Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ในนามวัดเทียบศิลาราม และพุทธศาสนิกชนชาวบ้านหลักหินใหม่ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
อตฺตสนฺโต ภิกขุ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 03 ก.ย. 2006
ตอบ: 45
ที่อยู่ (จังหวัด): ศรีสะเกษ

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 6:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อาตมาภาพพระสุพิน อตฺตสนฺโต ประธานสงฆ์วัดเทียบศิลาราม

ต้องขอโอกาสขอความอนุเคราะห์ทีมงานเว็บทุกท่านใช้

พื้นที่บอกบุญอีกกระทู้ดังนี้

ในนามวัดเทียบศิลาราม และพุทธศาสนิกชนชาวบ้านหลักหินใหม่

ขอเชิญพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา

ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคีสร้างศาลาปฏิบัติธรรม

ในวันที่ ๗ - ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑

(ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึง ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๑)

ทอด ณ วัดเทียบศิลาราม

หมู่ที่ ๑๘ บ้านหลักหินใหม่ ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ

เนื่องด้วย วัดเทียบศิลารามได้ก่อสร้างศาลาปฏิบัติขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติ

ธรรมแต่ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งทางวัดเทียบศิลารามได้จัดปฏิบัติธรรมเป็นประจำ

ตลอดปี มีพุทธศาสนิกชนจากหลายที่เข้าปฏิบัติธรรม ด้วยความไม่สะดวกใน

เรื่องสถานที่รองรับผู้เข้าปฏิบัติธรรม ทางวัดเทียบศิลารามจึงได้จัดสร้างศาลา

ปฏิบัติธรรมขึ้นอัญเชิญสมเด็จองค์ปฐม ประดิษฐานเป็นองค์พระประธานใน

ศาลา และพระสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐมพระอรหันตธาตุ เพื่อให้บรรดาญาติ

โยมพุทธศาสนิกชน ได้กราบไหว้สักการบูชา เป็นมหาสิริมงคลต่อชีวิต การ

สร้างศาลาปฏิบัติธรรมนั้นต้องอาศัยแรงกายแรงศรัทธาจากบรรดาญาติโยมจึง

จะแล้วเสร็จ วัดเทียบศิลารามจึงขอน้อมศรัทธาจากบรรดาญาติโยมพุทธ

ศาสนิกชนผู้มีจิตเป็นบุญมีใจเป็นกุศลร่วมสร้างถาวรวัตถุเพื่อเชิดชูพระพุทธ

ศาสนา เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสร้างคนดีสู่สังคมสืบชั่วลูกชั่วหลาน

อันทานนี้โยมไซร้ได้สร้างแล้ว ดั่งเมืองแก้วโคมทองประคองศรี

จัดว่าเลิศประเสริฐนักปราศราคี ชั่วชีวี หาใดเปรียบเทียบเท่าบุญ

ดั่งเมืองแก้วโคมทอง ประคองท่า สร้างศาลาปฏิบัติธรรม นำสุขี

เพียบพร้อมแล้วหนุนนำซึ่งกรรมดี ชั่วชีวี มีแต่สุข ไร้ทุกข์ เอย.

กำหนดการ

วันศุกร์ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ (ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑)

เวลา ๑๓.๐๐ น. พิธีบวชชี-พราหมณ์

เวลา ๑๙.๐๐ น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์ สมโภชองค์กฐิน

วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ (ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๑๑)

เวลา ๑๑.๐๐ น. ร่วมถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ-สามเณร

เวลา ๑๑.๕๔ น. พิธีทอดถวายองค์กฐิน

เวลา ๑๒.๐๐ น. พระสงฆ์อนุโมทนา

วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ (ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๑)

เวลา ๐๗.๐๐ น. พิธีทำบุญตักบาตร

เวลา ๐๙.๐๐ น. พระสงฆ์อนุโมทนา เป็นเสร็จพิธี


ขออำนาจคุณพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คุณพระธรรมทั้งปวง คุณพระสงฆ์ทั่วพื้น

ปฐพี จงเป็นพลวะ เป็นตบะ เป็นเดชะ เป็นปัจจัยอำนวยอวยชัยให้บรรดาญาติ

โยมผู้ที่ได้ร่วมสร้างศาลาแห่งนี้ จงนิราศทุกข์ นิราศโศก นิราศภัย มีอายุยืน

นาน มีผิวพรรณผุดผ่องผ่องใส มีความสุขกายสุขใจ มีกำลังกายกำลังใจ

ประกอบการงานสิ่งใดสำเร็จลุล่วงได้ดั่งใจปรารถนา คำว่าไม่มีจงอย่าได้

พบพาน อันความยากจนจงอย่าได้พบเจอ มีศีลมีธรรมประจำใจจงทุกคนทุก

ท่าน เทอญ.
 

_________________
ทุกข์เพียงใดก็จางคลาย เมื่อได้มาถือศีลปฏิบัติธรรมhttp://www.wattiabsilaram.net/
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
อตฺตสนฺโต ภิกขุ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 03 ก.ย. 2006
ตอบ: 45
ที่อยู่ (จังหวัด): ศรีสะเกษ

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 6:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผลแห่งการชวนผู้อืนให้ทำบุญ
ในทางพุทธศาสนา การชักชวนผู้อื่นทำความดีนั้น
ผู้ชักชวนก็ได้บุญ และทำให้เป็นผู้มีบริวารมาก
หากทำด้วยตัวเองด้วยก็ยิ่งจะได้ทั้งทรัพย์สมบัติและบริวาร
ดังเรื่องที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาลว่า

กาลครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลได้รับสั่งให้สันตติมหาอำมาตย์
ไปปราบปรามโจรที่กำลังฮึกเหิมอย่างหนัก
เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงทราบว่า
มหาอำมาตย์ปราบโจรได้อย่างราบคาบแล้ว
ทรงพอพระราชหฤทัยมาก จึงพระราชทานทรัพย์สมบัติให้เป็นจำนวนมาก
รวมทั้งหญิงสาวที่เก่งในการร้องเพลงและฟ้อนรำนางหนึ่ง
อำมาตย์ได้ดื่มเหล้าฉลองชัยชนะจนเมามายถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
ในวันที่ เจ็ดเขาจัดแจงแต่งตัวด้วยอาภรณ์อย่างดี
แล้วขี่ช้างตัวที่ดีที่สุดไปยังท่าอาบน้ำ
เมื่อไปถึงก็เห็นพระศาสดากำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมือง
เขาจึงผงกศีรษะถวายบังคมด้วยความเคารพ
ในขณะที่นั่งอยู่บนคอช้างนั่นเอง

เมื่อพระศาสดาทรงเห็น จึงทรงแย้มพระโอษฐ์
พระอานนท์จึงทูลถามถึงสาเหตุที่พระองค์ทรงแสดงกิริยาเช่นนั้น
พระพุทธองค์ตรัสว่า “อานนท์ เธอจงดูสันตติมหาอำมาตย์
วันนี้เขาประดับด้วยอาภรณ์อย่างดี มาสู่สำนักเรา
เขาจะบรรลุพระอรหัตเพียงเพราะไดัฟังธรรมเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง
และจะปรินิพพานในอากาศ”

บรรดาชาวบ้านที่ได้ฟังคำของพระศาสดา
บางพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิคิดว่า “ท่านทั้งหลาย จงดูกิริยาของพระสมณโคดม
พระองค์ย่อมพูดสักแต่ปากเท่านั้น ในวันนี้สันตติมหาอำมาตย์นั้นเมาสุราอย่างหนัก
จะได้ไปฟังเทศน์ฟังธรรมที่ไหน พวกเราจักจับผิดพระสมณโคดมที่กล่าวมุสาวาท”

ส่วนพวกที่เป็นสัมมาทิฏฐิคิดกันว่า
“น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีอานุภาพมาก
ในวันนี้ เราทั้งหลาย จักได้ดูการเยื้องกรายของพระพุทธเจ้า
และการเยื้องกรายของสันตติมหาอำมาตย์”

ฝ่ายมหาอำมาตย์หลังลงเล่นน้ำตลอดทั้งวันที่ท่าอาบน้ำแล้ว
จึงกลับไปสู่อุทยาน และไปนั่งในโรงดื่ม
ขณะที่หญิงสาวที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานให้นั้น
ก็ขึ้นไปยืนอยู่ที่กลางเวทีเตรียมจะฟ้อนรำให้มหาอำมาตย์ดู
แต่พอเริ่มจะแสดง นางก็กลับมีลมพิษเกิดขึ้นในท้องอย่างหนัก
ปากอ้า ตาเหลือก และในที่สุดก็ขาดใจตาย
สาเหตุเพราะกินอาหารน้อยมาตลอด ๗ วัน
เพื่อให้ร่างกายอ้อนแอ้นน่าชมนั่นเอง

เมื่อมหาอำมาตย์รู้ว่านางตายแล้ว
เขาก็เกิดความเศร้าโศกอย่างแรงกล้าขึ้นมา กระทั่งส่างเมาทันที
พิษของสุราที่ดื่มมาตลอด ๗ วัน ได้เสื่อมหายไป
เขาคิดว่าคงไม่มีใครที่จะสามารถระงับความโศกเศร้าของเขาได้
เขาจึงไปขอเข้าเฝ้า พระศาสดาในตอนเย็นพร้อมกับบริวาร
และกราบทูลถึงเหตุแห่งความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นกับตน
และเหตุที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้า

ครั้นพระศาสดาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงตรัสว่า
“ท่านมาหาเราผู้สามารถที่จะดับความโศกได้แน่นอน
อันที่จริงน้ำตาที่ไหลออกของท่านผู้ร้องไห้ในเวลาที่หญิงนี้ตายด้วยเหตุอย่างนี้
มากกว่าน้ำของมหาสมุทรทั้ง ๔ ซะอีก” แล้วจึงตรัสพระคาถา ว่า

“กิเลสเครื่องกังวลใด มีอยู่ในกาลก่อน เธอจงยังกิเลสเครื่องกังวลนั้น
ให้เหือดแห้งไป กิเลสเครื่องกังวล จงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง
ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ ในท่ามกลาง จักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป”

หลังจากพระองค์เทศน์จบ สันตติมหาอำมาตย์ก็บรรลุพระอรหัตผล
แล้วพิจารณาดูอายุสังขารของตน ทราบว่าตัวเองจะหมดอายุขัยแล้ว
จึงกราบทูลพระศาสดาว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตการปรินิพพานแก่ข้าพระองค์เถิด”

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “สันตติมหาอำมาตย์ ถ้าอย่างนั้น
เธอจงเล่ากรรมที่เธอเคยทำไว้ในอดีตแก่เรา
แต่ก่อนจะเล่า จงอย่ายืนบนพื้นดิน จงยืนบนอากาศชั่ว ๗ ลำตาล”

มหาอำมาตย์จึงถวายบังคมพระศาสดา
จากนั้นก็ขึ้นไปสู่อากาศชั่วลำตาลหนึ่ง แล้วลงมาถวายบังคมพระศาสดาอีก
และขึ้นไปนั่งโดยบังลังก์บนอากาศ ๗ ชั่วลำตาลแล้ว
จึงเล่าบุรพกรรมของตนเองว่า

ในกัลป์ที่ ๙๑ แต่กัลป์นี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี
ตนได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง ในพันธุมดีนคร คิดอยู่ว่า
อะไรหนอเป็นกรรมที่ไม่ทำการตัดรอนหรือบีบคั้นชนเหล่าอื่น
เมื่อใคร่ครวญอยู่อย่างนี้ จึงรู้ว่ากรรมคือ
การป่าวร้องบอกบุญ ชักชวนคนทำบุญ เป็นสิ่งที่ดี
จึงชักชวนชาวบ้านทำบุญ เที่ยวเชิญชวนชาวบ้านทำบุญสมาทาน
อุโบสถศีลในวันอุโบสถ ถวายทาน
และฟังเทศน์ฟังธรรม เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัย

ผลของการชักชวนชาวบ้านบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลนั้นมีมากมายยิ่งนัก
ดังที่เกิดขึ้นกับตน คือ พระราชาผู้ใหญ่ทรง พระนามว่า ‘พันธุมะ’
เป็นพระพุทธบิดา เมื่อได้ทรงสดับความดังนั้น
จึงรับสั่งให้เรียกตนมาเฝ้า แล้วตรัสถามว่า กำลังทำอะไร ตนจึงทูลไปว่า
ได้เที่ยวประกาศคุณของพระรัตนะตรัย ชักชวนชาวบ้านทำบุญ ทำกุศล

พระราชาได้ตรัสถามว่า นั่งอะไรไป ตนได้กราบทูลไปว่า เดินไป
จึงตรัสขึ้นว่าไม่เหมาะที่จะเดินไปอย่างนั้นหรอก
จงประดับพวงดอกไม้นี้แล้วขี่ม้าไปเถิด ตรัสแล้วก็พระราชทาน
พวงดอกไม้ และม้าที่ฝึกแล้วให้ ต่อมาพระราชาเห็นว่าม้าก็ไม่สมควร
จึงได้พระราชทานรถที่เทียมด้วยม้าพันธุ์ดี
และไม่นานพระราชาก็คิดว่ารถเทียมม้าก็ไม่สมควรอีก
จึงได้พระราชทานทรัพย์สินเงินทองพร้อมทั้งเครื่องประดับเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นยังได้พระราชทานช้างเชือกหนึ่งด้วย
ตนจึงนั่งบนคอช้าง ออกเที่ยวชักชวนคนทำบุญทำกุศลอยู่อย่างนี้สิ้นแปดหมื่นปี
กลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากกาย กลิ่นอุบล ฟุ้งออกจากปากตลอดกาลมีประมาณเท่านี้”

หลังจากสันตติอำมาตย์กราบทูลบุรพกรรมของตนแล้ว
ท่านก็ปรินิพพานบนอากาศนั่นเอง

........

วิธีการทำบุญที่สันตติอำมาตย์ได้ชวนผู้อื่นทำนั้น
มีทั้งการให้ทาน รักษาศีล และฟังธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ
ไม่มีทรัพย์สินเงินทองก็สามารถทำได้
เพราะวิธีการทำบุญมีมากมายหลายวิธี เราสามารถทำบุญด้วยการรักษาศีล
ฟังธรรม และเจริญภาวนา เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆ
เหล่านี้ล้วนแต่ให้อานิสงส์มากมายยิ่งนักแก่ผู้ปฏิบัติ
ไม่ได้น้อยไปกว่าการทำบุญด้วยวัตถุสิ่งของเลย

จะเห็นว่าสันตติอำมาตย์ได้ทำบุญอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
แสดงให้เห็นถึงการมีจิตใจแน่วแน่เด็ดเดี่ยวในการทำความดี
ดังนั้น หากเราคิดอยากจะได้บุญที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
ก็จงแน่วแน่ในการสร้างความดีต่างๆ อย่าท้อแท้หมดกำลังใจเมื่อมีมารมาขัดขวาง
นอกจากนั้นจงใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเป็นปัจจัยในการเข้าถึงสัจธรรม
เพราะทุกอย่างที่อยู่รอบตัว สามารถเป็นบทเรียนให้เราได้
หากเรารู้จักใช้สติปัญญาพิจารณาอย่างจริงจัง
และน้อมเข้ามาเปรียบเทียบกับตัวเอง และเมื่อเรามีปัญญาเห็นความจริงแล้ว
ก็จงพยายามถ่ายทอดต่อไปยังคนอื่นๆ การชี้ทางให้แก่คนอื่น ก็เป็นบุญอันยิ่งใหญ่
เป็นธรรมทาน มีอานิสงส์มากมาย


(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 90 พ.ค. 51 โดย มาลาวชิโร)

คัดลอกจาก...ผู้จัดการออนไลน์
 

_________________
ทุกข์เพียงใดก็จางคลาย เมื่อได้มาถือศีลปฏิบัติธรรมhttp://www.wattiabsilaram.net/
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
อตฺตสนฺโต ภิกขุ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 03 ก.ย. 2006
ตอบ: 45
ที่อยู่ (จังหวัด): ศรีสะเกษ

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 6:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลวงพ่อพระราชพรหมยานอธิบายเรื่องอานิสงส์ของกฐิน

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ การทอดผ้าป่า กับ การทอดกฐินอย่างไหนได้อานิสงส์มากน้อยกว่ากันคะ..?"
หลวงพ่อ : "ความจริง ผ้าป่า กับ กฐินเป็นสังฆทานด้วยกันทั้งคู่นะ แต่ถ้าว่าอานิสงส์โดยเฉพาะกฐินได้มากกว่า เพราะว่ากฐินมีเวลาจำกัด จะทอดตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 แต่อานิสงส์ได้ทั้งสองฝ่าย คือ ผู้ทอดก็ได้ พระผู้รับก็ได้ พระผู้รับมีอำนาจคุ้มครองพระวินัยได้หลายสิกขาบท ทำให้สบายขึ้น

ต้นเหตุแห่งการทอดกฐินนี้ ก็มี นางครั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว ภิกษุชาวปาฐา 30 รูปเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ในเวลานั้นพระสงฆ์ทั้งหลายมีผ้าจำกัดเพียง 3 ผืนเท่านั้น เมื่อมาถึงในขณะที่นางวิสาขา เฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่พอดี เห็นพระมีผ้าสบงจีวรเปียกโชกด้วยน้ำฝนและน้ำค้าง จึงได้กราบทูลขอพรแด่พระพุทธเจ้าว่า " หลังจากออกพรรษาแล้ว ขอบรรดาประชาชนทั้งหลายมีโอกาสถวายผ้าไตรจีวร แก่คณะสงฆ์ด้วยเถิด" พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุมัติ ส่วนผ้าป่าก็เป็นสังฆทาน แต่อานิสงส์จะน้อยไปนิดหนึ่ง แต่ทั้งสองอย่างก็เป็นสังฆทานเหมือนกัน แต่เป็นสังฆทานเฉพาะกิจ กับสังฆทานไม่เฉพาะกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าป่าผู้ให้ก็ได้อานิสงส์ ผุ้รับก็มีอานิสง์แต่เพียงแค่ใช้ เป็นอันว่าทั้งสองอย่างนี้ถือว่าอานิสงส์การทอดกฐินมากกว่าผ้าป่า แต่ว่าการทอดกฐินปีหนึ่งครั้งเดียว ผ้าป่าทอดได้หลายครั้ง อานิสงส์ผ้าป่าย่อมได้มากกว่านะ"



ผู้ถาม : "แล้วองค์กฐินที่แท้จริงเป็นอย่างไรคะ..?"


หลวงพ่อ : "องค์กฐินจริง ๆ คือ ผ้าไตร นอกนั้นเป็นบริวาร เวลากรานกฐินจริง ๆ เรากรานกันแต่ผ้า การถวายก็ไม่ยาก เรามีผ้าจีวรผืนหนึ่งหรือว่าสบงผืนหนึ่ง หรือว่าสังฆาฏิผืนหนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เขาเรียกว่า จุลกฐิน หรือจะถวายไตรจีวรครบทั้งวัด เขาเรียกว่า มหากฐิน

ฉะนั้น จะถวายมากก็ได้ ถวายน้อยก็ได้ อานิสงส์เหมือนกัน โดยเฉพาะที่วัดท่าซุง จัดเป็นกฐินสามัคคี เป็นเจ้าภาพร่วมกันทุกคน ได้อานิสงส์เท่ากันหมด

สำหรับการทอดกฐินครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านเคยเทศน์คือพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระปทุมุตตระท่านเคยเทศน์วาระหนึ่ง สมัยที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็น มหาทุคคตะ

คำว่ามหาทุคคตะนี้จนมาก เป็นทาสของท่านคหบดี ได้ไปฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าว่า อานิสงส์กฐินนี้มีมาก ท่านจึงกลับไปชวนนาย แต่นายก็มอบหมายทรัพย์สมบัติให้ท่านเป็นผู้จัดการทุกอย่าง ท่านมหาทุคคตะอยากมีส่วนร่วมในทานนี้ด้วย แต่ไม่มีอะไรมีแต่เสื้อผ้าเก่า ๆ ขอตนที่มีติดตัวอยู่เพียงชุดเดียว จึงนำไปแลกที่ร้านในตลาด มีด้าย 1 กลุ่ม เข็ม 1 เล่ม เอามาร่วมในการทอดกฐินกับเจ้านาย เพื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล พระองค์ทรงตรัสว่า คนถวายผ้ากฐิน หรือ ร่วมในการถวายกฐินทานครั้งหนึ่ง
จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนาเป็นพระอรหันต์ก็ได้ แต่ถ้าหากว่ายังไม่ถึงพระนิพพาน เพียงใดอานิสงส์จะให้ผลแก่ท่านผู้นั้น เมื่อตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาแล้วก็จะลงมาเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ปกครองโลก 500 ชาติ เมื่อบุญน้อยลงมาจะเป็น พระมหากษัตริย์ 500 ชาติ เป็น มหาเศรษฐี 500 ชาติ เป็น อนุเศรษฐี 500 ชาติ เป็น คหบดี 500 ชาติ แต่คนที่ทอดผ้ากฐิน หรือว่าร่วม ในการทอดผ้ากฐินครั้งหนึ่งก็ดี บุญบารมีส่วนนี้ยังไม่ทันหมดก็ปรากฏว่า ท่านเจ้าของทานไปนิพพานก่อน"


ที่มา http://www.putthapoom.com/answer/answer2.html



อานิสงส์กฐินทาน

ความจริงการทอดกฐินไม่ใช่ประเพณีนิยม เป็นพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่าผ้ากฐินทานจะรับได้ก็ต่อเมื่อถึง วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ หลังจากนั้นจะทอดขนาดไหนก็ตามจะไม่เป็นกฐินฉะนั้นกฐินมีเวลากาลจำกัด ทีนี้ว่าถึงอานิสงส์กฐิน อานิสงส์กฐินนี้ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยาท่านเคยเทศน์ และก็เทศน์ตามบาลี ท่านพูดถึงอานิสงส์ให้ทราบ ฉะนั้นการถวายวันนี้ทั้งหมด เมื่อวานก็ดี วันนี้ก็ดีจะเป็นเงินก็ตาม จะเป็นของก็ตาม ถือว่าทุกอย่างเป็น อานิสงส์กฐิน ต่อไปนี้ก็โปรดทราบ จะนำพระสูตรตามที่ท่านกล่าวไว้ในบาลีให้ทราบ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ในสมัยที่พระองค์เกิด เป็นมหาทุคคตะ ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระปทุมมุตระ เวลานั้นพระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นคนจนอย่างยิ่ง เป็นทาสของคหบดี เวลานั้นถอยหลังจากนี้ไป ๙๑ กัป ก็ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระปทุมมุตระ วันหนึ่งมหาทุคคตะไปดูงานทอดกฐินเขา เมื่อเขาทอดกฐินเสร็จ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า บุคคลใดเคยทอดกฐินแล้วในชีวิตหนึ่ง ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพกฐินก็ดี และเป็นบริวารกฐินก็ดี (แต่ว่ากฐินวันนี้ไม่มีบริวาร มีแต่เจ้าภาพ เพราะเป็นกฐินสามัคคี) จะทำบุญน้อยจะทำบุญมาก มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ทว่าปริมาณอาจจะแตกต่างกัน และอานิสงส์กฐินนี่ เวลานั้นพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า"โภ ปุริสะ ดูกรท่านผู้เจริญ บุคคลใดเคยทอดกฐินไว้ในพระพุทธศาสนา แม้ครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าตายจากความเป็นคน ยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ท่านผู้นั้นจะไปเกิดเป็นเทวดา หรือนางฟ้า๕๐๐ ชาติ" นั่นหมายความว่า ถ้าหมดอายุเทวดา หรือนางฟ้าจุติแล้วก็เกิดทันที ๕๐๐ ครั้ง เมื่อบุญหย่อนลงมานิดหน่อย เกิดเป็นเทวดาเกิดเป็นนางฟ้าไม่ได้ ลงมาเป็นมนุษย์ จะเกิดเป็นพระเจ้า จักรพรรดิปกครองโลก ๕๐๐ ชาติ เมื่อเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ๕๐๐ ชาติแล้ว บุญก็หย่อนลงมา ก็จะเป็นพระมหากษัตริย์ ๕๐๐ ชาติ หลังจากนั้น จะเป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ

คำว่ามหาเศรษฐีนี่ มีเงินตั้งแต่ ๘๐ โกฏิขึ้นไป เขาเรียกว่า มหาเศรษฐี แต่ว่าตั้งแต่ ๔๐ โกฏิ ขึ้นไป เขาเรียก อนุเศรษฐี

เมื่อเป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติแล้ว ก็เป็นอนุเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ หลังจากเป็นอนุเศรษฐี ๕๐๐ ชาติแล้ว ก็เป็นคหบดี ๕๐๐ ชาติ
ก็รวมความว่า การทอดกฐินครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่านอกจากจะเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีแล้วบุคคลที่ทอดกฐินครั้งหนึ่งในชีวิต จะปรารถนาพระโพธิญานก็ย่อมได้ นั่นหมายความว่า จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนา เป็นอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาเป็นมหาสาวกก็ได้ จะปรารถนานิพพาน เป็นพระอรหันต์ปกติก็ได้ ฉะนั้นการทอดกฐินแต่ละคราว ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบถึงอานิสงส์คนที่เคยทอดกฐินแล้วแต่ละครั้ง รวมความว่าถ้ายังไม่ถึงพระนิพพาน
เพียงใด คำว่า ยากจนเข็ญใจจะไม่มีแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกชาติ
สำหรับวันนี้ การทอดกฐินมันมี ๓ อย่าง ความจริงอานิสงส์กฐินก็ย่อมเป็นอานิสงส์กฐิน แต่ในปัจจุบันจัดกฐินเป็น๓ อย่างคือ ๑. จุลกฐิน ๒. ปกติกฐิน ๓. มหากฐิน กฐิน ๓ อย่างย่อมเป็นเทวดานางฟ้าเหมือนกัน แต่ทว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากกว่ากัน คำว่า จุลกฐิน เวลานี้แปลงไปคงจำของพระพุทธเจ้าไม่ได้ คำว่า จุลกฐิน ก็หมายความว่า เขาถวายผ้าโดยเฉพาะชิ้นเดียว คือ ผ้ากฐินจะเป็นผ้าสังฆาฏิตัวหนึ่งก็ได้ จะเป็นผ้าจีวรตัวหนึ่งก็ได้ สบงตัวหนึ่งก็ได้ ถ้าเราไม่มีทั้งไตร ถวายผ้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งก็เป็นกฐิน ทีนี้ถ้า ปกติกฐิน ก็มีผ้าไตรครบไตร ถวายผ้าไตรเดียวหรืออย่างน้อย ก็มีผ้าไตร ๓ ไตร คือองค์ครอง ๑ ไตร คู่สวด ๒ ไตร ทีนี้ถ้ามีผ้าไตรครบทุกองค์ อย่างที่วัดทำเป็นมหากฐิน อย่างนี้ถ้าบังเอิญจะไปเกิดในชาติใดก็ตาม จะเป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สมบัติมากที่สุดเป็นพิเศษ อย่างตระกูล นางวิสาขามหาอุบาสิกา มีทรัพย์มากเป็นพิเศษ อย่างมหาเศรษฐีเขาบอกว่า ต้องมีเงิน ๘๐ โกฏิ หรือว่า ๑๖๐ โกฏิ แต่ว่าตระกูลของนางวิสาขาจะนับเป็นโกฏิไม่ได้ ต้องนับเป็นโกฏิของเล่มเกวียน ไม่ใช่นับเป็นโกฏิของเหรียญ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าตระกูลนี้ร่ำรวยมาก ตระกูลนางวิสาขาจริงๆ เริ่มต้นมาจากคนที่ยากจนเข็ญใจ ต้นตระกูลนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านเมณฑกเศรษฐี นี้ ท่านเมณฑกเศรษฐีเป็นปู่ของนางวิสาขา ในชาติก่อนโน้นท่านเป็นคนยากจนเข็ญใจมาก เรียกว่าเป็นคนแก่ ๒ คน ไม่มีลูก ลูกหญิงไม่มี ลูกชายไม่มี แล้วก็หาเช้ากินค่ำ หรือว่าหาค่ำกินเช้าไม่ได้เกิดพร้อมท่าน ไม่รู้ ใช่ไหม…เป็นอันว่า หากันไม่ค่อยจะพอกิน บ้านอยู่ใกล้วัด ไม่มีโอกาสจะทำบุญ ถึงแม้วันพระที่เขาตั้งใจทำบุญกัน เวลาจะทำบุญก็ไม่มี ถ้าขืนมาทำบุญไม่ได้ทำงานก็ไม่มีกิน มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ศรัทธาน่ะ มีอยู่ แต่ทรัพย์ไม่มีมาคราวหนึ่งปรากฏว่า ที่วัดเขาสร้างส้วม เมื่อเขาสร้างส้วมเสร็จ แล้วเขาก็ขุดหลุมส้วมเสร็จ ตอนกลางคืนสองคนตายายก็คิดในใจว่าชาตินี้ทั้งชาติเรามันจนแสนจน ไม่มีเงินจะทำบุญ ไม่มีข้าวจะใส่บาตร เวลานี้เขาสร้างส้วมเสร็จ เรามีทองคำอยู่ชิ้นหนึ่งเท่าปีกริ้น นั่นก็คือ ทองคำเปลว เราเอาไปบูชาพระรัตนตรัยดีกว่า ฉะนั้นเวลากลางคืนมันว่างงาน สองคนตายายย่องเอาทองคำมาปูตรงที่ก้นหลุมส้วม ตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย ฟังแล้วก็จำไว้ให้ดีนะ นี่สำคัญมากหลังจากนั้นสองคนตายายก็นั่งคิดนอนคิดถึงบุญที่ทำแล้ว ก่อนจะหลับก็ดีใจว่าชาตินี้เราได้ทำบุญด้วยทองคำ ตื่นขึ้นมาก็ดีใจว่าเราได้ทำบุญด้วยทองคำ ปลื้มใจทุกวัน จนกว่าจะถึงวันตาย เมื่อตายจากความเป็นคนอาศัยอานิสงส์ที่ถวายทองคำเท่าปีกริ้นหรือทองคำเปลว ไปบูชาพระรัตนตรัยไว้ที่ก้นหลุม ทั้งสองก็ไปเกิดเป็นเทวดาและนางฟ้าด้วยอานิสงส์อย่างยิ่ง ที่บูชาพระรัตนตรัยด้วยทองคำ ก็เป็นเหตุให้มาเกิดเป็นลูกของมหาเศรษฐีจากคนแสนจนนะ มาเป็นลูกมหาเศรษฐี ทีนี้ชาติเดิมท่านเป็นคนมีศรัทธาเป็นปกติ แต่ไม่มีทรัพย์ เมื่อไปเกิดเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าก็มีศรัทธาเป็นปกติ มาเกิดเป็นลูกของมหาเศรษฐีก็เป็นคนมีศรัทธาเป็นปกติ มีความเมตตาปราณีในบุคคลทั้งหลาย ฉะนั้นท่านมหาเศรษฐีคนนี้จึงมีสภาพไม่เหมือนเศรษฐีคนอื่น เมื่อเป็นเศรษฐีแล้วก็ไม่หวังผลกำไรในดอกเบี้ย ปีหนึ่งได้ข้าวเท่าไร เศรษฐีมีนาเป็นแสนไร่ ได้ข้าวมาก ก็กันไว้ส่วนหนึ่ง แกล้งขายเอาเงินเข้าในกองทรัพย์สินของตนเอง อีกส่วนหนึ่งเอาไว้แจกกับคนจนแต่ว่าต่อมาท่านจะเก็บข้าวเอาไว้จริงๆ ข้าวที่เก็บไว้กินเอง เก็บไว้ประมาณเผื่อคนจนด้วย เผื่อท่านด้วย ที่เก็บไว้นะ ๓ ปี ปีหนึ่งได้ข้าวมาแล้ว เก็บไว้เผื่อกินเองบ้าง เผื่อคนจนบ้าง นี่ ๓ ปี เหลือจากนั้นก็ขาย เหลือจากนั้นก็แจก และมาในตอนหนึ่งปรากฏว่าในประเทศนั้นเกิดข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล ฝนมันแล้งชาวบ้านทำนาไม่ได้ ท่านมหาเศรษฐีก็แจกข้าวกับบรรดาประชาชนที่มาขอ ไม่มีคำว่าขาย แจกมาแจกไป แจกไปแจกมา ในปีแรกข้าวก็ยังเหลือ ปีที่สองข้าวก็ยังเหลือ มันแล้งตั้ง ๓ ปีพอถึงปีที่ ๓ ข้าวหมด ข้าวที่แจกเขาก็หมด มีไว้เพื่อแจก ข้าวที่มีไว้เพื่อกินก็หมด ทีนี้ข้าวมันเหลือทะนานเดียว เวลานั้นปรากกว่าข้าทาสหญิงชายมีมาก ปล่อยหมด ไปตามเวรตามกรรม ไปหากินเองที่บ้านนี้ไม่มีกินแล้ว ถ้าขืนอยู่ก็อดตาย มีทาสคนหนึ่งชื่อว่านายบุญ ไม่ยอมไปจากนาย บอกถ้านายอดขออดด้วย ถ้านายตายขอตายด้วย ก็เป็นอันว่าตามธรรมดามหาเศรษฐีต้องไปเฝ้าพระราชาเช่นเดียวกับอำมาตย์ทั้งหลาย เวลาประชุมขุนนาง เวลาประชุมขุนนาง มีวันหนึ่งข้าวเหลือทะนานเดียวท่านมหาเศรษฐีก็กลับมาจากเฝ้าพระราชา ก็ถามแม่บ้านว่าข้าวของเรามีเท่าไร แม่บ้านก็บอกว่า ข้าวของเรามีหนึ่งทะนาน ที่บ้านเรามี ๕ คน ฉัน




ธรรมเทศนาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จากหนังสือธรรมวิโมกข์
__________________
รักตัวเองต้องรักษาศีล ทำลายศีลคือทำลายตัวเองhttp://www.wattiabsilaram.net/
 

_________________
ทุกข์เพียงใดก็จางคลาย เมื่อได้มาถือศีลปฏิบัติธรรมhttp://www.wattiabsilaram.net/
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
อตฺตสนฺโต ภิกขุ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 03 ก.ย. 2006
ตอบ: 45
ที่อยู่ (จังหวัด): ศรีสะเกษ

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 6:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การกฐินครั้งนี้ทางวัดจะนำไปทำดังนี้

หรือท่านยังสามารถจองเป็นเจ้าภาพได้ดังนี้เช่น
กัน

ราคาหน้าบัน 2 หน้า หน้าละ 100,000 บาท ร่วม 200,000 บาท

ช่อฟ้าเอก 30,000 บาทช่อฟ้าโท 20,000 บาท

ใบระกา 4 ตัว ตัวละ 20,000 บาท ร่วม 80,000 บาท

ทางยังเปิดโอกาสให้ท่านได้ร่วมบุญถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 51 นี้

ท่านสามารถร่วมบุญได้ที่ วัดเทียบศิลาราม หมู่ที่ 18 บ.หลักหินใหม่

ต.บักดอง อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ 33150

หรือที่

ชื่อบัญชี พระสุพิน อตฺตสนฺโตธนาคารกรุงไทย สาขาขุนหาญ

บัญชีเลขที่ 326-0-16077-9 ออมทรัพย์ ( โอนเงินเข้าบัญชี

แล้วกรุณาโทรแจ้ง ฯ )

โทรศัพท์ 085-657-8676

หรือ .. pharasupinattasanto@gmail.com

http://www.wattiabsilaram.net/phpbbthai/index.php
 

_________________
ทุกข์เพียงใดก็จางคลาย เมื่อได้มาถือศีลปฏิบัติธรรมhttp://www.wattiabsilaram.net/
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
dd
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2008
ตอบ: 179
ที่อยู่ (จังหวัด): overseas

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.ย. 2008, 10:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนาครับ ผมขอนำข่าวไปลงเวปอื่นด้วยครับ
 

_________________
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง