Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ...สมบัติมนุษย์...(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ค.2008, 6:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วันนี้เป็นวันพระ ญาติโยมก็มาฟังเทศนาตามกาลเวลา
การนับถือศาสนานั้นจะนับถืออย่างไรก็ไม่มีใครบังคับ
นับถืออย่างไรก็ไม่มีใครบังคับ นับถือได้หลายศาสนาด้วย
แต่ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นประชาธิปไตย
ไม่มีการบังคับบัญชาให้นับถือแต่ประการใด
แต่เป็นที่น่าเสียดายและเสียใจที่คนนับถือพระพุทธศาสนา
ไม่มีหลักในการนับถือ ได้แต่นับถือตามๆ กันมา
นับถือด้วยศรัทธาเท่านั้น ไม่นับถือด้วยปัญญา จึงไม่ค่อยจะรู้เรื่อง
ไม่มีความเข้าใจอะไร บวชเป็นสงฆ์องค์เจ้าก็บวชตามกันมา
แต่จะบวชด้วยศรัทธาและบวชด้วยปัญญานั้นหายากมาก

บางคนก็ไม่ศรัทธา บางคนก็ไม่มีปัญญา
บวชตามเพื่อนมาก็มี จึงไม่ได้ดี ไม่อดทนอดกลั้นแต่ประการใด
บางคนก็มาบวชเพราะ อกหัก บวชหลักลอย
บวชคอยงาน บวชสังขารเสื่อม

มาบวชคอยงานพอได้งานก็สึก บวชสังขารเสื่อมทำอะไรไม่ไหว
ประกอบอาชีพไม่ไหวก็มาบวช บวชหากินในวัดในพระศาสนา
บวชด้วยความเชื่อความเลื่อมใส และบวชด้วยศรัทธา
บวชด้วยปัญญามีน้อยมาก
บวชตามกันมาเป็นแถว ๆ และสึกออกไป และก็ไม่เคยกลับมาอีก
บวชกันเป็นแฟชั่น น่าจะบวชด้วยศรัทธา ด้วยปัญญา
มาปฏิบัติธรรมนุ่งขาวห่มขาวก็ต้องใช้ปัญญา
ไม่ใช่ว่าศรัทธาหัวเต่า ผลุบเข้าผลุบออก
การนับถือพระศาสนาจึงไม่มั่นคง ไม่ได้นับถือด้วยปัญญาด้วยศรัทธา
การถวายสังฆทานศรัทธาจริง
แต่การจะปฏิบัติแก้ปัญหาชีวิตจะไม่ศรัทธาเชียวหรือ

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ค.2008, 6:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย โปรดพิจารณาด้วยปัญญา
การนับถือตามกันมาจะตอบไม่ได้ว่านับถืออะไร
พระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้างที่จะทำให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตกิจประจำวัน ตอบไม่ได้เลย และเรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยเหตุใด จะอยู่ไปเพราะเหตุใด แล้วจะอยู่ไปทำไมเล่า เกิดมาทำไมเล่า
น่าจะตีปัญหาให้กับตัวเอง
ว่าอ๋อ เกิดมาสร้างประโยชน์ให้กับตนเองและส่วนรวม
โลกมนุษย์นี้จะได้อยู่เย็นเป็นสุข
ที่เกิดมาต้องการใช้หนี้เก่าเมื่อครั้งอดีตชาติ
เราไม่รู้จักเวรกรรมและบุญกรรมนำแต่ง
บาปบุญสนองเรา เราก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ น่าเสียดายมาก

ท่านทั้งหลายที่มากันทุกวันนี้ ท่านมาเพื่ออะไร
ท่านเคยถามตัวท่านเองบ้างไหม
ส่วนมากจะบอกว่ามาเพราะหยุดงานตามกาลเวลา
มีน้อยมากที่จะบอกว่า มาแสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อผู้มีพระคุณ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลที่หาได้ยากในโลกมนุษย์นี้
คือบุคคลที่มีความกตัญญูกตเวทิตาธรรม
ลูกจะนึกถึงบุญคุณพ่อแม่หายากมาก
คนที่มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คนนั้นจะร่ำรวยจะมีบุญวาสนามาก
คนที่ไม่ลืมพระคุณของท่านผู้มีพระคุณแล้วนั่นแหละ
พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญว่าบุคคลผู้นั้นมีบุญวาสนามาก
คนที่ไร้บุญวาสนาลืมแม้กระทั่งญาติพี่น้อง ลืมแม้กระทั่งชาติภูมิ
มาตุภูมิ ลืมแม้แหล่งให้เกิดวิชา แหล่งให้เกิดความดี
ลืมทั้งเครื่องอุปกรณ์ใช้สอย ลืมทั้งเหตุผล
ลืมทั้งสัตว์ที่เลี้ยงไว้เอามาฆ่าแกง ลืมทั้งหัวใจพ่อให้
ลืมทั้งน้ำเลือดน้ำเหลืองที่แม่ให้ ลืมทั้งแม่ลืมทั้งพ่อ ลืมปู่ย่าตายาย

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย พระพุทธเจ้ายอดกตัญญูในโลก
พระองค์ทรงแสดงความกตัญญูตลอดมา
แสดงยมกปาฏิหาริย์โปรดพระพุทธมารดาตลอดไตรมาส (๓ เดือน)
ไม่ลืมโปรดแม่ก่อน จึงขอฝากลูกหลานไว้ด้วย
วันเกิดของเราคือวันตายของแม่ อย่าลืมแม่ ไปโปรดแม่ให้ได้
ช่วยแม่เราก่อน พระพุทธเจ้าตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าเสวยพระชาติมา
หลายชาติ ตั้งแต่สุวรรณสามมาตามอันดับ
มโหสถ พระเตมีย์ใบ้ ช่วยพ่อช่วยแม่ตลอดทุกชาติ
กว่าจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ใช้เวลาถึง ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป
นี่คือกตัญญูกตเวทิตาธรรมของพระองค์ซึ่งทรงมีอยู่ลึกซึ้ง

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ค.2008, 6:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อาตมาสังเกตมานาน อ๋อ เราช่วยเขาไว้มากเขาก็รักเรามาก
เราช่วยเขาน้อยเขาก็รักเราน้อย เรายังไม่ได้ช่วยเขายังไม่ได้รักเลย
อันนี้ชัดมาก ความรักหรือความเมตตาเกื้อหนุนกันก็ยาก
คนที่มีกตัญญูกตเวทีที่ใจจริงนั้นยากมาก
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมะในพระไตรปิฎกไว้ชัด
บุคคลหาได้ยากอย่างยิ่ง คือ บุพการีที่อุปการะเรามา
แต่เราไม่ค่อยจะกตัญญูกตเวที บ
างคนนั้นพ่อแม่พอมีเงินมีทองก็ไปมาหาสู่
พอพ่อแม่หมดเนื้อประดาตัวก็ไม่เคยไปหาพ่อแม่เลย
ปู่กับย่า ตากับยายมีสมบัติ ลูกหลานก็มากันเยอะแยะ
พอปู่ย่าตายายหมดสมบัติพัสถาน
ใกล้จะตายไม่มีใครไปดูแลก็มากมาย
นี่หรือกตัญญูกตเวทิตาธรรม สายโลหิตเดียวกันแท้ ๆ ก็ยังลืมไปหมด
ไม่มีการเข้าไปซึ้งในเหตุผลเพราะไม่ซึ้งในรสธรรมะ
เพราะการนับถือพระพุทธศาสนาไม่ได้นับถือด้วยปัญญา
จึงลืมความกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อคุณพ่อคุณแม่ของเรา

เรานับถือศาสนาด้วยศรัทธา ทอดผ้าป่าทอดกฐิน
ทอดผ้าป่าด้วยศรัทธา ถวายสังฆทานวัดโน้นวัดนี้
ทัวร์บุญกันเยอะแยะ นี่ทำด้วยศรัทธาทั้งนั้น
แต่ไม่ใช้ดุลยพินิจว่า เงินไปทำบุญสร้างศาลาสร้างโบสถ์
ได้ประโยชน์ตรงไหนบ้าง ประโยชน์นั้นได้มากได้น้อยเพียงใด
พิจารณาดูบ้างไหม แต่จะไม่ขอกล่าวในที่ประชุมนี้
จะขอกล่าวแต่การนับถือพระพุทธศาสนาโดยไม่ได้ใช้ปัญญา

ท่านมาเจริญกรรมฐาน ท่านมาด้วยปัญญาหรือมาด้วยศรัทธา
หรือตามกันมา หรือมาทำจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ ได้มั่งไม่ได้มั่ง
ท่านช่วยตัวเองได้ไหม การปฏิบัติธรรมท่านช่วยตัวเองได้
ไม่จำเป็นต้องกล่าวอย่างอื่นแต่ประการใด
อาตมาก็ใช้กรรมฐานให้หลักธรรมด้วยปัญญา
คอหักมา ๑๙ ปี ไม่เคยเข้าโรงพยาบาล ไม่เคยไปเลย
ต้องอดทน ตายให้มันตาย ดูซิเราต้องมีศรัทธาด้วยปัญญา
ใช้ปัญญาเป็นดุลยพินิจพิจารณา เอ้าตายให้มันตาย
หมดลมหายใจก็เลิกที่จะเล่นละครชีวิต หมดโอกาสเวลาแล้ว
ต้องอดทน อดกลั้น นี่เป็นจุดมุ่งหมายอันสำคัญของปัญญา

การรอบรู้ในกองสังขารจะอ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น
ก็ใช้ปัญญาญาณด้านการเจริญกรรมฐาน
ไม่ใช่มานั่งอย่างที่โยมตั้งใจมา
คนจะได้ประโยชน์มาก ถ้าทำด้วยปัญญาสักนิด
ท่านจะมีความยินดีอีกหน่อย จะได้รู้ว่าที่ทำไปมันได้ประโยชน์อะไร
เงินทองเสียไปมันจะได้อะไรตอบแทนบ้าง น่าจะคิดตรงนั้น
มาคิดแต่ศรัทธา เลยก็ศรัทธาหัวเต่า ผลุบเข้าผลุบออก
นึกจะผลุบออกก็ออกไป นึกจะเข้าก็เข้า นึกจะไปก็ไป
นึกว่าจะมาอย่างนี้ ไม่ไปลามาไหว้ นี่หัวเต่า
ฉันไม่มีศรัทธามันก็เกิดขึ้นอย่างนี้ไม่มีศรัทธา
แต่ถ้ามีดวงปัญญาสักนิดจะคิดว่า ศรัทธามาก่อน ปัญญามาทีหลัง
มีศรัทธาแล้วปัญญาก็จะแก้ไขปัญหาทีหลัง
มีศรัทธาแล้วปัญญาก็จะแก้ไขปัญหาในการศรัทธาถึงความถูกต้อง
พลังงานจะได้สูงขึ้น สมาธิก็จะเกิดขึ้น
มันจะเกิดขึ้นกับผู้มีศรัทธาก่อน
ถ้าเราไม่เจริญกรรมฐานไม่มีศรัทธาเลย มากระท่อนกระแท่น
ท่านก็ได้บุญกระท่อนกระแท่นกลับไป
ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานที่ติดตัวท่านไปเลยด้วยศรัทธาอันนี้
ปัญญาก็จะไม่เกิดมรรคเกิดผล เกิดอานิสงส์แต่ประการใด
ญาณอันใดล่ะที่จะเกิดขึ้น ญาณ ๑๖ ที่ไปโยงเป็นธรรมปฏิบัติมา
มันก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ค.2008, 6:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วันนี้จะชี้แจงเรื่องภาคปฏิบัติธรรมว่าได้อะไรบ้าง แก้ไขปัญหาอย่างไร
โปรดได้ตั้งใจฟัง ใช้ปัญญาฟังสักนิดจะแก้ไขปัญหาชีวิตได้มาก
ท่านไม่เคยใช้ปัญญาฟังท่านใช้ศรัทธาฟัง
อาตมาจึงพูดคติธรรมให้ท่านฟังว่า คนเชื่อง่ายสอนยาก
นี่พวกศรัทธามากปัญญาไม่มี เชื่ออย่างเดียวสอนยาก
คนประเภทนี้ตากระทู้หูกระทะ
คนที่เชื่อยากสอนง่ายด้วยเหตุผลข้อเท็จจริง
ควรใช้ปัญญาดุลยพินิจ ใครว่า ยาย ก. ยาย ข. ไม่ดี เขาจะไม่เชื่อ
เขาจะเชื่อก็ต่อเมื่อเหตุผลเกิดขึ้น
ใครว่าพระ ก. พระ ข. ไม่ดี เขาก็ไม่เชื่อ
นี่แหละคนประเภทนี้สอนง่าย โดยเหตุผลต้องยอมรับมีเหตุมีผลไหม
คนเป็นบัณฑิตต้องมีเหตุผล มีข้อเท็จจริง มีหลักฐาน มีพยานอ้างอิง
คิดหนอ ให้มันได้ผล รู้หนอ ให้มันเกิดปัญญาผุดขึ้นมาเองได้ไหม

ทำอะไรต้องมีศรัทธาก่อนและปัญญาตามทีหลังจึงจะถูกต้อง
ท่านทำบุญไม่มีปัญญา ทำสังฆทานใครบอกบุญทำตลอด
ตายไปแล้วไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีไม่มีปัญญาเรียนหนังสือไม่จบ
เป็นลูกเศรษฐีพันล้าน ไม่ยอมเรียนหนังสือ
เวลาตั้งบริษัทก็ต้องไปจ้างผู้จัดการบริษัทมา ไม่ใช่ตัวเองเป็น
ตัวเองจ่ายเป็นเงิน นี่แหละ เศรษฐีน่าโง่
มีแต่เงินมีแต่ทอง แต่ไม่มีสติปัญญาที่จะแก้ไขปัญหา
ไม่มีปัญญาที่จะเป็นเจ้าของบริษัท

ท่านทั้งหลาย อย่าเอาแต่ศรัทธา ต้องเอาปัญญาด้วย
ทำบุญกุศลใช้ปัญญาญาณพิจารณา
มีสติสัมปชัญญะในการพึ่งกรรมฐานถูกต้อง
แต่ท่านไม่เคยใช้กำหนดจิต
ท่านไม่เคยใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาชีวิตของท่าน
ไหนเลยจะรู้ของจริง ท่านจะกลายเป็นคนรู้ของปลอม
การเจริญกรรมฐานแก้ไขปัญหาได้แน่
แต่ท่านทำตามที่อาตมาสอนได้ไหม
เป็นอะไรหน่อยไปโรงพยาบาล คนโน้นจะตายคนนี้จะตาย
ไม่ใช่เลย เป็นกฎแห่งกรรมจากการกำหนดจิตไม่มีสตินั่นเอง
ขาดสติ นี่อาตมาตั้งหลายปีไม่เคยเข้าโรงพยาบาล
ตั้งแต่คอหักมาน่ะ ก่อนคอหักไม่เคยเข้าโรงพยาบาล
เพราะไม่เคยไปนอนให้น้ำเกลือกับเขาแบบนั้น
เราต้องอดทน ตายให้มันตาย ตั้งสติตั้งปัญญาญาณแก้ไขปัญหา
เราจะได้รู้ว่าพรุ่งนี้แล้วหรือ ตายวันที่ ๑๔ ตุลาคม
เวลาเที่ยงสี่สิบห้านาที เราต้องถูกรถชนตาย มันก็รู้อย่างนี้
แต่สติปัญญามันก็จะบอกไปตามขั้นตอนอย่างหนึ่ง
นี่คือการเจริญกรรมฐาน จะมีประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย มิใช่น้อย

ในวันนี้ขอฝากข้อคิดไว้ การเจริญสติปัฏฐาน ๔
ทำให้คนมีปัญญา ถ้าผู้ใดเจริญกรรมฐานเข้าขั้นเป็นกุศล
จะไม่มีการทะเลาะกันเลย จะไม่หาเรื่องไม่เปลืองเวลา
สามีภรรยาก็ไม่ทะเลาะกัน
ถ้าเป็นบุตรธิดาก็ไม่ข่มเหงทำร้ายกันและกัน ไม่แย่งสมบัติกันแน่นอน
ถ้าท่านปฏิบัติไม่ได้ ท่านก็ไปแย่งสมบัติกันต่อไป
ถ้าท่านนั่งกรรมฐานจะแก้ปัญหาได้
ท่านจะรู้ ท่านจะปลงตกว่า อย่างนี้ของนอกกาย เอาไปไม่ได้
นอกเหนือจากการบันทึกเทปเข้าไปในจิตใจ
จิตใจรวมเอาความดีเข้าไปได้ถึงสัมปรายภพ

ท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม ท่านมีพร้อมหรือยัง
ที่จะต้องแก้ปัญหา เตรียมการไว้หรือยัง
เวลาศึกต้องรบ ยามสงบต้องเตรียมพร้อมคือกรรมฐาน
ถ้ามีพร้อมในเรื่องกรรมฐานแล้วรับรองว่าท่านจะต่อสู้ได้
แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ
ไม่มีปัญหาไปถามใคร ท่านจะต้องหมดปัญหาถาม
เพราะท่านหมดสงสัย ถ้าทำกรรมฐานได้ท่านจะไม่สงสัยอีกต่อไป
ไม่สงสัยอะไร ไม่สงสัยต่อพระพุทธเจ้า ไม่สงสัยต่อพระธรรม
ไม่สงสัยต่อพระสงฆ์อีกต่อไปแล้ว
และปัญหาชีวิตเราก็ไม่สงสัย
นี่ซิ สะอาด สว่าง สงบ
ถ้ายังมีสกปรก ไม่สะอาด สว่าง สงบ ท่านจะมีความสงสัยตลอดไป

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ค.2008, 6:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าท่านเจริญกรรมฐานไม่ได้ ท่านจะสงสัยไปตลอดชีวิต
ไม่มีโอกาสที่ท่านจะแก้ไขปัญหาได้ ออกมาอย่างนี้ชัดเจนแล้ว
จะให้อาตมากล่าวอะไรเล่า จะกล่าวว่าอะไรอีก
ว่าคนไหนจะชอบ คนไหนจะดี คนไหนจะมีปัญญา
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ
ท่านจะรู้ในภายในของท่านเอง
ถ้าท่านทำได้ ท่านจะรู้ว่าคนนี้นิสัยไม่ดี
จะคบค้าสมาคมได้หรือไม่ประการใด จะบอกตรงไปตรงมา

ท่านทั้งหลาย การเจริญกรรมฐานมีแต่แก้ปัญหา ไม่สร้างปัญหา
มีแต่แก้ปัญหาสะสางชีวิตให้ดี
สะสางปัญหาให้สู่ภาวะความเป็นปกติให้ดี
คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มีความหมายอย่างนี้เท่านั้น
ไม่ใช่มาสร้างปัญหา ไม่ใช่ไปบวชชีพราหมณ์วัดโน้นวัดนี้
ออกไปที่โน่นเดี๋ยวร้องรำทำเพลงไป แล้วร้องรำเหมือนหงส์
บอกว่าเป็นกฎแห่งกรรมบ้าง ร้องรำทำเพลงไม่ใช่กรรมฐาน
พระพุทธเจ้าสอนว่า กรรมฐานต้องอยู่ด้วยความสงบ สว่าง
และ เรียบร้อยสะอาดหมดจดทุกประการ
ไม่ใช่มาร้องรำทำเพลง เต้นเป็นผีเจ้าเข้าทรง
อย่างนั้นไม่ถูกทางแล้ว ผิดเข็มทิศ
ท่านจะปลูกเรือนก็ต้องให้ถูกเข็มทิศ
ไปทางไหนก็ต้องเดินให้ถูกทิศให้ถูกทาง เดินทางถูกต้อง
อย่าเดินที่พลาดผิดใช้ชีวิตเป็นหมัน ไร้สาระไร้สังคมต่อไป
ท่านจะประเสริฐไม่ได้ ดังนั้นก็จงฟังข้อเหตุผลสักเล็กน้อย
ว่ากรรมฐานแก้ตรงไหน สร้างตรงไหน
พูดมาจนมากมาย แต่โยมไม่เคยทำตามอาตมา
ถ้าทำตามอาตมามันจะผุดขึ้นมาในดวงหทัยใสสะอาด สว่าง สงบ
ท่านปรารภธรรม และปัญหาท่านจะคลี่คลายในทางที่ดี
หมดปัญญาไปหาหมอดูหาผีเข้าเจ้าทรง
จะบอกท่านด้วยตัวเองได้ว่าแก้ปัญหาอย่างไร นี่แหละถูกต้อง

บางคนมาเจริญกรรมฐาน ถ้าเจริญจริงอย่าง กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
กายจะยืน หรือเดิน นั่ง นอน เหลียวซ้าย แลขวา คู้แขน เหยียดขา
ต้องกำหนดจิตให้มีสติทางกาย เรียบร้อยสวยน่ารัก
กำหนดทางวาจา พูดจาก็เพราะ พูดจาเหมาะ
จะมีเหตุมีผล พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว เป็นปัญญา
เห็นการแก้ปัญหาในตัว คือ ปิยวาจา พูดจาเพราะ
เรียกว่า คนพูดดีพูดมีปัญญา ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด
ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้ออีกต่อไป
ปิยวาจาคือกรรมฐาน ก็คือ กำหนดจิตตั้งสติตลอดรายการ
แต่ผู้ปฏิบัติไม่เคยกำหนดเลย ปล่อยไปตามเรื่องตามราว
ท่านจะได้อะไร ท่านจะแก้ไขปัญหากรรมได้ไหม
ความเสียใจเกิดขึ้นแต่แล้วก็ไม่แก้ปัญหา
ก็ไปถามหมอดู เสียใจเรื่องอะไร
เลยก็เสียทิศเสียทางเสียเข็มทิศไป
แปลว่า ไม่เกิดประโยชน์แต่ประการใด
แล้วก็ไปหาหมอดูว่า ลูกคนโตจะเรียนแพทย์ เรียนหมอ
หรือจะเรียนวิศวกรรม มันจะบอกทิศทางได้ถูกต้อง
นี่ ตรงนี้ท่านทำได้หรือยัง

ขอเจริญพรถาม ท่านเคย กำหนด หรือไม่
ท่านไม่เคยกำหนดเลย อาตมาก็ช่วยท่านไม่ได้
เสียใจก็ไม่กำหนด ดีใจก็ไม่กำหนด
ปวดเมื่อยที่เรียกว่า เวทนาที่มันบังคับบัญชาไม่ได้
ควรปฏิบัติดังนี้คือ กำหนด ปวดหนอ ปวดหนอ ที่เวทนานั้น
ปวดกระดูกจะแตกแล้วหนอ ตายให้มันตาย ตายไปกำหนดไป
พอสมาธิดี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ปวดหาย
กฎแห่งกรรมโผล่เลย ไปขว้างขาหมู ไปขว้างขาหมา
ซึ่งรถชนหมา ขับรถชนแมวตาย มันจะบอกทันที
เท่านี้ทำไม่ได้หรือ ต้องไปโรงพยาบาลด้วยหรือประการใด

มีพระบวชใหม่ล้มไปนิดหน่อยเท่านี้จะตายแล้ว
ต้องโทรไปบอกให้พ่อแม่มา เราอยู่ในวัดไม่เคยบอก
เราอยู่นะ เห็นหนอ อยู่เสมอ
แต่ไม่เคยบอก เป็นนิด ๆ หน่อย ๆ
เท่านั้นแหละทำให้เรื่องใหญ่โตไปได้
คนเราน่ะเรื่องใหญ่ทำได้เล็ก กำหนดเข้าไป
เช่นคนมาเลเซียปวดขามา ๗ ปี เหยียดขาไม่ออก เหยียดเข้าก็ไม่ได้
บอกให้กำหนดเข้า ปวดหนอ ปวดหนอ จะตายแล้ว น้ำตาร่วงเลย
เอ้าตายให้มันตายไป ปวดหนอ ปวดหนอ นี้เวทนานุปัสสนา
ทำตรงนี้ให้ชินได้ไหม พอปวดเมื่อยก็เลิกแล้ว
พองหนอก็ไม่ได้ พอยังไม่ทันหนอ มันก็ยุบ
ยุบยังไม่ทันหนอมันก็พอง
เลยก็ทำไปอย่างนี้สั้น ๆ ยาย ๆ ยาว ๆ สั้น ๆ
ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร บอกให้หายใจยาว ๆ ก็ไม่ทำ

กรรมฐานแก้ปัญหาได้ ความในใจของเรามีอะไร
เรารู้ตัวอยู่นะ เรามีตัวไหม เรามีความในใจอะไรบ้าง
เราเจริญกรรมฐาน เดี๋ยวสติมันจะบอกที่แก้อย่างนี้
ใช้ปัญญาของตัวเอง ความตื้นลึกหนาบางว่าอะไร
ใครจะรู้ดีเท่ากับตัวเราไม่มีแล้ว
คนอื่นจะรู้เท่าเราคงไม่มีแล้ว ขอเจริญพรอย่างนี้
แล้วจะเอาอะไรมาเป็นหลักฐาน จะไม่ประมาณการขึ้นเชียวหรือ
จะมีมาหลายประเภท อาตมาไม่ว่าใครจะมีมานานแล้ว
ผีเข้าเจ้าทรงนับถือหมอดูบอกว่ามีมานานแล้ว
มันไม่มีที่พึ่งแล้วเขาก็บอกว่าไม่รู้จะไปหาใคร ก็ไปหาหมอดูบ้าง
ก็หาทางออกผีเข้าเจ้าทรงก็ได้
แต่ทางออกที่ดีควรจะเดินทางสายปัญญา

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ค.2008, 6:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สายปัญญา นับถือด้วยปัญญา เริ่มต้นด้วยศรัทธาปสาทะ
ทำอะไรด้วยศรัทธา ทำอะไรด้วยความตั้งใจ ทำด้วยความเคารพ
ทำด้วยจิตสงบ ทำด้วยความถูกต้อง ถึงจะได้ผล
ทำด้วยความเคารพ นึกถึงตัวเอง พูดแล้วต้องทำ
พูดแล้วอย่าเอาวาจาไปทิ้ง พูดแล้วต้องทำ
ประการที่สอง ต้องเคารพสถานที่ เข้าไปบ้านเขา
ต้องเคารพกฎหมาย บ้านเมืองของเขาเหล่านั้นด้วย
และทำอะไรด้วยจิตสงบ ทำอะไรก็ทำด้วยความถูกต้อง
ไม่มีหละหลวมเหลวไหลแต่ประการใด
นี่เป็นการนับถือพระศาสนามีเหตุผลไม่ใช่นับถือกันส่งเดชไป
แล้วไปหาพระหลอก นี่มีข่าวมาอีกแล้ว
ว่ามีพระเรียกเงินเรียกทองได้
แต่ต้องนำทองไปแลกพระอย่างนี้ก็มีด้วย
พระมีหลายประเภท พระแท้ ๆ ต้องใจเย็น
พระเย็นแล้วมีเย็นใจ ถ้าเข้าแล้วมันร้อนอกร้อนใจถอยฉากออกไป
พระเพลิงเดี๋ยวนี้มีมาก เดือดร้อนประชาชนเหลือเกิน
ก็ขอฝากญาติโยมไว้ด้วย

วันนี้ขอเจริญพรว่า กรรมฐานนี่แก้ปัญหาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
เราไม่สบายใจแก้ไขได้โดยหายใจยาว ๆ เข้าลิ้นปี่นี้
กำหนดไว้ ไม่สบายใจหนอ เท่านี้ทำไม่ได้
ทำไป ๆ เกิดสว่าง เกิดสงบ จิตสงบ เกิดปัญญา จิตใสใจสะอาด
เกิดปัญญาว่าเราควรทำอย่างไร
มันจะเกิดขึ้นโดย ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ
แก้ปัญหาได้ความสบายใจ เราโกรธ เราเกลียด เราไม่ชอบ
จะผูกพยาบาทคาดพยาเวรกันเปล่า
เรากำหนด โกรธหนอ ที่ลิ้นปี่ร้อยครั้งพันครั้ง
พอสมาธิดีแล้วสติก็ดีขึ้นปัญญาก็เกิดขึ้น
นี่แหละทำด้วยนับถือ ด้วยปัญญาแก้ไขปัญหา โกรธหายไปเลย
เลยก็นึกหันมุมกลับว่า อย่าไปโกรธเขาเลย เสียสมองเปล่า ๆ
ควรจะแผ่เมตตาให้เขาในฐานะที่เขาเป็นศัตรูกับเรา
ให้ศัตรูเป็นมิตรกับเราต่อไปเถิด ประเสริฐที่สุด
นี่การแก้ปัญหาจะเกิดอย่างนั้นจริง ๆ
แต่ท่านทำไม่จริงก็ไม่เกิดปัญญาที่จะแก้ไขได้ดังสมมาดปรารถนา

เราไม่สบายก็กำหนด ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ยาไม่ต้องกิน
ปวดกระดูกจะแตกแล้ว เอ้า แตกให้มันแตก ตายให้ตาย
ตั้งสติ ตั้งสมาธิ เดี๋ยวเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หายเลยทีเดียว
จะบอกว่าเป็นกรรมอะไร เช่น นายยงยุทธ
นายกพุทธสมาคมแห่งจังหวัดอุทัยธานี
เมื่อสองวันก็มาที่นี่ ถูกรถชนขาเละ หมอบอกว่าต้องตัดขา
จะตัดตรงตาตุ่มที่เละไม่ได้หรอก เพราะนายกเป็นเบาหวานอย่างแรง
เป็นมาตั้งสิบปีสิบห้าปีแล้ว เลยต้องตัดถึงโคนขา
หมอบอกว่าอย่างนั้น เขาขอคิดดูก่อน ยังตัดสินใจไม่ได้

นายกยงยุทธก็ผัดแพทย์ไปก่อน เริ่มต้นสวดพุทธคุณ พาหุงมหากาฯ
เลยกว่าอายุไป ๑ จบ เมื่อก่อนไม่เคยสวดเลย
มีแต่เอาหนังสือไปแจก ไปเป็นนายกแล้วก็เจริญกรรมฐานไม่จริงจัง
แต่คราวนี้ตั้งใจปฏิบัติอย่างเต็มที่ ทำด้วยศรัทธามีปัญญา
บอกเอ้าตายให้มันตาย ยอมตาย
ถ้าจะตัดขาเช่นนี้เราก็นอนอยู่บ้าน ภรรยาก็ต้องไปป้อนข้าวเรา
ไปไหนไม่ได้แล้วทำอย่างไร
จะไปไหนก็ต้องนั่งรถก็ไสไปจะเอาอย่างไรดีหนอ

เขาตั้งใจสวดมนต์ใหญ่เลยสามวันสามคืน ผัด ๓ วันแล้ว
จะตัดสินใจต่อภายหลัง สวดด้วยศรัทธา
ปัญญาก็เกิด เกิดสมาธิภาวนาปัญญาเกิด
พอปัญญาเกิด สติบอกเลยที่เป็นอย่างนี้
เพราะว่าไปขว้างขาหมาเมื่อตอนเป็นเด็ก ๆ
และก็โตขึ้นมาขับรถชนหมาขาหักขาเละอย่างนี้แหละ
มีสติบอกมาไม่ต้องถามหมอดู หมอดูจะรู้อะไร
นายกยงยุทธก็เสียใจ พิโธ่เอ๋ยเราเป็นเด็กนี่เล่า
ยังไม่รู้ว่าเป็นบาปเป็นกรรมแต่ประการใด
มันออกมาในรูปแบบอย่างนี้ชัดเจนเลย
พอครบกำหนด ๓ วัน หมอมาถามว่านายกตัดสินใจได้หรือยัง
เอาละครับตัดสินใจได้แล้ว ผมมั่นคงแล้ว ตัดเป็นตัด
เอ้าลองดูซิว่าเป็นอย่างไร ตรวจดูเบาหวานหายอย่างเด็ดขาด
และหายมาจนบัดนี้ นี่มันแก้ปัญหาได้อย่างนี้

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ค.2008, 6:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แต่เราไม่ทำกัน บอกก็ไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าแก้ได้ทุกคนนะ
ไม่ใช่ว่ามีปัญญาได้ทุกคน ไม่ใช่มีศรัทธาเหมือนกันได้ทุกคน
อันนี้ยากมากที่จะบอก นายแพทย์ก็ตัดสินใจเลยเอาละท่านนายกครับ
ผมจะผ่าวันนี้เลย เอาเหล็กใส่ไม่ต้องตัด
เพราะว่าเบาหวานไม่มีน้ำตาลแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว
เหมือนคนปกติธรรมดา ผ่าเอาเหล็กใส่เดินได้หายวันหายคืนขึ้นมาเลย
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุทัยธานีบอกแปลกใจ
ว่านายกหายได้อย่างไร เขาก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
และให้ช่วยนิมนต์หลวงพ่อวัดอัมพวันไปบรรยายที่โรงพยาบาล
แพทย์พยาบาลเข้ามาฟังกันแน่นไปหมด

เรานับถือพระพุทธศาสนา ก็นับถือแบบนี้เอง
นับถือกันด้วยที่ข้อถูกต้อง ๒ ประการ ได้แก่
ศรัทธากับปัญญา คนไทยนับถือด้วยศรัทธา
คนเชื่อตามบรรพบุรุษอย่างเดียว
เช่นพ่อแม่สอนอย่างไรก็ทำตามโดยไม่ต้องพิจารณา
เพราะยังเล็กอยู่ สอนให้ไหว้พระ ให้ใส่บาตร ให้รับศีล ให้ฟังเทศน์
เท่านี้เอง ความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาจึงน้อยนัก
แม้ฟังเทศน์บ้างก็ไม่ติดต่อกัน ฟังเป็นกัณฑ์ ๆ มีครอบครัว
แล้วทำเรื่อยไป เห็นพระก็ไหว้ ใส่บาตร ไปวัดฟังเทศน์เป็นประจำ
แต่ไม่รู้เรื่องรายละเอียดของการกระทำนั้น
เช่นไหว้พระเพื่ออะไร ใส่บาตรเพื่ออะไร
ฟังเทศน์เพื่ออะไรก็ไม่รู้อีก
ฟังเทศน์ก็เพื่อให้มีความรู้แต่ก็ไม่ได้ความรู้อะไรจริง
เพราะฉะนั้นต่อไปถ้าเป็นชายได้บวชได้ศึกษาธรรม
เป็นหญิงได้เรียนธรรมศึกษาก็พอจะรู้เรื่องพระพุทธศาสนาบ้าง
วิธีการนับถืออย่างนี้เรียกว่านับถือด้วยศรัทธา
คือ เกิดศรัทธา ก่อนปัญญาเกิดทีหลัง
ถ้าเจริญสมาธิภาวนามันจะเกิดปัญญาขึ้นทันที

คนต่างชาติหรือคนไทยบางคนมีไม่น้อย
ที่ยังไม่นับถือพระพุทธศาสนา หรือ นับถือศาสนาอื่นก่อน
ต่อมาเมื่อมีความสงสัยในคำสอนของศาสนาที่นับถือ
จึงศึกษาศาสนาอื่นหรือได้อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ
จึงเกิดศรัทธาเปลี่ยนใจมานับถือพระพุทธศาสนา
อย่างนี้เรียกว่าเกิดปัญญาก่อนแล้วจึงเกิดศรัทธาทีหลัง

ท่านที่ไปศึกษาต่างประเทศเกรงว่าจะถูกถามเรื่องพระพุทธศาสนา
แล้วจะตอบไม่ได้ เพราะการนับถือพระพุทธศาสนาเกิดจากศรัทธาก่อน
ดังกล่าวมา จะขวนขวายหาความรู้ในทางพระพุทธศาสนา
ก็หาหนังสือมาอ่าน เพื่อให้เกิดความรู้ในทางพระพุทธศาสนา
ในเวลาเล็กน้อยไม่ได้ แต่ว่าบัดนี้กองอนุศาสนาจารย์กองทัพบก
ได้เรียบเรียงหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งดู เหมือนชื่อว่า คู่มือศีลธรรม
ใช้เวลาสอน ๒๔ ชั่วโมง ถ้าอ่านก็ไม่เกิน ๔ ชั่วโมง
มีความรู้ทั้งศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และเปรียบเทียบ
ให้เห็นความแตกต่างอีกด้วย ผู้สนใจใคร่หาอ่านดู
โดยเฉพาะผู้ไปศึกษาต่างประเทศและเกรงจะถูกถามควรมีไปสัก
หนึ่งเล่ม อาตมาเคยบอกอยู่เสมอว่า หนังสือเล่มนั้นดีมากมี ๓ ศาสนา
มีนายแพทย์คนหนึ่งเคยถามเรื่องพระพุทธศาสนาย่อ ๆ
เพราะต้องไปต่างประเทศ ไปปรารภกับ พลเอกปิ่น มุทุกันต์
อดีตหัวหน้ากองอนุศาสนาจารย์ กองทัพบก
จึงได้มีหนังสือคู่มือศีลธรรมขึ้น

การนับถือพระพุทธศาสนามี ๒ อย่างคือ
การนับถือเพียงพิธีการเนื่องด้วยทางพระพุทธศาสนา
และ การนับถือเพื่อปฏิบัติธรรม การนับถือเพียงพิธีการ
เช่น การทำบุญบ้าน การทำบุญแต่งงาน แต่เรื่องฆราวาสธรรมนั้นไม่รู้
หรือรู้แต่ก็ไม่สนใจที่จะปฏิบัติ วิธีปฏิบัติที่ว่าด้วยหน้าที่ก็ไม่รู้
ถึงรู้ก็ไม่ปฏิบัติ ก็เกิดขึ้นแต่ผู้นั้นเอง ไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษา
ไม่ได้ปฏิบัติธรรม

พิธีบางอย่างเป็นเรื่องสมมุติว่าเป็นมงคล ก็เป็นจริงตามสมมุติ
เช่น แต่งงานต้องมีน้ำมนต์ แต่งงานมีด้ายมงคล
มีด้ายสายสิญจน์ มีสังข์รดน้ำเป็นมงคลภายนอกโดยอาศัยวัตถุ
ต้องปฏิบัติธรรมด้วยจึงจะเป็นมงคลภายในได้ผลแน่นอน
ยกตัวอย่างเช่น การแต่งงานของชาวต่างชาติ
ฝรั่งเขาไม่ได้ทำเหมือนอย่างคนไทยก็เจริญได้
เพราะปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมแล้ว

ธรรมะเป็นของกลาง ๆ ใครปฏิบัติก็ได้ผล เหมือนน้ำใครถูกก็เย็น
ไฟใครถูกก็ร้อน ถ้าต้องการผลที่จะได้จากพระพุทธศาสนาแล้ว
จะต้องปฏิบัติด้วย คือ ทำตาม ไม่ใช่เพียงแต่รู้

มีภาษิตว่า ธัมมจารี สุขัง เสติ ผู้ประพฤติธรรมย่อมนอนเป็นสุข
ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
ธัมโม สุจิณโณ สุขมาวหาติ
ธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้

ธรรมเหมือนยารักษาโรค เพียงแต่รู้จักยาโรคก็ไม่หาย
ต้องกินด้วย ยาจึงจะช่วยรักษาโรคให้หายได้

คำว่า นับถือ แยกออกได้สองคำคือ นับ กับ ถือ คำว่า นับ หมายความว่า
ยอมรับว่าเป็นของดี คำว่า ถือ หมายความว่า เอามาไว้ในตัว
คือปฏิบัติ เพราะฉะนั้นคำว่า นับถือ จึงหมายความว่า
ยอมรับว่าดีและปฏิบัติตาม การนับถือพระพุทธศาสนา
หมายความว่า ยอมรับว่าพระพุทธศาสนาและปฏิบัติตามพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนา แปลว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คำสั่ง คือ คำบังคับ
อันได้แก่ พระวินัย คำสอนคือ คำแนะนำอันได้แก่ พระธรรม รวมเรียกว่า
ธรรมวินัย

คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีมากมายถึง ๘๔,๐๐๐ ข้อ ที่พูดกันว่า
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เมื่อกล่าวโดยย่อก็มีอยู่ ๓ ประการคือ

๑. สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทุกอย่าง

๒. กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม

๓. สจิตตะปริโยทปะนัง การทำใจให้ผ่องใส

เรียกสั้น ๆ ว่า การละบาป การทำบุญ และ การทำใจให้บริสุทธิ์
เพียงเท่านี้ก็ยังทำได้ยาก นี่คือกรรมฐานที่แท้จริง
อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์

เรื่องของการ ไม่ทำบาป มีข้อปฏิบัติอยู่ ๒ ประการคือ

๑. การละบาปที่ทำมาแล้วด้วยการไม่ทำต่อไปอีก

๒. การระวังบาปที่ยังไม่เคยทำ ๑๐ ประการ

เรื่องของ การทำกุศลให้ถึงพร้อม มีข้อปฏิบัติอยู่ ๒ อย่างคือ

๑. พยายามทำบุญกุศลที่ยังไม่เคยทำ

๒. จงพยายามรักษาบุญ คือความดีที่ทำมาแล้วมิให้เสื่อมไป

เรื่องของ การทำใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์ มีข้อปฏิบัติอยู่ ๔ ประการ

๑. ระวังใจไม่ให้กำหนัดในอารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด

๒. ระวังใจมิให้ขัดเคืองในอารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง

๓. ระวังใจไม่หลงใหลในอารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง

๔. ระวังใจไม่ให้มัวเมาในอารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา
ก็คือการเจริญพระกรรมฐานทั้ง ๔ การระมัดระวังทั้ง ๔
คือการระวังใจไม่มัวเมานั่นเอง

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะดีแล้ว จะไม่หลงงมงาย ท่านจะมีศรัทธา
ท่านจะมีตัวปัญญา แก้ไขปัญหาได้สมปรารถนาทุกประการ

อาตมาภาพขออนุโมทนาสาธุการ ในส่วนกุศลที่ท่านตั้งใจมาบำเพ็ญ
พระกรรมฐานให้ได้ความสุขความเจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพรในครอบครัว
ของท่าน ถ้าท่านมีการเจริญกรรมฐานถึงขั้นตอนแล้ว ท่านจะหายสงสัย
จะไม่มีความสงสัยต่อพระพุทธเจ้า จะไม่มีความสงสัยต่อพระธรรมคำสอน
อีกต่อไป จะไม่มีความสงสัยต่อพระสงฆ์องค์เจ้าที่ประพฤติปฏิบัติชอบ
และสอนประชาชนให้ปฏิบัติตาม จิตท่านก็จะผ่องใส ใจก็สะอาดหมดจด
เหมือนทองคำธรรมชาติที่หล่อเหลา ท่านจะได้มีสติปัญญาแก้ไขปัญหา
ดำเนินชีวิตถูกต้องตามครรลองของชีวิตต่อไป รักษาความดีรักษาจิตไว้
เหมือนเกลือรักษาความเค็ม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย บุญกุศลทั้งหลายที่ท่านได้มาบำเพ็ญใน
เทศกาลมหาสงกรานต์ มหากุศลด้วยบุพการีกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ
ขอกุศลบุญราศีดลบันดาลให้ทุกท่านทั้งหญิงและชาย ทั้งบิดามารดา ปู่ย่า
ตายาย จงเจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพรโดยทั่วหน้ากัน ขอทุกท่านจงเจริญไป
ด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ นึกคิดสิ่งหนึ่งประการ
ใดสมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุกรูปทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ

๑๓ เมษายน ๒๕๔๐

คัดลอกจาก...
http://jarun.org

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง