Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พุทธศาสนา พัฒนา ไอคิว, อีคิว อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.ค.2008, 7:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อีคิว และ ไอคิว เป็น คำศัพท์ สมมุติ เพื่อใช้เรียก ความสามารถของบุคคล อันได้แก่ความรู้ ความจำ ปฏิภาณไหวพริบ และสภาพสภาวะจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก อันเกี่ยวกับระบบของสมอง และพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์
ศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ สามารถพัฒนา อีคิว และไอคิวได้ ชนิดที่เรียกว่า เป็นแม่แบบ หรือเป็นต้นแบบของการพัฒนา ไอคิว และอีคิว ก็ย่อมได้
เพราะพุทธศาสนา นั้น ได้รวมเอาหลักธรรมชาติ ที่มนุษย์ปฏิสัมพันธ์ หรือเกี่ยวข้อง กับสรรพสิ่ง ทั้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และกับสรรพสิ่งทั้งหลาย มาไว้เป็นหลักธรรม และหลักปฏิบัติ
หากเพียงท่านทั้งหลาย ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจในหลักธรรมแห่งศาสนาแล้ว ไอคิวย่อมเพิ่มพูนขึ้น อีคิวก็จะปรากฏตามมา เป็นเงาตามตัว เพียงแต่ว่า บุคคลจะมีประสบการณ์ในการใช้ความรู้ปฏิภาณไหวพริบ ได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น
หลายๆท่านอาจจะคิดไปว่าหลักธรรมทางศาสนา (ในที่นี้หมายเอาศาสนาพุทธ) ไม่สามารถพัฒนา ไอคิว และ อีคิว อันเป็นความสามารถของบุคคลได้ การคิดหรือเข้าใจแบบนั้น เป็นการเข้าใจผิด เพราะการที่เราได้ศึกษา ได้ทำความเข้าใจ ได้เรียน ได้รู้ และได้คิดพิจารณาตามหลักธรรมที่เป็นจริงแล้ว บุคคลนั้น ย่อมเกิดปัญญาในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะหลักธรรมะ และวิธีปฏิบัติย่อมเป็นหลักธรรมชาติ อันเกี่ยวข้องกับระบบการทำงานของสรีระร่างกาย และเมื่อมีความรู้ ความเข้าใจในหลักธรรมทางศาสนาแล้วก็ย่อมเป็นการพัฒนาทั้งทางด้าน ไอคิว และอีคิวไปพร้อมๆกัน เพราะศาสนาย่อมให้ทั้งด้านวิชาการ อันเป็นการพัฒนาสมองสติปัญญา ในการเรียนรู้ในด้าน
ต่างๆ อีกทั้งยังมีเทคนิคและวิธีปฏิบัติ เพื่อพัฒนา หรือสร้างสภาพสภาวะจิตใจ ควบคุมอารมณ์ ความคิด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
ดังนั้น ศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ จึงเป็นแม่แบบ ต้นแบบ แห่งการพัฒนาไอคิว พัฒนา อีคิว รวมไปถึงเครื่องชี้วัดความสามารถตัวอื่นๆในบุคคลอีกด้วย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ทินกร ทวีทรัพย์วัฒนา
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 05 ก.ค. 2008
ตอบ: 4

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.ค.2008, 11:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Buddha พิมพ์ว่า:
อีคิว และ ไอคิว เป็น คำศัพท์ สมมุติ เพื่อใช้เรียก ความสามารถของบุคคล อันได้แก่ความรู้ ความจำ ปฏิภาณไหวพริบ และสภาพสภาวะจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก อันเกี่ยวกับระบบของสมอง และพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์
ศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ สามารถพัฒนา อีคิว และไอคิวได้ ชนิดที่เรียกว่า เป็นแม่แบบ หรือเป็นต้นแบบของการพัฒนา ไอคิว และอีคิว ก็ย่อมได้
เพราะพุทธศาสนา นั้น ได้รวมเอาหลักธรรมชาติ ที่มนุษย์ปฏิสัมพันธ์ หรือเกี่ยวข้อง กับสรรพสิ่ง ทั้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และกับสรรพสิ่งทั้งหลาย มาไว้เป็นหลักธรรม และหลักปฏิบัติ
หากเพียงท่านทั้งหลาย ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจในหลักธรรมแห่งศาสนาแล้ว ไอคิวย่อมเพิ่มพูนขึ้น อีคิวก็จะปรากฏตามมา เป็นเงาตามตัว เพียงแต่ว่า บุคคลจะมีประสบการณ์ในการใช้ความรู้ปฏิภาณไหวพริบ ได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น
หลายๆท่านอาจจะคิดไปว่าหลักธรรมทางศาสนา (ในที่นี้หมายเอาศาสนาพุทธ) ไม่สามารถพัฒนา ไอคิว และ อีคิว อันเป็นความสามารถของบุคคลได้ การคิดหรือเข้าใจแบบนั้น เป็นการเข้าใจผิด เพราะการที่เราได้ศึกษา ได้ทำความเข้าใจ ได้เรียน ได้รู้ และได้คิดพิจารณาตามหลักธรรมที่เป็นจริงแล้ว บุคคลนั้น ย่อมเกิดปัญญาในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะหลักธรรมะ และวิธีปฏิบัติย่อมเป็นหลักธรรมชาติ อันเกี่ยวข้องกับระบบการทำงานของสรีระร่างกาย และเมื่อมีความรู้ ความเข้าใจในหลักธรรมทางศาสนาแล้วก็ย่อมเป็นการพัฒนาทั้งทางด้าน ไอคิว และอีคิวไปพร้อมๆกัน เพราะศาสนาย่อมให้ทั้งด้านวิชาการ อันเป็นการพัฒนาสมองสติปัญญา ในการเรียนรู้ในด้าน
ต่างๆ อีกทั้งยังมีเทคนิคและวิธีปฏิบัติ เพื่อพัฒนา หรือสร้างสภาพสภาวะจิตใจ ควบคุมอารมณ์ ความคิด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
ดังนั้น ศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ จึงเป็นแม่แบบ ต้นแบบ แห่งการพัฒนาไอคิว พัฒนา อีคิว รวมไปถึงเครื่องชี้วัดความสามารถตัวอื่นๆในบุคคลอีกด้วย


การปฏิบัติสิ่งใดๆ..โดยมีสติ มีผลทำให้การกระทำนั้นถูกต้องที่สุด(เห็นเหตุชัดเจน เข้าใจถูกต้องที่สุด ) ..ทำให้ประหยัดเวลาที่สุด ..เร็วที่สุด (เพราะไม่ต้องกลับมาแก้ไข)
มองแบบฝรั่ง ..มันก็รวดเร็วไม่มีการใช้อารมณ์ ..มันก็ดูมี IQ/EQ ..ดีที่สุดนั้นไง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2008, 2:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทินกร ทวีทรัพย์วัฒนา พิมพ์ว่า:


การปฏิบัติสิ่งใดๆ..โดยมีสติ มีผลทำให้การกระทำนั้นถูกต้องที่สุด(เห็นเหตุชัดเจน เข้าใจถูกต้องที่สุด ) ..ทำให้ประหยัดเวลาที่สุด ..เร็วที่สุด (เพราะไม่ต้องกลับมาแก้ไข)
มองแบบฝรั่ง ..มันก็รวดเร็วไม่มีการใช้อารมณ์ ..มันก็ดูมี IQ/EQ ..ดีที่สุดนั้นไง


ตอบ...
คุณ ทินกร ขอรับ ทำไมคุณไม่อ่านแล้วพิจารณาให้ดีในข้อความในกระทู้
บุคคลจะมี ไอคิว ที่ดีได้ ก็ต้องขึั้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ปัจจัยประการแรกก็คือ กรรมพันธุ์ ฯลฯ
อีคิว จะเป็น ความสามารถของบุคคลเชื่อมต่อจาก ไอคิว หมายความว่า ไอคิว จะเห็นตัวสร้าง อีคิวในส่วนหนึ่ง เพราะ ความรู้ ความเข้าใจ การได้รับการประสบการณ์ ปฏิภาณไหวพริบ จะเป็นตัวสร้าง อีคิว คือ จะเป็นตัวสร้าง หรือบังคับ ควบคุม หรือก่อให้เกิด สภาพ อารมณ์ ต่างๆกัน

สติ คือ ความระลึกได้
สัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัว

คุณมีสติ แต่ไม่มีความรู้ หรือมีความรู้ ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง อีคิวก็อาจจะต่ำ ไอคิว ก็อาจจะต่ำเช่นกัน
อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องอธิบายกันยาว คิดด้วยตัวเองบ้างขอรับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2008, 2:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทินกร ทวีทรัพย์วัฒนา พิมพ์ว่า:


การปฏิบัติสิ่งใดๆ..โดยมีสติ มีผลทำให้การกระทำนั้นถูกต้องที่สุด(เห็นเหตุชัดเจน เข้าใจถูกต้องที่สุด ) ..ทำให้ประหยัดเวลาที่สุด ..เร็วที่สุด (เพราะไม่ต้องกลับมาแก้ไข)
มองแบบฝรั่ง ..มันก็รวดเร็วไม่มีการใช้อารมณ์ ..มันก็ดูมี IQ/EQ ..ดีที่สุดนั้นไง


ตอบ...
คุณ ทินกร ขอรับ ทำไมคุณไม่อ่านแล้วพิจารณาให้ดีในข้อความในกระทู้
บุคคลจะมี ไอคิว ที่ดีได้ ก็ต้องขึั้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ปัจจัยประการแรกก็คือ กรรมพันธุ์ ฯลฯ
อีคิว จะเป็น ความสามารถของบุคคลเชื่อมต่อจาก ไอคิว หมายความว่า ไอคิว จะเห็นตัวสร้าง อีคิวในส่วนหนึ่ง เพราะ ความรู้ ความเข้าใจ การได้รับการประสบการณ์ ปฏิภาณไหวพริบ จะเป็นตัวสร้าง อีคิว คือ จะเป็นตัวสร้าง หรือบังคับ ควบคุม หรือก่อให้เกิด สภาพ อารมณ์ ต่างๆกัน

สติ คือ ความระลึกได้
สัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัว

คุณมีสติ แต่ไม่มีความรู้ หรือมีความรู้ ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง อีคิวก็อาจจะต่ำ ไอคิว ก็อาจจะต่ำเช่นกัน
อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องอธิบายกันยาว คิดด้วยตัวเองบ้างขอรับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เมธี
บัวตูม
บัวตูม


เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.ค.2008, 9:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมมีข้อสงสัยรบกวนถามครับ

คือเห็นคนบางคน ไอคิว สูงมาก

แต่ความสามารถในการควบคุมอารมรณ์(อีคิว) ต่ำ

เอ หรือ ไอคิวกะอีคิวจะไม่เกี่ยวกันน๊า

แต่สติ สัมปชัญญะ คงจะมีความสำคัญต่อการพัฒนาอีคิวเป็นแน่แท้เนอะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.ค.2008, 12:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมธี พิมพ์ว่า:
ผมมีข้อสงสัยรบกวนถามครับ

คือเห็นคนบางคน ไอคิว สูงมาก

แต่ความสามารถในการควบคุมอารมรณ์(อีคิว) ต่ำ

เอ หรือ ไอคิวกะอีคิวจะไม่เกี่ยวกันน๊า

แต่สติ สัมปชัญญะ คงจะมีความสำคัญต่อการพัฒนาอีคิวเป็นแน่แท้เนอะ


ตอบ.....
ที่คุณกล่าวมามีน้อยมาก 1 ใน แสนโน้นแหละ เพราะมีปัจจัยหลายประการ ดังที่ได้กล่าวไป ในกระทู้ข้างต้น
อีกประการหนึ่ง คำว่าไอคิวสูงนั้น อาจจเป็นการมีไอคิวสูงเฉพาะด้าน ไม่ได้มีไอคิวสูงในด้านหลักธรรมในศาสนา และอื่น ซึ่งการมีไอคิวสูงเฉพาะด้าน ก็มีผลต่อ อีคิวได้เช่นกัน เพราะไอคิวและอีคิว รวมไปถึง ความสามารถของบุคคลในด้านอื่นๆ ย่อมต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
เช่น ถ้าคุณมีความรู้ ความสามารถในทางวิชาการต่างๆสูง ซึ่งวัดและตรวจแล้วว่า จัดอยู่ในประเภทไอคิวสูง สภาพสภาวะทางด้านอารมณ์ และอื่นๆ ก็จะสัมพันธ์กับความรู้ ความสามารถ อย่างแน่นอน
อนึ่งบุคคลที่มีไอคิวสูงส่วนใหญ่ ก็ย่อมมี สติ สัมปชัญญะ สมบูรณ์และค่อนข้างดีมาก กว่าบุคคลอื่นๆ ฯลฯ

ไอคิว และอีคิว จึงเกี่ยวข้องกัน อย่างชนิดที่เรียกว่า แยกกันไม่ออก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ค.2008, 10:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

อีคิวกับไอคิวต่างกันอย่างไร


ไอคิว หรือ Intelligence Quotient หมายถึง ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา การคิด การใช้เหตุผล การคำนวณ การเชื่อมโยง
อีคิว หรือ Emotional Quotient หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์เป็นความสามารถในการรับรู้และเข้าใจอารมณ์ทั้งของตัวเองและผู้อื่น ตลอดจนสามารถปรับหรือควบคุมได้อย่างเหมาะสมกับสภาวะการณ์
ไอคิว เป็นศักยภาพทางสมองที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ยาก
อีคิว ถึงแม้จะเป็นศักยภาพทางสมองเหมือนกันแต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาให้ดีขึ้นได้
ไอคิว สามารถวัดออกมาเป็นค่าสัดส่วนตัวเลขที่แน่นอนได้
อีคิว ไม่สามารถระบุชี้ออกมาเป็นค่าสัดส่วนตัวเลข

การวัดไอคิว เกิดขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ.๑๙๐๕ โดยนักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศสที่ต้องการแยกบุคคลปัญญาอ่อนออกจากคนปกติ เพื่อจะได้จัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม โดยใช้การเปรียบเทียบระหว่างความสามารถที่ควรจะเป็นกับอายุสมองแล้วคำนวณออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์
ปัจจุบัน การวัดไอคิวมักใช้แบบทดสอบของเวสเลอร์ ที่เริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปีค.ศ.๑๙๓๐ โดยอาศัยงานวิจัยของนักวิชาการและนักการทหาร เป็นกลุ่มข้อทดสอบทั้งหมด ๑๑ กลุ่ม เป็นกลุ่มที่ต้องใช้ภาษาโต้ตอบ ๖ กลุ่ม ไม่ต้องใช้ภาษาโต้ตอบ ๕ กลุ่ม ดังนี้
๑. ข้อมูลทั่วไป เป็นคำถามเพื่อตรวจวัดความสนใจความรู้รอบตัว
๒. ความคิด ความเข้าใจ
๓. การคิดคำนวณ
๔. ความคิดที่เป็นนามธรรม โดยให้หาความเหมือน
๕. ความจำระยะสั้น โดยใช้การจำจากตัวเลข
๖. ภาษาในส่วนของการใช้คำ
๗. การต่อภาพในส่วนที่ขาดหายไป
๘. การจับคู่โครงสร้าง โดยดูจากรูปร่างหรือลวดลาย
๙. การเรียงลำดับภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ
๑๐. การต่อภาพเป็นรูป ด้วยการต่อจิ๊กซอว์
๑๑. การหาความสัมพันธ์ของตัวเลขและสัญลักษณ์

การวัดอีคิว เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ไม่มีแบบมาตรฐานที่แน่นอน เป็นเพียงการประเมินเพื่อให้ผู้วัดมองเห็นความบกพร่องของความสามารถทางด้านอารมณ์ที่ต้องพัฒนาแก้ไข กรมสุขภาพจิตได้พัฒนาแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ โดยประเมินจากความสามารถด้านหลัก ๓ ด้านคือ ดี เก่ง สุข ซึ่งแยกเป็นด้านย่อยได้ ๙ ด้าน
๑. การควบคุมตนเอง
๒. ความเห็นใจผู้อื่น
๓. ความรับผิดชอบ
๔. การมีแรงจูงใจ
๕. การตัดสินใจแก้ปัญหา
๖. สัมพันธภาพกับผู้อื่น
๗. ความภูมิใจในตนเอง
๘. ความพอใจในชีวิต
๙. ความสุขสงบทางใจ

เนื่องจากไอคิวสามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ จึงมีผู้ให้ความสำคัญกับไอคิวมาโดยตลอด เด็กที่เรียนเก่ง จะมีแต่คนชื่นชม พ่อแม่ครูอาจารย์รักใคร่ ต่างจากเด็กที่เรียนปานกลางหรือเด็กที่เรียนแย่มักไม่ค่อยเป็นที่สนใจ หรือถูกดุว่า ทั้ง ๆ ที่เด็กเหล่านี้อาจจะมีความสามารถทางด้านอื่น เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ เพียงแต่ไม่มีความถนัดเชิงวิชาการเท่านั้นเอง
มาในช่วงหลัง ๆ ความเชื่อมั่นในไอคิวเริ่มสั่นคลอนเมื่อมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการวัด และความสำคัญของไอคิว จนในที่สุดเมื่อ ๑๐ ปีที่ผ่านมาจึงยอมรับกันว่า แทัจริงแล้ว ในความเป็นจริง ชีวิตต้องการทักษะและความสามารถในด้านอื่น ๆ อีกมากมายที่นอกเหลือไปจากการจำเก่ง การคิดเลขเก่ง หรือการเรียนเก่ง ความสามารถเหล่านี้อาจจะช่วยให้คน ๆ หนึ่งได้เรียน ได้ทำงานในสถานที่ดี ๆ แต่คงไม่สามารถเป็นหลักประกันถึงชีวิตที่มีความสุขได้
ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่งในรัฐแมสซาซูเสท สหรัฐอเมริกาที่ศึกษาความสัมพันธ์ของไอคิวกับความสำเร็จในชีวิต โดยติดตามเก็บข้อมูลจากเด็ก ๔๕๐ คน นานถึง ๔๐ ปี พบว่าไอคิวมีความสัมพันธ์เพียงเล็กน้อยกับความสามารถในการทำงานได้ดีหรือกับการดำเนินชีวิต และพบว่าปัจจัยที่สามารถจะทำนายถึงความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ของชีวิตได้ดีกว่า กลับเป็นความสามารถด้านต่าง ๆ ในวัยเด็กที่ไม่เกี่ยวข้องกับไอคิว เช่น ความสามารถในการจัดการกับความผิดหวัง การควบคุมอารมณ์ และการเข้ากับบุคคลอื่น ๆ ได้ดี
ตัวอย่างงานวิจัยอีกเรื่องหนึ่ง คือการติดตามเก็บข้อมูลจากผู้ที่จบปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์ ๘๐ คน ตั้งแต่ตอนที่ยังศึกษาอยู่ไปจนถึงบั้นปลายชีวิตในวัย ๗๐ ปี พบว่า ความสามารถทางด้านอารมณ์และสังคมมีส่วนทำให้ประสบความสำเร็จในวิชาชีพและมีชื่อเสียงมากกว่าความสามารถทางเชาวน์ปัญญาหรือไอคิวถึง ๔ เท่า


แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ของกรมสุขภาพจิต หน้า ๓ : ทำไมเราต้องเรียนรู้เรื่องอีคิว

ที่มา : กรมสุขภาพจิต. (2543). คู่มือความฉลาดทางอารมณ์. กรุงเทพฯ : กระทรวงสาธารณสุข,



ที่ยกมาให้ดูเพื่อจะบอกว่า ไอคิวของมนุษย์กับการบรรลุธรรมเป็นคนละกรณีกัน

ศาสนาเป็นเรื่องของคุณธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา

โดยจุดประสงค์ก็แตกต่างกัน


ความฉลาดเป็นเรื่องหนึ่ง

การปฏิบัติสมาธิภาวนาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ค.2008, 10:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อีกประการหนึ่ง คำว่าไอคิวสูงนั้น อาจจเป็นการมีไอคิวสูงเฉพาะด้าน ไม่ได้มีไอคิวสูงในด้านหลักธรรมในศาสนา และอื่น ซึ่งการมีไอคิวสูงเฉพาะด้าน ก็มีผลต่อ อีคิวได้เช่นกัน เพราะไอคิวและอีคิว รวมไปถึง ความสามารถของบุคคลในด้านอื่นๆ ย่อมต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน

หมายความว่าคนฉลาดจะบรรลุธรรมได้เร็วกว่าคนฉลาดหรือ

ยกตัวอย่างในพระไตรปิฎกมาเป็นหลักฐานหน่อย

อย่าคิดอ้างเอาเอง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ค.2008, 10:23 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อีกประการหนึ่ง คำว่าไอคิวสูงนั้น อาจจเป็นการมีไอคิวสูงเฉพาะด้าน ไม่ได้มีไอคิวสูงในด้านหลักธรรมในศาสนา และอื่น ซึ่งการมีไอคิวสูงเฉพาะด้าน ก็มีผลต่อ อีคิวได้เช่นกัน เพราะไอคิวและอีคิว รวมไปถึง ความสามารถของบุคคลในด้านอื่นๆ ย่อมต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน


หมายความว่า อวิชชา ตัญหา ................ในปฎิจจสมุปปาท

เอาแค่อวิชชาตัวเดียว สำรอกด้วยไอคิว อีคิว ใช่หรือไม่
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ค.2008, 8:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

mes พิมพ์ว่า:
อีกประการหนึ่ง คำว่าไอคิวสูงนั้น อาจจเป็นการมีไอคิวสูงเฉพาะด้าน ไม่ได้มีไอคิวสูงในด้านหลักธรรมในศาสนา และอื่น ซึ่งการมีไอคิวสูงเฉพาะด้าน ก็มีผลต่อ อีคิวได้เช่นกัน เพราะไอคิวและอีคิว รวมไปถึง ความสามารถของบุคคลในด้านอื่นๆ ย่อมต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน

หมายความว่าคนฉลาดจะบรรลุธรรมได้เร็วกว่าคนฉลาดหรือ

ยกตัวอย่างในพระไตรปิฎกมาเป็นหลักฐานหน่อย

อย่าคิดอ้างเอาเอง


ฮ่า ฮ่า ฮ่า..ขออภัยอย่าหาว่าข้าพเจ้าใช้ศัพท์ภาษาที่ไม่ค่อยสุภาพเลยนะ คุณผู้ใช้ชื่อว่า mes ระดับความคิดอ่าน และสมองปัญญาของคุณ มันก็แค่คนอวดรู้อวดฉลาด คนหนึ่งเท่านั้น อ่านภาษาไทย ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่รู้บริบทของภาษา ข้าพเจ้าเขียนอย่างหนึ่ง คุณดันเข้าใจเอาเอง หรือคิดเอาเองว่า ข้าพเจ้าหมายถึงอย่างที่คุณคิด
กระทู้นี้ชื่อว่า"พุทธศาสนา พัฒนาไอคิว อีคิว ก็ย่อมมีความหมายในตัวของมันเอง อย่างที่ไม่ต้องแปลหรือให้ความหมายอีก ที่ข้าพเจัาอธิบายในรายละเอียดก็เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้นว่า พุทธศาสนา พัฒนา ไอคิว อีคิวได้อย่างไร
ที่คุณถามมา ว่า คนฉลาด จะบรรลุธรรมได้เร็วกว่าคนฉลาด (ความจริงคุณคงจะเขียนว่า คนฉลาด จะบรรลุธรรมได้เร็วกว่า คนไม่ฉลาด)
คุณรู้ไหม ประสบการณ์ของคุณยังมีน้อย เรียกว่า ความรู้น้อย คุณก็อาจจะเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง แต่โง่ในทางความรู้เรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับมนุษย์
เพราะคนฉลาดนั้น ไม่ได้ฉลาดไปหมดซะทุกอย่าง และคนไม่ฉลาด ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่ฉลาดไปซะทุกอย่าง
การบรรลุธรรม มันขึ้นอยู่กับ หลักธรรม ขี้นอยุ่กับ ความเข้าใจในหลักธรรม ขึ้นอยู่กับ สภาพสรีระร่างกาย และปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่าง
ส่วนเรื่องที่คุณนำมาโพส ในเรื่องประวัติความเป็นมาของไอคิว อีคิว คุณยังรู้น้อยไป เพราะคุณได้แต่เรียนแบบ อ่านแบบ และก็รู้ตามแบบ คือ รู้แบบนกแก้ว นกขุ่นทอง ไม่ได้รู้ได้ด้วยความฉลาดของตัวเอง
ไอคิวในมนุษย์นั้น วัดได้เฉพาะด้านเท่านั้น เพราะคนสร้างมันลำเอียงไปทางด้านวิชาการต่างๆ คนไอคิวสูงไม่เข้าใจธรรมะทางศาสนาก็มีไม่น้อย เพราะเมื่อมีไอคิวสูง ความหลงในตัวเอง อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ก็มีมากขึ้น แต่คนมีไอคิวสูง ส่วนใหญ่ จะมีจิตใจสูง คือมี อีคิว และความสามารถทางร่างกายด้านอื่นๆ สูงตามไปด้วย มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะหากเป็นเรื่องของระบบสรีระร่างกายแล้วละก้อ ความรู้เพียงความรู้เดียว ก็สามารถสัมพันธ์หรือมีผลต่อสภาพจิตใจ ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมได้ จำใส่กระโหลกกะลาเอาไว้นะคุณ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.ค.2008, 1:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การกำจัดสังโยช เพื่อสิ้นอาสวะเกี่ยวกับไอคิวตรงไหน

พระพุทธเจ้ามีแตตรัสไว้ว่า



ปัญหา เพราะเหตุไร คนบางคนเกิดมาจึงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เพราะเหตุไร คนบางคน เกิดมาจึงโง่ทึบ ?

พุทธดำรัสตอบ “บุคคลบางคนย่อมไม่เข้าไปหาสมณพราหมณ์ไต่ถามว่าสิ่งไรเป็นกุศล สิ่งไรเป็นอกุศล สิ่งไรมีโทษ สิ่งไรไม่มีโทษ สิ่งไรควรเสพ สิ่งไรไม่ควรเสพ สิ่งใดที่ข้าพเจ้าทำจะไม่เกื้อกูล จะเป็นทุกข์แก่ข้าพเจ้าสิ้นกาลนาน ก็หรือสิ่งไรที่ข้าพเจ้าทำจะเกื้อกูล จะเป็นสุขแก่ข้าพเจ้าชั่วกาลนาน ดังนี้ครั้นตายไป ย่อมเกิดในอบายทุคตินรกด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้โง่เขลา
“บุคคลบางคนย่อมเข้าไปหาสมณพราหมณ์ ไต่ถามว่าสิ่งไรเป็นกุศล สิ่งไรเป็นอกุศล สิ่งไรมีโทษ สิ่งไรไม่มีโทษ..... ดังนี้ครั้นตายไป ย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์ด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้เฉลียวฉลาด
“สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาท (คือผู้รับผล) แห่งกรรมมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความเป็นผู้ต่ำช้าแลประณีตฉะนี้แล”


ทุกคำถามของผมคุณตอบไม่ได้เลย

ดี แต่ตอบบ่ายเบียน

แล้วใช้จิตใจอันคับแคบ ต่ำทรามก่นด่า แทนที่จะใช่เหตุและผล

ผมไมถือสาคุณหรอก อโหสิให้

ผมแค่ต้องการแสดงให้คนอ่านได้มองเห็นความจริง

คำด่าทอทั้งหลายคุณก็รับคืนไปด้วยแล้วกัน

หนีไม่พ้นหรอก

เพราะคุณตองเป็นทายาทของมรดกที่คุณก่อขึ้นมาเอง

ผมไม่เดือดร้อนด้วย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.ค.2008, 3:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

[quote="mes"เขียนว่า ]การกำจัดสังโยช เพื่อสิ้นอาสวะเกี่ยวกับไอคิวตรงไหน


ตอบ....
คุณผู้ใช้ชื่อว่า mes ถ้าจะเปรียบเทียบไปแล้ว คุณมันก็แค่นกแก้วนกขุนทองตัวหนึ่งเท่านั้น หมายถึงระดับสมองสติปัญญาของคุณนะ

เห็นเขาเขียน กำจัดสังโยชน์ ก็เขียนตามเขา ไม่รู้ดอกว่า การกำจัดสังโยชน์เขาทำกันอย่างไร ดอกนะ แล้วยังมีหน้าอวดฉลาดทำเป็นหลอกถาม ฮ่า ฮ่า ฮ่า
อยากเห็น วิธีการขจัดสังโยชน์ใช่ไหม มาพิสูจน์จากตัวข้าพเจัาได้เลย (นี้เป็นการเขียนถึงบุคคลคนเดียวนะขอรับ คนอื่นไม่เกี่ยว) แล้วคุณจะได้เห็นว่า การขจัดสังโยชน์นั้นเป็นอย่างไร แล้วคุณก็จะรู้ว่า คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า ข้าพเจ้าขจ้ดสังโยชน์ได้
ส่วนคำถามว่า ขจัดสังโยชน์มันเกี่ยวกับ ไอคิวตรงไหน คุณกลับไปอ่าน กระทู้นี้ใหม่ และอ่าน ข้อแสดงความคิดเห็นของข้าพเจ้าในกระทู้เรื่องนี้ทั้งหมด คุณก็อาจจะรู้ได้ ถ้าไอคิวคุณสูงพอนะ ถ้าไอคิวคุณต่ำ คุณก็คงจะแสดงความที่มีจิตใจและสมองสติปัญญาต่ำทรามออกมาอีก อิ อิ อิ


ถาม....
พระพุทธเจ้ามีแตตรัสไว้ว่า
ตอบ.....จริงๆนะ คุณผู้ใช้ชื่อว่า mes คุณนะหลงงมงายโดยไม่ได้คิดพิจารณาถึงหลักความจริง นกแก้วนกขุนทองชัดๆ "พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า" ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสไว้หรืออย่างไร โรคจิตประสาทจริง ๆ ดีแต่ใส่ร้าย อย่างนั้นอย่างนี้ ที่กล่าวไปนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในพระไตรปิฎก มันต้องดู มันต้องพิจารณา ว่าสิ่งไหนควรใช้หลักวิชาการสมัยใหม่เข้าเชื่อมโยง เขียนอย่างคุณเขาเรียกว่า ...แล้วอวดฉลาด ไอคิวต่ำ แต่ทำ เป็นไอคิวสูง
ไม่ตอบให้ก็ว่าร้ายให้เสียหาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า แสดงถึงปมด้อย ที่ได้รับจากการขัดเกลาทางสังคม ไม่รู้จักคิดพิจารณาด้วยตัวเอง ไม่รู้จักเสาะแสวงหา ความรู้ตามหลักวิชา อันเกี่ยวข้องกับศาสนา เขามีหลักวิชาการที่ถูกต้องเป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลกว่าเป็นหลักความจริง และเขาก็ใช้กันอยู่ ดันไม่เชื่อไม่สนใจ ดื่มเหล้าเล่นเน็ต แสดงข้อคิดเห็นมั่วๆ ถามมั่วๆ
หลงไปเถอะ หลงอยู่กับความคิดของตัวคุณเองไปเถอะ แล้วคุณก็จะรู้เอง ส่วนที่คุณเขียนมาด้านล่างนั้น คุณก็รับไปเองเถอะ เพราะมันเป็นการสอนตัวคุณอยู่แล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 15 ก.ค.2008, 10:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เห็นเขาเขียน กำจัดสังโยชน์ ก็เขียนตามเขา ไม่รู้ดอกว่า การกำจัดสังโยชน์เขาทำกันอย่างไร ดอกนะ แล้วยังมีหน้าอวดฉลาดทำเป็นหลอกถาม ฮ่า ฮ่า ฮ่า
อยากเห็น วิธีการขจัดสังโยชน์ใช่ไหม มาพิสูจน์จากตัวข้าพเจัาได้เลย (นี้เป็นการเขียนถึงบุคคลคนเดียวนะขอรับ คนอื่นไม่เกี่ยว) แล้วคุณจะได้เห็นว่า การขจัดสังโยชน์นั้นเป็นอย่างไร แล้วคุณก็จะรู้ว่า คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า ข้าพเจ้าขจ้ดสังโยชน์ได้
ส่วนคำถามว่า ขจัดสังโยชน์มันเกี่ยวกับ ไอคิวตรงไหน คุณกลับไปอ่าน กระทู้นี้ใหม่ และอ่าน ข้อแสดงความคิดเห็นของข้าพเจ้าในกระทู้เรื่องนี้ทั้งหมด คุณก็อาจจะรู้ได้ ถ้าไอคิวคุณสูงพอนะ ถ้าไอคิวคุณต่ำ คุณก็คงจะแสดงความที่มีจิตใจและสมองสติปัญญาต่ำทรามออกมาอีก อิ อิ อิ


นี่คื่อมิจฉทิฐิ

วจีทุจริต

มโนทุจริต

เป็นโมฆะบุรุษ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 15 ก.ค.2008, 10:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฮ่า ฮ่า ฮ่า

การแสดงกิริยาหัวเราะเยาะถากถาง

ไม่ใช่มารยาทของผู้ประพฤติธรรม

อีกทั้งยังเป็นการไม่สำรวมอินทรีย์

เขาเรียกบุคคลประเภทนี้ว่าไร้มารยาท
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 15 ก.ค.2008, 10:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอบ.....จริงๆนะ คุณผู้ใช้ชื่อว่า mes คุณนะหลงงมงายโดยไม่ได้คิดพิจารณาถึงหลักความจริง นกแก้วนกขุนทองชัดๆ "พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า" ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสไว้หรืออย่างไร โรคจิตประสาทจริง ๆ ดีแต่ใส่ร้าย อย่างนั้นอย่างนี้ ที่กล่าวไปนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในพระไตรปิฎก มันต้องดู มันต้องพิจารณา ว่าสิ่งไหนควรใช้หลักวิชาการสมัยใหม่เข้าเชื่อมโยง เขียนอย่างคุณเขาเรียกว่า ...แล้วอวดฉลาด ไอคิวต่ำ แต่ทำ เป็นไอคิวสูง

หมายความว่าอย่างไร ที่คุณว่ากล่าวมาข้างต้น

ในพระไตรปิฎกบันทึกตามคำตรัสของพระพุทธเจ้านั้นเชื่อไม่ได้ เพราะไม่ได้ยินมากับหูอย่างนั้นหรื่อ

คนที่ปริยัติ อ่านพระไตรปิฎก เป็นพวกโรคประสาทใช่ไหม

แล้วที่อ้างหลักวิชชาการสมัยไหม คื่ออะไร เกี่ยวอะไรกับพระธรรม

เห็นแต่จะประกาศสิ่งที่ตนเองคิดว่าได้ตรัสรู้

ใครกันแน่ที่เป็นโรคจิต

ใครกันแน่ที่ไอคิวต่ำ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 15 ก.ค.2008, 10:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ตอบให้ก็ว่าร้ายให้เสียหาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า แสดงถึงปมด้อย ที่ได้รับจากการขัดเกลาทางสังคม ไม่รู้จักคิดพิจารณาด้วยตัวเอง ไม่รู้จักเสาะแสวงหา ความรู้ตามหลักวิชา อันเกี่ยวข้องกับศาสนา เขามีหลักวิชาการที่ถูกต้องเป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลกว่าเป็นหลักความจริง และเขาก็ใช้กันอยู่ ดันไม่เชื่อไม่สนใจ ดื่มเหล้าเล่นเน็ต แสดงข้อคิดเห็นมั่วๆ ถามมั่วๆ
หลงไปเถอะ หลงอยู่กับความคิดของตัวคุณเองไปเถอะ แล้วคุณก็จะรู้เอง ส่วนที่คุณเขียนมาด้านล่างนั้น คุณก็รับไปเองเถอะ เพราะมันเป็นการสอนตัวคุณอยู่แล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า



ก็สารภาพมาแต่แรกก็หมดเรื่องว่าคุณดื่มเหล้าแล้วเล่นเนต

ถึงได้หลุดโลกขนาดนี้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 16 ก.ค.2008, 8:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สังโยชน์ นั้น แท้จริง คือ คำบอกลักษณะแห่งกิเลสในตัวมนุษย์
การละสังโยชน์ ย่อมหมายถึงการขจัดอาสวะแห่งกิเลสนั้นเอง
แต่ในทางที่เป็นจริงนั้น ความคิดอย่างหนึ่ง ก็ย่อมมาจากความคิดอีกอย่างหนึ่ง และความคิดอีกอย่างหนึ่ง ก็ย่อมก่อให้เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่งได้
เช่น ความโลภ มาจากความหลง ความหลงก็ก่อให้เกิดความโลภได้ ความโลภ ย่อมก่อให้เกิด ความโกรธ ความหลงก็ก่อให้เกิดความโกรธได้ ความโกรธ ความหลง ก็ย่อมก่อให้เกิดความโลภได้ ความหลง ความโลภ ก็ย่อมก่อให้เกิด ความโกรธได้
ที่ได้กล่าวไป ไม่ใช่หลักธรรมะ แต่เป็นเพียงคำอธิบายให้รู้ถึงเหตุและปัจจัย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 16 ก.ค.2008, 9:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สังโยชน์ นั้น แท้จริง คือ คำบอกลักษณะแห่งกิเลสในตัวมนุษย์
การละสังโยชน์ ย่อมหมายถึงการขจัดอาสวะแห่งกิเลสนั้นเอง
แต่ในทางที่เป็นจริงนั้น ความคิดอย่างหนึ่ง ก็ย่อมมาจากความคิดอีกอย่างหนึ่ง และความคิดอีกอย่างหนึ่ง ก็ย่อมก่อให้เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่งได้
เช่น ความโลภ มาจากความหลง ความหลงก็ก่อให้เกิดความโลภได้ ความโลภ ย่อมก่อให้เกิด ความโกรธ ความหลงก็ก่อให้เกิดความโกรธได้ ความโกรธ ความหลง ก็ย่อมก่อให้เกิดความโลภได้ ความหลง ความโลภ ก็ย่อมก่อให้เกิด ความโกรธได้
ที่ได้กล่าวไป ไม่ใช่หลักธรรมะ แต่เป็นเพียงคำอธิบายให้รู้ถึงเหตุและปัจจัย


บอกตามตรงถ้าอ่านที่คุณเขียนมารู้เรื่องก็คงบ้า

ถามว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมะ แล้วอะไรคื่อธรรมะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 16 ก.ค.2008, 9:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สังโยชน์ที่คุณกล่าวถึงหมายถึงคำสั่งสอนของพรพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือมาจากที่คุณตรัสรู้เอง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 12 ส.ค. 2008, 12:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พุทโธ เจริญในธรรมเถิด อมิตพุทธ สาธุ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง