Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ต้องทำลายความเห็นแก่ตัว (ท่านพุทธทาสภิกขุ)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ชาญวิทย์
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 04 พ.ค. 2008
ตอบ: 152
ตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2008, 9:45 am
ต้องทำลายความเห็นแก่ตัวก่อน
เป็นอันว่า หลักในทางพระศาสนาหรือ ทางศีลธรรมก็ตาม ล้วนแต่ ต้องการให้
ทำลายความเห็นแก่ตัวเป็นข้อแรก ดังนั้นพระพุทธศาสนาเรา จึงยกเอา สักกาย
ทิฎฐิ คือ ความเห็นแก่ตัว เห็นว่า กายนี้ของตัว นี้มาเป็นข้อแรกหรือเป็นสิ่งแรก
ที่จะต้องพยายาม ละเสีย เราผู้ต้องการจะปฏิบัติ ในหลักพระพุทธศาสนา ต้อง
ทำอย่างนี้ และทำเรื่อยๆไป จนหมดความเห็นแก่ตัว โดยสิ้นเชิง ในการ ละ
สัญโญชน์ และอนุสัย ให้หมดสิ้น
หมดความเห็นแก่ตัวไม่มีตัวเหลืออยู่จริงๆ เมื่อนั้นแหละจะกลายเป็นคนที่ไม่มี
ความทุกข์ อีกต่อไป คือ กลายเป็นคนที่ไม่ตาย ไม่มีตัวตน ที่จะต้องตาย ไม่มี
ความทุกข์ เพราะไม่มีความหวังอะไร ไม่มีความอยากเหลืออยู่ ให้เห็ด หัวเราะ
เยาะ อีกต่อไป หมายความว่า ไม่มีความหวัง หรือความอยากอะไร เหลืออยู่ แม้
แต่น้อย นั่นเอง ไม่ได้อยากอยู่ ไม่ได้อยากตาย และ ไม่ได้อยาก อะไรทั้งหมด
เพราะว่า ไม่มีตัวกู ที่จะอยาก นี่แหละ คือความไม่ตาย
นี่แหละคือ ความที่เป็นทุกข์ไม่ได้ ไม่ว่าอะไรๆ มันจะเป็นไปอย่างไร จิตใจ
ชนิดนี้ มันมีความทุกข์ไม่ได้ ในตัวของตัวเอง ก็ไม่มีอาการที่เป็นบ้า หมาย
ความว่า หายโรคบ้า หายโรคเป็นบ้านี้โดยสิ้นเชิง ไม่มีตัวตน ที่จะเหลืออยู่
สำหรับรับรองโรคนี้ โรคนี้ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่อาศัย ก็เกิดขึ้นไม่ได้ หมายความ
ว่า จิตใจชนิดนี้ ไม่เป็นที่ตั้ง ไม่มีที่อาศัย ของความ ยึดมั่น ถือมั่น ซึ่งเป็นโรค
บ้า โรคบ้า จึงเกิดขึ้นในจิตใจ ชนิดนี้ไม่ได้
นี่แหละ คือ หนทางทางเดียว เท่านั้น ที่จะทำให้ทุกข์ กับเขาไม่เป็น เป็นทุกข์
กับเขาไม่เป็น เพราะว่า เป็นบ้ากับเขาไม่เป็น เมื่อเป็นบ้า กับเขาไม่เป็นแล้ว ก็
เป็นทุกข์ กับเขาไม่เป็น แม้ว่าโลกนี้ จะเต็มไปด้วย คนบ้า หรือจะเต็มไปด้วย
ความทุกข์ อย่างไร จิตใจนี้ เป็นบ้าไม่ได้ เป็นทุกข์ไม่ได้ เป็นทางออก ทาง
เดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่น ที่คนเรา จะเป็นทุกข์ไม่ได้ เป็นบ้าไม่ได้ คือ พยายาม
ศึกษาปฏิบัติ จนได้รับผล ของการปฏิบัติ เป็นธรรมะที่ทำลาย ความยึดมั่น ถือ
มั่น เสียได้ นี้เรียกว่า ธรรมะกำมือเดียว หมายความว่า ไม่มีเรื่องอื่น อีกแล้ว มี
แต่ เรื่องเดียว แล้วเรื่องเดียวนี้ ก็ไม่มากมายอะไร เป็นเรื่องสั้นๆ ลัดๆ คือ
ทำลายความ ยึดมั่น ถือมั่น ว่าตัวกู-ว่าของกูเท่านั้นเอง
แต่คนที่ได้รับ คำสั่งสอน ในข้อนี้ ได้รับมาก อย่างที่เป็นเมฆ หรือเป็นหมอก
เป็นฝ้า บังความจริง จึงมาเห็น เป็นเรื่องมากมาย ใหญ่โต มันกลับกลาย เป็น
ว่า จะต้องเรียนให้หมด ทั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์บ้าง จะต้องเรียนให้รู้ว่า
กี่เรื่อง กี่สิบเรื่อง กี่ร้อยเรื่อง กี่พันเรื่อง จนกระทั่ง เวียนหัวไปหมด ไม่หมุน
มาสู่ เรื่องที่จะ ทำลายความเห็นแก่ตัว หรือ ทำลายความรู้สึก ว่าตัวกู ว่า
ของกู แต่ประการใด
เพราะเหตุนี้เอง จึงได้ขอร้องแล้ว ขอร้องอีก ว่า จงเป็นอยู่ในลักษณะ ที่จะ
กำจัด ความเห็นแก่ตัว หรือ ความที่มีตัว เราประกอบการงาน ไปตามปกติ
ที่มนุษย์เราจะต้องทำ และในขณะที่ ประกอบการงานนั้น จะเป็นโอกาส ให้
กิเลสเกิดขึ้น สำหรับเห็นแก่ตัว แล้วเราก็มีโอกาส จัดการกับ กิเลสข้อนี้ คือล่อ
ให้มันออกมา ด้วยสติสัมปชัญญะ แล้วก็ฆ่ามันเสีย ทำประหนึ่งว่า กิเลสนี้
เหมือนกับเหยื่อ ที่เราจะจับมา ฆ่าเสียให้ตาย เรามีอาการเหมือนกับ เสือ ที่
ซุ่มอยู่ในที่ที่เหมาะสม สำหรับที่จะจับเหยื่อ ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่านั้น
พระพุทธเจ้าท่านเปรียบภิกษุ ว่าเหมือนกับเสือ แล้วก็ซุ่มอยู่ในป่า คือ สติ
หรือ สติปัฎฐานทั้ง ๔ นี้เรียกว่าสติ นี้เปรียบเหมือนป่า เสือจะต้อง อาศัย
อยู่ในป่า ซุ่มอยู่ในป่า ซ่อนอยู่ในป่า ให้เหมาะๆ จึงจะจับเหยื่อ คือกิเลสได้
ขาดสติเมื่อใด ก็ไม่มีป่า เสือออกมา เห็นโทนโท่ แล้วเสือนั่นแหละ ถูกยิง
ถูกฆ่าเสีย ตายเอง แต่ถ้าเสือมีป่าที่ดี คือมีสติที่ดี เสือก็จะเป็นฝ่ายที่ซุ่มอยู่
แล้วก็จับกิเลสซึ่งเป็นเหยื่อนั้นได้โดยง่ายดาย
คนบ้าไม่มีสติ คนบ้าเป็นคนที่ไม่มีสติ เมื่อทำตนเป็นคนบ้าเสียแล้ว มันก็
ไม่มีสติ จึงมีอาการ เหมือนกับ เสือที่ไม่มีป่าจะอยู่ เหมือนกับ เสือที่ไม่มีป่า
จะซุ่มจะซ่อน มันก็หมดความเป็นเสือ หรือไม่สามารถ จะทำหน้าที่ของเสือ
ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ก็เรียกว่าผู้ปฏิบัติ เหมือนๆ กัน คืออยู่ในลักษณะ
ที่จะต้องเป็นเสือ ด้วยกัน ในเมื่อ มีเหยื่อ คือ กิเลส ที่จะต้องฆ่า จะต้องทำลาย
ด้วยแล้ว ก็จะต้องใช้วิธี เหมือนๆ กัน คือ เป็นอยู่ด้วยสติ จริงๆ
เดี๋ยวนี้ ชอบเป็นคนบ้า เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้
มากลายเป็น คนบ้า ไปเสีย ทั้งวัน ทั้งคืน อย่างนี้ ก็คือไม่มีสติ จึงเป็น เหมือน
กับ เสือที่ไม่มีป่า ที่จะซุ่มสำหรับจับเหยื่อ คือกิเลส แล้วจะไป โทษใคร? สิ่ง
ที่เป็นกิเลส คือ ตัวกู-ของกู นั้น มันก็แพร่หลายมาก มันก็ ออกลูก ออกหลาน
มากมาย จนยากที่จะ ปราบมันได้ หรือกำจัดมันได้
ชุม-ล้อ-๑ ๔๒.ก/๓๐๐-๓๐๓
_________________
ธรรมะคือธรรมชาติ
ชาญวิทย์
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 04 พ.ค. 2008
ตอบ: 152
ตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2008, 9:46 am
คัดลอกจาก พุทธทาสดอทคอมครับผม
_________________
ธรรมะคือธรรมชาติ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 มิ.ย.2008, 11:52 am
สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...คุณชาญวิทย์
ธรรมะสวัสดีค่ะ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
ตอบเมื่อ: 12 มิ.ย.2008, 9:02 pm
อนุโมทนาสาธุด้วยนะคะคุณชาญวิทย์
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th