Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ทำยังงัยดี..สับสน..ช่วยหาทางออกให้ด้วยค่ะ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เจเจ
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 28 พ.ค. 2008
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 28 พ.ค.2008, 3:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องของฉันมีอยู่ว่า ไม่เคยคิดว่าจะมีผู้ชายคนหนึ่งที่รักเรามากเข้ามาในชีวิตของเรา เขาและฉันรู้จักกันตั้งแต่ ปี 45 เราเริ่มคบกันแบบเป็นแฟนพอลองคบไปเรื่อยๆ ฉันรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดีทีเดียวไม่เห็นเหมือนนายสิบ (เป็นทหาร) คนอื่นที่แม่เคยพูดให้ฟังเลย เขาชอบฉันโดยไม่สนใจคนอื่นว่าจะพูดยังงัยฉันและเขาเริ่มสานสัมพันกันมากขึ้นเรื่อยๆ 3 - 4 เดือน ผ่านไป ฉันไปเริ่มสมัครเรียนปวส. เรียนตอนเย็นตั้งแต่ ต.ค.45 จบปี 47 ตอนนั้นเขาเองก็เรียนตรีต่อด้วย ทุกวันเขาจะมารับที่โรงเรียนฉันเลิกเรียน 3 ทุ่ม ทุกวัน เขาจะมานั่งรอและกลับบ้านด้วยกัน ฉันจบปวส เขาจบตรี วันที่เขารับปริญญา เราไม่ได้ไปเราเสียใจแค่ไหน ก็ทุกวันเขาก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีเรานี่แต่ทำไม...เพราะว่าเขาไม่เคยบอกทางบ้านเขาให้รู้เลยว่าเขามาอยู่บ้านเดียวกับเราแล้ววันงานบวชเขาอีก ทุกคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นใคร บอกใครก็ไม่ได้ว่าผู้ชายไม่ได้บอกทางบ้านว่ามาอยู่กับเราทุกครั้งที่เขาโทรศัพท์คุยกับแม่ เราซึ่งนอนข้างๆ ได้แต่เงียบ เคยนึกถึงความรู้สึกเราบ้างไหม อยู่มา 5 ปี เขาเคยบอกเราว่าเขาจะฝึกร้องเพลง 'ยังงัยก็รักเธอ' เราดีใจมาก ตอนที่ซื้อรถ เขาก็มาบอกแม่เราว่าจะเอายังงัยอยากแต่งงานกับเราถ้าจะแต่งงานก็ต้องใช้เงินแล้วรถล่ะเราก็เลยให้เขาเลือกที่จะซื้อรถก่อน เพราะเวลานั้นเขาพาเราเข้าบ้านแล้วตั้งแต่เดือน เม.ย50 เขาไปบอกแม่ว่าจะแต่งงานกับเราแต่บอกว่ารอเราให้บรรจุงานก่อน เดือน ต.ค.เราบรรจุ แล้วเรื่องทุกอย่างก็เริ่มต้นจากต้นนี้
ตั้งแต่ปลายเดือนต.ค.ฉันและเขาเริ่มมีปัญหากัน ฉันเองก็มีปัญหาที่ทำงานต้องเปลี่ยนตำแหน่งงานใหม่ทำให้ต้องมีภาระงานมากขึ้น ซึ่งนั่นก็หมายถึงอารมณ์ที่เริ่มแปรปรวนจากการงานประกอบกับเขาซื้อรถได้มีก็เหมือนว่าอยากเที่ยวและโชว์สาว แต่ฉันสาบานได้เลยตั้งแต่อยู่กับผู้ชายคนนี้มาเขาไม่เคยนอกใจ จนฉันเริ่มชล่าใจในความไว้วางใจนี้ด้วยซ้ำ ฉันไม่ได้กลับไปบ้านเขาประมาณจะเดือนแล้วด้วยเหตุผลที่ว่าเหนื่อยจากการทำงานถ้ากลับไปบ้านพ่อแม่เขาฉันก็ต้องไปช่วยพ่อแม่เขาขายผลไม่ซึ่งฉันรู้สึกว่าเสาร์-อาทิตย์อยากพักผ่อนมากกว่า และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นมีอยู่วันหนึ่งหลังจากที่เขากลับมาบ้านต่างจังหวัดเขาบอกว่าเขาต้องการย้ายกลับไปบ้านไปทำงานที่บ้านซึ่งเขาไม่สามารถเอาฉันไปด้วยได้เนื่องจากฉันต้องอยู่กับแม่และงานการที่นี่ดีมากอยู่แล้ว แต่ใครจะรู้ว่านี่คือข้ออ้างที่เขาอยากเลิกกับฉันเพราะเขามีผู้หญิงฉันก็โง่ได้แต่หลงเชื่อจนแม่ฉันซึ่งอาบน้ำร้อนมาก่อนบอกว่าแฟนฉันไม่เหมือนเก่า ต้องมีอะไรแน่คงติดผู้หญิง ฉันไม่เชื่อแม่ฉัน ก็ยังคง งง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ จนอยู่มาวันลอยกระทง ปี 50 ฉันทะเลาะกับเขาด้วยเรื่องบางอย่าง เขาบอกว่าเขาทนไม่ไหวแล้ว เราเลิกกันเถอะ ง่ายไหมคะสำหรับคำๆๆ นี้ 5 ปี กว่า กับการบอกคำๆๆนี้ ฉันล้มทั้งยืนไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะพูดคำนี้ออกมาจากปาก เขาเปลี่ยนไปมีรถทำให้เขาเปลี่ยนไป คืนนั้นฉันนอนกอดแล้วร้องไห้กับแม่ๆ ร้องไห้อย่างมากแม่รักแฟนฉันมากรักเหมือนลูกซักให้แม้กระทั่ง ถุงเท้า
มีอยู่วันนึงฉันไปค้นรถฉันไปเจอใบเสร็จซื้อถุง...ฉันช็อคเป็นอย่างมาก สุดท้ายฉันทนไม่ได้ฉันเลยบอกเขาอยากไปอยู่ที่ไหนก็ไปได้เลยถ้าทำแบบนี้แสดงว่าไม่รักกันแล้ว เขาย้ายออกจากบ้านฉันโดยไม่ลังเล เขาบอกว่าขอโทษเขามันเลว เขาไม่ให้อภัยตัวเองได้เลย ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ฉันได้แต่เสียใจกับการกระทำของเขา ๆ มีผู้หญิงใหม่จริงๆๆ และฉันก็รู้มาด้วยว่าเขาพาผู้หญิงคนนั้นเข้าบ้านตั้งแต่ปีใหม่แล้ว ซึ่งเขาคบกันไม่ถึง 2 เดือน แต่ฉัน 5 ปีกว่าจะได้เข้าบ้านฉันเสียใจเป็นอย่างมาก ฉันทนลำบากมากับเขาขนาดไหนพยายามจะสร้างอนาคตร่วมกันนั่งมอไซด์ตากแดดตากฝนรถชนรถล้มมาด้วยกัน พอวันที่มุรถเก๋งวันที่กำลังจะสบายเขากับทึ้งฉันไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่น อีกอย่างพ่อแม่ของเขาอาจจะไม่ชอบฉัน ทุกวันนี้ฉันมีแต่ความสงสัยอยากรู้ว่าเขาพาผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ที่กรุงเทพหรือเปล่า สงสัยกระทั่งอยากจ้างใครก็ได้ตามไปดูที่เขาพักอยู่ ฉันไม่รู้ว่าฉันบ้าไปหรือเปล่า ทุกวันนี้แม้แต่ที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์เขาก็ไม่บอกให้ฉันรู้ มีเพียงแต่คำว่า “ไม่มีใครดีเท่าฉันเลย เขาจะรักฉันตลอดไป แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว” ใครก็ได้ช่วยให้ฉันพ้นทุกข์จากการคิดของฉันที ทำไม
1.ทุกคืนฉันจะคอยนึกอยู่เสมอว่าเขากำลังทำอะไร กับใคร ที่ไหนทำอะไรกัน
2.ฉันเสียใจกับสิ่งที่เขาทำเพราะฉันคิดว่าเขาไม่น่าจะทำกับฉันได้
3.เวลาที่ฉันลำบากฉันคิดถึงเขาเพราะฉันไม่เคยต้องขึ้นรถเองเลย เขารับส่งตลอด
4.ครึ่งปีแล้วฉันก็ยังไม่สามารถลืมเขาได้แม้บางครั้งคำพูดการกระทำเจ็บแสนเจ็บเคยทำได้แค่เดือนเดียวเองคะที่ไม่ติดต่อเลย
5.หลังๆๆ เขาชอบบอกฉันว่าฉันดีที่สุดไม่มีใครดีเท่าฉันเลย แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เพราะอะไรทำไมเขาต้องพูดแบบนี้
คำถามสุดท้ายเรื่องราวที่ฉันเล่ามาทั้งหมดเป็นเพียงแค่บางอย่างแต่ฉันไม่สามารถบรรยายได้หมดทุกวันทุกเรื่องราวคำถามในใจฉันก็คือ ฉันสับสน ใจนึงอยากเลิกให้เด็ดขาดๆๆๆๆๆ แต่อีกใจนึงยังคงโหยหาคิดถึงเขา ฉันควรทำอย่างไรดี อยากมีสติมากกว่านี้ ช่วยแนะนำทีว่าฉันควรจะทำอย่างไร ถ้ามีคำถามอยากจะถามเพิ่มเติมก็บอกได้นะคะยินดีที่จะเล่าให้ฟัง เพื่อหาคำตอบให้ใจเสียทีค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Story Note
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2007
ตอบ: 97

ตอบตอบเมื่อ: 28 พ.ค.2008, 4:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ เปมโต ชายเต โสโก : ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก

"ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์" อ่านเรื่องราวของคุณแล้ว ก็เหมือนผู้ที่กำลังตกหลุมพรางรัก และกำลังจะหาทางออก หลายคนที่ตะเกียกตะกาย พ้นไปแล้ว และอีกหลายคนที่กำลังจะพยายามตะเกียกตะกาย และอีกหลายคนที่กำลังจะเดินสู่หลุมพรางนั้น....

1.ทุกคืนฉันจะคอยนึกอยู่เสมอว่าเขากำลังทำอะไร กับใคร ที่ไหนทำอะไรกัน
ตอบค่ะ.. ไม่ต้องสนใจว่าเขาจะทำอะไรกับใครที่ไหน หันมาสนใจตัวเองนะค่ะ ในเมื่อเขาไม่ได้คิดถึงเราแล้ว เราจะไปคิดถึงเขาทำไมให้เสียเวลาค่ะ สวดมนต์ไหว้พระ แผ่เมตตาให้เขาไปค่ะ

2.ฉันเสียใจกับสิ่งที่เขาทำเพราะฉันคิดว่าเขาไม่น่าจะทำกับฉันได้
ตอบค่ะ.. ไม่มีสิ่งใดเที่ยงบนโลกนี้ แม้กระทั่งความคิดของเราเองยังไม่เที่ยงเลยนะค่ะ

3.เวลาที่ฉันลำบากฉันคิดถึงเขาเพราะฉันไม่เคยต้องขึ้นรถเองเลย เขารับส่งตลอด
ตอบค่ะ.. ก่อนหน้าที่จะเจอเขา เราเองก็ไปไหนมาไหนเองมิใช่หรือค่ะ

4.ครึ่งปีแล้วฉันก็ยังไม่สามารถลืมเขาได้แม้บางครั้งคำพูดการกระทำเจ็บแสนเจ็บเคยทำได้แค่เดือนเดียวเองคะที่ไม่ติดต่อเลย
ตอบค่ะ.. อดีตผ่านมาแล้วไม่มีประโยชน์ที่จะคิด ขอให้คุณเจเจ อยู่กับปัจจุบัน ทำหน้าที่การงานด้วยความตั้งใจ และมีสติ

5.หลังๆๆ เขาชอบบอกฉันว่าฉันดีที่สุดไม่มีใครดีเท่าฉันเลย แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เพราะอะไรทำไมเขาต้องพูดแบบนี้
ตอบค่ะ.. "อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย"
ถ้าเขาจะแปรเป็นอื่น ก็แสดงว่า ไม่ใช่ คู่ของเรา แต่ถ้าเป็นของ ๆ เรา อย่างไรก็ใช่ค่ะ

การให้อภัย เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง และเมื่อให้แล้วจะรู้ว่า มันมีค่ามหาศาลแค่ไหน

ป.ล. อย่างไรก็แล้วแต่ เป็นกำลังใจให้คุณได้พบคนที่ใช่ และดีเสมอเหมือนตัวคุณเอง
อย่ากลัวที่จะทำความดี ก้าวต่อไปจะเป็นก้าวที่มั่นคงของคุณเจเจ ค่ะ เทียน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 29 พ.ค.2008, 8:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก่อนอื่น คุณควรได้ทำความเข้าใจในทางที่ถูกต้องว่า

ความรัก ไม่ใช่ สิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ หรือความโศกเศร้าเสียใจ

สิ่งที่ทำให้คุณ เกิดความทุกข์ เกิดความโศกเศร้าเสียใจ นั้น คือ "ความคิดของคุณเอง" อันได้รับการสัมผัส จากอายตนะ คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ อันได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง แสง สี โผฎฐัพพะ

เรื่องที่คุณเล่ามาทั้งหมด นับว่าน่าเห็นใจ มันเป็นเรื่อง ของจิตใจ ความคิดของบุคคล ซึ่ง ยากที่จะบอกได้ว่า แฟนของคุณมีสภาพสภาวะจิตใจ เป็นเช่นใด เพราะไม่ได้อยู่ใกล้ชิด ไม่ได้เป็นผู้ประสบหรือใกล้ชิด หรือรู้ ในอุปนิสัยใจคอ ของคุณ และแฟนคุณ

คนเราถ้ารักกันจริง แล้วต่างก็มีศีลธรรมอยู่ในหัวใจ มีศาสนาอยู่ในหัวใจแล้วละก้อ ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ แม้จะมีการทะเลาะเบาะแว้ง ขัดใจ ขัดคอ อันมีเหตุจากปัจจัยภายนอก เพราะบางครั้ง บางเวลา บุคคลที่ได้ออกไปสังคมร่วมปฏิสัมพันธ์ กับบุคคลนอกครอบครัว นอกบ้าน อาจมีความประทับใจ ในพฤติกรรมที่ไปพบเห็น ประสบมา พอมาถึงบ้าน ไม่ได้เห็นพฤติกรรมที่ตนเองต้องการ ก็พาล กลายเป็นข้ออ้าง กลายเป็นสิ่งที่มองดูขัดหูขัดตาไปหมด นั่นมันขึ้นอยู่กับ ความมีสมาธิ หรือความมีสติสัมปชัญญะของบุคคลนั้นๆ

เมื่อคุณได้อ่านข้อความข้างต้นแล้ว คุณควรได้คิดพิจารณาตามว่า คุณควรคิดอย่างๆไร ให้หายคลายโศกเศร้า คิดอย่างไร ให้หายคิดถึง กังวล วิตก วิจาร เพื่อให้เกิด ปีติ สุข ในระดับหนึ่ง ได้
ถ้าคุณยังคิดไม่ออก ให้คุณ เปิดอ่าน กระทู้ "ศาสนาช่วยอะไรได้บ้าง" แล้วพิจารณา คิด ให้ดี
การอ่าน และการนำคำสอนหรือหลักธรรม มาคิดพิจารณา เป็นการปฏิบัติ สมาธิ ชั้น ที่ 4 ซึ่ง คุณ ควรอ่าน กระทู้เรื่อง "บรรทัดฐาน การปฏิบัติสมาธิ" เพิ่มเติม
เพื่อคุณจักได้คิดพิจารณา ถึงชีวิต เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวคุณว่า คุณควรปฏิบัติอย่างๆไร เพื่อให้คลายทุกข์ คลายโศกเศร้า
และคุณต้องทำความเข้าใจไว้อย่างหนึ่งว่า

ความรัก เป็นสิ่งสวยงาม สร้างสรรค์โลก ให้สงบร่มเย็น
แต่ ความคิด สามารถ สร้าง ความรัก ให้เป็นสิ่งสวยงามก็ได้
หรือ จะสร้างความรัก ให้เป็นสิ่งเลวทราม น่ากลัว เป็นทุกข์ ได้เช่นกัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2008, 6:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Buddha พิมพ์ว่า:
...ก่อนอื่นคุณควรได้ทำความเข้าใจในทางที่ถูกต้องว่าความรัก ไม่ใช่ สิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ หรือความโศกเศร้าเสียใจ

สิ่งที่ทำให้คุณ เกิดความทุกข์ เกิดความโศกเศร้าเสียใจ นั้น คือ "ความคิดของคุณเอง" อันได้รับการสัมผัส จากอายตนะ คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ อันได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง แสง สี โผฎฐัพพะ...


ขออนุญาตแย้ง ท่านผู้เขียนข้อความนี้นิดนึงนะคับ
เพราะส่วนที่ผมคิดมันขัดกันชัดเจน
น่าจะได้ชี้แจงให้เกิดความกระจ่างเพื่อให้ญาตธรรมได้ใช้เป็นเครื่องประกอบความคิดกัน


สำหรับผม เท่าที่ทราบ
ความรัก เป็นเชื้อแห่งทุกข์ ทำให้เกิดทุกข์ ทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจประการหนึ่ง

อุปมาเหมือนกองฟืนครุไฟขนาดใหญ่
แต่ละฟืนก้มีชื่อแตกต่างกัน ว่าความกลัว ความจน ความรวย ..
ความหิว ความเสื่อม ความรัก ความเกลียดฯ

ฟืนที่ชื่อความรัก ไม่ใช่ความทุกข์ทั้งหมด กล่าวคือไม่ใช่เหตุแห่งไฟทุกข์
แต่ไฟที่ลุกโชนอยู่ก็มีส่วนของฟืนที่ชื่อความรักเป็นเชื้อ


ความรักจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ แน่นอน
แต่ความรัก เป็นแค่ฟืนซีกหนึ่งในกองเพลิง
เพลิงแห่งทุกข์อันมีกิเลสเป็นเชื้อ


อีกประการหนึ่งเรื่อง เหตุที่ความรักเป็นทุกข์
เพราะเวลาที่เรามีความรัก เราก้ปิติยินดีอยู่ อาจจะยังไม่เป้นทุกข์ชัดเจน

ครั้งเมื่อความรัก เสื่อมลง มอดลง จบลงไปสภาพอนิจจังของมัน
คนก็อาลัยอาวรณ์จากการสูญเสียของรัก
ความเสียใจที่พรัดพรากจากของรักนี่เอง ...เป็นความทุกข์
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2008, 7:08 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การจะพ้นทุกข์ในข้อนี้ ของ จขกท.
คงยากที่จะหวังผลได้ เพราะแต่ละคนมีต้นทุน หรือความสามารถในการรู้ทันทุกข์ ไม่เท่ากัน
แต่ผมจะลองพยามดังนี้นะครับ

อันรักนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมดาๆที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
มันจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่จบ

มีความรักอีกกี่คนก็จะยังเป็นแบบนี้อีก
การร้องไห้ฟูมฟายไหว้วอน ให้ได้คืนมาซึ่งรัก แล้วหวังจะให้อยู่อย่างนั้นตลอดไป
จึงเป็นการกระทำที่สุญเปล่า
ไข่คว้าในสิ่งอันเป็นอนิจจัง ย่อมสูญเปล่า

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว จึงควรรู้จักประมาณความรัก
ให้พอดี ในแง่ที่ว่า เมื่อมันจบ มันก้ต้องจบ ตามสภาพของมัน

เพราะแม้ว่าจะรักกันปานจะกลืน
อยู่ดีๆแผ่นดินไหว ตายกันไปคนหนึ่ง
ถามว่า ท่านหยุดความสิ้นไปของความรักได้หรือไม่?
ยับยั้งความดับของความรักได้หรือ?

ก็แม้แต่ท่านทั้งสอง พยามที่จะรักษาความรักไว้
แต่สภาพธรรมชาติของมันก็ต้องมีเกิดดับ

เมื่อรู้ทันแล้วว่า ความรักเป้นอย่างนี้
จึงควรไม่ประมาทในความรัก
..อย่าอยากได้มากเกิน ไม่ให้มากเกินไป ไม่ให้น้อยเกินไป

ถึงเวลามีก็มี ถึงเวลาจบก้ต้องวางเฉยให้ได้มากที่สุด
ด้วยการรู้เท่าทันสัจจะธรรมของความรัก คือความไม่เที่ยงนี้


ขอทิ้งท้ายอีกนิดนึง ข้อพึงสังเกตุเรื่องการเลือกคู่ครอง ทำให้อยู่กันได้นาน
ควรจะเลือกให้สมกัน พอกัน เสมอกัน เหมาะกัน ดุลกัน ดังนี้


1 สมศรัทธา มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงามเสมอกันหรือในทิศทางเดียวกัน
2 สมศีล มีศิล ความประพฤติดีทางกาย และ วาจา ในระดับเท่าเทียมกันหรือใกล้เคียงกัน
3 สมจาคะ มีความเสียสละในระดับใกล้เคียงกัน อยากอด อยากกิน พอๆกัน
รู้จักแบ่งปันสิ่งต่าง ๆ พอกัน
คนหนึ่งอยากมีใหม่ อยากมีเพิ่ม คนหนึ่งอยากเหมือนเดิม .. มันจะไปกันได้อย่างไร
4 สมปัญญา มีปัญญาเสมอกัน สามารถสื่อสารกันได้เข้าใจดี

หากทั้ง 4 อย่างนี้ไม่เพียงพอ
ก็ขอให้สำรวจว่า ที่รักกันนั้น เป้นเพียงความหลงในรูปกาย รสกาม ความสนุกหรือไม่

เมื่อรักกันด้วยเหตุเพียงเท่านั้น
เมื่อรูปกาย รสกาม ความสนุก อันเป็นเหตุแห่งรักของท่าน.. เสื่อมลง ด้อยลง ไม่พอดีกันทั้งสองคน
รักจึงดับลง
มันก็เท่านี้


ลองคิดให้ดี ว่าคนที่รักกันจนแก่ตายนั้น
เพราะเหตุแห่งรักของเขาคือรักกันที่ใจ
เมื่อสังขารโรยรา ก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลอะไร ยังรักกันเหมือนเดิม
เพราะเหตุ ... ไม่ได้อยู่ที่สังขาร
แต่เหตุ อยู่ที่ใจรักกัน ...

หากคู่นี้ มีใจเปลี่ยนไป
ซึ่งหมายถึงเหตุแห่งรักเสื่อมไป รักก็อาจจะดับลงได้


ลองคิดดูนะว่า เหตุแห่งทุกข์คืออะไร
ดับเหตุได้ ก็ดับทุกข์ได้

ถ้ายังวุ่นวายใจ ความคิดก้จะยังสับสน แปรปรสน ขุ่นมัว
ทำให้ไม่เกิดสมาธิ
เมื่อไม่เกิดสมาธิ ปัญญาจึงไม่เกิด
เมื่อไม่เกิดปัญญาจึงหาเหตุแห่งทุกข์และวิธีดับทุกข์ไม่จอ
หาเหตุไม่เจอ จึงทุกข์ต่อไป ไม่จบ ไม่สิ้น


สำหรับเรื่องความคิดฟ้งซ่านที่พรั่งพรูออกมา
อยากจะให้สังเกตุความคิดตัวเอง
ว่าเป็นไปในลักษณะนี้หรือไม่
คือคิดไปในอดีต นั่งเรียกความทรงจำขึ้นมาแล้วก็ครุ่นคิด จิตวิตก ร้องห่มร้องให้
เหมือนหางานให้จิตใจเศร้าหมองเล่นๆ
ดึงความทรงจำเรื่องนั้นมาทีก้ร้องไห้ ดึงเรื่องนี้มาทีก็น้ำลายฟูมปาก
ดึงเรื่องโน้นมาทีก็ปวดร้าวไปทั่วหัวใจ
เหนื่อยแล้วก้สลบ หลับตื่นแล้วไปเรียกมันกลับมาคิดอีก
อุปมาเหมือนคนทรมานตัวเองเล่น รู้ทั้งรู้ว่าเจ้บแต่ไม่หยุด
ทำไปเถิด ทำไปอีกสัก 100 ปี ... ก็ไม่แก้ไขอะไรคืนกลับมาได้
ถ้าจะใช้ความคิดไปในอดีตแบบนี้ ... พึงมองให้เห็นปัญญา
หรือที่พูดๆกันว่า อดีตคือบทเรียน .. จะยังพอนำมาใช้ประโยชน์ได้บ้าง

หรือใช้ความคิดไปในอนาคต
จิตก็ปรุงแต่งคิดไปเอง ต่างๆนาๆ ว่าเขาจะอยู่กับใคร ทำอะไร
ทั้งๆที่มันจะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบ แค่ขอให้ได้คิดเถิด จะได้เอามาเศร้าเล่นๆ
นั่งสร้างฉาก จัดไฟ จัดแสง เขียนบท เมคอัพ แล้วก็สั่งแอคชั่นเอาเองทั้งนั้น
แล้วพอเรื่องมันได้ใจ เศร้าถูกใจ ก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว

หรือต่อให้คุณหยั่งรู้ดินฟ้า มีตาทิพย์มองเห็นว่าเขาทำอะไร มีหูทิพย์ได้ยินทุกอย่าง
แล้วท่านจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไม่
มั่นใจไหมว่าจะเปลี่ยนใจเขาได้ สั่งเขาให้รักเราได้หรือไม่ ?
เมื่อรู้ว่าไม่ได้ จะคิดไปทำไม อยากรู้ไปทำไม


ควรจะใช้ความสามารถในการคิดที่ย้อนอดีต ล้ำอนาคต
อันเป็นเฉพาะของสัตว์มนุษย์นี้ให้เชิงกุศลกรรมดีกว่า

อดีตก็เป็นบทเรียนอย่างที่ว่ากัน
อนาคตก็ควรจะคิดว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร

สำคัญที่สุดคือต้องอยู่กับปัจจุบัน
อะไรจบแล้วจบ อะไรมาไม่ถึงต้องไม่คิด อะไรที่เรารู้ไม่ได้ก็ไม่ต้องอยากรู้
เอาความคิดอยู่กับตัว .. ไม่ต้องเอาจิตตามไปที่บ้านเขา รถเขา แฟนเขา ...

ปัจจุบันคือความจริง มีพลัง เป็นเหตุ เป้นเชื้อ ของอนาคต
อนาคตจะเป็นอย่างไรอยู่ที่ทำปัจจุบัน

ถ้าทำปัจจุบันให้แหลวแหลก อนาคตก็ได้ผลอย่างที่ทำ ไม่มีผิด
อยากประชด ก็ขอให้ดีดลูกคิด คิดให้ดีว่าใช้หนี้ไหวไหม

อันว่าเกิดเป็นมนุษย์ เราเป็นสัตว์ประเภทเดียวที่รู้ผิดชอบชั่วดี
มีความสามารถในการสำนึก ระลึกรู้
คิดย้อนอดีตได้ จินตนาการอนาคตได้

แต่ถ้าใช้ไม่เป็น ก็เหมือนสุภาษิตอีสาน ที่ว่า ... ซำบายปานหมา
หรือเป็นหมา ดูจะมีบุญกว่าเป้นคน เพราะไม่ต้องคิดมาก ไม่สามารถจะคิดมาก
กิ่นอิ่ม นอนหลับ ไม่ต้องทำงาน ...
พูดง่ายๆว่า .. ถ้าใช้ความสามารถของความเป็นคนไม่เป้น ... จะทุกข์กว่าเป็นหมา

---------------------------------------------
ความเห็นของผม อาจจะตรง ขมๆ ไม่อ้อมค้อม เหมือนลูกกวาดไส้ยาขม
ขอใส่พริกลงในยาหม้อนิดนึงนะครับ โกรธได้ แต่อย่านาน
คนที่กำลังเมา น่าจะต้องเรียกสติกันหน่อยนึง
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Rabbit16102525
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 19 ม.ค. 2007
ตอบ: 18

ตอบตอบเมื่อ: 05 มิ.ย.2008, 8:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยาวจัง ขอให้เข้มแข็งนะค่ะ อย่างน้อยก็ยังมีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ที่ยังรักคุณอยู่
อย่า ไปเสียใจกับเรื่องผู้ ช ให้นานนักนะค่ะ มันรกสมองเปล่าๆ เรื่องคิดถึงมันมีเป็นธรรมดา
อยากคิดถึงก็ปล่อยให้ใจคิดถึงไป
(คุณจะคิดถึงเค้ามากๆในช่วงเวลาไหนค่ะ ลองสังเกตใจตัวเองบ้างรึเปล่า)
ลองสังเกตดูนะค่ะ บางทีคุณอาจจะพบคำตอบในใจ

หรือไม่ก็ลองสวดมนต์แผ่เมตตาให้เค้าทุกคืนก่อนนอนสิค่ะ
 

_________________
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
Rabbit16102525
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 19 ม.ค. 2007
ตอบ: 18

ตอบตอบเมื่อ: 05 มิ.ย.2008, 8:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาเยียวยา แล้วทุกอย่างจะดีเอง
 

_________________
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ชะเอม
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 16 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2008, 5:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คามินธรรม พิมพ์ว่า:
การจะพ้นทุกข์ในข้อนี้ ของ จขกท.
คงยากที่จะหวังผลได้ เพราะแต่ละคนมีต้นทุน หรือความสามารถในการรู้ทันทุกข์ ไม่เท่ากัน
แต่ผมจะลองพยามดังนี้นะครับ

อันรักนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมดาๆที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
มันจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่จบ

มีความรักอีกกี่คนก็จะยังเป็นแบบนี้อีก
การร้องไห้ฟูมฟายไหว้วอน ให้ได้คืนมาซึ่งรัก แล้วหวังจะให้อยู่อย่างนั้นตลอดไป
จึงเป็นการกระทำที่สุญเปล่า
ไข่คว้าในสิ่งอันเป็นอนิจจัง ย่อมสูญเปล่า

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว จึงควรรู้จักประมาณความรัก
ให้พอดี ในแง่ที่ว่า เมื่อมันจบ มันก้ต้องจบ ตามสภาพของมัน

เพราะแม้ว่าจะรักกันปานจะกลืน
อยู่ดีๆแผ่นดินไหว ตายกันไปคนหนึ่ง
ถามว่า ท่านหยุดความสิ้นไปของความรักได้หรือไม่?
ยับยั้งความดับของความรักได้หรือ?

ก็แม้แต่ท่านทั้งสอง พยามที่จะรักษาความรักไว้
แต่สภาพธรรมชาติของมันก็ต้องมีเกิดดับ

เมื่อรู้ทันแล้วว่า ความรักเป้นอย่างนี้
จึงควรไม่ประมาทในความรัก
..อย่าอยากได้มากเกิน ไม่ให้มากเกินไป ไม่ให้น้อยเกินไป

ถึงเวลามีก็มี ถึงเวลาจบก้ต้องวางเฉยให้ได้มากที่สุด
ด้วยการรู้เท่าทันสัจจะธรรมของความรัก คือความไม่เที่ยงนี้


ขอทิ้งท้ายอีกนิดนึง ข้อพึงสังเกตุเรื่องการเลือกคู่ครอง ทำให้อยู่กันได้นาน
ควรจะเลือกให้สมกัน พอกัน เสมอกัน เหมาะกัน ดุลกัน ดังนี้


1 สมศรัทธา มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงามเสมอกันหรือในทิศทางเดียวกัน
2 สมศีล มีศิล ความประพฤติดีทางกาย และ วาจา ในระดับเท่าเทียมกันหรือใกล้เคียงกัน
3 สมจาคะ มีความเสียสละในระดับใกล้เคียงกัน อยากอด อยากกิน พอๆกัน
รู้จักแบ่งปันสิ่งต่าง ๆ พอกัน
คนหนึ่งอยากมีใหม่ อยากมีเพิ่ม คนหนึ่งอยากเหมือนเดิม .. มันจะไปกันได้อย่างไร
4 สมปัญญา มีปัญญาเสมอกัน สามารถสื่อสารกันได้เข้าใจดี

หากทั้ง 4 อย่างนี้ไม่เพียงพอ
ก็ขอให้สำรวจว่า ที่รักกันนั้น เป้นเพียงความหลงในรูปกาย รสกาม ความสนุกหรือไม่

เมื่อรักกันด้วยเหตุเพียงเท่านั้น
เมื่อรูปกาย รสกาม ความสนุก อันเป็นเหตุแห่งรักของท่าน.. เสื่อมลง ด้อยลง ไม่พอดีกันทั้งสองคน
รักจึงดับลง
มันก็เท่านี้


ลองคิดให้ดี ว่าคนที่รักกันจนแก่ตายนั้น
เพราะเหตุแห่งรักของเขาคือรักกันที่ใจ
เมื่อสังขารโรยรา ก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลอะไร ยังรักกันเหมือนเดิม
เพราะเหตุ ... ไม่ได้อยู่ที่สังขาร
แต่เหตุ อยู่ที่ใจรักกัน ...

หากคู่นี้ มีใจเปลี่ยนไป
ซึ่งหมายถึงเหตุแห่งรักเสื่อมไป รักก็อาจจะดับลงได้


ลองคิดดูนะว่า เหตุแห่งทุกข์คืออะไร
ดับเหตุได้ ก็ดับทุกข์ได้

ถ้ายังวุ่นวายใจ ความคิดก้จะยังสับสน แปรปรสน ขุ่นมัว
ทำให้ไม่เกิดสมาธิ
เมื่อไม่เกิดสมาธิ ปัญญาจึงไม่เกิด
เมื่อไม่เกิดปัญญาจึงหาเหตุแห่งทุกข์และวิธีดับทุกข์ไม่จอ
หาเหตุไม่เจอ จึงทุกข์ต่อไป ไม่จบ ไม่สิ้น


สำหรับเรื่องความคิดฟ้งซ่านที่พรั่งพรูออกมา
อยากจะให้สังเกตุความคิดตัวเอง
ว่าเป็นไปในลักษณะนี้หรือไม่
คือคิดไปในอดีต นั่งเรียกความทรงจำขึ้นมาแล้วก็ครุ่นคิด จิตวิตก ร้องห่มร้องให้
เหมือนหางานให้จิตใจเศร้าหมองเล่นๆ
ดึงความทรงจำเรื่องนั้นมาทีก้ร้องไห้ ดึงเรื่องนี้มาทีก็น้ำลายฟูมปาก
ดึงเรื่องโน้นมาทีก็ปวดร้าวไปทั่วหัวใจ
เหนื่อยแล้วก้สลบ หลับตื่นแล้วไปเรียกมันกลับมาคิดอีก
อุปมาเหมือนคนทรมานตัวเองเล่น รู้ทั้งรู้ว่าเจ้บแต่ไม่หยุด
ทำไปเถิด ทำไปอีกสัก 100 ปี ... ก็ไม่แก้ไขอะไรคืนกลับมาได้
ถ้าจะใช้ความคิดไปในอดีตแบบนี้ ... พึงมองให้เห็นปัญญา
หรือที่พูดๆกันว่า อดีตคือบทเรียน .. จะยังพอนำมาใช้ประโยชน์ได้บ้าง

หรือใช้ความคิดไปในอนาคต
จิตก็ปรุงแต่งคิดไปเอง ต่างๆนาๆ ว่าเขาจะอยู่กับใคร ทำอะไร
ทั้งๆที่มันจะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบ แค่ขอให้ได้คิดเถิด จะได้เอามาเศร้าเล่นๆ
นั่งสร้างฉาก จัดไฟ จัดแสง เขียนบท เมคอัพ แล้วก็สั่งแอคชั่นเอาเองทั้งนั้น
แล้วพอเรื่องมันได้ใจ เศร้าถูกใจ ก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว

หรือต่อให้คุณหยั่งรู้ดินฟ้า มีตาทิพย์มองเห็นว่าเขาทำอะไร มีหูทิพย์ได้ยินทุกอย่าง
แล้วท่านจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไม่
มั่นใจไหมว่าจะเปลี่ยนใจเขาได้ สั่งเขาให้รักเราได้หรือไม่ ?
เมื่อรู้ว่าไม่ได้ จะคิดไปทำไม อยากรู้ไปทำไม


ควรจะใช้ความสามารถในการคิดที่ย้อนอดีต ล้ำอนาคต
อันเป็นเฉพาะของสัตว์มนุษย์นี้ให้เชิงกุศลกรรมดีกว่า

อดีตก็เป็นบทเรียนอย่างที่ว่ากัน
อนาคตก็ควรจะคิดว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร

สำคัญที่สุดคือต้องอยู่กับปัจจุบัน
อะไรจบแล้วจบ อะไรมาไม่ถึงต้องไม่คิด อะไรที่เรารู้ไม่ได้ก็ไม่ต้องอยากรู้
เอาความคิดอยู่กับตัว .. ไม่ต้องเอาจิตตามไปที่บ้านเขา รถเขา แฟนเขา ...

ปัจจุบันคือความจริง มีพลัง เป็นเหตุ เป้นเชื้อ ของอนาคต
อนาคตจะเป็นอย่างไรอยู่ที่ทำปัจจุบัน

ถ้าทำปัจจุบันให้แหลวแหลก อนาคตก็ได้ผลอย่างที่ทำ ไม่มีผิด
อยากประชด ก็ขอให้ดีดลูกคิด คิดให้ดีว่าใช้หนี้ไหวไหม

อันว่าเกิดเป็นมนุษย์ เราเป็นสัตว์ประเภทเดียวที่รู้ผิดชอบชั่วดี
มีความสามารถในการสำนึก ระลึกรู้
คิดย้อนอดีตได้ จินตนาการอนาคตได้

แต่ถ้าใช้ไม่เป็น ก็เหมือนสุภาษิตอีสาน ที่ว่า ... ซำบายปานหมา
หรือเป็นหมา ดูจะมีบุญกว่าเป้นคน เพราะไม่ต้องคิดมาก ไม่สามารถจะคิดมาก
กิ่นอิ่ม นอนหลับ ไม่ต้องทำงาน ...
พูดง่ายๆว่า .. ถ้าใช้ความสามารถของความเป็นคนไม่เป้น ... จะทุกข์กว่าเป็นหมา

---------------------------------------------
ความเห็นของผม อาจจะตรง ขมๆ ไม่อ้อมค้อม เหมือนลูกกวาดไส้ยาขม
ขอใส่พริกลงในยาหม้อนิดนึงนะครับ โกรธได้ แต่อย่านาน
คนที่กำลังเมา น่าจะต้องเรียกสติกันหน่อยนึง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 01 ก.ย. 2008, 2:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ยิ้ม ยิ้ม สู้ สู้ ซึ้ง
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง