Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๐ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 16 พ.ค.2008, 8:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

แสงส่องใจ

(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



ขอเจริญพร ทุกท่านผู้เป็นไทยในทุกจังหวัดภาคใต้
ในโอกาสมงคลขึ้นปีใหม่ตามธรรมเนียมไทย

ความไม่สงบที่สุดกำลังเกิดขึ้นทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่บ้านเมืองไทยที่รักของเราทั้งหลายและรุนแรงเป็นพิเศษในจังหวัดภาคใต้ ทำให้อาตมาภาพและคณะสงฆ์ไทยมีความวิตกกังวลอย่างยิ่ง ด้วยความห่วงใยพวกท่านที่อยู่ทางใต้คนไทยทั้งหลายก็แสดงความเป็นห่วงพวกท่านเป็นอันมาก ทำอะไรได้เพื่อช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ก็เห็นพยายามทำกันอยู่ มิได้นิ่งนอนใจ ไม่ว่าจะนับถือศาสดาใด ก็ปรากฏว่าได้รวมใจกันขอพระเมตตาให้คุ้มครองไทย ให้กลับสู่ความสงบสุขโดยเร็ววัน

อาตมาภาพ และคณะสงฆ์ไทย และคนไทยพุทธทุกคน รวมทั้งบรรดาญาติโยมที่อยู่ในภาคใต้ทุกคน ไม่ว่าจะนับถือพระศาสนาของพระพุทธองค์ หรือของศาสดาก็ตาม มีสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นพระร่มโพธิ์ทองป้องปกอยู่ด้วยพระคุณอันเลิศ

บัดนี้พระร่มโพธิ์ทองของไทยต้องทรงหม่นหมองไปมิใช่น้อย เหตุจากความไม่สงบสุขของพสกนิกรของพระองค์ท่าน เพื่อได้มีทางปฏิบัติสนองพระมหากรุณาธิคุณ ตามวิสัยของคนดี ที่มีกตัญญูกตเวที คือรู้พระคุณที่ได้รับแล้ว และตอบแทนพระคุณนั้น ขอบอกวิธีที่ควรได้ด้วยกันทุกคน ไม่ยาก และเป็นคุณยิ่ง นั่นก็คือขอให้ทุกคนทำความดีให้สุดความสามารถ ทุกวันเวลา ผลอันเลิศจะเกิดแน่นอนแก่ชีวิตตนเอง ของทุกคนที่ทำ และเมื่อทั้งบ้านทั้งเมืองช่วยกันทำ ผลอันเป็นที่ต้องการของผู้คนทั่วหน้าจะเกิดแน่นอน คือความสงบสุขทั่วภาคใต้ และทั่วบ้านเมืองไทย

ความดีที่ขอให้พร้อมเพรียงกันทำ ตั้งแต่บัดนี้ คือให้ใจของทุกคนมีพระพุทธเจ้า นึกถึงพระองค์ท่านไว้ให้เป็นนิตย์ พร้อมกับภาวนา พระพุทโธ พระพุทโธ พระพุทโธ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชีวิตจิตใจ แม้ขาดสติลืมไปบ้างพอนึกถึงได้ ให้นึกถึงพระพุทโธทันที โดยต้องไม่ลืมว่าพระพุทโธที่กำลังนึกถึงนั้น คือพระพุทธเจ้าพระผู้ทรงมีความประเสริฐสูงสุด ทรงเป็นมหามงคล หาที่เปรียบมิได้ ความปรารถนาที่หวังให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมืองเรา ก็ย่อมสมปรารถนาอย่างไม่ยากเย็น จึงขออำนวยพรให้ทุกท่านเชื่อมั่นปฏิบัติ ท่องพระพุทโธ พระพุทโธ พระพุทโธ ไว้ให้เสมอ จะสามารถนำประเทศชาติไทยของเรา ภาคใต้ของเรา ให้ร่มเย็นเป็นสุขได้อย่างยิ่ง

ขออำนวยพร
เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 16 พ.ค.2008, 8:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“แสงส่องใจ” แต่ละเล่มคัดจากงานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชท่าน เป็นพระธรรมเทศนาบ้าง พระวรธรรมคติบ้าง และจากการทรงสนทนากับผู้ไปเฝ้าทั้งหลายบ้าง ตั้งแต่ยังทรงมีพระสุขภาพแข็งแรงเป็นปกติก่อนแต่จะทรงพระประชวรเสด็จเข้าพักรักษาพระวรกายอยู่ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 16 พ.ค.2008, 8:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



.jpg


แสงส่องใจ

(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


ทุกฺโข ปาปสฺส อุจฺจโย ปาปานํ อกรณํ สุขํ
ความสั่งสมบาปนำทุกข์มาให้ การไม่ทำบาปนำสุขมาให้


O นี้เป็นศาสนภาษิตในพระพุทธศาสนาสองในสามประการของหัวใจพระพุทธศาสนาคือการไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม และการชำระจิตใจของตนเองให้ผ่องแผ้ว.

O ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระจันทร์เสวยวิสาขกฤษ์ เมื่อ ๒๕๓๐ ปีมาแล้ว พระมหาบุรุษเจ้าผู้ประเสริฐสูงสุดได้เสด็จจากดุสิตสวรรค์ ลงถือพระชาติเป็นมนุษย์ราชสกุลศากยะ พระโคตรโคตมกะ พระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงเป็นพระราชบิดา พระนางมหามายาทรงเป็นพระราชมารดา พระราชกุมารทรงได้พระนามว่า พระสิทธัตถะ ซึ่งมีความหมายว่าพระผู้ทรงประสบความสำเร็จ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “พระผู้ทรงชนะ”

O พระราชกุมารน้อยสิทธัตถะเสด็จประสูติใต้ร่มไม่สาละใหญ่ ในลุมพินีวัน ณ แคว้นสักกะ แห่งชมพูทวีป เวลาเสด็จประสูติคือเช้าวันวิสาขปุณมี พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ เมื่อ ๘๐ ปีก่อนปีพระพุทธศักราช นั่นก็คือพระราชกุมารเสด็จจากพระครรภ์พระราชมารดาเมื่อ ๒๖๓๐ ปีมาแล้ว

ในบัดนี้วันนั้นได้เป็นวันมหาบูชาสำคัญของโลก คือวันวิสาขบูชา เหตุเพราะเป็นวันเสด็จมาสู่โลกของพระมหาบุรุษเจ้าผู้ทรงพระคุณแก่โลกควรความเป็นที่บูชาของโลก โลกบูชาพระผู้ทรงพระคุณพระองค์นั่นอย่างปรากฏประจักษ์ชัด ยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นตามวันเวลา.

O วันพระจันทร์เต็มดวงเสวนวิสาขฤกษ์คือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ ำเดือน ๖ หรือเดือนวิสาขะ เป็นวันเสด็จประสูติของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ทั้งของพรหมเทพและมนุษย์ซึ่งต่อมาอีก ๒๙ ปี คือเมื่อทรงมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์

ซึ่งคำนี้หมายเฉพาะการเสด็จออกทรงปฏิบัติธรรมในสมเด็จพระพุทธศาสดาเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับผู้ใดอื่นทั้งสิ้น การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์คือการเสด็จออกปฏิบัติธรรมของเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งต่อมาอีก ๖ ปีก็ทรงปฏิบัติบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ทรงตรัสรู้เป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงมีพระชนมายุ ๓๕ พรรษาก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ๔๕ ปี

O เมื่อ ๒๕๙๕ ปีมาแล้ว สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือเดือนวิสาขะพระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ เช่นเดียวกับวันเสด็จประสูติเมื่อ ๓๕ ปีก่อน และในบัดนี้วันทรงตรัสรู้ก็ได้เป็นวันมหาบูชาสำคัญของโลก เช่นเดียวกับวันเสด็จประสูติ ทั้งวันเสด็จดับขันธปรินิพพานในกาลต่อจากวันทรงตรัสรู้อีก ๔๕ ปี

บัดนี้ก็ได้เป็นวันมหาบูชาสำคัญของโลก เช่นเดียวกับวันเสด็จประสูติ และวันทรงตรัสรู้ นั่นก็คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ทุกวันเป็นวันมหาบูชา วันนั้นเวียนมาถึงเมื่อไรในปีใด นั่นคือวันนั้นทุกวันทุกปีเป็นวันวิสาขบูชาเวียนมาถึง เหตุการณ์สำคัญเป็นมหามงคลแก่โลก แก่ชีวิตในโลก เกิดขึ้นในวันนั้น แม้จะเกิดขึ้นเมื่อ ๒๖๓๐ ปีมาแล้ว ก็ยังดำรงมั่นคงรุ่งเรื่องอยู่ในทุกวันนี้ มิได้มีการถูกลบล้างทำลายให้เสื่อมสลายไปได้แม้แต่น้อย.

O ในพระบรมราโชวาทที่สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานในพิธีเปิดการสัมมนาของสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕

มีความตอนหนึ่งว่า “พระพุทธศาสนานั้น ถ้าหมายถึงคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้ๆ แล้ว ก็หาภัยอันตรายมิได้ ไม่มีผู้ใดหรือเหตุใดๆ จะเบียดเบียนทำลายได้เลยเพราะคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาเป็นธรรมะ คือหลักความจริงที่คงความจริงอยู่ตลอดกาล ทุกเมื่อ ไม่มีแปรผัน ดังนั้นการป้องกันภัยให้พระพุทธศาสนาก็ดี การทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาก็ดี พูดให้ตรงจึงน่าจะหมายถึงการป้องกันภัย ให้แก่พุทธบริษัท และการทำนุบำรุงพุทธบริษัท ยิ่งกว่าอื่น”

O ทุกวันนี้ พระพุทธศาสนาได้ปรากฏความสำคัญยิ่ง ให้ประจักษ์ชัดเจนแก่โลก จนกระทั่งสหประชาชาติ ในนามของโลก ได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสันติภาพโลก เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พระพุทธศักราช ๒๕๔๖

วันประกาศนั้นตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันเดือนวิสาขะ คือวันนั้นเป็นวันวิสาขบูชา วันเสด็จประสูติ ทรงตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ของโลก ที่โลกยอมรับแล้วว่า สันติภาพคือความร่มเย็นเป็นสุขของโลกเกิดแต่พระพุทธศาสนา ที่เกิดจากสมเด็จพระบรมศาสดาของเรา ที่โลกยอมรับแล้ว ประกาศแล้วให้ปรากฏประจักษ์แจ้งชัดแก่โลกทั่วทั้งโลก

O เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พระพุทธศักราช ๒๕๔๔ สองปีก่อนสหประชาชาติจะประกาศในนามของโลก ให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสันติภาพโลก วันนั้นเมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๕๔๔ ดังกล่าว พุทธบริษัททั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ได้รวมจิตรวมใจกันจัดพิธีมหามงคลใหญ่ยิ่ง เพื่อขอประทานมหากุศลให้เกิดมหาสิริมหามงคล จากสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของไทยของโลก เพื่อให้เกิดสันติภาพขึ้นในโลก ให้โลกพ้นจากความน่าประหวั่นพรั่นพรึง ที่เกรงกลัวกันอยู่อย่างยิ่งว่า โลกจะไม่พ้นภัย นายแพทย์รัศมี และคุณสมปอง วรรณิสสร พุทธมามกะผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก ได้คำนึงถึงความน่าห่วงใยนี้ ได้ปรารภจีดพิธีมหามงคลขึ้นในปีพระพุทธศักราช ๒๕๔๖ สหประชาชาติได้ประกาศในนามของโลกดังกล่าวแล้ว ให้วันวิสาขบุชาเป็นวันสันติภาพโลก นั่นก็คือให้พระพุทธศาสนาเป็นที่ยอมรับว่าเป็นศาสนาที่ก่อให้เกิดสันติภาพโลก นั่นเอง

O วันวิสาขบูชาเกิดแต่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามลำพังวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ แต่ไหนแต่ไรมาก็หามีความสำคัญอย่างใดไม่ ก็เป็นเหมือนวันขึ้น ๑๕ ค่ำทั้งหลาย ที่มีอยู่มากมาย เวียนมาถึงในทุกปี เป็นที่รู้เห็นกันอยู่ โดยไม่มีความสำคัญเป็นพิเศษอย่างใดแก่จิตใจใคร

จนเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะพระผู้ทรงชนะตามความหมายของพระนาม เสด็จจากดุสิตพิมาน ลงสู่โลกมนุษย์ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ต่อมาอีก ๒๙ ปีเจ้าชายหนุ่มเสด็จออกจากปราสาทราชวัง เพื่อทรงปฏิบัติธรรม เป็นการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ โดยทรงสละสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเครื่องบำรุงบำเรอความสุขของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน

ที่แน่นอนต้องวิจิตรพิสดารกว่าเครื่องบำรุงบำเรอความสุขของผู้เป็นสามัญชนทั้งหลาย พลังพลักดันที่ทำให้เจ้าชายหนุ่มทรงสละสิ้นซึ่งสุขสมบัติทั้งปวงของความเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน คือพลังแห่งพระมหาเมตตา ความทรงปรารถนาจะช่วยทุกข์ของสัตว์โลกที่ทรงได้พบได้เห็น.

(มีต่อ ๑)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 16 พ.ค.2008, 8:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยพระราชหฤทัยยิ่งด้วยพระเมตตาคุณและผลของการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ปฏิบัติธรรมของเจ้าชายหนุ่ม ก็คือต่อมาอีก ๖ ปี เมื่อทรงมีพระชนมพรรษา ๓๕ พรรษาเจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงได้ทรงถึงซึ่งกิเลสนิพพาน คือทรงไกลจากกิเลสสิ้นเชิง

นั่นก็คือทรงไกลจากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ทั้งของความโลภ ทั้งของความหลง วันเจ้าชายสิทธัตถะทรงตรัสรู้ทรงเป็นพระผู้ชนะศตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือกิเลส เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ พลังสำคัญที่นำเจ้าชายสิทธัตถะให้ทรงเป็นพระผู้ชนะอย่างไม่ทรงกลับเป็นผู้แพ้อีกเลยคือพลังแห่งพระสติและพระปัญญา ที่ไม่มีสติใดปัญญาใดเปรียบได้

พระสติและพระปัญญาเป็นเหตุให้ทรงได้เป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมครูของพรหมเทพและของมนุษย์ พระสติและพระปัญญาเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้ในโลก เมื่อทรงมีพระชนมพรรษา ๓๕ พรรษา และรุ่งเรืองให้ความร่มเย็นแกโลก เป็นสันติภาพของโลก

เป็นเวลาถึงปัจจุบัน ๒๕๙๘ ปี ที่พระพุทธศาสนาหาความมืดมนไม่มีเลย ยังสว่างรุ่งโรจน์อยู่ด้วยธัมมะ ที่พระพุทธองค์โปรดทรงพระเมตตาประทานให้เป็นสันติภาพของโลก.

O แม้พระพุทธศาสนาจะไม่ได้เริ่มเกิดในบ้านเมืองไทยของเรา แต่ด้วยอำนาจใจที่เทิดทูนพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังและมั่งคงของบรรดาท่านผู้เป็นบรรพบุรุษของไทย ทำให้พระพุทธศาสนาได้มาสว่างรุ่งเรืองเป็นหลักฐานอยู่ในบ้านเมืองไทย

เป็นเวลานานปีนักแล้ว เราผู้เป็นคนไทยควรได้สำนึกให้อย่างยิ่งในความมีมหามงคลที่เกิดแก่ไทย ควรทุ่มเทชีวิตจิตใจรักษาไว้ให้ดำรงอยู่คู่ไทย ไม่ปล่อยปละละเลยด้วยความประมาท ไม่ให้มหามงคลสูงส่งที่สุดของพระพุทธศาสนาผ่านพ้นมาสู่ไทย ด้วยความไม่เทิดทูนรักษาให้เหมาะให้ควรกับความยิงใหญ่หาที่เปรียบมิได้ของพระพุทธศาสนา

อย่าอ่อนปัญญาจนไม่เห็นค่าที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีค่าอื่นใดทั้งปวงเปรียบได้กับค่าของพระพุทธศาสนาอย่าลืมนึกถึงให้เห็นความจริงที่ปรากฏชัดเจนในโลก พระพุทธศาสนาพ้นไปจากที่ใด ด้วยการไม่มีใจปฏิบัติเทิดทูนให้ควรแก่ความยิ่งใหญ่พ้นรำพันของพระพุทธศาสนา ที่นั่นก็จะพ้นด้วยจากความรุ่งเรืองสว่างไสว เป็นที่ปรากฏไกลทั่วแหล่งโลก นี้เป็นความจริง ที่ไม่พึงละเลยหลงลืมเป็นอันขาด.

O นับตั้งแต่มีความเป็นไทยเกิดขึ้นในโลกคนไทยแทบทุกคนนับถือพระพุทธศาสนาพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ก็ทรงนับถือพระพุทธศาสนา ทรงแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะคือทรงมีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก มิใช่สักแต่ว่าทรงเป็นพุทธศาสนิก

คือมิใช่สักแต่ว่าทรงเป็นผู้ได้ชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ทรงประกาศให้ปรากฏประจักษ์ด้วย ว่าทรงรักพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นที่ทรงรักมิใช่เพียงแต่ว่าทรงนับถือพระพุทธศาสนาเท่านั้น

มาถึงยุคปัจจุบันน่าจะเห็นความสำคัญยิ่งใหญ่ของ ความเป็นพุทธมามกะ คือผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก ความเป็นพุทธศาสนิกคือผู้นับถือพระพุทธศาสนา เท่านั้นไม่เพียงพอจะทำให้รู้สึกถึงหน้าที่ของตนต่อพระพุทธศาสนา ขอให้พากันทำใจให้ได้ว่าเราเป็นพุทธมามกะ เรามีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก เรามิได้เป็นเพียงพุทธศาสนิกผู้นับถือพระพุทธศาสนาเท่านั้น

ถึงเวลานี้ ต้องเป็นพุทธมามกะ คือเป็นผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก และต้องปฏิบัติหน้าที่ของผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รักให้ดีที่สุด ความมีเพื่อนกับความมีเพื่อนที่รักแตกต่างกันอย่างไร ปฏิบัติกายปฏิบัติใจของเราต่อเพื่อนและต่อเพื่อนที่เรารักแตกต่างกันมิใช่หรือ จงยกความรู้สึกนี้ขึ้นคำนึงถึง เพื่อจะได้ปฏิบัติถูก ต่อพระพุทธศาสนาที่รักของเรา.

O เมื่อ ๒๕๕๐ ปีมาแล้ว ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ หรือเดือนวิสาขะ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานทรงสละพระขันธ์ ซึ่งไม่เหมือนกับทรงละกิเลสทั้งปวงเมื่อทรงมีพระชนมพรรษา ๓๕ พรรษา ซึ่งเป็นการทรงได้ทรงถึงซึ่งกิเลสนิพพาน แต่เมื่อพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา เมื่อ ๒๕๕๐ ปีมาแล้วนั้น เป็นการเสด็จดับขันธปรินิพพาน

ทรงไกลพ้นทั้งจากกิเลสและจากพระขันธ์ คือไม่ทรงปรากฏพระวรกายให้ได้เฝ้าชมพระพุทธบารมี ไม่ปรากฏพระสุรเสียงให้ได้สดับรับฟังพระวรกายได้รับการถวายพระเพลิง เช่นเดียวกับพระศพของเจ้านายทั้งหลาย

แต่ท่านผู้รู้ท่านกล่าวว่าสมเด็จพระบรมศาสดายังเสด็จประทับอยู่ในเมืองพระนิพพาน ที่พรั่งพร้อมด้วยบรรดาพระอรหันตเจ้าผู้ไกลกิเลสแล้ว น่าจะหมายความว่าสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันตเจ้าทั้งหลายยังอยู่ในเมืองพระนิพพาน มิได้ไปเกิดเป็นอะไรต่อมิอะไรเช่นปุถุชนทั้งนั้นที่ละโลกนี้ไปแล้ว ที่มีผลแห่งกิเลสหรือผลแห่งกรรมควบคุมอยู่ ให้ชีวิตเป็นไปตามอำนาจของกรรม

แต่การทรงดำรงอยู่ของสมเด็จพระบรมศาสดา และการดำรงอยู่ของพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ไม่เหมือนกับการดำรงอยู่ของปุถุชน ที่มีกรรมส่งไปให้มีชีวิตใหม่ในภพชาติต่างๆกัน และเวียนตายเวียนเกิดอยู่ยากจะรู้จบรู้สิ้น แต่สมเด็จพระบรมศาสดาไม่ทรงมีกรรม และพระอรหันตเจ้าทั้งหลายไม่มีกรรม ที่จะส่งให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดเพราะกิเลสไกลแล้วอย่างสิ้นเชิง ภพชาติจึงสิ้นแล้ว ไม่ต้องพบทุกข์ของการเกิดอีกต่อไป.

O มีเรื่องเล่ากันนานปีมาแล้ว ว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมาหาเถระ ท่านเคยเล่า ว่าคืนหนึ่งขณะท่านปฏิบัติอยู่ในป่า ใจร่ำร้องกราบพระพุทธบาทสมเด็จพระบรมศาสดา ขอประทานพระมหาเมตตาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความสมปรารถนาได้พ้นทุกข์ และสมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงพระเมตตาเสด็จลงให้ท่านพระอาจารย์ได้เฝ้าพระพุทธบาทรับประทานวิธีปฏิบัติธรรมไปสู่ความไกลกิเลสได้สิ้นเชิง

ท่านพระอาจารย์ท่านเล่าว่าสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จลงให้ท่านได้เฝ้าพระพุทธบาท ได้เห็นพระพุทธองค์ดั่งได้เฝ้าพระองค์จริงขณะทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ฉะนั้น ไม่ทราบว่าท่านพระอาจารย์ท่านบอกหรือเปล่าว่าท่านมีความปีติโสมนัสเพียงไรในบุญวาสนาของท่านที่ไม่น่าเป็นไปได้ในชีวิตผู้ใด

แต่ได้เกิดแก่ชีวิตท่านพระอาจารย์ท่านแล้วจริงโปรดประทานพระมหากรุณาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีเดินจงกรม วิธีปฏิบัติจิตใจ จนในที่สุดท่านพระอาจารย์ท่านก็ได้เป็นดั่งองค์แทนศิษยานุศิษย์ผู้สามารถปฏิบัติธรรมดำเนินถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ได้เป็นพระอาจารย์สายปฏิบัติธรรมองค์สำคัญที่สุดอยู่ในยุคนี้

เป็นที่รู้กันอยู่ในบรรดาผู้ใส่ใจในการปฏิบัติธรรมทุกถ้วนหน้า เรื่องนี้ ที่ท่านพระอาจารย์ท่านได้เล่าไว้ ไม่เพียงทำให้ท่านได้เป็นอาจารย์ผู้สอนธัมมะสำคัญแก่ศิษยานุศิษย์มากหลาย แต่ทำให้ได้ความเข้าใจที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย

ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จอยู่ในเมืองพระนิพพานแน่ ยังทรงได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟัง ที่ควรแก่การได้รับพระพุทธเมตตา เช่นท่านอาจารย์มั่นท่านนั่นเอง ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านควรที่สุดแน่นอนแล้วที่จะได้รับพระมหากรุณา ผู้ปฏิบัติธรรมหรือผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายย่อมเห็นด้วยกับความจริงนี้แน่นอน.

(มีต่อ ๒)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 16 พ.ค.2008, 8:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ญาติโยมผู้รักการปฏิบัติธรรมผู้หนึ่งเคยเล่าเมื่อ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว และได้เคยนำลงในหนังสือ “แสงส่องใจ” มาแล้ว นำมาลงอีกครั้งหนึ่งเพื่อประกอบเรื่องที่ว่าท่านผู้รู้ท่านกล่าวไว้ว่าสมเด็จพระบรมศาสดาแม้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วเมื่อ ๒๕๕๐ ปีก่อน แต่ตลอดมายังเสด็จอยู่จนทุกวันนี้เช่นเดียวกับเมื่อยังทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ ยังมิได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน

เช่นเดียวกับพระอรหันตเจ้าทั้งหลายที่แม้จะนิพพานพ้นไปแล้วจากชีวิตในโลกนี้ แต่ตลอดมาก็ยังอยู่ในเมืองพระนิพพานเช่นเดียวกับเหมือนยังมีอายุอยู่ ยังรู้ได้เห็นได้แสดงความเมตตาได้ในกรณีที่สมควรจริง ญาติโยมผู้นั้นเล่าว่าเมื่อ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว ขณะปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง มีความคลุ้มคลั่งขึ้นมาราวจะเป็นบ้าเป็นหลังไปในขณะนั้น ทั้งๆที่ไม่มีเหตุให้ต้องมีอาการรุนแรงหนักหนา

ถึงเช่นนั้นเป็นเหตุให้ตกใจมากที่สุด กลัวที่สุดว่ากำลังจะต้องเป็นบ้าไปในขณะนั้นแน่ ขณะที่กำลังจะกรีดเสียงร้องก็มีเสียงสั่งว่าอย่าให้เสียงออกจากปาก มิฉะนั้นจะบ้าไปเลย ขณะนั้นอยากวิ่งให้เตลิดไปในป่าจากทางจงกรม ก็มีเสียงสั่งอีกว่าอย่าวิ่ง มิฉะนั้นจะวิ่งเป็นคนบ้าไปเลย

เสียงนั้นไม่ใช่เป็นเสียงดังให้ได้ยิน แต่เป็นการได้ยินเป็นเสียงสั่งทั้งที่ไม่มีเสียง ญาติโยมผู้นั้นเล่าว่าได้พยายามข่มใจไม่ร้องและไม่วิ่งเพราะกลัวจะเป็นบ้าไปตามเสียงเตือน แต่ความกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งเป็นความแน่ใจว่ากำลังจะเป็นบ้าแน่แล้ว น่ากลัวที่สุดแล้ว ใจก็ร่ำร้องถึงท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ

ที่มีบุญที่สุดที่ได้อ่านประวัติท่าน เคารพศรัทธาในท่านอย่างหมดหัวใจ เพราะมีความใฝ่ฝันจะปฏิบัติธรรมให้ได้ผลอย่างจริงจัง เช่นตามที่ทราบจากประวัติท่าน ใจที่มุ่งไปพึ่งบารมีท่านพระอาจารย์ท่านร่ำร้องอย่างที่ว่าจำได้แม่นยำ ไม่เคยลืมเลือนแม้เวลาจะผ่านมาเป็น ๒๐ ปีกว่าแล้วก็ตาม

“ท่านอาจารย์ขาช่วยด้วย จะบ้าแล้ว ท่านอาจารย์ขาช่วยด้วย จะบ้าแล้ว ท่านอาจารย์ขาช่วยด้วย จะบ้าแล้ว” สิ้นเสียงเร่าร้อนขอร้องท่านอาจารย์ ๓ ครั้ง เท่านั้นจริงๆ ท่านพระอาจารย์ก็ปรากฏองค์ขึ้นตรงหน้า กลางทางจงกรม เป็นรูปร่างหน้าตาของท่านอาจารย์ที่เห็นในรูปชัดเจน โดยไม่พูดจาท่านออกเดินนำไปตามทางจงกรมที่ญาติโยมผู้นั้นกำลังเดินอยู่และได้เดินตามท่านไปอย่างเร่งรีบ คิดจะตามติดท่านไปให้มากที่สุด

แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้ท่านยิ่งกว่าที่ท่านปรากฏองค์เดินนำอยู่ ทั้งที่ท่านก็ดูเดินช้าๆ ญาติโยมผู้นั้นเดินอย่างเร่งรีบก็ไม่อาจเข้าไปใกล้ท่านยิ่งกว่าที่ท่านเริ่มเดินได้ท่านเดินนำอยู่ในทางจงกรม เมื่อสุดทางท่านก็หันกลับ และเดินต่อไปอีก เพียง ๓ เที่ยว ก็มีฟ้าผ่าเปรี้ยงหลังท่าน เบื้องหน้าญาติโยมซึ่งเล่าว่าเสียงฟ้าดังสนั่นหวั่นไหว

ทำให้ตกใจเมื่อสิ้นเสียงฟ้าแล้วจึงรู้ว่าได้หยุดเดิน และเท่าข้างหนึ่งอยู่ในอาการยกลอยอยู่ ไม่ทันเหยียบลงถึงพื้น วางเท้าลงเมื่อรู้สึกตัว และท่านพระอาจารย์ท่านก็ไม่ได้ปรากฏอยู่ข้างหน้าอีกแล้วไม่มีท่านแล้ว ญาติโยมเล่าว่าย้อนเข้าไปดูใจก็ได้พบความเย็นเยียบอย่างไม่เคยพบมาก่อน

ความร้อนแรงราวจะบ้าคลั่งไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ใจมีความเย็นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย เป็นความสุขด้วยความเย็นอย่างประณีตละเอียดอ่อนที่สุด ที่ยากจะพรรณนา ที่ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเมตตาช่วยแล้วจริงๆ ท่านละธาตุขันธ์ไปนานปีนักแล้ว แต่เมื่อท่านปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จลงทรงสอน ธัมมะของท่านเป็นที่ยอมรับของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่าเป็นธัมมะของท่านผู้พ้นแล้ว ไกลแล้วจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง

การที่ญาติโยมผู้มุ่งปฏิบัติธรรมต้องเผชิญกับอกุศลกรรม และร่ำร้องขอเมตตาจากท่านพระอาจารย์ การปรากฏองค์ลงช่วยให้ญาติโยมผู้นั้นพ้นจากอกุศลกรรมที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นเครื่องยืนยันคำบอกเล่าของท่านผู้รู้ ที่ว่าพระอรหันตเจ้านิพพานแล้วยังอยู่ในเมืองพระนิพพาน อันเป็นที่เสด็จประทับของสมเด็จพระบรมศาสดาและพระอรหันตเจ้าทั้งปวง

ทุกองค์ยังรู้ยังเห็นเมตตาในกรณีสมควรความจริงนี้น่าจะทำให้ผู้นับถือพระพุทธศาสนาภาคภูมิใจเป็นที่สุด ไทยเรามีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติตลอดมา ความพิเศษสุดของท่านผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนาได้บรรลุผลสำเร็จแล้ว ไม่มีผู้ใดอาจทำให้เกิดแก่ชีวิตพวกเราได้ นอกจากสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเท่านั้น.

O เล่ากันว่า คุณป้ากี นานายน แห่งสำนักเขาสวนหลวง จังหวัดราชบุรี ก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับฟังเรื่องที่ญาติโยมผู้นั้นได้รับเมตตาจากท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตตมหาเถระท่านช่วยให้พ้นอย่างปาฏิหาริย์จากการต้องเสียสติเมื่อได้รับฟังเรื่องราวแล้วโดยตลอด คุณป้ากี ท่านให้คำอธิบายที่ชัดเจนทันทีกับญาติโยมผู้นั้น “อกุศลกรรมตามมาทัน ความดีของคุณยิ่งใหญ่นัก ตัดขาดในพริบตา” คำตอบของคุณป้ากีท่านเช่นนี้ให้ความยินดีแก่ญาติโยมเจ้าของปัญหาแน่นอน ขณะเดียวกันก็น่าจะให้สติแก่บรรดาผู้ได้รับประสบการณ์จากคำของคุณป้ากี ว่าบุญกรรมมีจริง ให้ผลจริง หนักเบาตามความหนักเบาของบุญกรรมที่ตนได้กระทำแล้ว ทั้งในอดีตที่พ้นความรู้เห็นของปุถุชนทั้งหลายเช่นเดียวกับทั้งในอนาคตนั่นเอง

O ใครจะรู้จะเห็นหรือไม่ก็ตาม จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ในเรื่องของกรรมดีคือบุญ และในเรื่องของกรรมไม่ดีหรือบาป ทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี แม้ทำแล้วย่อมมีผลสนองผู้ทำแน่ เชื่อไว้ก่อนแม้จะไม่รู้ ไม่แน่ใจก็ตาม เชื่อไว้ก่อน และกลัวผลของกรรมไม่ดีไว้ก่อน

หลีกเลี่ยงการไม่ทำกรรมไม่ดีไว้ก่อน ไม่เสี่ยงรับทุกข์โทษภัยที่อาจร้ายแรงเพียงใดก็ได้ แม้ผู้ใดได้ทำแล้ว ผู้นั้นก็ต้องได้รับสนองของกรรมแน่ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ดังเรื่องของญาติโยมที่กล่าวมา กรรมใดยิ่งใหญ่กว่า ผลของกรรมนั้นก็ย่อมยิ่งใหญ่จนสามารถส่งได้ในทันทีที่ถึงเวลา สามารถแซงผลของกรรมที่แรงน้อยกว่าได้

เช่นที่แม้กำลังจะคลุ้มคลั่งเสียสติไปในขณะนั้นแล้ว แต่ความดีที่ทำไว้ยิ่งใหญ่ก็สามารถพาให้พ้นจากสภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่งได้ในพริบตา น่าจะเป็นเครื่องให้สติอย่างดี อย่าทำกรรมไม่ดี พยายามมีสสติหลีกเลี่ยงการคิดไม่ดีการพูดไม่ดีการทำไม่ดี ชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคตจะได้พ้นจากผลของกรรมไม่ดี ที่จะนำชีวิตให้ทุกข์ร้อนหนักหนาเพียงใดก็ได้ ชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคตจะได้พ้นจากผลของกรรมไม่ดี ที่จะนำชีวิตให้ทุกข์ร้อนหนักหนาเพียงใดก็ได้.

O ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเมตตาให้ความรู้ในเรื่องที่ไม่นึกฝันว่าจะเป็นไปได้ เป็นเครื่องยืนยันรับรองให้ได้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ไม่เคยได้รู้ได้เข้าใจมาก่อน จนมาได้รับฟังเรื่องที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านเมตตาบอกเล่า

คือสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้ทรงละพระพุทธศาสนาไว้ในความรับผิดชอบของพวกเราทั้งหลาย โดยไม่ทรงรับรู้อะไรทั้งสิ้นไม่ใช่เช่นนั้น ยังทรงแผ่พระมหากรุณาอยู่อย่างปราศจากขอบเขตทุกเวลา เพียงแต่ว่ากรรมของผู้ใดจะรับไม่ได้เท่านั้น มาตั้งใจปฏิบัติให้สามารถเป็นผู้รับพระพุทธเมตตาได้ในชีวิตของเรานี้ จะไม่ดีหรือ

ทรงเป็นถึงสมเด็จพระบรมศาสดา แม้สามารถเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับพระเมตตาสูงสุดขณะทรงละพระขันธ์แล้ว เสด็จสู่เมืองพระนิพพานแล้ว ยากที่จะมีผู้ใดได้เฝ้าชมพระบารมีเช่นเมื่อยังทรงดำรงพระชนมายุสังขาร ผู้ที่ทำดีงามสมควรจะได้รับพระมหากรุณาแม้ในขณะที่เสด็จพ้นไปแล้วจากภพภูมิของมนุษย์เรา ก็ยังอาจได้รับ เช่นท่านพระอาจารย์มั่นท่านได้รับแล้วเหตุด้วยท่านพระอาจารย์ท่านเป็นหนึ่งในผู้ปฏิบัติธรรมได้สูงสุด สามารถสืบพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์ได้มาจนทุกวันนี้.

O เมื่อได้ฟังเรื่องนี้แล้ว ความรักพระพุทธศาสนาน่าจะเพิ่มขึ้นได้เป็นอันมาก สมเด็จพระบรมศาสดาทรงความประเสริฐเลิศล้ำหาผู้เสมอเหมือนได้หรือ พระพุทธศาสนาที่ทรงเสียสละส่วนพระองค์ยิ่งใหญ่จนสามารถประทานให้แก่โลกได้ ควรเพียงไรที่จะได้รับความภาคภูมิใจในสมบัติชีวิตที่มีค่าหาที่เปรียบมิได้

ควรเพียงไรที่ผู้มีบุญได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนาจะไม่สักแต่เพียงรู้สึกว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา นับถืออย่างผู้ที่มีบรรพบุรุษนับถือ ก็เพียงนับถือสืบต่อมาเท่านั้น ไม่ให้ความสำคัญให้สมกับความยิ่งใหญ่ประเสริฐมหัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาเลย พระพุทธศาสนาจะไม่ประเสริฐได้อย่างไรในเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดา พระผู้ประทานพระพุทธศาสนาให้โลกให้เรา ทรงเป็นผู้ประเสริฐพ้นพรรณนา พ้นความเข้าใจจะกล่าวถึงได้ให้ถูกให้ตรงตามเป็นจริง.

O เมื่อสิบปีมาแล้ว สถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง ๙ ให้ตอบข้อสัมภาษณ์เกี่ยวกับความมุ่งหมายหรือการดำริเบื้องต้น ที่ได้ให้การสนับสนุนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์จึงนำมาลงไว้อีกครั้งหนึ่งในหนังสือ “แสงส่องใจ” นี้

วันนั้นได้ตอบคำถามว่า “ได้มาคิดๆ ดู จากที่ได้พบได้เห็นมามากในชีวิต เห็นชัดเจนว่าพระพุทธศาสนาของเรานั้นมีพระพุทธานุภาพมหัศจรรย์ เกินความคาดคิด เกินความเข้าใจ ของสามัญชนคนทั่วไปประเทศไทย

ชาติไทย เราคนไทย มีบุญยิ่งใหญ่นักหนาทีเดียว ที่มีบรรพบุรุษผู้มีปัญญาลึกซึ้งจึงเลือกนับถือพระพุทธศาสนา เชิดชูพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ และประคับประคองรักษาพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองยืนนานมาจนถึงบัดนี้ จนถึงเราทั้งหลาย ให้เราคนไทยทั้งหลายได้มีบุญ ได้มีพระพุทธานุภาพปกป้องคุ้มครอง”


O สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงมีกระแสพระราชดำรัสอย่างเป็นที่ประทับใจที่สุด เมื่อคณะสงฆ์ไทยเข้าเฝ้าเมื่อนานปีมาแล้ว ว่าดังนี้ “ต้องทราบว่า ชาติไทยนี้ ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาค้ำจุน ชาติไทยคงไม่มี”

นี้แสดงแจ้งชัดนัก ว่าพระพุทธศาสนามีความสำคัญที่สุด แก่ประเทศไทยไม่ควรมีอะไรอื่นสำคัญกว่า ขออนุโมทนาสาธุการผู้ที่คิดพูดทำอย่างมีสติ มีสัมมาสมาธิ เพื่อเทิดทูนพระพุทธศาสนา เป็นมงคลยิ่งใหญ่แก่ตนเองและแก่ประเทศชาติ แน่นอน

O พระพุทธศาสนาให้ธัมมะที่ประเสริฐสูงสุด นำความดีงามให้เกิดแก่จิตใจผู้ปฏิบัติและยังความร่มเย็นเป็นสุขให้เกิดได้ทุกหนทุกแห่งที่มีพระพุทธศาสนาแผ่ไปถึงจิตใจผู้คนพลเมืองอย่างเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ เมืองพุทธนั้น หรือเมืองไทยนั้น แม้จะเกิดอะไรๆ เป็นความเดือดร้อนบ้าง เป็นทุกข์เป็นภัยบ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดๆ ว่าไม่หนักหนาเท่าบ้านอื่นเมืองอื่น ที่มิได้เป็นเมืองพระพุทธศาสนา ที่ธัมมะของพระพุทธศาสนายังแผ่ไปไม่ถึงจิตใจผู้คนบ้านนั้นเมืองนั้น

พระคุณของพระพุทธศาสนาจึงล้นพ้น ควรแก่การประกาศเทิดทูน เผยแผ่ให้กว้างใหญ่ไพศาลไปทั่วโลกได้ก็จะดี ผู้คนทั่วโลกจะได้รับธัมมะของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ปฏิบัติธรรมมากๆ และนี่แหละที่จะนำให้ในต่างประเทศเกิดความร่มเย็นเป็นสุข ความคิดจะสนับสนุนการแผ่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นตรงนี้

(มีต่อ ๓)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 16 พ.ค.2008, 8:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ความประสงค์และการมุ่งหวังต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ อยู่ที่ประสงค์จะให้ความร่มเย็นเป็นสุขเกิดขึ้นมากๆ ในโลก ทั่วโลก และก็รู้ว่าพระพุทธศาสนา หรือคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีคุณยิ่งใหญ่แก่ชาวโลกทั่วไป ไม่เลือกชาติศาสนา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม นับถือพระพุทธศาสนาหรือไม่ก็ตาม จักได้รับประโยชน์จากพระคุณของพระพุทธศาสนาแน่นอน

โดยมีบรรดาผู้นับถือปฏิบัติตามพระธรรมคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสื่อ เป็นคนกลาง นำความดีงานทั้งปวงไปสู่เพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย โดยไม่เลือกชาติชั้นวรรณะและศาสนา

O พระมหากรุณาของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายั่งยืนนาน ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา ก่อนแต่ทรงตรัสรู้ ทรงตรัสรู้แล้วจนบัดนี้ หลังจากเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วถึง ๒๕๕๐ ปี และจนตลอดไป พระมหากรุณาจะยังแผ่ไพศาลปราศจากขอบเขต

เราทุกคนพึงทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดในการแสดงกตัญญูกตเวที ต่อพระพุทธศาสนา อันเป็นสมบัติล้ำค่าเป็นมรดกเลิศล้ำ ที่มีบุญหนักหนา ได้รับมาจากสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงรับรองความสำคัญยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาไว้

ดังกล่าวแล้วคือ “ชาติไทยนี้ ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาค้ำจุน ชาติไทยคงไม่มี” ทุกวันนี้หลายๆคนคงอยากจะพูด ว่า “โลกนี้ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาประคับประคอง คงมืดสนิทขึ้นทุกเวลา” ก็ขอฝากไว้เท่านี้

O สมเด็จพระนารายณ์มหาราชรับสั่งกับนายคอนสแตนติน ฟอลดอน ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศส ว่าทรงนับถือพระพุทธศาสนา ที่ได้นับถือต่อกันมาถึง ๒,๒๒๙ ปี ฉะนั้นที่จะให้ทรงเปลี่ยนไปเข้ารีตตามคำสั่งชักชวนของพระเจ้าหลุยส์ยากมาก.

O พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิยมหาราช ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเซอรเอ็ดวิน อาร์โนลด์ ฝรั่งผู้แต่งหนังสือพุทธประวัติชื่อ “ประทีปแห่งทวีปเอเชีย” ตอนหนึ่งว่า “พระราชบิดาของฉันได้ทรงสละเวลาเป็นส่วนใหญ่ ในการศึกษาและคุ้มครองศาสนาของชาติ” “ฉันเองมีความสนใจในการศึกษาหนังสือหลักธรรมต่างๆ สนใจที่จะคุ้มครองศาสนาของเรา” และ “ฉันรู้สึกขอบคุณบรรดาบุคคล เช่นท่านเป็นตัวอย่าง ที่สอนชาวยุโรปให้มีความคารวะแก่ศาสนาของเรา”

O พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีกระแสพระราชดำรัสในโอกาสที่พระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ ๒ เข้าเฝ้าฯ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เมื่อพุทธศักราช ๒๔๒๗ ว่า “คนไทยเป็นศาสนิกชนที่ดีทั่วกัน ส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำชาติ”

ในโอกาสที่คณะสงค์ไทยเข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๘ ได้ทรงมีกระแสพระราชดำรัสว่า “ขอวิงวอนพระสงฆ์ให้ช่วยกันทำตามเป้าหมายแท้ของพระพุทธศาสนา คือทำให้มีความสงบสุขในหมู่ชน และต้องทราบว่า ชาติไทยนี้ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาค้ำจุน ชาติไทยคงไม่มี”

O “ชาติไทยนี้ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาค้ำจุน ชาติไทยคงไม่มี” พระราชดำรัสนี้ประกาศความสูงส่งที่สุดของพระพุทธศาสนาจากพระราชหฤทัยสำนึกในสมเด็จบรมบพิตรพระราชหฤทัยสำนึกในสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าพระบาทเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้ฟังแล้ว มีความรู้สึกลึกซึ้งจับใจเพียงใด ย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง...ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาค้ำจุนชาติไทยคงไม่มี...แล้วรู้สึกทั่วกันหรือไม่

พระพุทธศาสนามาประดับไทยให้งดงามมีค่าสูงส่งที่สุดเมื่อเอ่ยว่าประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ จะรู้สึกทั่วกันหรือไม่ ว่าแตกต่างกับเมื่อกล่าวถึงประเทศไทยลอยๆ ค่าของประเทศไทยไม่เหมือนกันแตกต่างกัน สูงต่ำไกลกันด้วยพระพุทธศาสนาโดยแท้

ความสำคัญของพระพุทธศาสนาหาที่เปรียบมิได้ เปรียบเพชรก็คือเพชรน้ำบริสุทธิ์ล้ำค่า หาไฝฝ้าราคีไม่มีแม้แต่น้อย ไทยเรามีบุญพ้นประมาณที่มีบรรพบุรุษเลิศปัญญา เลือกเทิดทูนพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ลูกหลานไทยจงรักษาความฉลาดลึกล้ำของบรรพบุรุษไว้ให้จงดี ก่อนที่ใครอื่นเขาจะยื้อแย่งไป เพราะไม่แยแส มีเครื่องประดับล้ำค่างามเพริศแพร้ว ไม่ประกาศความเป็นเจ้าของไว้แล้วก็ประมาทนัก

O ข้อความที่นำลงข้างต้นเกี่ยวกับพระราชดำรัสของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ได้เคยนำลงแล้วเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ ไม่ได้คิดเขียนขึ้นใหม่ให้ทันสมัย นำมาลงเพื่อเตือนสติให้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของทุกพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินไทย ที่ทรงเตือนสติคนไทยไว้อย่างชัดเจนหนักแน่น

ให้สำนึกในความสำคัญยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา ที่ทุกพระองค์ทรงรับรองว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยของเรา ทรงเตือนสติคนไทยไว้แล้วเช่นนี้ จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยที่ดีทุกคน ที่จะต้องนอบน้อมรับด้วยความมีสติของคนมีกตัญญู

O ผู้รักชาติรักพระพุทธศาสนาในประเทศไทยมีหลายระดับ หลายความคิด หลายเหตุผล เมื่อเกิดปัญหาใดขึ้นจึงยากที่จะให้มีความเห็นตรงกัน อันจะเป็นเหตุให้ปัญหายุติลงด้วยดี เรื่องพระพุทธศาสนากับปัญหาเป็นศาสนาประจำชาติก็เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง ที่มีผู้มาบ่นมารำพึงรำพันให้ฟังอยู่

ความเห็นหนึ่งก็คือทุกวันนี้ไม่เห็นค่อยมีใครปฏิบัติพระพุทธศาสนา อีกความเห็นหนึ่งก็คือกฎหมายมากมายไป แล้วทำไมยังให้เป็นกฎหมายของบ้านเมืองอยู่ ทำไมไม่ยกทิ้งไปเสียเลย ก็เหมือนกับพระพุทธศาสนานั่นเอง มีผู้ปฏิบัติผิดบ้างถูกบ้าง จะไม่ให้พระพุทธศาสนาเป็นความสำคัญของชาติของประเทศจะถูกหรือ

วินัยสงฆ์ก็เช่นกัน พระเณรก็ปฏิบัติผิดบ้างปฏิบัติถูกบ้าง จงใจไม่ปฏิบัติบ้าง แต่วินัยของสงฆ์ก็ยังเป็นหลักของสงฆ์ เป็นที่ยอมรับว่าเป็นวินัยสงฆ์อยู่ตลอดมา ก็น่าฟังไม่น้อย

O มาคิดถึงความเป็นจริงของพระพุทธศาสนาที่เป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่อาจปฏิเสธได้จะดีกว่า นั่นก็คือเราท่านทั้งหลายได้มีโอกาสทำบุญทำกุศล อันเป็นทางนำไปสู่โลกความสุขความเจริญ ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ก็เพราะเรามีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

นั่นก็คือถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาค้ำจุน ชาติไทยคงไม่มี หรือคนไทยที่ดีมีศีลธรรมคงไม่มี เพราะบุญกุศลเราคงไม่ได้ทำ แล้วอะไรเล่าจะเกิดแก่เราทั้งหลาย นึกทบทวนให้จงดี ให้มีกตัญญูรู้พระคุณของพระพุทธศาสนา เชิดชูให้ควรแก่พระคุณยิ่งใหญ่ เทิดทูนพระพุทธศาสนาให้เต็มสติปัญญาความสามารถ สิริมงคลทั้งปวงจะไม่ไปไหนเสีย จะเกิดแก่เราท่านทุกถ้วนหน้า.

O อย่าประมาทพระพุทธศาสนา จะได้สามารถแก้ไขความเลวร้ายแห่งสถานการณ์ขณะนี้ที่น่าสะพรึงกลัว ที่กำลังเผชิญหน้าเราอยู่ ให้กลับสู่สภาพร่มเย็นเป็นสุขได้ ด้วยอานุภาพกตัญญูกตเวทิตาธรรมที่เราท่านทั้งหลายมีต่อพระพุทธศาสนา และแสดงออกให้ปรากฏชัดแจ้งแก่โลก

เช่นที่สหประชาชาติได้ประกาศแล้วในนามของโลก ยอมรับพระพุทธศาสนาเป็นสันติภาพโลก วันวิสาขบูชาไม่ใช่อะไรอื่น วันวิสาขบูชาก็คือพระพุทธศาสนานั่นเอง สหประชาชาติภูมิใจในพระพุทธศาสนาทั้งยังไม่คิดจะซ่อนเร้นความถูมิใจไว้ จึงได้ประกาศให้ปรากฏแก่โลก ทั้งยังประกาศว่าเป็นการเป็นการประกาศในนามของโลกด้วย

เป็นการรวมจิตใจที่ใหญ่ยิ่ง สมัยนี้ก็ต้องกล่าวว่าโก้มากที่ประกาศเช่นนี้ ฉลาดมากด้วย พระพุทธศาสนามีค่าสูงส่งที่สุดเหนือค่าอื่นใดแล้วเขาจึงโดดเข้าถือเป็นส่วนประดับโลกที่งดงามหาที่เปรียบมิได้ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่โลกรู้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติไทย

สหประชาชาติรู้เสียยิ่งกว่ารู้ มีคนช่างคิดพูดให้ฟังว่าถ้าวันหนึ่งสหประชาชาติประกาศออกมาว่าพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำโลก ไทยควรจะเสียใจ หรือควรจะดีใจกันแน่ เพราะถ้าสหประชาชาติจะประกาศเช่นนั้นเขาก็มีสิทธิจะทำได้ ในเมื่อพระพุทธศาสนาทุกวันนี้ยังไม่มีประเทศชาติใดประกาศความเป็นเจ้าของ.

(มีต่อ ๔)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 16 พ.ค.2008, 8:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ปัญหาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำโลก กับพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย บางความเห็นบอกว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำโลกก็โก้ดี เป็นความน่าภูมิใจของไทยมากเหมือนกัน เพราะไทยนับถือพระพุทธศาสนากันทั้งบ้านทั้งเมืองมาก่อน

โลกก็รู้เขายอมรับศักดิ์ศรีของเราไปเป็นศักดิ์ศรีของเขา ก็น่าจะเป็นเกียรติแก่เรา น่าจะเป็นเกียรติแก่ประเทศไทย แต่บางความเห็นโวยวายว่าคิดอย่างนั้นปัญญาอ่อน ไม่สมควรเป็นศิษย์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงพระสติพระปัญญาเลิศล้ำหาที่เปรียบมิได้.

O เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำโลก กับพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย เกิดเป็นปัญหาอยู่เหมือนกัน ทั้งที่เพียงมีการยกขึ้นพูดกันเอง โดยมิทันเกิดเป็นปัญหาขึ้นมาจริง คือสหประชาชาติยังไม่ทันคิดก็เป็นได้ ว่าจะให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาโลก

เหมือนดังให้พระพุทธศาสนาเป็นสันติภาพโลกแล้ว และประกาศในนามของโลกแล้ว พระพุทธศาสนาเป็นสันติภาพโลก คนไทยที่ได้พบทั้งนั้นยินดี ภูมิใจ มากด้วย มีความรู้สึกว่าสหประชาชาติให้เกียรติไทยมาก เขายกย่องพระพุทธศาสนาของไทย ความรู้สึกนี้คือเครื่องยืนยันว่าไทยยอมรับว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำไทย ประจำชาติไทย เป็นเครื่องเชิดหน้าชูตาไทย

แม้นานาชาติทั่วโลกจะมานับถือพระพุทธศาสนา ก็น่าจะไม่มีความคิดใดเกิดขึ้นในปัจจุบัน ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำโลกแน่นอน แต่อนาคตไม่แน่ แม้สหประชาชาติเกิดประกาศเช่นนั้นเมื่อไร เราคนไทยจะใจหาย เสียดายชื่อเสียงสูงส่งที่พึงมีพึงได้รับจากพระพุทธศาสนา จะเหมือนดังแก้วมณีงดงามมีค่าสูงสุดหลุดลอยไปจากมือแล้วฉะนั้น.

O ปัญหาเรื่องพระพุทธศาสนาในทุกวันนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายใจแก่ผู้รักษาพระพุทธศาสนาไม่ใช้น้อย จะเรียกว่าเป็นการทำบาปกับตัวเองก็ไม่ผิด เพราะการทำใจให้เศร้าหมองขุ่นมัวเป็นการทำบาป ได้ยกพระพุทธศาสนสุภาษิตมาไว้ข้างต้น ที่แปลความว่า “ความสั่งสมบาปนำทุกข์มาให้ การไม่ทำบาปนำสุขมาให้” อันเป็นสองในสามประการของหัวใจพระพุทธศาสนา ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงวางไว้ให้เป็นหลักเป็นหัวใจในการแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป

ประการที่สามของหัวใจพระพุทธศาสนาคือ “การชำระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้ว” จะมีปัญหาเรื่องพระพุทธศาสนาควรได้รับจารึกไว้เป็นหลักฐาน ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่ ก็ขอให้เป็นเรื่องหนึ่ง การทำจิตใจของเราผู้เป็นพุทธมามกะ มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก ก็ขอให้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดทำใจให้ผ่องแผ้ว ไกลความเศร้าหมองขุ่นมัวให้มากที่สุด ผู้มีใจเช่นนั้นจะมีบุญมากที่สุด

ผลที่จะเกิดจากใจที่มีบุญก็คือผลที่เป็นบุญ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงภาษิตไว้ว่า “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประทาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” นั่นก็คือใจเป็นอย่างไร ผลที่จะเกิดตามมาก็จะเป็นอย่างนั้น แน่นอนไม่มีผิด ใจไม่ดีขณะทำอะไรก็ตาม ผลของอะไรนั้นก็จะไม่ดีด้วย แน่นอนเสมอไป พึงเชื่อพระพุทธภาษิตให้จริงใจเถิด จะได้รับผลเป็นความเบิกบานสบายใจในวันหนึ่งแน่นอน.

O การทำบุญนานาประการ แม้จะเป็นความดีที่มีผลเป็นบุญ แต่พึงประณีตในการทำความเข้าใจคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ใส่บาตรก็ต้องไม่ลืมนึกถึงใจตัวเอง ถ้าระวังใจตนเองให้ผ่องแผ้วได้เพียงไรในขณะวางอาหารลงในบาตร บุญย่อมยิ่งกว่าสักแต่ว่าใส่ส่งเดช

หรือร้ายยิ่งไปกว่านั้น คือใส่ไปพลางหงุดหงิดไปพลางในกิริยาท่าทีของพระหรือในความประพฤติผิดศีลผิดวินัยที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ ในยุคสมัยนี้ ได้เคยอบรมพระนวกะ วัดบวรนิเวศวิหารว่า เมื่อจะออกรับบิณฑบาตทุกเช้า ให้ท่องพระพุทธโธไว้ในใจอย่าคิดถึงเรื่องอะไรอื่น

ไม่ใช่พระอริยะก็พอจะมีใจเป็นดั่งพระอริยเจ้าท่านได้ในขณะออกรับบิณฑบาต เป็นการช่วยใหท้ญาติโยมได้บุญในการใส่บาตรพระอริยะ และยังได้แนะนำพระนวกะด้วย ว่าให้ท่านบอกกับญาติโยมที่พูดกันได้ว่า ขณะเตรียมใส่บาตรให้หยุดความคิดวุ่นวายเสียให้ได้ ชั่วเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่อุตส่าห์ลงทุนลงแรงทำบุญใส่บาตร ให้ภาวนาพระพุทธโธไว้ขณะใส่บาตร ไม่ต้องนึกถึงอะไรอื่นที่เป็นความเศร้าหมองใจ ถ้าทั้งพระและทั้งญาติโยมมีพระพุทโธอยู่ในใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผลแห่งการใส่บาตรย่อมเป็นอื่นไปไม่ได้ ย่อมเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น.

O ถ้าปรารถนาจะให้พระพุทธศาสนาได้รับประกาศให้เป็นศาสนาประจำชาติอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เราคนไทยก็ต้องทำใจให้มีธรรมที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา คือให้กิเลสเข้าใกล้ใจน้อยที่สุด ให้ใจไกลกิเลสให้มากที่สุด มีการประชุมทางศาสนากันเมื่อไร หมู่ใดคณะใดก็เน้นหนักให้พากันชำระใจให้ผ่องแผ้วให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถพยายามทำได้ แม้พร้อมเพรียงกันทั้งบ้านทั้งเมือง

อบรมพุทธมามกะให้เห็นความสำคัญของหัวใจพระพุทธศาสนาข้อ “การชำระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้ว” ให้ยิ่งกว่าเห็นความสำคัญในพระธรรมคำทรงสอนอื่นๆ ของสมเด็จพระบรมศาสดา ใจเท่านั้นสำคัญที่สุด ใจที่ผ่องแผ้วเพียงใด บุญที่จะเกิดจากใจนั้นก็จะยิ่งใหญ่เพียงนั้น อย่าลืมความสำคัญนี้

O การจะรักษาใจให้ไกลกิเลสได้ในเมื่อยังเป็นผู้มีกิเลสอยู่เช่นปุถุชนทั้งหลาย ยังมิใช่เป็นพระอริยเจ้า จำเป็นต้องพึ่งสติเป็นสำคัญ พยายามมีสติไว้ให้มากที่สุด สติหลุดเมื่อไร ก็อย่าปล่อยให้หลุดไปนานนัก พยายามให้สติกลับคืนมาให้เร็วที่สุด และใช้สตินั้นเป็นเครื่องควบคุมมิให้ความเศร้าหมองเข้าครองใจ ความเศร้าหมองไม่ใช่อะไรอื่น ความเศร้าหมองคือกิเลส โลภ โกรธ หลง สามตัวนี้เป็นความเศร้าหมอง ที่จะทำให้ใจของผู้มิใช่พระอริยเจ้าไม่ผ่องแผ้ว

ดังนั้นถ้าเห็นค่าของใจที่ผ่องแผ้ว ก็ต้องรักษาใจให้ไกลกิเลสให้เต็มสติปัญญาความสามารถ มีสติรู้อยู่เมื่อความโลภ หรือความโกรธ หรือความหลง จะเข้าครองความคิดจิตใจ จงหยุดเสียให้ได้กำราบตัวเองนั่นแหละให้หนัก ว่ากำลังจะนำชีวิตไปสู่ความเสียหายที่ยิ่งใหญ่แล้ว อะไรๆ ที่ตั้งปรารถนาไว้อย่างงดงาม จะไม่เกิดผลดังปรารถนาใจต้องผ่องแผ้ว ผลที่จะเกิดตามมาจึงจะงดงามสมความปรารถนา ปรารถนาจะให้พระพุทธศาสนาได้เป็นศาสนาประจำชาติ ก็ต้องพร้อมเพรียงกันทำใจให้ผ่องแผ้ว ตั้งแต่บัดนี้เถิด ขออำนวยพร.


โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

++++++++


สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 22 พ.ค.2012, 1:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

เทียน รวมกระทู้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ “วันวิสาขบูชา”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=45505
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง