู้ ไปเกิดอยู่ในโลกนี้ ไม่มีความลุขแม้แต่นิดหนึ่งเลย
ฉะนั้น ภูมินี้จึงมีชื่อว่า นิรยภูมิ = โลกที่ไม่มีความลุขสบาย
นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลนักหนา แบ่งเป็น
เขตเป็นประเทศใหญ่ก็มี เล็กก็มี เหมือนอย่างมนุษยโลกเรานี้ ผิดกันแต่ว่า
สถานที่แต่ละแห่งในโลกนรกไม่นิยมเรียกว่า เป็นรัฐหรือเป็นประเทศ แต่เรียก
สถานที่แต่ละแห่งเหล่านั้นว่า "ขุม"

มหานรก
โลกนรกประเภทใหญู่ที่สุด เรียกว่า มหานรก มีอยู่ทั้งหมด ๘ ขุมด้วยกัน
ต้องซ้อนเรียงรายอยู่เป็นชั้นๆ จักพรรณนาตั้งแต่ชั้นบนจนถึงชั้นต่ำที่สุด
โดยสังเขปดังต่อไปนี้
๑. สัญชีวนรก
เหล่าสัตว์ที่มาอุบัติบังเกิดในขุมนรกนี้ ถึงแม้จะได้รับทุกข์โทษจนตายแล้ว
ก็กลับเป็นขึ้นมาอีกได้ หมายความว่าคนใจบาปหยาบช้าลามกผู้ใด ตายไปตก
นรกขุมนี้ แล้ว เขาก็จะเป็นคล้าย ๆ กับว่ามีตัวเป็นกายสิทธิ์ คือ ไม่มีวันตายเลย
เสวยทุกข์อันแลนสาหัสจนขาดใจตายคาที่นั่นแล้ว ก็กลับเป็น มีชีวิตชีวาขึ้นมา
เสวยทุกข์โทษต่อไปอีก ตายๆ เป็นๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ฉะนั้น จึงเรียก
นรกขุมนี้ว่า สัญชีวนรก = นรกที่ไม่มีวันตาย
ความเป็นอยู่ เมื่อพูดถึงความเป็นอยู่ ชาวสัญชีวนรกนี้ ไม่มีอาชีพการ
งานอะไรที่จะต้องทำเลี้ยงชีวิตเหมือนอย่างมนุษย์เราเลย ทั่วทุกตัวลัตว์นรกไม่
ต้องทำอะไร ตลอดเวลาได้แต่ก้มหน้าก้มตาเสวยผลกรรมของตนถ่ายเดียว
เช่น
สัตว์นรกบางจำพวกถูกนายนิรยบาล คือ เจ้าพนักงานเมืองนรกจับมัด
ให้มั่นแล้วบังคับให้นอนลงเหนือแผ่นเหล็กที่ลุกแดงด้วยไฟนรก อย่างนี้ เขาก็
ต้องได้รับความแลบปวดแลบร้อนเหลือประมาณ ต่อจากนั้นนายนิรยบาลจึง
เอาดาบนรกอันคมนักหนา ฟาดฟันกายาของเขาให้ขาดเป็นท่อนๆ บางทีก็เอา
มีดเอาขวาน ค่อยถากค่อยเฉือนเนื้อตัวร่างของลัตว์นรกฬี่กำลังนอนบนพื้น
เหล็กนั้นทีละน้ อย ๆ จนกระทั่งเนื้อหนังมังสาหมดไป เหลือแต่เพียงโครงกระดูก
ขาวโพลนอยู่ สัตว์นรกทั้งหลายได้ รับโทษทรมานเช่นนี ก็มีความเจ็บปวดยิ่งนัก
ส่งเสียงโอดโอยร องครวญครางให้อื้ออึงระงมไปทั่วบริเวณ จนกระทั่งสิ้นใจตาย
ไปในที่นั่นเอง แล้วก็มีลมชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า ลมกรรม รำเพยโชยพัดมาต้อง
กายาสัตว์นรกนั้นให้กลับเป็น มีชีวิตมีสรีระร่างกายเหมือนเดิม นายนิรยบาล
เห็นดังนั้น ก็เริ่มลงมือทำการประหัตประหาร ทรมานให้ได้ รับทุกข์เจ็บปวด
เหมือนเก่า แต่เฝ้าตายเป็นแลเป็นตายอยู่อย่างนี้นานนักหนาจนกว่าจะสิ้น
กรรมที่ทำไว้
ลัตว์นรกบางจำพวก อำนาจกรรมทำให้เขามีนิ้วมือแปลกพิลึก คือ มี
นิ้วมือเป็นอาวุธ เป็นหอก เป็นดาบ เป็นแหลน เป็นหลาว ล้วนแต่คมวาววับ
น่ากลัวนัก ครั้นมาพบเพื่อนสัตว์นรกด้วยกัน แทนที่จะสงสารสามัคคี ก็มีอัน
เป็นสติวิปลาสเกิดเป็นบ้า จำหน้าเพื่อนกันไม่ได้ คล้ายกะโกรธเคืองกันมาแรม
ปี ตรงรี่วิ่งเข้าใส่ ฟันแทงซึ่งกันและกัน ด้วยความฉุนโกรธเป็นวรรคเป็นเวร
ปากก็ร้ องคำรามอยู่แต่ว่า "กูจะฆ่ามึง ๆ" ต่อสู้ กันให้อึงคะนึงเป็นกลุ่ม ๆ ต่างก็มี
โลหิตไหลโซมร างแดงฉาน ประหารกันให ได้รับความเจ็บปวด บางดนก็ล้มลง
ดิ้นพรวดพราด บางตนก็ล้มตายก่ายกองระเนระนาด ร้องครวญครางเพราะ
พิษบาดแผล แลดูน่าสังเวชยิ่งนัก พอมีลมกรรมพัดมา ก็กลับมีชีวิตชีวาเหมือน
อย่างเดิม แล้วก็นริ่มต่อสู้กันไปใหม่ บางทีปะเหมาะ นายนิรยบาลก็เขัาผสม
โรงด้วย คือ ช่วยทุบตี ฟันแทงให้ได้รับความเจ็บปวดหนักเข้าไปอีก เป็นอยู่
อย่างนี้วันแล้ววันเล่า นี่แลความเป็นอยู่ของชาวสัญชีวนรก
อายุ เกณฑ์อายุของสัตว์ในลัญชีวนรกนี้ มีอยู่ ๕๐๐ ปี ซึ่งเทียบกับเวลา
ของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ เก้าล้านปี ของมนุษยโลกเท่ากับวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง
ของเขา ทีนี้อายุของเขาได้ ๕๐๐ ปี ก็จงพิจารณาดูเถิดว่า เท่ากับเวลาของ
มนุษย์เรายาวนานเท่าใด
บุรพกรรม เมี่อครั้งก่อนเขาเป็นมนุษย์ มีจิตไม่บริลุทธิ์ หยาบช้าลามกใจ
สกปรกนัก รักที่จะก่อกรรมทำเข็ญเป็นต้นว่า ทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
เบียดเบียนผู้อื่นให้ได้ รับความทุกเดือดร้อนเป็นเนืองนิตย์ ครั้นสิ้นชีวิตกรรม
จึงนำพาให้มาเกิดในสัญชีวนรกนี้
๒. กาฬสุตตนรก
เหล่าลัตว์ที่มาอุบัติเกิดในขุมนรกนี้ ย่อมถูกลงโทษโดยนายนิรยบาลเอา
ด้ายดำมาตีเป็นเส้นตามร่างกาย แล้วก็เอาเลื่อยมาเลื่อย บางทีก็เอาขวานมาผ่า
หรือเอามีดมาเฉือนกรีดตามเส้นดำที่ตีไว้ไม่ให้ผิดรอยได้ ฉะนั้น นรกขุมนี้จืงมี
ชี่อว่า กาฬสุตตนรก = นรกที่ลงโทษตามเส้นด้ายดำ
ความเป็นอยู่ เหล่าลัตว์ในกาฬสุตตนรกนี้ บางพวกถูกนายนิรยบาลจับ
มัดให้นอนลงเหนือแผ่นเหล็กแดงที่กำลังร้อนแรงด้วยไฟนรก แล้วก็เอาด้ายดำ
ซึ่งทำดัวยเหล็กโตใหญ่เท่าลำตาลมาตีบนร่างของลัตว์นรกนั้น ทำให้เป็นรอย
เส้น แล้วทำการเลื่อยด้วยเลื่อยนรกอันแดงดัวยเปลวไฟ ค่อยเลื่อยไปจน
กายขาดเป็นท่อนๆ สัตว์นรกทนไม่ได้ก็ดิ้นรนกระวนกระวาย บางทีถึงกับทะลึ่ง
ลุกขึ้นพรวดพราด แสดงกิริยาฮึดฮัดทำทtาจะลลัดให หลุด นายนิรยบาลก็บังคับ
จับมัดให้ แน่นเข้าไปอีก แล้วทำการเลื่อยตัดร่างกายสัตว์นรกเหล่านั้นต่อไป
บางพวก พอเห็นนายนิรยบาลถือศาลตราอาวุธสำหรับเลื่อยลำหรับตัด
ร่างกายของตนเดินมาแต่ไกล ก็ใหัครั่นคร้ามขามขยาดมิอาจจข ัยืนอยู่กับที่
พากันวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ขุนนรกนายนิรยบาลเห็นดังนั้น ก็พลันตวาดดังลั่น
เลียงสนั่นก้องทั่วทั้งนรก ก็เลยทำใหัยิ่งตกใจกลัวสุดขีด วิ่งเผ่นหนีอุตลุด กู
เหยียบเอ็ง เอ็งเหยียบกู ดูน่าสังเวชหนักหนา คราทีนั้น ด้วยอำนาจอกุศล
กรรมบันดาลเป็นให้ มีแผ่นกระดานเหล็กอันคมกริบ และรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ
มีเสียงน่ากลัวเหมือนฟ้าผ่า แล่นมาผ่าตัดร่างกายของสัตว์นรกทั้งหลายให้
ขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ กลิ้งเกลื่อนกลาดไปในที่นั่นเอง้เขาเฝ้าเสวยทุกข์
โทษอันร้ายกาจเห็นปานฉะนี้อยู่เป็นเวลานานปีนักหนา จนกว่าจะหมด
อกุศลกรรมความชั่วร้ายที่ตนทำไว้แล้ว จึงไปเกิดในภูมิอื่นตามยถากรรม
อายุ เกณฑ์อายุของสัตว์ในกาฬลุดตนรกนี้ ๑,๐๐๐ ปี เทียบกับเวลาของ
มนุษยโลกดังนี้ คือ สามโกฏิกับหกล้านปี ของมนุษยโลก จึงเป็นวันหนึ่งกับคืน
หนึ่งของกาฬสุตตนรก ที่นี้อายุของเขา ๑,000 ปี ก็างพิจารณาดูเถิดว่า เท่ากับ
เวลาของมนุษยโลกยาวนานเท่าใด
บุรพกรรม เมื่อก่อนครั้งที่ยังเป็นมนุษย์ มีใจบาปหยาบช้า จับเอาสัตว์
สี่เท้ามาแล้วก็ตัดเท้าหน้า เท้าหลัง หู จมูก ปาก ทำสัตว์ให้ ลำบากเสวยทุกข์
มิฉะนั้นก็จุดไฟเผาป่า ด้วยเจตนาจะให้สัตว์ป่าล้มตาย หรือมิฉะนั้นก็เคย
ประทุษร้ายต่อบิดามารดาครูบาอาจารย์ผู้ มีพระคุณ อกุศลกรรมเหล่านี้มีกำลัง
แรงกล้าจึงพาให้ มาบังเกิดในกาฬสุตตนรกนี้
๓. สังฆาฏนรก
เหล่าสัตว์ที่เกิดในนรกขุมนี้ ย่อมถูกภูเขาเหล็กบดขยี้ร่างกายให้ได้ รับ
ทุกขเวทนาอยู่ตลอดเวลาไม่ว่างเว้น ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงชื่อว่า สังฆาฏนรก =
นรกบดขยี้ลัตว์
ความเป็นอยู่ เหล่าลัตว์ที่ไปเกิดอยู่ในนรกขุมนี้ มีร่างกายวิกลวิการต่าง ๆ
กัน รูปร่างแปลกพิลึก บางตนมีหน้าเป็นควาย มีตัวเป็นมนุษย์ บางตนส่วน
หน้าเป็นมนุษย์ แต่ร่างกายกลับเป็นกุญชร บางตนบางสัตว์มีหน้าเป็นมนุษย์
แต่ร่างกายเป็นสัตว์เดียรัจฉานหลายอย่างหลายชนิด และบางตนมีหน้าเป็นเสือ
เป็นกวาง เป็นม้า เป็นวัว เป็นลา เป็นหมู เป็นหมา เป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นกา ฯลฯ
แต่ร่างกายเป็นมนุษย์ อย่างนี้มีอยู่หลายหลากนานาประการ สุดจะนับจะ
ประมาณได้ นายนิรยบาลผูกมัดสัตว์นรกร่างประหลาดต่างๆ เหล่านั้นไว้ที่คอ
รวมกันเป็นพวง ๆ ด้วยโซ่เหล็กร อนระอุ แล้วฉุดกระชากลากมาให้นอนเหนือ
แผ่นเหล็กที่ร้อนกล้า แล้วก็เอาค้อนเหล็กเข่นกระหน่ำลงไปเต็มกำลังเรี่ยวแรง
ของนิรยบาลผู้ทรงพลัง ร่างกายของสัดว์นรกก็แตกป่นถึงกระดูก ครั้นต้อง
ลมกรรมที่พัดมา ก็กลับเป็นปกติธรรมดาให้ นายนิรยบาล มีโอกาลทุบตี กระหน่ำ
ซ้ำต่อไปอีกไม่หยุดยั้ง
บางพวกก็ถูกนายนิรยบาลจับมัดมาแล้วให้นอนหงายลงบนถ่านอันร้อนระอุ
สัตว์นรกก็เร่าร อนดิ้นรนไปมา เสวยทุกขเวทนาสิ้นกาลนาน เพราะถูกเผา
ลนอย่างร้ายกาจหนักหนา
บางที นายนิรยบาลผู้ มีดวงหน้าอันขมึงทึง มีมือถือศาลตราวุธเที่ยวเดินไป
ครั้นเห็นสัตว์นรกทั้งหลายก็พลันยกขึ้นซึ่งอาวุธ แล้วก็คำรนคำรามดัวยเสียง
ก้องมหานรกว่า "กูจะฆ่ามึงๆ" สัตว์นรกได้ ฟังก็หวาดกลัวจับขั้วหัวใจ วิ่งหนีไป
อย่างไม่คิดชีวิต ทีนั้น ด้วยอำนาจกรรมบันดาลให้เป็นไป เกิดเป็นกองไฟขึ้น
ขวางหน้ากันไว้ สัดว์นรกก็ไปไม่ได้ พอหนีกลับมาก็เกิดไฟดักหน้าเข้าอีกกอง
หนึ่ง ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน ให้ ปรากฏมี กองไฟรอบตัวไปหมด เผาสัตว์
นรกให้ได้ทุกขเวทนาแสนสาหัส อันว่าไฟนรกนี้ อย่าพึ่งเข้าใจว่าเหมือนไฟใน
โลกมนุษย์ เพราะมันมีความร้อนแรงกว่าไฟธรรมดาหลายเท่านัก ถึงจะถูก
ไฟนรกเผาอย่างนี้ สัตว์นรกทั้งหลายก็หาตายง่าย ๆ ไม่ คราทีนั้น ก็มีภูเขา
เหล็ก ๒ ลูก กลิ้งมาบีบสัดว์นรกให้ แหลกลาญ ละเอียดไม่มีชิ้นดี เปรียบดั่ง
เครื่องหีบอ้อยที่บดอ้อยให้ แหลกละเอียดนั่นทีเดียว
บางทีนายนิรยบาลก จับสัตว์นรกเหล่านี้ มาฝังลงในพื้นแผ่นเหล็กลึกแค่
บั้นเอว ตรึงตราไว้มั่น ไม่ให้ หวั่นไหวได้ ในไม่ช้าจึงมีภูเขาไฟรุ่งเรืองด้วย
เปลวไฟ ค่อยกลิ้งมาบดขยี้ทับสัตว์นรกเหล่านั้นให้ได้ รับทุกขเวทนา แตก
ละเอียดไป พอมีลมกรรมพัดมาก็กลับเป็นขึ้นมาอีก ภูเขาเหล็กนรกนั่นก็
ค่อยๆ กลิ้งมาทับ บดขยี้ให้ ถึงความป่นปี้ทุกขเวทนาอีก เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำซาก
ไม่หยุดหย่อนเลย ตลอดเวลาที่อยู่ในสังฆาฏนรกนี้
อายุ เกณฑ์อายุของของสัตว์ในสังฆาฏนรกนี้ ๒, ๐๐๐ ปี เทียบกับเวลา
ของมนุษยโลกดังนี้ คือ สิบสี่โกฎิกับห้าล้านปีของมนุษยโลก จึงเป็นวันหนึ่งกับ
คืนหนึ่งของสังฆฏนรกโลก ทีนี้ อายุของเขาเหล่านั้น ๒, ๐๐๐ ปี ก็จงพิจารณา
ดูเถิดว่า เท่ากับเวลาของมนุษยโลกยาวนานเท่าใด
บุรพกรรม เมื่อก่อนเป็นผู้มีใจบาปหยาบช้า มากด้วยอกุศลกรรม ไร้
ความเมตตากรุณา ทำการทารุณกรรมสัตว์ เช่น ฆ่าสัดว์เบียดเบียนสัตว์เป็น
ประจำ ผลของกรรมชั่วจึงดลบันดาลให้ มาเกิดในนรกขุมนี้
๔. โรรุวนรก
เหล่าลัตว์ที่มาอุบัติในนรกขุมนี้ เป็นสัตว์ที่ได้รับทุกข์โทษแสนสาหัส ต้อง
ร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะว่า ในนรกขุมนี้ เต็มไปด้วยเสียงร้องระงม
เสียงร้องครวญครางอย่างน่าเวทนายิ่งนัก ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงชื่อ โรรุวนรก =
นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้
ความเป็นอยู่ ในนรกขุมนี้ มีดอกบัวเหล็กเต็มพืดไปหมด แต่ ละดอกก็มี
สัตว์นรกเสวยทุกขเวทนาอยู่ในนั้น วิธีเสวยทุกข์ก็แปลกประหลาด คือ นอน
คว่ำอยู่ กลางดอกบัวศีรษะมิดเข้าไปในดอกบัวแค่คาง ส่วนทางปลายเท้าก็จมมิด
เข้าไปในดอกบัวเหล็กแค่ข้อเท้า มือกางจมมิดเข้าไปในดอกบัวเหล็กแค่ข้อมือ
นอนคว่ำหน้าอยู่ด้วยอาการอันพิลึกพิลั่นเช่นนั้นแล้ว เปลวไฟก็ปรากฏขึ้น
เผาไหม้ดอกบัวเหล็กพร้อมกับสัตว์นรกเหล่านั้น เปลวไฟแลบเข้าหูขวาทะลุ
หูซ้าย เข้าปาก ตา จมูก สัตว์นรกก็ไดัแต่ร้องครางเสียงสนั่นหวั่นไหว จะตายก็
ไม่ตาย มีกายลำบากแสนสาหัส เสวยทุกขเวทนาตลอดเวลาที่ยังอยู่ในโรรุวนรก
อายุ เกณฑ์อายุของลัตว์ในโรรุวนรกนี้ ๔, ๐๐๐ ปี เทียบกับเวลาของ
มนุษย์โลกดังนี้ คือ ยี่สิบสามโกฏิกับสี่ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของ
โรรุวนรกโลก ทีนี้อายุของเขาเหล่านั้น ๔, ๐๐๐ ปี ก็จงพิจารณาดูเถิดว่า เท่า
กับเวลาของมนุษยโลกยาวนานเท่าใด
บุรพกรรม ชาติก่อนเป็นมนุษย์ใจบาปหยาบช้า จับเอาสัดว์เป็นๆ มาเผา
ไฟหรือปิ้งให้สุกแล้วกินเป็นอาหารอยู่เนืองนิตย์
บางตนเคยเป็นตุลาการ พิพากษาความไม่ยุติธรรมด้วยอำนาจ ฉันทาคติ
โทลาคติ ภยาคติ โมหาคติ เห็นแก่สินจ้าง สินบน เข้าข้างโจทก์บ้าง เข้าข้าง
จำเลบ้างที่ชนะให้แพ้ ที่แพ้ก็ให้เป็นชนะ ไม่ตัดสินไปตามความเป็นจริง
ประกอบด้วยเจตนาอันชั่ว ตัวตายแล้วจึงมาเกิดในนรกขุมนี้
บางตนเคยเป็นบุคคลมีโลภเจตนา รุกที่บัานและเรือกสวนไร่นาของผู้อื่น
เอามาเป็นของตน บางคนเคยคบหาภรรยาของผู้อื่น แล้วก็ฆ่าผัวให้ตายเสีย
เอาเมียเขามา ลัดว์นรกบางดนเคยเป็นหญิงใจไม่ดีมีสามีแล้วกลับมีชู้ แล้วให้ชู้
ฆ่าผัวตัวให้ตาย
บางตนเคยฉ้อโกงหรือเบียดบังทรัพย์สมบัติที่คนเขาอุทิศถวายพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ และเจดีย์วิหาร เอามาเป็นของตน ครั้นตายแล้วจึงมาตก
นรกขุมนี้

๕. มหาโรรุวนรก
เหล่าสัตว์ที่มาอุบัติในนรกขุมนี้ ได้รับทุกข์ทรมานมากมาย ต้องร้องไห้
เสียงระงมไปทั่วทั้งนรก เพราะว่านรกขุมนี้ เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญูครางของ
สัตว์นรกทั้งหลายมากยิ่งนัก มากกว่านรกขุมที่ ๔ ที่กล่าวมาแล้ว และการ
เสวยทุกข์โทษก็มากกว่ากัน ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงได้ ชื่อว่า มหาโรรุวนรก =
นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญครางมากมาย
ความเป็นอยู่ สัตว์ผู้ไปเกิดในนรกขุมนี้ ต้องเสวยทุกขเวทนาดูน่ากลัวนัก
ต้องเข้าไปยืนในดอกบัวเหล็กซึ่งกลีบแต่ละกลีบคมเป็นกรด มิหนำซ้ำยัง
ร้อนแรงแดงฉานไปด้วยไฟนรกลุกโพลงในดอกบัวอยู่เนืองนิตย์ เผาไหม้ลัตว์
นรกซึ่งอยู่ในดอกบัวนั้ นตังแต่พื้นเท้าตลอดศีรษะ เปลวไฟแลบเข้าไปในทวาร
ทั้ง ๙ เผาไหม้ทั้งขัางในข้างนอก เพราะมีเปลวไฟร อนแรงร้ายกาจเช่นนี้ ท่าน
จึงเรียกชื่อนรกขุมนี้ อีกอย่างหนึ่งว่า ชาลโรรุวขะ = นรกที่เต็มไปด้วยเลียงร้อง
ครวญครางเพราะเปลวไฟ
สัตว์นรกทั้งหลายได้เสวยทุกข์โทษอย่างนี้ ก็ได้แต่กระวนกระวายด้วย
ความร้อนเข้าจับจิตจับใจ จข ัตายก็ไม่ตาย ถูกไฟเผาในดอกบัวด้วยอาการที่น่า
กลัวอย่างนั้นแล้วยังไม่พอ เพราะยังมีนายนิรยบาลถือกระบองเหล็กอันมีไฟ
ลุกโชนตีกระหน่ำบนศีรษะซ้ำเข้าไปอีกจนแตกยับ ถึงอย่างนั้นก็หาตายลงง่ายๆ
ไม่ เพราะอำนาจกรรมทำให้มีชีวิตได้ รับทุกข์ต่อไป กรรมยังไม่สิ้นเพียงใด ก็
ต้องทนทุกข์เลวยโทษอยู่ในนรกเพียงนั้น
อายุ เกณฑ์อายุของลัดว์ในมหาโรรุวนรกนี้ ๘, ๐๐๐ ปี เทียบกับเวลาของ
มนุษยโลกดังนี้ คือ เก้าร้อยสิบเอ็ดโกฏิหกล้านปี เป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของ
มหาโรรุวนรก ทีนี้อายุของเขา ๘, ๐๐๐ ปี ก็จงพิจารณาดูเถิดว่า จะเท่ากับเวลา
ของมนุษยโลกยาวนานเท่าใด
บุรพกรรม เมื่อก่อนเป็นมนุษย์ใจบาปหยาบช้า ลามกสกรกด้วยอกุศล
กรรม ใจโหดร้าย ตัดศีรษะลัตว์และมนุษย์ ล่วงปาณาติบาตกรรมด้วยอำนาจ
ของความโกรธ ทำโจรกรรม ทำชั่วดวยความอาฆาต ปล้นขโมยสิ่งของพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ของพ่อแม่ ของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ และของท่านผู้ทรง
ศีล ครั้น แตกกายทำลายขันธ์ จึงต้องมาเกิดทนทุกข์เสวยโทษอยู่ในนรกขุมนี้
๖. ตาปนนรก
เหล่าสัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ต้องได้รับทุกข์โทษเร่าร้อน เพราะเป็น
นรกที่ทำให้สัตว์ผู้เกิดในสถานที่นี้ ต้องเร่าร้อนอย่างน่าสงสาร ฉะนั้นนรกขุมนี้
จึงชื่อว่า ตาปนนรก = นรกทำให้สัตว์เร่าร้อน
ความเป็นอยู่ ในนรกขุมนี้ มีหลาวเหล็กใหญ่โตเท่าต้นตาล รุ่งโรจน์
โชตนาการแดงฉานด้วยเปลวไฟ จำนวนประมาณหลายหมื่นแสนแน่นเต็มนรก
ไปหมด หลาวเหล็กแต่ละอันๆ นั้น มีสัตว์นรกเลียบอยู่บนปลายหลาว มีเปลว
ไฟพุ่งขึ้นภายใต้หลาวเหล็ก ไหม้เผาผลาญสังหารลัตว์นรกทั่งหลายอยู่เป็นนิจ
นิรันดร์ ทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อหนังมังสาของสัตว์นรกทั้งหลาย
จะเหลือเป็นชิ้นดีอย่างไรได้เล่า ก็มีแต่จะไหม้ สุกพองอยู่เหนือปลายหลาวเหล็ก
มีอุปมาดังเนื้อเสียบไม้ ปิ้งให้ ลุกบนถ่านไฟ สัตว์นรกทังหลายนั้นต้องเสวยทุกข์
เวทนาดิ้นไปดิ้นมา จนกระทั่งเนื้อหนังลุกพองไปด้วยอำนาจไฟนรก ครั้นเนื้อสุก
เสร็จทั่วตัวแล้ว ก็มีหมานรกรูปร่างแปลกประหลาดขนาดความใหญ่เท่าช้างสาร
ร้องอุโฆษณาการเลียงกึกก้องดังฟ้าร้องด้วยความหิวกระหาย กระเหี ยน-
กระหือรือวิ่งเข้ามากระโหย่งเท้าหน้าเอาปากงับ กระชากลากสัตว์นรกทังหลาย
ลงมาจากหลาวเหล็ก แล้วฉีกเนื้อเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย กินเนื้อหนังบังลาจน
หมดสิ้น เหลือแต่กระดูก กรรมยังไม่สิ้นตราบใด พอลมกรรมพัดมา ก็กลับมี
ร่างกายเป็นปกติขึ้นมาตามเดิม นายนิรยบาลก็ไล่บังคับให้ ขึ้นไปบนปลาย
หลาวเหล็ก ย่างตนเองให้ลุกพองเหมือนอย่างเก่า ครั้นถูกบังคับอย่างนี้เข้า
สัตว์นรกจะไม่ทำดามคำลั่งของนายนิรยบาลเป็นไม่มีเลย เพราะความจริง
สัตว์นรกทั้งหลายย่อมมีจิตใจเกรงกลัวด่อนายนิรยบาลยิ่งนัก ดุจหมู่มฤค
เกรงกลัวต่อพยัคฆ์และสีหราชฉะนั้นเป็นอันว่าสัตว์นรกทั้งหลายต้องขึ้นไป
บนปลายหลาวเหล็กย่างตนเองให้สุกพอง แล้วถูกหมานรกฉีกเนื้อกินอย่างนี
ตลอดเวลาที่เลวยทุกข์ในนรกขุมนี้
อายุ เกณฑ์อายุของลัตว์ในตาปนนรกนี้ ๑๖, ๐๐๐ ปี เทียบกับเวลาของ
มนุษยโลกดังนี้ คือ หนื่งพันแปดร้อยสี่สิบสองโกฏิ กับ สิบสองล้านปี เป็นวัน
และคืนหนึ่งของตาปนนรก ทีนี้ อายุของเขา ๑๖, ๐๐๐ ปี ก็จงคำนวณพิจารณาดู
เถิดว่า จะเท่ากับเวลาของมนุษยโลกนานเท่าใด
บุรพกรรม เมื่อก่อนเป็นมนุษย์เป์นคนใจบาป อาศัยอกุศลมูลทั้ง ๓ คือ
โลภมูล โทลมูล โมหมูล ประกอบกรรมทำเขี่ญ เช่น เป็นนายพราน ประหาร
สัตว์ทั้งหลาย ทิ่มแทงให้ตายด้วยหอกแหลนหลาว เอาเนื้อมารับประทานหรือ
ขายเลี้ยงชีวิตตนและครอบครัว เห็นแต่จะกิน เห็นแต่จะได้ มิได้ละอายต่อบาป
ทำกรรมชั่วร้ายตัวตายแล้ว จึงต้องมาทนทุกขเวทนาอยู่ในนรกขุมนี้
๗. มหาตาปนนรก
เหล่าลัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ต้องได้รับทุกข์โทษร้อนเร่าร้อนเป็นที่สุด
เพราะเป็นนรกที่มีแต่ความเร่าร้อนเป็นที่สุด สัตว์ที่อยู่ในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับ
ความเร่าร้อนเหลือ ประมาณ ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า มหาตาปนนรก = นรก
ที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนเหลือประมาณ
ความเป็นอยู่ ในนรกขุมนี้แลดูน่ากลัวนักหนา ทั้งลึก ทั้งกว้าง มีกำแพงเหล็ก
ลุกเป็นไฟ ภายในกำแพงอันกว้างขวางใหญ่โตนั้น มีภูเขาเหล็กลุกเป็นไฟตั้ง
อยู่เป็นลูก ๆ ตามพื้นข้างภูเขามีขวากเหล็กแหลมคม ปักเรียงรายอยู่เหนือพื้น
เหล็ก ลุกแดงดัวยไฟมากมายนักหนา คราทีนั้นนายนิรยบาลมีมือถืออาวุธ
หอกดาบแหลนหลาวลุกแดงด้วยแสงไฟ ไล่ทิ่มแทงสัตว์นรกทั้งหลายให้ขึ้นไป
บนภูเขาไฟแดงฉาน ลัตว์นรกทั้งหลายตกใจกลัวนายนิรยบาล ก็พากันวิ่งไป
บนยอดเขานรก ต่อจากนั้นก็มีลมกรดอันร้อนแรงคมกล้าพัดมาด้วยกำลังลม
นรก ทำให้สัตว์พลัดตกลงมาจากยอดเขา ตกลงมาถูกขวากหนามนรกร้อนแรง
ซึ่งมีอยู่ในเบื้องล่าง เสียบร่างกายทะลเลือดแดงฉาน เป็นการทรมานที่ดูน่า
ทุเรศยิ่งนัก บางตนตกลงมาถูกขวากเสียบข้างซ้ายทะลุข้างขวา เสียบข้างหน้า
ทะลุหลัง เสียบหัวทะลุกลางตัว ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความหวาดเสียว
เจ็บปวดยิ่งนัก ถูกไหม้เผาทรมานอยู่อย่างนี้ ตลอดเวลาที่ กรรมชั่วยังไม่สื้น ก็
ไม่มีวันจะได้ หยุดหย่อนเลย
อายุ เกณฑ์อายุของสัตว์ในมหาตาปนนรกโลกนี้ มีจำนวนประมาณครึ่ง
อันตรกัป (เรื่องอันตรกัปนี้ จักมีอธิบายข้างหน้า)
บุรพกรรม เมื่อก่อนเป็นมนุษย์มีใจบาป หนาไปด้วยอกุศลมลทินโทษยิ่ง
กว่าพวกที่ ตกนรกขุมที่ ๖ คือ ตาปนนรก เช่นประหารคน ประหารสัตว์ให้ตาย
เป็นหมู่มาก ๆ ไม่คำนึงชีวิตเขาชีวิตท่าน ครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ด้วย
อำนาจอกุศลจึงนำตนให้มาตกอยูในนรกขุมนี้
๘. อเวจีนรก
มหานรกขุมสุดท้ายมีชื่อว่า อเวจีนรก ซื่งแปลว่า นรกปราศจากคลื่น คือ
ระหว่างเปลวไฟและความทุกข์ไม่มีว่างแม้ลักนิดเดียวเลย ในนรกนั้นปราศจาก
การหยุดพัก บันดาลให้สัตว์นรกไดัรับทุกขทรมานไม่มีสร่าง ไม่มีหยุด ฉะนั้น จึง
ชื่อว่า อวจีนรก = นรกที่ปราศจากความบางเบาแห่งทุกข์
ความเป็นอยู่นรกขุมนี้ เป็นนรกขุมใหญ่กว่าบรรดานรกทั้งหลาย ดูน่ากลัว
น่าสยดสยองยิ่งนัก แลเห็นเป็นราวกะว่าเมืองใหญ่ ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็ก
ที่รุ่งโรจน์โชตนาการด้วยเปลวไฟ ภายในมีเปลวไฟร้อนระอุไหมัสัตว์นรกอยู่
เนืองนิตย์ ทั้งกลางวันกลางคืนไม่มี ว่างเว้นเลย สัตว์ที่ไปเกิดอยู่ในมหานรก
อเวจีนี้ มีมากกว่าในนรกขุม อื่น แออัดยัดเยียดเบียดเสียดกันอยู่ และการเสวย
ทุกข์โทษในนรกขุมนี้ ก็แตกต่างกันไปหลายอิริยาบถหลายท่าหลายทาง เช่น
ถ้าเคยยืนทำบาปไว้ก็ต้องมายืนทนทุกข์อยู่ เคยเดินท่าบาปไว้ ก็ต้องมาเดิน
ทนทุกข์อยู่ เคยนั่งเคยนอนทำบาปไว้ ก็ต้องมานั่งมานอนเสวยทุกข์อยู่ใน
มหานรกอเวจีนี้ รวมความว่า เคยทำบาปทำภรรมอะไรไว้ ด้วยอาการอย่างไร
ก็ต้องมาเสวยทุกข์อยู่ในนี้ดัวยลักษณาการเช่นนั้น
อายุ เกณฑ์อายุของลัตว์ที่เกิดในอเวจีนรกโลกนี้ มีประมาณหนึ่งอันตรกัป
บุรพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ไดัทำอนันตริยกรรม ซึ่งได้แก่กรรมอย่างหนัก
อย่างยิ่ง ๕ ประการ คือ
๑ ฆ่ามารดาของตัวให้ ตายเองหรือใช้ให้ คนอื่นฆ่า
๒ ฆ่าบิดาของตัวให้ ตายเองหรือใช้ให้ คนอื่นฆ่า
๓ ฆ่าพรัอรหันต์ใหัตายเองหรือใช้ให้คนอื่นฆ่า
๔ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต
๕ ทำสังฆเภท คือ ยุยงให้สงฆ์แตกกัน
ทำอนันตริยกรรม ๕ ประการนี้ แต่อย่างใดอย่างหนึ่ ง ครั้นแตกกายทำลายขันธ์
จึงต้องมาเสวยทุกข์อยู่ในนรกขุมนี้ยกตัวอย่างเช่นพระเทวทัตผู้ต้อง
อนันตริยกรรมครั้งพุทธกาล ซึ่งเรื่องของท่านปรากฏมีในพระธรรมบทคัมภีร์
ดังต่อไปนี้
พระเทวทัต
พระเทวทัตนี้ เราท่านย่อมทราบกันดีว่า ท่านเป็นคู่เวรคู่อาฆาตกับองค์
สมเด็จพระสัมมาลัมพุทธเจ้า ครั้ งมีชีวิตอยู่ทั้ง ๆ ที่บวชเป็นพระภิกษุในสำนัก
ของพระพุทธองค์ ด้วยความหลงผิด จึงได้ก่อกรรมชั่วนานาประการถึงขั้น
อนันตริยกรรม คือ กลิ้งหินลงมาจากยอดเขา หวังจะให้ทับสมเด็จพระผู้มี-
พระภาคเจ้าให้สิ้นพระชนมชีพ แต่ด้วยพระพุทธานภาพ พระองค์ก็หาสิ้น
พระชนม์ไม่ เพียงแค่สะเก็ดหินมากระทบพระบาททำให้ห้อพระโลหิตเท่านั้น ที่
เป็นเพียงแค่นี้ ก็เพราะว่าพระวรกายขององค์พระพุทธเจ้าเป็น อเภทกาย คือ
เป็นพระวรกายที่ใครจะทำร้ายให้แตกสลายไปไม่ได้ ถึงกระนั้นกรรมของ
พระเทวทัต ก็ถึงขั้นอนันตริยกรรม นำให้มาเกิดในอเวจีมหานรกนี้ ได้แล้ว
ฉะนั้น พอท่านดับจิตตาย ก็ตรงดิ่งมาสถานที่นี่ เกิดเป็นกายลัตว์นรกอเวจี
สูงยอดเยี่ยมได้๓๐๐โยชน์ ยืนนิ่งไม่ไหวติงเสวยทุกข์อยู่ใน้ห้องสี่เหลี่ยม
ศีรษะทะลุเข้าไปในเพดานแค่หู ฝ่ายข้างเท้าก็จมลึกเข้าไปในพื้นเหล็กแค่ข้อเท้า
มีหลาวเหล็กเท่าต้นตาลขนาดใหญ่ แทงจากข างหลังทะลุข้างหน้า โดยที่ปลาย
เหล็กทั้งสองข้างติดอยู่ข้างฝา แล้วยังมีหลาวเหล็กอีกอันหนึ่ง แทงสีข้างขวา
ทะลุลีข้างซ้าย โดยที่ปลายหลาวทั้งสองข้างติดอยู่ที่ฝาเช่นเดียวกัน นอกจากนั้น
ยังมีหลาวเหล็กอีกอันหนึ่ง เลียบตั้งแต่ศีรษะทะลุลงมากลางลำตัว โดยที่ปลาย
เหล็กข้างหนึ่งติดอยู่บนเพดาน อีกข้างหนึ่งจดพื้น พระเทวทัตถูกเหล็ก ๓ อัน
ตรึงให้ยืนนิ่งไม่ไหวติงเช่นนี้ ก็เพราะท่านได้ กระทำความ.ผิดต่อพระพุทธองค์ผู้
ไม่ทรงหวั่นไหวในโลกธรรมทั้งมวล ซึ่งนับเป็นความผิดขั้นอุกฤษฏ์ นอกจาก
จะถูกตรึงด้วยหลาวเหล็กดังกล่าวแล้ว ยังต้องถูกไฟนรกไหม้ทั้ง ๆ ที่ถูกตรึง
อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา แม้จนขณะนี้ยังเสวยทุกข์โทษอยู่เช่นนั้น ณ อเวจีมหา
นรกเพราะอนันตริยกรรมนี้ใครทำเข้า ผู้นั้นย่อมเป็นนิยโตบุคคล เที่ยงแท้ที่
จะต้องไปตกในมหานรกอเวจี
อนึ่ง เมื่อเป็นมนุษย์ได้ เคยทำครุกรรม คือ กรรมหยาบช้า เช่น บุตรธิดา
ทุบตีประหารบิดามารดา แต่ท่านยังไม่ตาย ต่อมาภายหลังจึงตายด้วยโรคที่ถูก
ทุบตีนั้น เช่นนี้ก็จัดเป็นครุกรรมหรือมิฉะนั้น บุคคลที่ประหารทุบตีพระอรหันต์
ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ก็อาจนำให้ไปเกิดในอเวจีมหานรกนี้ได้ เพราะเป็น
ครุกรรม ยกตัวอย่าง เช่น นันทยักษ์ผู้มีจิตโมหันธ์ ล่วงอนันตริยกรรม แล้วไป
เกิดในมหานรกอเวจี ปรากฏตามเรื่องดังต่อไปนี
นันทยักษ์
นันทยักษ์ตนนี้ เพื่อนมีกระบองวิเศษประจำตัว คืนหนึ่งเป็น
วันเพ็ญเดือนหงายแจ่มกระจ่างฟ้า นันทยักษ์เหาะล่องลอยมาบนนภากาศ
พร้อมกับสหายตนหนึ่ง ขณะที่กำลังเดินทางมาโดยนภากาศเบื้องบนอย่าง
สำราญใจนั้น สายตาเหลือบลงมาข้างล่าง แลเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังนั่งนิ่ง
ศีรษะมีรัศมีเป็นมันละเลื่อมรับกับแสงจันทร์วันเพ็ย เพราะเพิ่งปลงผมใหม่ ๆ
นันทยักษ์เกิดความคิดวิตถารด้วยความคึกคะนองใจ ใคร่จะลองกระบองอัน
เรืองฤทธิ์ของตนให้เพื่อนชม แม้เพื่อนจะห้ามปรามก็ไม่เชื่อฟัง เหาะ
ลอย ละลิ่วลงมาพอไดัระดับ ได้ท่าถนัดดีแล้วก็หวดกระบองวิเศษลงไปบนศีรษะ
ของ พระภิกษุรูปนั้นสุดแรงเกิด คราทีนั้นด้วยอำนาจครุกรรมอันแรงกล้า
นันทยักษ์ก็ถูกธรณีสูบ ขาดใจตายลงไปเกิดในอเวจีมหานรกนี้ เพราะกรรมที่
ตนทำด้วยความคึกคะนองใจนั้นเป็นกรรมหนักมาก โดยที่ตนหาทราบไม่ว่า
พระภิกษุรูปนั้น คือ พระสารีบุตรมหาเถระองค์อัครสาวกผู้ทรงพระคุณอัน
ประเสริฐท่านกำลังเข้านิโรธสมาบัติ ซึ่งตามธรรมดา ท่านเป็นพระอรหันต์ ใคร
ทำร้ายก็ มีโทษหนักอยู่แล้ว ยิ่งท่านกำลังเขัานิโรธสมาบัติใครประทุษร ายก็ยิ่ง
มีโทษหนักขึ้น แท้จริงพระอริยเจ้าผู้ เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งกำลังเขัา
นิโรธสมาบัติอยู่นั้น แม้ใครจะฟันด้วยดาบจะแทงด้วยหอกด้วยหลาว หรือยิง
ด้วยปืนด้วยธนู และจะทำร้ายด้วยศาลตราวุธใด ๆ ก็ดี สรีระอินทรีย์จะได้ทำลาย
แตกพังไปก็หามิได้ และจะได้ รับความเจ็บปวดร่างกาย มาตรว่าเล็กน้อยเพียง
เส้นโลมาก็หามิได้ เลย แต่ถ้าใครประทุษร้ายในขณะนั้นย่อมมีโทษมาก ไม่ว่า
ผู้ทำร้ายจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม มีตัวอย่างเช่น กาพาลสัตว์เดียรัจฉาน ตาม
เรื่องที่ปรากฏมีในพระคัมภีร์ทางพุทธศาลนา ดังต่อไปนี้
กาพาล
ยังมีนางภิกษุณีรูปหนึ่งทรงคุณประเสริฐเป็นพระอรหันด์ขีณาสพ อยู่มา
วันหนึ่งท่านหลีกเร้นออกจากหมู่เข้าไปในป่า เห็นต้นไม้ ใหญ่ต้นหนึ่งมีกิ่งก้าน
สาขาใบดกหนาร่มรื่นดี จึงเข้าไปนั่งเข้านิโรธสมาบัติภายใต้ต้นไม้นั้น ตามวิสัย
ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย กาตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่ที่กิ่งไม้เบื้องบน แลลงมา
ข้างล่างเห็นภิกษุณีนั้นนั่งนิ่ง ก็เกิดความคิดสกปรกขึ้นมาว่า เราจักแกล้งถ่าย
อุจจาระรดศีรษะของคนคนนี้ แล้วพยายามถ่ายอุจจาระก้อนแล้วก้อนเล่า
จนถูกศีรษะของท่านจนได้ พออุจจาระของกาถูกศีรษะ บังเอิญท่านออกจาก
นิโรธสมาบัติพอดี จึงแหงนขึ้นไปดูก็รู้ ว่า "กาตัวนี้แกล้งถ่ายอุจจาระรดศีรษะ
เรา" คิดแล้วท่านก็ลุกขึ้นเดินจากไป พอท่านไปคล้อยหลังเท่านั้น กาโง่ตัวคิด
วิตถาร ก็มีอันตกลงมาขาดใจตายไปเกิดในอเวจีมหานรกทันที ที่กล่าวมานี้
เพื่อแสดงว่าบาปกรรมที่ทำแก่พระอรหันต์ผู้กำลังเข้านิโรธสมาบัตินั้น มีผล
รุนแรงร้ายกาจเพียงไร
ลำดับนี้จักกล่าวถึงบุรพกรรมของสัตว์ในอเวจีมหานรกต่อไป ผู้ที่ประกอบ
กรรมทำชั่วร้ายอันเป็นครุกรรมคือกรรมที่หนัก ซึ่งได้ แก่ ผู้ ที่ลักขโมยหรือ
ปล้นของสงฆ์ ของเจดีย์ ของพระพุทธ ทำลายโบสถ์วิหาร ศาลา กุฏิที่อยู่ของ
สงฆ์ ทุบตีผู้มีศีล ปู่ย่าตายาย พูดล่อเสียดยุยงให้สงฆ์วิวาทกัน บุกรุกที่นา ที่ไร่
สวน ที่บ้านของผู้อื่นเอามาเป็นของตน ฆ่าผู้มีศีล ฆ่าสัตว์ใหญ่ ติเตียน ด่าว่า
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตีด่าท่านผู้มีคุณ คือพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ เหล่า
นี้จัดเป็นครุกรรม โทษถึงตกนรกอเวจี แต่ว่าไม่เที่ยงแท้ เหมือนอนันตริยกรรม
อนึ่ง ผู้ ที่แสดงตนเป็นทายก เที่ยวเรี่ยไรบอกบุญ หลอกเอาทรัพย์เขามาว่า
จะทำกุศล แต่ไม่ทำ ไม่สร้าง กลับเอามาแบ่งปันกันเลี้ยงตน เลี้ยงบุตรภรรยา
มีโลภเจตนาคิดแต่จะได้ บาปกรรมเหล่านี้ก็จัดเป็นครุกรรม นำให้มาเกิดใน
อเวจีมหานรกนี้ได้
อนึ่ง คนโฉดเขลาใจเบามีโทสะ ประพฤติตนเป็นโจรเป็นเสือ คอยปล้น
ทรัพย์ผู้อื่นเอามาเลี ยงชีวิต ทำทุจริตผิดศีลธรรม เพราะใจชั่วช้าลามก เป็นคน
รกโลก อย่างนี้ก็จัดเป็นครุกรรม ทำให้มาเกิดในอเวจีน เช่นเดียวกัน
นอกจากนั้น ยังมีกรรมอีกประเภทหนึ่ง คืออาจิณกรรมหรือบาปกรรม
ที่ทำอยู่เนืองนิตย์ก็อาจผลิตผลส่งให้คนทำลงมาเกิดในอเวจีมหานรกได้
เช่นอย่างไร? เช่นว่าประพฤติตนเป็นคนทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์อยู่เสมอทุกๆ
วัน อทินนาทาน การลักทรัพย์ก็ลักเป็นอาชีพ ลักขโมยเขาอยู่แทบทุกวัน
กาเมสุมิจฉาจาร ทำผิดประเวณีร่วมเมียผัวผู้ อื่นก็ทำอยู่เป็นนิตย์ มุสาวาท
มีสันดานเป็นคนโกหกมุลาหลอกลวงไม่ว่างเว้น ทำเป็นอาจิณกรรมอยู่เสมอ
อย่างนี้ พอแตกกายทำลายขันธ์ กรรมชั่วเหล่านี้ ก็บันดาลให้มาบังเกิดทน
ทุกขเวทนาอยู่ในอเวจีมหานรกนี้ จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้
มหานรกทั้ง ๘ ขุมที่กล่าวมานี้ เป็นสถานที่ซึ่งมีสภาพเหมือนกันอยู่อย่าง
หนึ่ง คือ เป็นประเทศที่ร้อนระอุ เต็มไปด้วยไฟนรกอยู่เนืองนิตย์ทุกขุม ก็แล
ความร้อนแรงร้ายกาจของไฟในมหานรกนั้น จะหาความร้อนแรงอันใดใน
มนุษยโลกมาเทียบเท่าเป็นไม่มีเลย พึงอนุมานดูความร้อนของไฟนรก
ตามเรื่องที่ปรากฏมีในพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้
ไฟในมหานรก
ยังมีบุรุษวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง เพื่อนเป็นคนใจบาปหยาบช้า สำเร็จกิจ
เลี้ยงชีพด้วยปาณาติบาตกรรม เป็นพรานไพรท่องเที่ยวไปในอรัญราวป่า
ล่าเนี้อล่าลุกรเป็นกิจวัตรไม่มีขาด อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนเข้าไปในป่าล่าสัตว์ได้ก็
จัดการย่างด้วยถ่านเพลิง กินจนอิ่มหนำสำราญแล้วเที่ยวล่าลัตว์ต่อไป เกิด
กระหายน้ำขึ้นมา จึงแวะเข้าไปที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระภิกษุผู้ เป็น
เจ้าฝ่ายอรัญวาลี แลเห็นหม้อน้ำตั้งอยู่ อารามที่ กำลังหิวกระหาย จึงตรงรี่
เข้าไปหมายใจจะได ดื่มน้ำให้เต็ มอิ่ม ครั้นเปิดหม้อขึ้นมาหาเห็นน้ำไม่ ก็โทมนัส
ขัดเคืองใจเป็นยิ่งนัก
" เว้ย...เฮ้ย พระสมณะหัวโล้น พรานไพรตะโกนออกมาด้วยความขัดเคือง
"ใครอยู่ที่นี่ ช่างเป็นคนถ่อยขี้เกียจเสียเต็มประดา กินข้าวปลาของชาวบ้านแล้ว
ก็นอนหลับสบายใจ น้ำท่าในตุ่มแม้แต่พอเปียกชุ่มมือ ก็ไม่มีปัญญาจะหาใส่ไว
ช่างกระไรจึงเป็นคนชั่วชาติถึงปานนี้ " เขาบ่นพึมพำในตอนท้ายด้วยความไม่พอใจ
พระมหาเถระผู้เป็นเจัาของถิ่น ได้ยินเสียงพรานไพรมากล่าวคำผรุสวาท
ยกโทษเช่นนั้น ก็ใหัแปลกใจเป็นกำลังว่าเราตักน้ำไว้เต็มบริบูรณ์ทีเดียว
เหตุไฉนจึงไม่มีน้ำเล่า พระผู้เป็นเจ้าจึงออกไปเปิดหม้อน้ำดู ก็เห็นน้ำยัง
เต็มหม้อเป็นปกติ จึงชี้มือพลางกล่าวว่า
"นี่ไงเล่าน้ำ เชิญท่านตักดื่มเอาเองตามใจเถิด"
"น้ำท่าที่ไหนกัน" บุรุษนั้นตอบสวนคำทันควัน "ตัวเป็นสมณะ ไยจึงมา
ประพฤติตนเป็นคนโกหกซึ่ง ๆ หน้าเสียเช่นนี้ก็เป็นได้" เขากล่าวต่อไปเพราะ
ตนมองไม่เห็นน้ำจริง ๆ
พระผู้เป็นเจ้าได้ ฟังดังนั้น ก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นอกุศลกรรมนิยม เป็น
ตัวการดลบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น จึงยืนลงเคราะห์คอยตักน้ำส่งให้บุรุษนั้นดื่ม
จนเต็มอิ่มถึง ๓๒ จอก พอดื่มน้ำอิ่มแล้วบุรุษพรานป่าก็หายโทสะได้สติคิดว่า
"หม้อน้ำเต็มบริบูรณ์ด้วยน้ำอันเยือกเย็น แต่ด้วยอกุศลกรรมของเราหนา จึง
ปรากฏแก่สายตาเราดุจไม่มี อำนาจอกุศลกรรมนี้ ให้โทษเห็นประจักษ์แต่โลก
นี้สิยังให้ผลเห็นปานนี้ ต่อไปในอนาคตโลกหน้าจะให้ผลเป็นประการใด"
คิดได้ ดังนี ก็ให้รู้สึกสังเวชทุเรศตัวเอง จึงทิ้งธนูหน้าไม้เลีย แล้วขอบรรพชาเป็น
สามเณรในพระบวรพุทธศาลนาตั้งแต่บัดนั้น
เมื่อบวชแล้วสามเณรก็อุตส่าห์ตั้งใจบำเพ็ญธรรมปฏิบัติกรรมฐาน ในขณะ
ที่ทำกรรม ฐานอยู่นั้น บรรดาเนื้อสุกรและสัตว์ต่าง ๆ ที่ตนเคยฆ่าก็มาปรากฏ
ในห้วงนึกให้ระลึกถึงอกุศลกรรมที่ตนทำไว้แต่ก่อนทุกแห่ง จิตก็เดือดร้อนดิ้นรน
กระวนกระวาย มิอาจจะดำเนินตามพระกรรมฐานได้ ครั้นเจริญพระกรรมฐาน
ไม่ได้ก็เสียใจ ใคร่จะสึกโดยนึกว่าตนเป็นคนหมดบุญวาสนาเสียแล้ว จึงเข้าไป
หาพระอุปัชฌาย์นมัสการแล้วบอกความ
พระมหาเถระจึงว่า ดูกรสามเณร ท่านจะสึกเราก็ไม่ว่า แต่ก่อนจะสึก
ท่านจงทำความสะอาดถากถางที่บริเวณเหล่านี้ให้ เรียบร้อยเสียก่อน
สามเณรก็รับคำพระอุปัชฌาย์ออกมาปัดกวาด เห็นสถานที่ใดเกะกะด้วย
กิ่งไม้ ก็ตัดด้วยมีดพร้ามิช้าก็เอามาสุมเป็นกองใหญ่ ทำอย่างรวดเร็วเพราะตน
เป็นคนทรงพลัง ด้วยเคยเป็นพรานป่ามาก่อน เสร็จแล้วก็กลับมากราบเรียน
พระเถรเจ้า
"เกล้ากระผมปัดกวาดจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ" สามเณรประนมมือ
กล่าวด้วยคารวะเป็นอย่างยิ่ง
"แลัวกองกิ่งไม้ โน่นเล่า เสร็จแล้วหรือยัง?" พระเถรเจ้ากล่าวพลางชี้มือ
ถาม
"กิ่งไม้เหล่านั้นยังสดอยู่ เกล้ากระผมคิดว่าจะทิ้งไว้ก่อน" สามเณรตอบ
"ทิ้งไว้ อย่างนั้นจะดีหรือ? เจ้าจงเอาไฟจุดเผาเสียก่อนดีกว่า " พระเถระสั่ง
ต่อไป
ด้วยความเคารพในพระเถระ เจ้าสามเณรไม่ทันนึกถึงสิ่งใด รีบมาที่กอง
กิ่งไม้พยายามจุดไฟจนแล้วจนรอดเพลิงก็หาติดไม่ ก็จะติดได้ อย่างไรเล่า เพราะ
ว่ากิ่งไม้เหล่านั้นมันเป็นกิ่งไม้สด ๆ ทั้งสิ้น พอหมดปัญญาเข้า เจ้าสามเณรก็ได้
แต่นั่งกอดเข่าเหนี่อยหอบทอดถอนใจอยู่ข้างกองกิ่งไม้นั้น
"ทำไมจึงไม่ เผาเสียเล่า เจ้าสามเณร นั่งคิดอะไรอยู่รึ?'' เสียงพระเถระซึ่ง
มายืนข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ถามขึ้น สามเณรตกใจจึงกราบเรียนว่า
"มันจุดไม่ติดขอรับ ไม้ยังสดอยู่"
"ถ้าอย่างนั้น จงหลีกไป เราจะจัดการเอง"
กล่าวแล้ว พระเถระเจ้าก็บันดาลให้แผ่นปฐพีแยกออกเป็นสองภาค ด้วยกำลัง
แห่งฤทธิ์อรหันต์ แล้วพระผู้เป็นเจ้าจึงยื่นหัตถ์ลงไปหยิบเอาไฟในอเวจีมหานรก
ขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ประมาณเท่าแสงหิ่งห้อย แล้วทิ้งลงไปบนกองไม้สดนั้น
เพลิงก็ติดรุ่งโรจน์โชตนาการเปรียบปานไม้แห้ง บัดเดี๋ยวใจกองไม้สดนั้นก็ไหม้
ยับยุบลงสิ้นถ่านสิ้นขี้เถ้า พระเถรเจ้าครั้นสำแดงสภาพของอเวจีมหานรก
พร้อมกับอำนาจไฟอันร้อนแรงในนรกให้สามเณรได้เห็นประจักษ์ตาเช่นนี้ แล้ว
จึงให้โอวาทว่า
ถ้าท่านจะสึกออกไปจากพระศาสนา ท่านตายไปแล้ว ก็จะต้องลงไปทน
ทุกขเวทนาในอเวจีมหานรกนี้ เพราะบาปกรรมท่านทำไว้มิใช่น้อย แต่ถ้า
อุตส่าห์ยึดเอาพระศาสนาเป็นที่พึ่ง บำเพ็ญธรรมไปจนถึงมรรคผลบังเกิดขึ้น
นั่นแหละจึงยกตนขึ้นจากนรกได้ เพราะมรรคผลเป็นเครื่องปิดประตูแห่งอบาย
ท่านเห็นอเวจีมหานรกประจักษ์แก่ตาตนเองวันนี้แล้ว ยังสมัครใจจะไปนรก
หรือว่าจะคิดหนีก็จงคิดดูให้ดีเถิด"
สามเณรเกิดอัศจรรย์ใจ ตั้งแต่พระเถรเจ้าทำปาฏิหาริย์แหวกพื้นปฐพีให้
แลเห็นอเวจีมหานรกแล้ว ครั้นมาถูกพระมหาเถรเจ้าพยากรณ์ตนว่าจะต้อง
ไปอยู่ในอเวจีเช่นนี้ ก็เกิดความกลัวยิ่งนัก มีจิตกัมปนาทหวาดหวั่นนิรยภัยเป็น
กำลัง จึงละล่ำละลักถามว่า
"ถ้าเกล้ากระผมไม่สึกแล้ว จะพ้นจากนรกได้หรือขอรับ ?"
พระเถรเจ้าจึงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า
ก็ไม่แน่ แต่ว่าพระพุทธศาสนาน เป็นนิยยานิกธรรม สามารถนำสัตว์ให้
พ้นจากกองทุกข์ กองภัย หรือกองไฟนรกไดั ถ้าท่านมีเพียรศรัทธา หมั่นปฏิบัติ
บำเพ็ญธรรมจนมรรคผลบังเกิด แม้ไม่มาก เพียงแต่ข้ามโคตรภูญาณให้
มรรคผลขั้นแรกบังเกิด อย่างนี้ก็เป็นอันว่าท่านไม่ด้องไปเกิดในนรกในอบายภูมิ
แล้ว แต่ถ้าท่านเกียจคร้านเต็มไปด้วยความประมาทมัวเมาในชีวิดไม่คิดถึงภัย
ในนรกข้างหน้า เป็นประดุจคนตาบอดมองไม่เห็นทาง ใช้ชีวิตให้เป็นไปตาม
ยถากรรมอย่างนี้ ถึงจะบวชไม่สึกไปจนตาย ก็หาพ้นจากนรกไม่
ตั้งแต่วันนั้นมา เจ้าสามเณรก็อุตส่าห์พยายามปฏิบัติธรรมอย่างไม่คิดชีวิต
เพราะอเวจีมหานรกมาคอยเตือนจิตใหัหวาดกลัวอยู่เสมอ ในที่สุดก็ได้บรรลุ
ตติยมรรค เป็นพระอนาคามีอริยบุคคลในพระบวรพุทธศาสนา เป็นอันพ้นจาก
มรรคาแดนนรกไปได้ ด้วยประการฉะนี้
ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ไฟในมหานรกทั้งหลายนั้นร้อนแรงยิ่งนัก เพียง
แต่ประมาณเท่าแสงหิ่งห้อยที่พระเถรเจ้าหยิบเอามา ก็สามารถที่จะเผาผลาญ
กองไม้สดกองใหญ่ ให้ไหม้ยับยุบลงเพียงพริบตา สัตว์นรกที่ต้องทนทุกข์ทรมาน
อยู่ตลอดเวลานาน จะได้รับความรัอนรนเพียงไหน ก็จงพิจารณาดูเถิด

อุสสุทนรก
บรรดามหานรกทั้ง ๘ นั้น หาใช่อยู่ในพื้นที่เดียวกันไม่ ความจริงอยู่ไกล
กันมาก จะเรียกว่าขุมหนึ่งๆ เป็นโลกหนึ่งๆ ก็ได้ นรกแต่ละขุมนอกจากจะ
มีขุมที่ใหญ่ที่สุดดังที่ว่ามาแล้วยังมีขุมเล็กรองลงมาเป็นบริวารล้อมรอบอีก
๔ ทิศ ทิศละ ๔ ขุม รวมทั้งหมดจึงเป็น ๑๖ ขุมด้วยกัน นรกขุมเล็กทั้ง ๑๖ ขุมนี้
เรียกว่า อุสสุทนรก เป็นขุมนรกบริวารล้อมรอบนรกขุมใหญู่ อุสสุทนรกนี้ มีอยู่
ทั้งหมดด้วยกัน ๑๒๘ ขุม คือ
๑. ล้อมรอบลัญูชีวมหานรก ๑๖ ขุม
๒. ล้อมรอบกาฬสุตตมหานรก ๑๖ ขุม
๓. ล้อมรอบลังฆาฏมหานรก ๑๖ ขุม
๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๑๖ ขุม
๕. ล้อมรอบมหาโรรุวมหานรก ๑๖ ขุม
๖. ล้อมรอบตาปนมหานรก ๑๖ ขุม
๗. ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก ๑๖ ขุม
๘. ล้อมรอบอเวจีมหานรก ๑๖ ขุม
รวมเป็นอุสสุทนรก ๑๒๘ ขุม
ในที่นี้จักขอกล่าวอุสสุทนรกเพียง ๔ ขุม ซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารของมหา
นรกที่ ๑ คือ สัญชีวนรกเท่านั้น เพราะว่า อุสสุทนรกที่เหลือในทิศอื่นก็ดี และที่
ล้อมรอบเป็นบริวารในมหานรกอื่นก็ดีก็ มีชื่อเหมือนกันจะต่างกันก็แต่เพียง
โทษหนักเบาตามชั้นของมหานรกทั้งหลายเท่านั้น
๑. คูถนรก
ครั้นลัตว์นรกพ้นโทษทุกข์จากมหานรกขุมใหญ่แลัว หากกรรมยังไม่สิ้น
ก็เคลื่อนออกไปอยู่ในนรกบริวารที่ใถล้ชิดมหานรกอันดับที่ ๑ คือ คูถนรก
ในคูถนรกนี้เต็มไปด้วยหมู่หนอนทั้งหลายเป็นอันมาก ซึ่งแต่ละตัวมีปากแหลม
ดังเข็ม ทั้งตัวก็อ้วนพีใหญู่โตเท่าช้างสาร แลดูน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก เมื่อ
สัตว์นรกทั้งหลายมีโอกาลออกไปจากนรกขุมใหญู่ แล้วก็ดีใจยิ่งนัก แต่
ไม่ช้าก็ถูกนายนิรยบาลต้อนให้ลงไปในคูถนรก เมื่อตกลงไป หมู่หนอนนรก
ทั้งหลายก็แสดงอาการดีเนื้อดีใจเข้าล้อมกายสัตว์นรกนั้น แล้วพากันกัดเนื้อกิน
อย่างเอร็ดอร่อยจนเหลือแต่กระดูก เมื่อเหลือแต่กระดูกก็พากันแทะกินกระดูก
ต่อไปให้ได้รับทุกข์ทรมานหนักยิ่งขึ้น หนอนนรกบางตัวที่ยังเล็กพอเข าไปใน
กายสัตว์นรกอันใหญ่โตได้ ก็พากันไต่เข้าไปในปากแล้วก็กัดกินไส้นัอยไส้ใหญ่
ตับ ปอด แล้วก็ลอดออกมาทางทวารเบื้องล่าง กัดกินอวัยวะภายใน เสร็จแล้ว
ก็ ออกมาทางปาก ทำไมสัตว์นรกเหล่านั้นจึงปล่อยให้ หนอนนรกทำร้ายเอาเช่นนี้
ไฉนจึงไม่ต่อสู้? จะสู้ได อย่างไรเล่า เพราะว่าหนอนเหล่านั้นไม่ใช่หนอนธรรมดา
แต่มันเป็นหนอนเวรหนอนกรรมเป็นหนอนนรก เกิดขึ้นด้วยอำนาจอกุศลกรรม
ของลัตว์นรกเหล่านั้นเอง
๒. กุกกุฬนรก
ต่อจากคูถนรกก็ถึงอุสลทนรกที่ ๒ ซึ่งมีชื่อว่า กุกกุฬนรก นรกขุมนี้มีเถ้า
ถ่านซึ่งรุ่มร้อน สำหรับเผาสัตว์นรกทั้งหลายให้ ได้รับทุกขเวทนากล้าแข็ง เมื่อ
สัตว์นรกทั้งหลายพ้นโทษจากคูถนรกแล้ว หากกรรมยังไม่สิ้น ก็จะต้องมาตก
นรกขุมนี้ ถูกเถ้ารึงอันร อนแรงเผาสรีระร่างกายใหัไหม้ยับย่อยละเอียดเป็นจุณ
ไป กรรมยังไม่สิ้นตราบใด ก็ต้องทนรับทุกข์ไปตราบนั้น ตามผลกรรมชั่วที่ตน
ได้ กระทำมา
๓. อสิปัตตนรก
พอพ้นกำแพงของกุกกุฬนรก ก็มาถึงอุสสุทนรกขุมที่ ๓ ซึ่งมีชื่อว่า
อสิปัตตนรก นรกขุมนี้ มีไมัมะม่วงใหญ่ใบดกครึ้มหลายต้นดูประหนึ่งสวนอุทยาน
ครั้นสัตว์นรกทั้งหลายหลุดจากกุกกุฬนรกมาได้ พอมาถึงขุมนี้ต่างก็ดีเนื้อดีใจ
จึงชวนกันว่า
"เราทั้งหลายพากันเข้าไปอาศัยในสวนมะม่วงนั่นเถิด
คงจะสุขกายสบายใจเสียที เพราะได้รับความทุกข์ยากมานาน
นักหนา"
สัตว์นรกทั้งหลายชักชวนกันด้วยภาษานรกว่าดังนี้แล้ว ก็พากันเข้าไปนั่ง
นอนใต้ต้นมะม่วงนั้นทันใดพอเข้าไปนั่งนอนยังไม่ทันใด รับความสบายดังที่หวังไว้
ก็มีอันให้เป็นไปด้วยแรงอกุศลดลบันดาลให้มีลมกรรมพัดมา ใบมะม่วงดกครึ้ม
หนาก็กลายเป็นหอกเป็นดาบอันคมกล้าหลุดร่วงลงมาถูกกายาแห่งสัตว์นรก
เหล่านั้น ทำให้เป็นแผลเหวอะหวะ บางทีก็ขาดเป็นท่อน ถูกแขน แขนก็ขาด
ถูกขา ขาก็ขาด เมื่อเป็นเช่นนี้ สัตว์นรกจึงพากันวิ่งหนีออกจากที่นั่นโดยเร็ว
ในขณะนั้นก็ปรากฏมีกำแพงเหล็ก มีเปลวไฟลุกแดงโร่ ชำแรกปฐพีผุดขึ้นมา
ขวางหน้าไว้ สัตว์นรกทั้งหลายผู้มีบาดแผลเต็มไปทั่วทั้งร่าง เลือดแดงฉาน
วิ่งวนไปมา คราทีนั้นยังมีสุนัขนรกทั้งหลายมีร่างกายใหญ่โตเท่าช้างสาร วิ่งมา
ขบกัดกินเลือดเนื้อจนเหลือแต่กระดูก นอกจากนั้นแล้วยังมีแร้งนรกมีปากเป็น
เหล็กตัวโตใหญ่เท่าเกวียนเท่ารถ พากันมาเยื้อแย่งจิกทั้งเนื้อกินเป็นอาหาร
กรรมยังไม่สิ้นดราบใดก็จำต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่ในอสิปัตตนรกตราบนั้น
๔. เวตรณีนรก
ถัดจากอสิปัตตนรกนั้นไป ก็มาถึงอุลสุทนรกอันดับที่ ๔ ซึ่งมีชื่อว่า
เวตรณีนรก ณ สถานที่นี่เต็มไปดัวยนำเค็มตั งอยู่ชั่วกัป มีเครือหวายหนาม
เหล็กล้อมอยู่โดยรอบเป็นขอบขัณฑ์ ในท่ามกลางนั้น ปรากฏเป็นปทุมชาติ
ทำให้ สัตว์นรกทั้งหลายเข้าใจว่า เป็นแม่น้ำอันเย็นสนิท พอตนพ้นจาก
อสิปัตตนรกมาถึงที่นี่ เห็นแม่น้ำ เข้าก็ดีเนื้อดีใจ หวังจะอาบดื่มกินให้สบาย .
วิ่งมาโดยเร็ว พอมาถึงก็รีบกระโจนลงไป เครือหวายเหล็กซึ่งคมเหมือนหอก
เหมีอนดาบก็บาดร่างกายให เป็นแผลในน้ำเค็ม เขาทั้งหลายย่อมประสบทุกข-
เวทนาทั้งเจ็บทังแสบ แล้วก็ให้มีอันเป็นเกิดเปลวไฟลุกไหม้ เผาทั้ง ๆ ที่อยู่ใน
แม่น้ำ ไฟไหม้ ศีรษะร่างกายของเขาให้ดำไหม้ เกรียมเหมือนกับไหม ต้นไม้ ในป่า
ทำให้ ร่างกายห้อยระย้าบนเครือหนามหวาย ร้องดิ้นกระวนกระวายในไม่ช้าก็ตก
ลงไปต้องดอกบัวหลวงอันมีกลีบคมเป็นกรด ซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำเค็ม มีเปลวไฟ
ติดอยู่ตลอดเวลา ใบบัวเหล็กแดงอันคมนั้นก็บาดร่างกายให้ ขาดวิ่น ทำให้
เจ็บแสบทั้งเนื้อทั้งตัวแสนสาหัส ดิ้นทุรนทุรายเช่นปลาถูกทุบหัวฉะนั้น
บัดเดี๋ยวใจก็พลันตกจากกลีบบัวนรกลงไป เขาจึงมาคำนึงในใจว่า
"มากูจะดำลงใปในน้ำน เถิด ชะรอยจะพบน้ำเย็นใน
ภายใต้โพ้นบ้างกระมัง "
สัตว์เวตรณีนรกนั้น ครั้นคิดเห็นเป็นดีงามเช่นนั้นแล้วจึงกลั้นใจดำลงไป ก็
ต้องถูกคมมีดคมดาบอันหงายอยู่ภายใต้ พื้นน้ำบาดเอา ทำให้ร่างกายเขาเหวอะ
แหว่งหนักเข้าไปอีก ต้องร้องสะดุ้งหวาดเสียวด้วยความเจ็บอย่างแสนสาหัส
บางพวกพอวิ่งมาถึงแม่น้ำเค็มนั้น เห็นเพื่อนกันกำลังเสวยทุกข์อยู่ ใจก็
สยดสยองไม่กล้าลงไป ยืนออกันเป็นหมู่อยู่บนขอบนรก นายนิรยบาลทั้งหลาย
จึงบังคับขับไสไล่กระหน่ำตีด้วยค้อนเหล็กให้ลงไป ก็ต้องวิ่งหนีจนล้มลุกคลุก
คลาน เมื่อล้มแล้วดั งใจจะรีบลุก ด้วยเกรงภัยจากนายนิรยบาลผู้ตามดิดมาข้าง
หลัง มือทั้งสองข้างก็กลับจมลงไปในแผ่นเหล็กลุกขึ้นไม่ได้ นายนิรยบาลก็
คุกคามเอาว่า
"สูทั้งหลายจงลุกขึ้น.... สูมึงทั้งหลาย จงพากันไปลง
แม่น้ำเดี๋ยวนี้ "
ประกาศิตเป็นคำสั่งดังนี้แล้ว นายนิรยบาลผู้มีอำนาจใหญ่ในขุมนรก ก็เอา
ค้อนตีประเคนลงบนศีรษะซ้ำแล้วซ้ำอีก สัตว์นรกทั้งหลายทนไม่ได้ ก็ต้องลุกขึ้น
มือทั้งสองข้างก็ขาดติดอยู่กับแผ่นเหล็กนั่นเอง ครั้นลงไปในแม่น้ำก็ต้องถูก
ใบบัวเหล็กคมเป็นกรดบาดร่างกายขาดเป็นแผลใหญ่แผลน้อยว่ายไปว่ายมา
น้ำเค็มแทรกเข้าไปในแผล ก็เจ็บแสบเสวยทุกขเวทนาร้องไห้ครวญครางแลดู
น่าสงสารยิ่งนัก
เท่านี้ยังไม่พอ ยังต้องถูกนายนิรยบาล ซึ่งมีมือถือหอกแหลนหลาว เงีอด
เงื้อขึ้นแล้วก็จ้วงแทงเอา ๆ เช่นบุรุษในมนุษยโลกแทงปลาในน้ำด้วยฉมวกก็
ปานกัน ครั้นแล้วนายนิรยบาลก็เอาเบ็ดนรกเกี่ยวลากขึ้นมา บังคับให้ นอนหงาย
เหนือแผ่นเหล็กแดง แล้วเอาหลาวเหล็กงัดปากให้ อ้าขึ้นแล้วจึงเอาก้อนเหล็กซึ่ง
กำลังลุกแดงโพลงยัดใส่เข้าไปในปาก พอถึงปาก ๆ ก็ไหม้ ตกมาถึงคอ ๆ ก็ไหม้
พอถึงท้องก็ไหม้ ไส้ใหญ่ให้ทะลักทลายออกมา สัตว์นรกเหล่านั้นทำอกุศลกรรม
อะไรไว้ ไฉนจึงต้องมาทนทุกขเวทนาเห็นปานนี้ ?
ที่ต้องมาเสวยทุกขเวทนาเช่นนี้ ก็เพราะในชาดิก่อนตนเคยเผาสัตว์ทั้งเป็น
ให้ถึงแก่สิ้นชีวิต กรรมเลยผลิตผลให้มารับทุกข์โทษในนรกนี้ ต้องเลวยเวทนา
แสนลาหัส
อีกประการหนึ่ง ในชาติก่อนเคยเป็นพระภิกษุสามเณรไม่สำรวมระวัง
ไม่รักษาศีลให้ บริลุทธิ์ตามพระพุทธบัญญัติสิกขาบท รู้ตัวว่าล่วงละเมิดศีลแล้ว
ก็ไม่ทำคืนอาบัติ ไม่ทำตนให้ บริสุทธิ์แล้วยังขืนบริโภคก้อนข้าวของชาวบ้านอยู่
ครั้นดับขันธ์ถึงแก่มรณภาพแล้ว เจ้ากูเหล่านั้นก็ต้องมากินก้อนเหล็กแดงใน
นรกขุมนี้ เหมือนกัน
ครั้นนายนิรยบาลเห็นสัตว์นรกกินก้อนเหล็กแดงร้องไห้ ครวญครางเสวย
ทุกขเวทนาอยู่อย่างนั้น ก็คล้ายมีใจสงสารร้องถามไปว่า "ท่านอยากจะกิน
อะไร?' สัตว์นรกจึงตอบว่า ''ข้าพเจ้าอยากกินน้ำ" นายนิรยบาลก็เอาน้ำ
ทองแดงมากรอกลงในปาก พอน้ำถึงปาก ๆ ก็พังแตกทลาย น้ำถึงคอถึงท้อง
คอและท้องก็พังพินาศ พอตกถึงลำไส้ ใหญ่นvอยก็ขาดกระจุยกระาายเ รยราย
ออกมา ถามว่า ไฉนจึงเป็นอย่างนี ?
เมื่อชาติก่อนเป็นคนดื่มสุราเมรัย มีจิตใจประมาทในการกุศล ครั้นทำลาย
ขันธ์สิ้นชนม์แล้ว จึงต้องมารับทุกข์โทษในนรกขุมนี้ ถูกนายนิรยบาลเอาน้ำ
ทองแดงใส่ปากให้เสวยทุกข์ลำบากสิ้นกาลช้านาน กรรมยังไม่สิ้นตราบใด
ก็ต้องทนทุกข์ไปตราบนั้น
อุสสุทนรกทั้ง ๔ ขุมที่กล่าวมานี่ คือ
๑. คูถนรก
๒. กุกกุฬนรก
๓. อลิปัตตนรก
๔. เวตรณีนรก
อุลสุทนรกทั้งหมดนี้ ตั้งอยู่เรียงลำดับกันไปในทิศบูรพาเบื้องหน้าของ
สัญูชีวนรก แม้ในทิศอื่นอีก ๓ คือ ทิศหลัง ทิศเบื้องขวาและทิศเบื้องซ้าย ก็มี
อุสสุทนรกทั้ง ๔ นี้ ตั้งเป็นลำดับไปเช่นเดียวกัน รวมอุสสุทนรกทั้ง ๔ ทิศ
ที่ล้อมรอบลัญชีวมหานรก จึงเป็น ๑๖ ขุมพอดี มหานรกมี ๘ ขุม แต่ละขุม
มีอุสสุทนรกนี้ล้อมเป็นบริวารขุมละ ๑๖ จึงรวมเป็น ๑๒๘ ขุมพอดี อันที่จริง
ความข้อนี้ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น แต่เพื่อให้เข้าใจและจำได้ง่ายจึงได้นำมา
กล่าวย้ำไว้ในที่นี่อีกครั้งหนึ่ง

ยมโลกนรก
สัตว์นรกทั้งหลาย ครั้นเสวยกรรมในอุสสุทนรกที่กล่าวมานี่แล้ว หาก
กรรมยังไม่สิ้น ก็ต้องไปเสวยกรรมในนรกอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใน
สถานที่ต่อจากอุสสุทนรกไป นรกประเภทที่ว่านี้มีชื่อว่า ยมโลกนรก แม้เหล่า
มนุษย์ลัตว์โลกทั้งหลายที่ทำกรรมชั่วบาปหยาบช้าไว้พอดีพอร้าย ไม่ถึงขั้น
ที่จะต้องไปตกในมหานรกหรืออุสสุทนรก ก็ต้องมาตกอยู่ในยมโลกนี้ เลวยทุกข-
เวทนาไปจนกว่าจะสิ้นกรรม
ยมโลกนรกนี้ลัอมรอบเป็นนรกบริวารชั้นนอกของมหานรกทั้ง ๘ มหานรก
ขุมหนึ่ง ๆ มียมโลกนรกล้อมเป็นบริวารอยู่ทิศหน้า ๑๐ ขุม ทิศหลัง ๑๐ ขุม
ทิศซ้าย ๑๐ ขุม ทิศขวา ๑๐ ขุม รวมทั้ง ๔ ทิศ ก็เป็น ๔๐ ขุม จึงเป็นอันว่า
ยมโลกนรกนี้ มีอยู่ทั้งหมดด้วยกัน ๓๒๐ ขุม คือ
๑. ล้อมรอบสัญชีวมหานรก ๔๐ ขุม
๒. ล้อมรอบกาฬสุตตมหานรก ๔๐ ขุม
๓. ล้อมรอบสังฆาฏมหานรก ๔๐ ขุม
๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม
๕. ล้อมรอบมหาโรรวมหานรก ๔๐ ขุม
๖. ล้อมรอบตาปนมหานรก ๔๐ ขุม
๗. ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก ๔๐ ขุม
๘. ล้อมรอบอเวจีมหานรก ๔๐ ขุม
รวมเป็นยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม
ในที่นี้ จักขอกล่าวแต่เพียงยมโลกนรกที่ตั้งอยู่ล้อมรอบสัญชีวมหานรก
เพียงทิศเดียว ซึ่งมี ๑๐ ขุมเท่านั้น เพราะว่ายมโลกทิศอื่นๆ ก็ดี และยมโลก-
นรกที่ล้อมเป็นบริวารในมหานรกอื่นๆ ก็ดีก็มีชื่อและมีการเสวยทุกข์โทษ
เหมือนกัน จะแตกต่างกันอยู่บ้างก็เพียงแต่ว่า มีการเสวยทุกข์โทษหนักเบาตาม
ชั้นของมหานรกนั้นๆ เท่านั้น เมื่อทราบและเข้าใจได้ เพียง ๑๐ ขุมในทิศเดียว
ก็เป็นอันทราบยมโลกในทิศอื่นและในชั้นอื่นทั้งหมด เพราะมีชื่อและลักษณะ
เหมือนๆ กันกับยมโลกทั้ง ๑๐ ขุมตามที่จะกล่าวต่อไปนี้
๑. โลหกุมภีนรก
ยมโลกนรกขุมที่ ๑ มีชื่อว่า โลหกุมภี ในนรกขุมนี้ มีหม้อเหล็กขนาดใหญ่
เท่าภูเขา ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำแสบน้ำร้อนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ตั้งอยู่บน
เตาไฟใหญ่ นายนิรยบาลร่างกายใหญู่โตจับสัตว์นรกทั้งหลายที่ข้อเท้าเอาหัว
คว่ำลงแล้วหย่อนทิ้งลงไปในหม้อเหล็กนรกนั้นสัตว์นรกทั้งหลายโดนลงโทษเช่นนี้
ก็ได้รับทุกข์ทั้งแสบทั้งร้อน เสวยทุกขเวทนาอยางแลนสาหัส ถูกต้มเคี่ยวอยูใน
หม้อเหล็กนรก จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วที่ตนกระทำมา คือ เมื่อชาติก่อนตอนที่ยัง
เป็นมนุษย์ เคยทำกรรมชั่วจับเอาสัตว์เป็นๆ มาใส่ในหม้อร้อนให้ ตาย แล้วเอา
มากินเป็นอาหาร หรือมิฉะนั้นก็ทำชั่วหยาบอื่นๆ ควรจะเสวยทุกข์ในมหานรก
แล้ว แต่ภายหลังกลับลำนึกตนพยายามประกอบการกุศล บาปกรรมที่ติดอยู่ใน
จิตใจค่อยคลายลง จึงต้องมาได้รับทุกข์โทษเพียงมาเกิดในโลหกุมภีนรกนี้ มีตัว
อย่างเช่น พระเจ้าอชาตศัตรูผู้ทำปิตุฆาตกรรมแต่ปางบรรพ์
อชาตศัตรูราชา
เราท่านทั้งหลาย บรรดาที่เคารพนับถือพระพุทธศาลนาในปัจจุบันนี้ ย่อม
จะทราบได้ เป็นอย่างดีว่า องค์อชาตศัตรูนี้ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพิม
พิสาร เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระราชกุมารรุ่นดรุณวัย ได้นับถือพระเทวทัตเป็น
อาจารย์ เพราะเห็นปาฏิหาริย์ที่พระเทวทัตสำแดง ในที่สุดพระเทวทัตก็วาง
แผนการอุบาทว์ โดยให้อชาตศัตรูกุมารนี้ เป็นกบฏ จับพระเจ้าพิมพิสารไปขัง
แล้วสั่งให้ลงโทษทรมาน จนพระราชบิดาสวรรคตลงในที่คุมขัง แล้วตั้งตนเป็น
พระเจ้าแผ่นดินเสียเอง ต่อมาภายหลังได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธองค์ จึงทรง
สำนึกถึงความผิดที่ทรงทำแก่พระราชบิดา แล้วเศร้าเสียพระราชหฤทัยยิงนัก
หนา จึงทรงจำเริญพระราชศรัทธาปสาทะ อุตสาหะบำเพ็ญกุศลในพระศาลนา
มากมาย ถัาไม่มีกรรมซั่วมาติดตน ก็อาจจะได้ มรรคผลนิพพานแต่ก็ถูก
ปิตุฆาตกรรมมาประหารเสียจึงไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นพุทธกาลพระพุทธเจ้ายังทรง
พระชนม์อยู่ ในครั้งลุดท้ายได้ทรงมีพระราชวโรกาสบำเพ็ญพระราชกุศล
ครั้งใหญ่ ยากที่ผู้อื่นจะกระทำได้เสมอเหมือน คือ ทรงรับเป็นพระบรม
ราชูปถัมภ์ ทรงเป็นเจ้าภาพในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกในโลก ซึ่ง
องค์พระสงฆ์ที่กระทำล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐทั้งสิ้น
นับว่าองค์อชาตศัตรูราชานี้ ได้ ทรงทำคุณประโยชน์ไว้ แก่พระพุทธศาสนา และ
แก่ปัจฉิมาชนตาชนผู้เกิดมาพบพระศาสนาในภายหลังเช่นเราท่านทั้งหลายใน
ปัจจุบันนี้ และต่อไปภายหน้าอีกเป็นอันมาก ยากที่ใครจะลืมเลือนได้ ครั้น
เสร็จสิ้นการสังคายนาพระธรรมวินัยแล้ว ก็ทรงมีพระราชศรัทธาปสาทะสรัาง
บุญกุศลอย่างอื่นอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านส่วนพระองค์ทรงมี
ความเคารพเลื่อมใสรักใคร่พระมหากัสสปเถรเจัา องค์ลังฆวุฒาจารย์ผู้เป็น
ประธานในการลังคายนาครั้งนั้นเป็นยิ่งนัก ประดุจบุตรเคารพรักในบิดา ทั้งนี้จะ
พึงเห็นได้ ในตอนที่พระมหากัสสปเถรเจ้าปรินิพพาน พอได้ทรงทราบข่าว
ปรินิพพานเท่านั้น พระองค์ก็ถึงแก่วิลัญญีภาพสลบแล้วสลบอีก จนหมอหลวง
ต้องแก้ไขกันหลายครั้งหลายหน ด้วยความเศร้าเสียใจอาลัยรักใคร่ใน
พระมหาเถรเจ้าที่พระองค์ทรงเคารพอย่างสุดซึ้ง
ถึงจะทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพระพุทธศาสนาได้ทรง
บำเพ็ญพระราชกุศลมากมายเห็นปานฉะนี้ แต่เมื่อถึงคราวที่จะทรงถึงชีพิตักษัย
ปิตุฆาตกรรมก็แล่นเข้ามาเป็นอุปัจเฉทนกรรมปิดเสียซึ่งกุศลที่ทรจทำไว้ทั้งปวง
แล้ว ก็กดขี่ฉุดคร่าสมเด็จพระมหากษัตริย์ให้ลงไปอุบัติเกิดในโลหภุมภีนรก ซึ่ง
เป็นยมโลกนรก ที่เป็นบริวารล้อมรอบซั้นนอกของอเวจีมหานรก จนบัดนี้
พระองค์ก็ยังทรงทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกโลหภุมภีนี้ มีคำพยากรณ์เป็น
อนาคตว่า พอพระองค์เสวยทุกขเวทนาอยู่ในโลหกุมภีนรกครบ ๖๐, ๐๐๐ ปี
แล้วก็จะพ้นจากนรกนั้นมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ในอวสานชาติที่สุด จักได้ตรัสเป็น
พระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระชีวิดวิเศษ ในพุทธันดรอันเป็น
ระหว่างศาสนาสมเด็จพระสมณโคดมบรมครูแห่งเราทั้งหลายกับศาสนาของ
สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตภายหน้า
ผู้ที่มาเกิดในโลหกุมภีนรกนี้ บางทีนายนิรยบาลก็เอาเชือกเหล็กแดง
ลุกเป็นเปลวไฟไล่กระหวัดรัดคอ แล้วบิดจนกระทั่งคอขาดออกจากตัว แล้ว
เอาศีรษะที่ขาดนั้นลงทอดในหม้อเหล็กแดงให้ได้ทุกขเวทนาทั้งกายทั้งศีรษะ
แต่ก็หาได้ตายไม่ สัตว์นรกหัวด้วนอยู่บัดเดี๋ยวใจก็เกิดหัวใหม่ขึ้นมาแทน
นายนิรยบาลก็เอาเชือกเหล็กลุกเป็นเปลวไฟอันเก่านั่นแล กระหวัดรัดคอบิดให้
ขาด แล้วก็เอาลงทอดในหม้อนรกนั่นอีก ทำอยู่อย่างนี้ หลายครั้งหลายคาบ
เป็นหมื่นๆ ปี ไม่หยุดยั งตลอดวันตลอดคืน จนกว่าจะสิ้นโทษพ้นเวรกรรมที่ตน
ทำมา
๒. สิมพลีนรก
ต่อจากโลหกุมภีนรกไป ก็ถึงยมโลกนรกขุมที่ ๒ ซึ่งมีชี่อว่า สิมพลีนรก
ในนรกขุมนี้ ปรากฏเป็นป่าเต็มไปด้วยต้นงิ้วนรกทั้งหลาย ต้นงิ้วแต่ละต้นมี
หนามเหล็กคมเป็นกรดยาว ๑๖ องคุลี ลุกเป็นไฟอยู่เลมอเป็นนิตย์ ไม่มีวัน
ที่จะรู้ดับเลยสักครา ในนรกนี้เต็มไปด้วยสัตว์นรกหญิงและสัตว์นรกชาย บาง
ครั้งสัตว์นรกหญิงขึ้นไปคอยอยู่ข้างบนต้นงิ้วก่อน สัตว์นรกชายอยู่ใต้ต้นแหงน
ขึ้นไป เห็นหนามงิ้วอันน่าละพรึงกลัวก็ไม่กล้าขึ้น นายนิรยบาลทั้งหลายก็เงือด
เงื้อหอกดาบแหลนหลาวพลางขู่ตะคอกบังคับให้ขึ้น ด้วยอำนาจความกลัวเขาก็
ต้องจำใจป่ายปีนต้นงิ้ว ต้องฝ่าหนามงิ้วเลือดสาดทั่วกายา ครั นขึ้นช้า นายนิรย
บาลก็เอาหอกแทงเข้าที่ขา เอาด้ามหอกตีที่ศีรษะ ปากก็เร่งร องบังคับขับไล่
ให้ ขึ้นไปหาสัตว์นรกหญิงไวๆ เขาก็ตัองก้มหน าป่ายปีนขึ้นไปทีละน้อย หนามงิ้ว
อันแหลมคมก็ยิ่งบาดตัวตนเขาขาดทะลุมิหนำซ้ำยังร้อนระอุจนสุดจะทนทาน
เพราะว่าหนามนั้นเป็นเปลวไฟครั้นสุดจะอดทนหนักเข้าก็บ่ายหัวทำท่าจะ
ลงมา นายนิรยบาลก็เอาหอกแทงซำ กระหน่ำไม่เลือกที่แล้วร้องว่า
" สูมึงจงเร่งขึ้นไปหายอดชู้ของเจ้าที่อยู่บนปลายงิ้วโพ้น
จะกลับลงมาด้วยเหดุใดเล่า?"
เขาอดทนความเจ็บปวดมิได้ จึงอ้าปากพูดเถียงพูดวิงวอนนายนิรยบาลว่า
ข้าพเจ้าเจ็บปวดหนักหนา ขึ้นไปมิได้ ขอลงไปพักสักครู่มิได้ หรีอ? วิงวอน
ดังนี้ นายนิรยบาลจะได้ฟังเสียงก็หาไม่ กลับตีแทงกระหน่ำซ้ำลงไปอีก
ลัตว์นรกก็ต้องจำใจไต่ปีนขึ้นไปบนปลายต้นงิ้ว ทั้ง ๆ ที่ได้ รับความเจ็บปวด
หนักหนาปิ่มว่าจะขาดใจตาย ครั้นขึ้นไปถึงที่ปลายงิ้วเล่า ก็แลเห็นสัตว์นรก
หญิงนั้นกลับลงมาสู่เบื้องล่างรวดเร็วนักหนา
นายนิรยบาลทังหลาย ก็เงือดเงื้อศาลตราวุธบังคับให้ลัตว์นรกหญิงนั้น
ปีนขึ้นไปหาสัตว์นรกชายซึ่งเป็นยอดชู้อยู่เบื้องบน ครั้นทำรีรอไม่กล้าขึ้น
นายนิรยบาลก็ทบตีกระหน่ำแทงดัวยแหลนหลาวขับ ไล่ใหัขึ้นไป ทั้งๆ ที่
เลือดลาดท่วมตัวได้รับความเจ็บปวดทุกขเวทนานักหนา ครั้นพอขึ้นไปถึง
ก็กลับเห็นสัดว์นรกชายลงมาอยู่เบื้องล่างอีกเล่า เขาทั้งสองได้แต่เวียนขึ้นลง
หากันด้วยความลำบากอยู่อย่างนี้ จะได้อยู่ด้วยกันสักเพลานิดหนึ่งเป็นไม่มีเลย
นับเป็นเวลานานจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้
ลัตว์นรกบางตนบางพวก ขณะที่กำลังปีนป่ายขึ้นไปบนต้นงิ้วนั้น นอกจาก
จะถูกนายนิรยบาลคอยทิ่มแทงด้วยหอกด้วยแหลนหลาวแล้ว ก็ยังมีแร้งกา นรก
ซึ่งมีปากเป็นเหล็กคอยจิกทึ้งอวัยวะนอยใหญ่กินเป็นภักษาหาร ให้ได้รับ
ทุกขเวทนายิ่งขึ้น ครั้นลงมาข้างล่าง ก็ถูกสุนัขนรกตัวมหึมาฝูงใหญ่รุมกันแย่ง
กัน กัดกินเนื้อสัตว์นรกนั้น เป็นการช่วยนายนิรยบาลลงโทษอีกแรงหนึ่ง ต้อง
ได้รับความทุกข์แสนสาหัสอยู่อย่างนี้ นับเดือนปีได้นานหนักหนา
ที่ต้องมาเกิดในสิมพลีนรกนี้ ก็เพราะว่าเมื่อเป็นมนุษย์ได้ประพฤติล่วง
กาเมสุมิจฉาจาร คือ คบชู้สู่สาวผิดศีลธรรมประเวณี เป็นชายประพฤติเป็นชู้
กับภรรยาของผู้อื่น เป็นหญิงประพฤติเป็นชู้ กับสามีของหญิงอื่น หรือตนมี
สามีอยู่ แต่ยังมักมากในกามคุณ ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่ประมาณตน ไม่เกรงต่อ
บาปกรรม ประพฤติอสัทธรรมด้วยการคบชู้ หรือชายมีภรรยาอยู่แต่ลุ่มหลง
ตามใจตน ประพฤตินอกใจภรรยาไปสู่หาเป็นชู้กับหญิงอื่น เช่นนี้เป็นต้น
ครั้นแตกกายทำลายขันธ์ จึงต้องมาเกิดเป็นสัตว์นรก เสวยทุกขเวทนาอยู่ใน
สิมพลีนรกนั้น จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้
๓. อสินขะนรก
ต่อจากสิมพลีนรกไป ก็ถึงยมโลกนรกที่ ๓ มีชื่อว่า อสินขะนรก สัตว์ที่
เกิดในนรกขุมนี้ มีรูปร่างแปลกพิกล เล็บมือเล็บเท้าของตนแหลมยาวเป็นอาวุธ
เป็นหอก เป็นดาบ เป็นจอบ เป็นเสียมอันคมกล้า เสวยทุกขเวทนาประหนึ่งเช่น
คนบ้าวิกลจริต บ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็น
อาหาร เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ได้สดับมาว่า สัตว์นรกทั้งหลายเหล่านี้
เมื่อครั้งเป็นมนุษย์กระทำอทินนาทาน ชอบลักเล็กขโมยน้อย ลักขโมยของ
ในที่สาธารณะ ของที่เขาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือลักขโมย
ของใช้ เช่น เสื้อผ้า อาหารที่เจ้าของเขาหวงแหนเป็นหนักหนา ครั้นตายแล้ว
จึงต้องมาเสวยทุกข์อยู่ในนรกขุมนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม
๔. ตามโพทะนรก
ต่อจากอสินขะนรกไป ก็ถึงตามโพทะนรก ในนรกขุมนี้ มีหม้อเหล็ก
ต้มน้ำทองแดงอยู่มากมาย น้ำทองแดงกำลังเดือดพลุ่ง พร้อมกับมีก้อนกรวด
ก้อนหินปะปนอยู่ด้วยทุกๆ หม้อ สัตว
 

_________________
คำพูดเพียงน้อยนิดอาจเปลี่ยนชีวิตของคนได้
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 05 ต.ค.2008, 10:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตกใจ ตกใจ สาธุ สาธุ
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง