Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ...(อยาก)บอกลาสิ่งบูดเน่าในใจเสียที...(ปรีดา เรืองวิชาธร) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 6:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รุ่นน้องคนหนึ่งได้เล่าถึงชีวิตที่กำลังทนทุกข์เจ็บปวด
อันเนื่องจากคนรักแปร รักปันใจไปให้คนอื่น
เขารู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง
จึงรู้สึกโกรธคนรักฝังแน่น จนยากที่จะให้อภัยได้
เมื่อถามว่าแล้วจะทำอย่างไรกับความทุกข์ที่หนักหน่วงกดทับในขณะนี้
ผมรู้สึกทึ่งและชื่นชมที่เขาตอบว่า
ตั้งใจว่าจะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดครั้งนี้ โดยไม่ถอยหนีไปไหน
เพราะคิดว่ามันเป็นโอกาสทองที่เหตุการณ์ครั้งนี้
เหมือนกับจักรวาลส่งของขวัญชิ้นนี้
ลงมาทดสอบภูมิคุ้มกันทางจิตวิญญาณภายใน
ว่าจะเข้มแข็งเพียงใด
อีกด้านหนึ่งก็เป็นคู่ซ้อมอันท้าทายเพื่อการเติบโตภายใน
ดังนั้นจึงไม่คิดจะหลบลี้หนีหน้าความทุกข์เจ็บปวดครั้งนี้

ขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่เลือกเก็บความทนทุกข์เจ็บปวดไว้
โดยกักขังหน่วงเหนี่ยวและหล่อเลี้ยงความทุกข์ไว้ในห้องมืดของใจ
อย่างไม่รู้ตัว ดังพี่พยาบาลคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า
ตนเก็บความรู้สึกโกรธเกลียดพ่อมาร่วมยี่สิบปี
ที่พ่อใช้ความรุนแรงกระทำกับแม่
และไม่รับผิดชอบดูแลครอบครัวอย่างที่คนเป็นพ่อควรจะทำ
แม้เวลาจะล่วงเลยมานาน
และทุกอย่างในครอบครัวก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากแล้ว
แต่ก็ยังให้อภัยพ่อไม่ได้เลย
ลึกไปกว่านั้นก็กลับรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลาที่ตนไม่สามารถรักพ่อได้
เวลาแสดงออกหรือปฏิบัติกับพ่อ ก็ทำเพียงเพราะได้ชื่อว่าเป็นลูก
แต่ไม่ได้ทำด้วยความรู้สึกรักจากหัวใจ
หลายคนก็เป็นเช่นเดียวกับพี่พยาบาลคนนั้น
ที่เลือกกักขังและหล่อเลี้ยงปมความทุกข์ไว้ที่ห้องมืดของใจ
บางคนก็เก็บปมความรู้สึกด้อยหรือความไม่มั่นใจในตัวเอง
รวมไปถึงความรู้สึกกลัวบางอย่างภายใน
รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองด้อยและไม่เก่ง
ดังเวลาต้องเผชิญกับบางเหตุการณ์ในชีวิต
หรือเผชิญหน้ากับบางคนทีไรเป็นต้องรู้สึกกลัวและไม่มั่นใจ
ไร้พลังไร้เรี่ยวแรงที่จะดำรงอยู่ ณ ขณะนั้น
ทำอะไรออกมาก็ขาดคุณภาพขาดความเป็นตัวเอง
ศักยภาพที่แท้จริงเหมือนถูกกดถ่วงหน่วงทับ
ไม่สามารถปลดปล่อยมาได้อย่างอิสระ
ดังนั้นเหตุการณ์หรือคนนั้น
จึงเป็นหลุมดำของชีวิตที่คอยดูดกลืนพลังชีวิตไป
บางคนก็อาจเก็บภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ผิดพลาดล้มเหลว
จนทำให้ชีวิตในช่วงนั้น หมดความเชื่อมั่นศรัทธาในตัวเองลง
แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมานานแล้ว
แต่ก็มักผุดโผล่เป็นฝันร้ายมาหลอกหลอน
จนชีวิตเศร้าหมองขาดพลังไป
โดยเฉพาะหากสถานการณ์กำลังมีแนวโน้ม
ที่ดำเนินไปคล้ายกับเหตุการณ์ในนั้น
ก็เกิดความตื่นตระหนกหวาดกลัว
หรือเวลาจะทำอะไรสักอย่างก็ไม่กล้าตัดสินใจ
เพราะกลัวจะผิดพลาดล้มเหลวเหมือนในอดีต
นับเป็นการแช่แข็งภาพเหตุการณ์ไว้ในห้องมืดของใจ
ที่เห็นได้บ่อยเช่นกัน

ที่ ความรู้สึกผิด ความโกรธเกลียด ความเจ็บปวด
ความกลัวหรือความรู้สึกด้อยยังคงถูกแช่แข็งไว้ในใจ
และผุดขึ้นมารบกวนสร้าง ความหวั่นไหวให้กับเราได้ทุกเมื่อ
ก็เพราะ เหตุการณ์หรือคนๆ นั้น
ได้ทำให้เราเกิดความรู้สึกทุกข์เจ็บปวดภายในรุนแรง
แรงมากพอที่จะทำให้ความมั่นคง
และความสามารถภายในที่มีอยู่ในขณะนั้น
ไม่สามารถช่วยพยุงให้เราผ่านเรื่องร้ายแรงนั้นได้
มันรุนแรงอย่างไม่นึกไม่ฝันมาก่อนและมักไม่ทันได้ตั้งตัว
เราจึงรู้สึกพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
และผูกเป็นปมร้ายซ่อนอยู่ในห้องมืดของใจ
ในอีกด้านหนึ่งเราก็มักเผลอรดน้ำพรวนดิน
เมล็ดพันธุ์ของปมร้ายให้เติบโตงอกงามอย่างไม่รู้ตัว
ดังเช่นคนที่เก็บปมผูกโกรธไว้
ยามใดที่นึกถึงคนที่โกรธก็ชอบเผลอคิดปรุงแต่ง
ให้ร้ายเขาอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หรือคนที่เคยผิดพลาดล้มเหลวครั้งใหญ่ในชีวิต
ก็ชอบเฝ้าครุ่นคิดจ่อมจมอยู่กับฝันร้ายในอดีต
พร้อมกับชอบคิดวนเวียนตัดสินตีตราตนเองว่า
ด้อยค่าไร้ความสามารถ
ไม่ว่าจะทำอะไรสำเร็จดีขึ้นมาบ้าง
ก็มักจะมองไม่เห็นคุณค่าภายในของตน
ถึงจะทำดีทำสำเร็จมากเท่าใด
ก็ยังรู้สึกดีไม่พอที่จะลบล้างความผิดพลาดครั้งนั้นลงได้ เป็นต้น

ลึกๆแล้วเรายังไม่สามารถให้อภัยตัวเอง
และคนที่ทำให้เราทุกข์เจ็บปวดได้
และที่เรายังให้อภัยไม่ได้
ก็อาจเป็นเพราะเรามองเหตุการณ์นั้นคนนั้นอย่างหยุดนิ่งตายตัว
จึงยึดมั่นถือมั่นเหตุการณ์นั้นคนนั้นให้เป็นภาพนิ่ง
ที่คอยหลอกหลอนใจ ไม่ได้รับรู้หรือมองมันตามความเป็นจริง
กล่าวคือ ประการแรกเหตุการณ์ร้ายในอดีตนั้น
จริงๆแล้วเกิดขึ้นจากหลายเหตุปัจจัยเชื่อมโยงกันหลายชั้นหลายทอด
แต่เราก็รับรู้ความจริงได้จำกัด คือ
เห็นเฉพาะเจาะจงว่าคนๆนั้นหรือบางแง่บางมุมของเหตุการณ์
ว่ามันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ทนทุกข์เจ็บปวด
เช่น เมื่อผิดพลาดล้มเหลวครั้งใหญ่ในชีวิต
ก็เลือกเพ่งโทษเฉพาะความผิดพลาดของตัวเองเพียงจุดเดียว เป็นต้น
อีกประการหนึ่งก็คือ ใจที่จมปลักติดยึดกับอดีตอย่างไม่ปล่อยวาง
มักจะคอยปลุกปั้นฝันร้ายในอดีตให้ฟื้นคืนชีพอยู่เรื่อยๆ
ที่สำคัญยิ่งฝันร้ายมีอิทธิพลกับเรามากเท่าใด
มันก็ยิ่งปิดกั้นลดทอนความสามารถที่จะรับรู้ความจริงตามที่มันเป็น
เราจะมองไม่เห็นว่าเหตุการณ์นั้นคนนั้น
รวมถึงตัวเราล้วนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
อย่างเช่นแม้ว่าเราจะเข้มแข็งเติบโตขึ้นแล้ว
แต่ก็มักจะมองไม่เห็นหรือรู้สึกว่า
ตนยังอ่อนแอเกินไปที่จะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ในทำนองเดียวกับอดีต

ดังนั้นหากไม่อยากกักขังหล่อเลี้ยงสิ่งบูดเน่าในใจอีกต่อไป
เราจำต้องกล้าเผชิญหน้าอย่างซื่อตรงเพื่อที่จะยอมรับและรู้จักมัน
ทั้งนี้เราอาจต้องใช้หลากหลายวิธีควบคู่ในเวลาเดียวกัน

สิ่งแรกที่ ควรทำเป็นพื้นฐานก็คือ หมั่นทำภาวนา
ให้จิตใจสงบเกิดความมั่นคงภายใน
รวมถึงการภาวนาในชีวิตประจำวัน
ด้วยการตามรู้จิตที่กำลังรู้สึกนึกคิด
แต่ละขณะที่กระทบสัมผัสกับโลกภายนอก
หากเราฝึกฝนอยู่เสมอก็จะสามารถตามรู้ความจริงของจิตใจได้

หรือในบางครั้งที่เรากำลังทำภาวนาก็ลองเชื้อเชิญปมร้ายของเรา
ให้ปรากฏขึ้นในใจ เมื่อภาพปมร้ายนั้นปรากฏขึ้นมาแล้ว
ให้ใช้สติรับรู้ความรู้สึกของจิตใจเราตรงๆโดยไม่ต้องขัดขืน
ดัดแปลงหรือกดข่มลง ฝึกตามรู้จิตที่กำลังรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งไปเรื่อยๆ
ดูหรืออยู่กับมันจนเห็นหน้าตาของมันอย่างแท้จริง
เมื่อฝึกบ่อยๆเราจะค่อยๆมองเห็นปมที่ติดค้างชัดเจน
และจะค่อยๆยอมรับได้อย่างแท้จริง
จะสามารถมองเห็นเหตุปัจจัยหลายแง่หลายด้านชัดเจนรวม
ถึงมองเห็นจิตที่เราเข้าไปติดยึดเหตุการณ์นั้นคนนั้นอย่างตายตัว
และสุดท้ายจะเห็นความเป็นจริงของจิตว่า
มันล้วนเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เป็นสภาพที่คงอยู่อย่างเที่ยงแท้ถาวร

นอกจากการทำภาวนาที่ลงลึกถึงความจริงของจิตแล้ว
บางครั้งเราอาจตั้งคำถามและสนทนากับตัวเองภายใน
หรือมีเพื่อนที่สนิทใจมาร่วมสนทนาบ้างเป็นบางครั้ง
โดยตั้งคำถามอย่างซื่อตรงไปที่ภายในของเราว่า
หากปมร้ายในใจยังวนเวียนอยู่อย่างนี้

๑)สิ่งที่เราจะได้ประโยชน์นั้นมีอะไรบ้าง

๒)สิ่งที่เราจะได้รับด้านลบมีอะไรบ้าง

๓)หากเป็นอยู่อย่างนี้เราต้องจ่ายอะไรเป็นต้นทุนบ้าง

๔)ที่ผ่านมาเราได้รดน้ำพรวนดินปมร้ายในใจด้วยการทำอะไรบ้าง

๕)เราจะรดน้ำพรวนดินอำนาจที่ดีงามภายในได้อย่างไร

ดังเช่นพลังแห่งเมตตากรุณา ความรัก
ความสามารถในการมองเห็นด้านบวกของตนเองกับผู้อื่น เป็นต้น
หากเราตอบคำถามและสนทนาอย่างใคร่ครวญ
เราก็กล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่จะบอกลาปมร้ายในใจ
พร้อมกับเห็นวิถีทางบอกลาได้ชัดเจนขึ้น

เมื่อเราเห็นความจริงของจิตใจได้ชัดเจนขึ้น
ประกอบกับการเพิ่มพูนอำนาจภายใน
ซึ่งเป็นพลังความดีงามในตัว
ก็จะช่วยทำให้ปมร้ายในอดีตจางคลายลงเรื่อยๆ
จนตายไปจากใจเราในที่สุด

คอลัมน์ มองย้อนศร
[ เป็นคอลัมน์รายสัปดาห์ ลงตีพิมพ์ใน โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันเสาร์
เขียนโดย..ทีมงานพุทธิกา ]

คัดลอกจาก...

http://www.budnet.info/webb0ard/view.php?category=texta&wb_id=173

สาธุ สาธุ สาธุ
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 08 ส.ค. 2008, 2:55 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
chill
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 22 ก.พ. 2008
ตอบ: 85

ตอบตอบเมื่อ: 07 ส.ค. 2008, 7:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนาคะ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆคะ ยิ้มแก้มปริ
 

_________________
มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี..
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง