Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สัญญาณมรณะ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 29 เม.ย.2008, 4:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สัญญาณแห่งมรณะมันจะบอกล่วงหน้า แต่เราก็แก้ไม่ได้ เราก็ต้องตายตามนั้น บางคนก็แก้ได้ถ้าเชื่อฟัง เรื่องกรรมแห่งนิมิตของมรณะ นิมิตแห่งความตาย ถ้าเราเชื่อเราก็แก้ได้ ถ้าเราไม่เชื่อเราก็แก้ไม่ได้ มันอยู่ที่คนเชื่อคนไม่เชื่อเรื่องกรรมอย่างนี้ต้องไปตายตามสัญญา เรียกว่า "สัญญาณแห่งมรณะ" ต้องตายตามสัญญาณนั้น จะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้แน่ แต่บางอย่างก็ผลัดได้ บางอย่างก็ผลัดไม่ได้ โดยทำนองนี้ มีความหมายมาก ขอให้ญาติโยมฟังกันต่อไป

วันนี้จะเล่าเรื่อง สัญญาณมรณะ คือนิมิตของความตายมันจะมาปรากฏแก่คนผู้ตายล่วงหน้าเป็นเวลาถึง ๒ ปี แต่แล้วเขาก็ไม่แก้ของเขา เขาจะต้องตายอย่างนั้นจริงๆ

คนที่จะกล่าวถึงไม่ใช่อื่นไกลกับอาตมาเลย อาตมามาอยู่ที่นี่เป็นเวลา ๓๒ ปีแล้ว มารับหน้าที่เจ้าอาวาส รักษาการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ นับตำแหน่งแห่งที่เจ้าอาวาส พ.ศ. ๒๕๐๐ นับได้เป็นเวลานานถึง ๓๐ กว่าปี nมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่รู้จักกันชอบพอกันอย่างดีชื่อ นายกรู่ ทรัพย์ทอง เมื่อก่อนนี้เคยไปด้วยกันที่บ้านตายุ้ย "ความฝันของลุงยุ้ย" ที่ลงกฎแห่งกรรม ของ ท.เลียงพิบูลย์ไปแล้ว

นายกรู่ขับรถออสตินเก่าๆ ไปบ้านตายุ้ย ตายุ้ยนั่นฝันไปว่า เขาจะเอาตัวไป ความนี้ไม่ต้องเล่า เพราะเล่าไปหลายครั้งแล้ว ตายุ้ยอยู่ข้างวัดพรหมบุรีนี่เอง นายกรู่ก็ไปที่บ้านตายุ้ยด้วยกัน หลังจากนั้นก็เล่าให้นายกรู่ฟังว่า

"กรู่ นี่และนิมิตความตายตายุ้ยมาแล้ว มะรืนนี้ต้องตายแน่" แล้วก็ตายตามสัญญานั้นจริง ๆ อันนี้มีความหมายของวิปัสสนาทั้งสิ้น ที่เราเข้าใจกัน แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แผ่ส่วนกุศลให้ท้าวเวสสุวรรณ แผ่ส่วนกุศลให้ยมบาล ข้อเท็จจริงไม่ใช่

พระแก้วพระกาฬ คือ กฎแห่งกรรมที่จะต้องตายตามสัญญาพระแก้วพระกาฬ เป็นตัวสมมติแต่ตัวด้านนามธรรมคือกฎแห่งกรรม ที่จะต้องตายในระยะนั้น พระแก้วพระกาฬมาผลาญชีวิตปลิดชีวิตดวงวิญญาณออกไปอย่างนี้เป็นการสมมติ แต่ตัวกฎของกรรมอันเกิดจากการกระทำนั้นเป็นความจริง ซึ่งเป็นสัญญาณมรณะบอกว่าตัวเองจะต้องตาย ในระยะนั้นทันที รอเวลาได้ไหม ก็ได้ ถ้าเชื่อ คนเราส่วนมากไม่เชื่อ เหมือนนายกรู่ ทรัพย์ทอง เป็นต้น จะเล่าเรื่องนายกรู่ต่อไป

นายกรู่ เป็นคนมีเงินมีทอง พอสมควร อาชีพแจวเรือจ้างสิงห์บุรี-ไชโย ๑ บาท คนละ ๑ บาท แจวแทบแย่เลย ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มโสด นายกรู่แจวเรือจ้างตลอดมาพอสมควรแล้ว อายุย่าง ๒๒-๒๓ ปี บวชเรียนเรียบร้อย ได้ชอบสาวคนหนึ่งเป็นคนจีนชื่อ เจ๊ฮุ้น อยู่ในตลาดบ้านแป้ง ทางพ่อแม่ของเจ๊ฮุ้นไม่ค่อยพอใจเพราะนายกรู่เป็นคนไทย คนจีนไม่นิยมรับคนไทยมาเป็นครอบครัว เลยทำให้กรู่ต้องลำบากใจ ผลสุดท้ายทั้งสองคนได้ทำการค้า ไปเช่าร้านสำหรับค้าขายที่หน้าวัดกลางธนรินทร์ ตลาดบ้านแป้ง ขายของโชห่วย ขายทุกอย่างเพราะภรรยาเป็นนักค้าขาย พอภรรยาเริ่มตั้งครรภ์คนต้น นายกรู่ก็ลงกรุงเทพฯ ไปซื้อมะพร้าวโดยเรือสินค้า มีเงินอยู่ ๓,๐๐๐ บาท สมัยนั้นมีเรือสีเลือดหมู เรือเขียว เรือแดง มาตอนหลังก็เหลือแต่เรือสินค้า

นายกรู่ เวลานั้นอายุ ๒๔ ปีแล้ว ก็ลงเรือสินค้าไปซื้อ มะพร้าว เครื่องแกง พริกกะปิ หอมกระเทียม ขากลับเรือแล่นถึงจังหวัดอ่างทอง ตอนตี ๑ เรือเกิดชนโขดล่มทันทีที่บ้านโพธิ์ทูล นายกรู่นอนข้างห้องเครื่องเอาผ้าใบปิด เพราะเป็นหน้าหนาว เรือล่มไปแล้วก็ออกไม่ได้ ดิ้นอยู่ข้างห้องเครื่อง คนตายหลายศพ คนที่ตายไม่ใช่ว่ายน้ำไม่เป็น ว่ายน้ำเป็นแต่ติดผ้าใบและหลับ จึงตาย นายกรู่ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร เหลือวินาทีเดียวก็จะตายแล้ว เลยก็บอกว่า "ข้าพเจ้าขอบวชในพระพุทธศาสนาขอให้ข้าพเจ้ารอดจากความตาย ถ้ารอดข้าพเจ้าขอบวช" ก็เลยผลุงขึ้นมาได้

พอหลุดลอยขึ้นมาได้ นายกรู่ก็โล่งใจ มะพร้าวลอยไปหมดไม่มีเหลือ น้ำตาลปีบก็ละลายน้ำไปหมด แต่ความจริงแล้วตรงนั้นน้ำก็แค่คอเท่านั้น เรือล่มตายกันได้เพราะมันไปชนโขด มีหัวหาดอยู่ นายท้ายคงจะหลับ ชนแล้วก็คว่ำลงไป คนก็ตายหลายศพอยู่ในท้องเรือออกไม่ได้ เข่งทับบ้าง

สรุปใจความว่า นายกรู่ขึ้นมาก็กลับมาถึงบ้าน เงินที่ไปซื้อสินค้า ๓,๐๐๐ บาท หมดเลยไม่มีเหลือ แต่ก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าจะต้องบวช อย่างเราพูดตามศัพท์ทั่วไปเรียกว่า บนบวชลูกในครรภ์จะต้องคลอดในปีต่อมา นายกรู่อายุ ๒๔ ปี ลูกคลอดออกมาก็เจริญวัยชันษา นายกรูก็ทำมาหากินเรื่อยมาตามอันดับ ไม่ได้บวช เพราะไม่ได้บอกกับคุณแม่ นายกรู่รับพอรับแม่ของตัวมาอยู่ด้วย ต่อมาพ่อก็ขอลาไปบวช ไปเป็นสมภารวัดคลองสายบัว จังหวัดลพบุรี อยู่หลังวิทยาลัยครูเทพสตรี บัดนี้ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็อยู่แต่แม่อยู่ด้วยกันตลอดมา จนลูกสาวคลอดออกมามีอายุ ๒๔ ปี จะแต่งงานกับอาจารย์ ร.ร.พิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี ในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๗

นายกรู่ ทรัพย์ทองนี้มาเป็นลูกศิษย์อาตมา ขับรถไปกำแพงเพชร ไปเหนือมาใต้ ไปงานต่างๆ ที่วัดอัมพวันยังไม่มีรถ ต้องจ้างรถนายกรู่ กรู่มีรถ ๓ คัน รถตู้ ๑ คัน ปิคอัพ ๑ คัน และรถออสตินเก่าๆ ๑ คัน อุดม ลูกสาวคนโตนายกรู่สำเร็จพยาบาล ทำงานที่โรงพยาบาลหญิง กรุงเทพฯ จะแต่งงานปีนั้นอายุ ๒๔ ปี นายกรู่อายุ ๔๘ ปี นายกรู่เกิดฝัน ๓ คืนติดๆ กัน อาตมาบันทึก มีหลักฐาน มีพยานบุคคลด้วย

คืนแรก ฝันว่า มีเทวทูตจะเอาตัวไป ในฝันก็บอกเขาไปว่า "เอาไปทำไมเล่า""ไม่ได้ หมดเวลาแล้ว ต้องเอาไป"นายกรู่ตกใจตื่น วันนั้นอาตมาจะไปกำแพงเพชรเลยไม่ได้ไป กรู่ไม่ยอมขับรถนายกรู่มาร้องไห้ บอก "หลวงพ่อ ผมไปไม่ได้หรอกครับ ผมเสียใจมาก" "เสียใจเรื่องอะไร เล่าให้ฟังซิ" เขาก็เล่าบอกว่า "เมื่อคืนฝันร้าย มีนายนิรบาล แต่งตัวผ้าแดง โอกาสีรษะมา ๔ คน จะเอาตัวผมไป ดึงแขนดึงขาใหญ่เลย ผมบอกยังไปไม่ได้ ลูกยังเล็กอยู่" ก็เลยตกใจตื่น เสียใจ วันนั้นอาตมาเสียงานเพราะนายกรู่ไม่ยอมขับรถ

คืนที่สอง ฝันซ้ำอีก บอกว่าต้องเอาตัวไปให้ได้ ถือบัญชีมากางแล้ว ต้องเอาไปนะ เขาสั่งให้เอาตัวไปให้ได้ในวันนั้น กรู่ก็ขอร้องไว้ ขอร้องอย่างไรก็ไม่ได้ เขาบอกมีบัญชี นายกรู่ไม่ยอม ในเมื่อไม่ยอมเช่นนี้แล้วก็ตกใจตื่น อาตมาจะต้องไปงานที่ลพบุรี เลยไม่ได้ไปเสียงานอีก

คืนที่สาม ฝันอีก ฝันว่า ๔ คนมาแล้ว ถือบัญชีมาด้วยบอกว่า "กรู่ รู้ไหม ที่เขาให้เอาตัวเจ้าไปเพราะเหตุใด" "ผมไม่ทราบครับ" ตากรู่เป็นคนปากหวาน พูดจาเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำบาป ทำบุญตลอดมา กรู่ก็บอกว่า "จะเอาตัวผมไปทำไมครับ" อีกคนหนึ่งก็บอกว่า "กรู่ จำได้ไหม เมื่อเจ้าอายุ ๒๔ ปี นี่จนลูกในท้องของเจ้าคลอดออกมา จะแต่งงานแล้ว เจ้ามีอะไรหรือเปล่า" กรู่ก็นึกไม่ออก ในเมื่อนึกไม่ออกแล้วเขาก็บอกว่า "ตอนที่เรือล่ม ลูกสาวคนหัวปีของเจ้า ยังอยู่ในท้องใช่ไหม นี่จนลูกจะแต่งงานอายุ ๒๔ ปีแล้ว เจ้าพูดว่าจะบวชทำไมไม่บวช นี่เสียสัจจะ เป็นกฎแห่งกรรม เจ้านายเขาให้เอาตัวไปในวันนี้ให้จงได้" นายกรู่ก็ร้องไห้ใหญ่ ในฝันเสียใจ บอกว่าอย่าเอาผมไปเลย ลูกก็ยังเล็ก ยังเรียนหนังสืออยู่ คนโตเพิ่งจะสำเร็จเพียงคนเดียวเท่านั้น ขอเมตตากระผมเถิด นายทั้ง ๔ ก็บอกว่า "ไม่ได้ ต้องเอาตัวไป"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 29 เม.ย.2008, 5:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อีกคนหนึ่งตาโปน นุ่งผ้าแดงใส่เสื้อแดงโพกผ้าสีแดง มีผ้าห้อยคอสีขาว มีความสงสารนายรู่บอกว่า "กรู่เอ๋ย เอาละข้าสงสารเจ้า ลูกยังเล็กนักเอาอย่างนี้ได้ไหม ภายใน ๒ ปีนี้ บวชเสีย เจ้าบวชภายใน ๒ ปีนี่ได้ไหม บวชเสียจะได้ไม่เอาไป" กรู่ก็บอกว่า "บวชไม่ได้ครับ หลวงพ่อผมก็บวชไปองค์หนึ่งแล้ว เป็นสมภารมีลูกชายคนเดียวคือผมเท่านั้น ผมไปบวช เขาจะหาว่ามาอาศัยข้าววัดกิน กำลังทำมาค้าขาย" เขาบอกว่า "ตามใจนะ ไม่ได้ว่าอะไรนะ ต้องบวชเรียนภายใน ๒ ปีนี้ ถ้าไม่บวชตายนะ รถชนคอหักตายนะ ถ้าบวชแล้วคงไม่ขับรถ จะเอาอย่างไรกันแน่" แล้วก็ตกใจตื่น เขาก็ร้องไห้มาหาอาตมา เล่าให้อาตมาฟัง อาตมาฟังแล้วก็จด บอกว่า "กรู่ บวชเถอะ" อยู่ต่อมาได้ ๑ ปี ก็ไม่บวช ขับรถให้อาตมาตลอดรายการ ต่อมานายกรู่ฝันว่า มันปวดที่ตับ ปวดในปวดนอกจะตาย ทำนองนี้เป็นต้น แต่แล้วมันก็เป็นจริงขึ้นมาตามลำดับ เหลือไม่กี่วันจะแต่งงานลูกสาว นายกรู่ฝันอีก บอกว่า เจ้ามีลูกจะแต่งงานแล้ว อายุ ๒๔ ปี เจ้าก็คงจะเป็น ๔๘ เจ้าจะต้องตาย ตายอย่างอเนจอนาถ เพราะเสียสัจจะ ที่บนบานสานกล่าว

ขอเจริญพรญาติโยมไว้ในที่นี่ว่า ไม่ใช่เจ้าพ่อหักคอ แต่เวรกรรมตามสนองที่เสียสัจจะอย่างแรง เพราะเอ่ยเผยวาจาออกมาอย่างแรงที่สุดแล้วไม่ทำตาม

อาตมาบันทึกไว้ว่าแต่งานลูกสาววันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๗ อยู่มาปีนั้นไม่ได้บวช พอมาปีสุดท้าย อาตมาเห็นท่าไม่ดีแล้ว ก็บอกให้นายกรู่บวช เขาก็บอกว่า "หลวงน้ามันเข้าพรรษาแล้วบวชยังไงเล่า และผมก็มีครอบครัว เขาจะว่าเอาละมั้ง" และบอกต่อไปอีกว่า "ลูกผมก็ยังเข้างานไม่ได้ และผมยังเป็นหนี้แม่อีก ๔ หมื่น เอามาซื้อรถ เพิ่งส่งให้ไป ๒ หมื่น ก็คงจะบวชไม่ได้" อาตมาก็พยายามกล่อมเกลาและบอกให้กรู่บวชภายในเดือนสิงหาคมปีต่อมา ถ้าไม่บวชวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๘ ครบอีก ๑ ปีแล้ว ต้องตายแน่ อาตมานึกไว้ในใจ

อาตมาเตรียมบาตร ผ้าไตรไว้ข้างที่นั่งที่หอประชุมที่กุฏิอาตมา จะนิมนต์ท่านเจ้าคุณพรหมโมลีเป็นอุปัชฌาย์ เตรียมเครื่องอัฐบริขาร ถวายคู่สวด อุปัชฌาย์ให้เสร็จ กรู่บอกว่า "ไม่บวช ทำอย่างไรก็ไม่บวช และเรื่องที่ฝันก็บอกกับอาตมาว่า อย่าบอกให้แม่รู้ อย่าบอกให้ภรรยาผมรู้โดยเด็ดขาด" อาตมาก็รับปากจะไม่บอก "หลวงน้า อย่าบอกกับเจ้าคุณพรหมโมลี บอกไม่ได้เด็ดขาดนะ ที่ผมฝันร้ายนี้อย่าบอกนะ" "เอ้าตกลง" อาตมาก็ถือสัจจะให้มั่นคง "ไม่บอก" ถ้าบอกเดี๋ยวก็ตายอีก ทำนองนี้เป็นต้น ครูหนุน ทำนองเป็นครูใหญ่ วัดกลางธนรินทร์ จดไว้ด้วยกัน เหลืออีก ๗ วันจะครบ ๒ ปี เขาก็นิมนต์อาตมาไปฉันที่วัดกลาง ธนรินทร์ ทุกวัน ขอทำบุญ พอวันที่ ๗ ครบ ๒ ปี เขาก็บอกกับอาตมาว่า "หลวงน้า ผมไม่ได้ขับรถให้หลวงน้านะ ผมจะไปอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มีคนเขาจ้างรถไปแต่งงาน" อาตมาก็ลืมไป ลืมสองปี อาตมาไปที่บ้านเก่า ต.บ้านหม้อ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี กับเจ้าคุณวัดกลาง แล้วกลับมาตอนบ่าย นายกรู่ ทรัพย์ทองก่อนไปก็ลาแม่ ไหว้คนโน้นลาคนนี้แล้วก็ขับรถไป วันนั้นเป็นวันครบ ๒ ปีตามที่ยมทูตบอกไว้ พอบ่ายสองโมง อาตมากลับจากงานสักประเดี๋ยว เจ๊ลี้ ร้านช่างทองที่สิงห์บุรี มาบอกอาตมา

"หลวงพ่อ นายกรู่อยู่ไหม" อาตมาบอกว่า
"เขาไม่อยู่นะ ขับรถไปแต่งงานที่อำเภอท่าตะโก"
"ตายแล้ว"
"เอ้า รู้ได้อย่างไร"
"ลูกน้องของฉันไปนครสวรรค์มา เห็นรถนายกรู่คว่ำที่มโนรมย์ คอหักตาย ลูกน้องฉันเขายังไปช่วยเลย คนอื่นไม่เป็นอะไรเลย"

ก็ได้ความว่าขับรถไป มีผู้หญิงซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ขับตัดหน้า จะให้รถคว่ำ จะได้เก็บข้าวเก็บของ นายกรู่เห็นผู้หญิงขับรถก็ชะลอ แล้วก็บึ่งแซง รถมอเตอร์ไซค์ก็ตัดหน้า นายกรู่เบรคเต็มที่ โผล่ศีรษะออกมาบอกคนข้างหลัง บอกให้ระวัง เลยรถคว่ำทับคอหัก ตายคาที่ คอหมุนได้เลย ครบสองปีพอดี ตรงกับวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ตรงกับความฝัน และต้องตายอย่างนี้ด้วยนี่แหละเสียสัจจะ

อาตมาไปช่วยทำศพ ภรรยาของเข้าคือเจ๊ฮุ้น ไม่สามารถจะไปแจกการ์ดได้ เพราะไม่รู้จักใครเลย ไม่เหมือนตากรู่ ในที่สุดอาตมาก็นำเครื่องอัฏฐบริขาร เครื่องผ้าไตรและเครื่องอุปกรณ์ทั้งหมด ไปติดกัณฑ์เทศน์อุทิศให้ตากรู่ ให้ยมบาลบวชให้ในเมืองโน้นต่อไป

อันนี้ชี้ให้เห็นชัดเลยว่า ไม่ใช่บนไว้เป็นตัวกรรมเป็นที่เสียสัจจะ คนเสียสัจจะมักจะตายแบบนี้ทั้งนั้น เสียสัจจะวาจาที่ตนอ้างอิงไว้อย่างแรง บางคนบนไว้อย่างแรงเชียวนะจะตาย จะขาดใจแล้ว บนแล้วไม่ทำตาม ส่วนมากจะตายแบบนี้ หรือมิฉะนั้นล้มหัวฟาดน็อคพื้นตาย มีหลายรายดังที่กล่าวนี้

นี่แหละเรื่องสัญญาณมรณะของนายกรู่ ทรัพย์ทอง ผู้เป็นลูกศิษย์วัดอัมพวันนี้ แล้วก็ตายพอดีตามกำหนดที่ได้ฝันนั้นทุกประการ ถ้าหากว่าบวชตามที่อาตมาบอกแล้ว รับรองไม่ตายเนื่องจากไม่ต้องขับรถ ยมบาลเขาบอกแล้วต้องคอหักตาย ถ้าไม่บวชคุณก็ต้องไปขับรถ รถจะต้องคว่ำหรือชนตายในวันดังที่กล่าวแล้ว เป็นความจริงดังที่บันทึกไว้ทุกประการ มีพยานหลักฐาน เจ๊ฮุ้นยังอยู่ พอศพมาถึงวัด อาตมาก็เปิดเผยให้เจ้าคุณวัดกลางฟัง เจ้าคุณบอกว่าน่าจะบอก อาตมาบอกว่า "บอกไม่ได้หลวงพ่อ ผมก็เสียสัจจะ เพราะเขาห้ามโดยเด็ดขาด ห้ามบอกเจ้าคุณ ห้ามบอกเจ๊ฮุ้น ห้ามบอกแม่ของเขา เลยก็ไม่ได้บอก"

มีอาจารย์หนุน ทำนอง อดีตครูใหญ่วัดกลางธนรินทร์ก็ทราบเรื่องนี้ดี แต่ทราบไม่ละเอียด เพราะอาตมาปิดบางข้อท่านไม่ทราบ กรู่ไม่ให้พูด จนตายแล้ว ก็เปิดเผยให้ฟังเป็นข้อๆ ย่อใจความ กรู่ก็เล่าให้ครูหนุน ทำนองฟัง แต่เล็กน้อยดังที่กล่าวแล้ว อันนี้ยกตัวอย่างสัญญาแห่งมรณะ ทุกคนจะต้องมีสัญญา ทุกคนจะต้องมีนิมิต รู้ว่าจะต้องตายอย่างไร แต่เราไม่ได้สนใจตัวเองแต่ประการใด นายกรู่ก็ตายตามสัญญานั้นทุกประการ

สุดท้ายนี้ของความสุขสวัสดีจงมีแก่บรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายผู้ใคร่ธรรมสัมมาปฏิบัติ และจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณธนสารสมบัติ จะนึกคิดสิ่งหนึ่งประการใดสมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุกๆ ท่าน ณ โอกาสบัดนี้เทอญ


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 29 เม.ย.2008, 5:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บันทึกของเพื่อนนายกรู่ ครูหนุน ทำนอง

คนเราเกิดมาแล้วต้องตายด้วยกันทุกคน จะหนีความตายไปไม่พ้น เพราะต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ บางคนไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร บางคนลืมความตาย คิดว่ายังไม่ตายก็มี ถ้าลืมความตายย่อมหลงผิด อาจทำในสิ่งที่ผิดๆ บางคนเห็นกันอยู่หลัดๆ ได้พูดได้คุยกันพอจากกันไปประเดี๋ยวเดียว ได้ทราบข่าวว่าตายเสียแล้ว บางคนพูดว่าอยากรู้วันตาย จะได้เร่งทำบุญทำทาน ถ้ายังไม่รู้วันตายคลปล่อยไปตามยถากรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ว่าเป็นผู้ประมาท บางคนถ้าจิตไม่มั่นคงหรือแน่วแน่จริงๆ ในเรื่องของสังขารแล้ว ถ้ารู้วันตายจริงๆ จะมีความเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์ต่อชีวิตต่อของรักของชอบใจ ต่อสามีภรรยา บุตรธิดา บิดา-มารดา หรือทรัพย์สมบัติทั้งปวงหาที่สุดมิได้

เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าตนจะตายเมื่อใด ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ตนเองยังปลงไม่ตก มิใช่เรื่องที่จะพูดเล่นๆ อย่างเลื่อนลอย ผู้ที่รู้วันตายได้จริง ๆ นั้น อยู่ในขั้นของผู้มีกิเลสเบาบางแล้ว ส่วนผู้ที่ยังมีกิเลส เมื่อได้รู้วันตายเข้าจริงๆ จะทำให้จิตใจเศร้าหมอง มีความโศกเศร้า และหวาดหวั่นตลอดเวลา มีแต่ความทุกข์ระทมมาสู่ตน เมื่อถึงคราวจิตดับวิญญาณอาจไปสู่ทุคติได้

มีบางท่านก่อนถึงแก่กรรมสามารถรู้เวลา รู้วัน รู้เดือนของการมรณกรรมได้ก็มี โดยมากท่านเหล่านี้ มีจิตมั่นคงไม่หวั่นไหว เพราะรู้ความจริงของสังขารและกฎของธรรมชาติ ส่วนมากท่านเหล่านี้ ได้สร้างสมบุญแต่อดีตชาติ หรือได้สะสมบุญบารมีในชาติปัจจุบันไว้มาก ท่านที่เป็นนักปฏิบัติธรรม หรือท่านที่มีจิตมั่นคงในพระพุทธศาสนา ได้บำเพ็ญกุศลอยู่เสมอ มีการสวดมนต์ ให้ทานอยู่เป็นนิจ มีการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นประจำ จะไม่มีความหวาดหวั่นแต่อย่างใด เพราะท่านเหล่านี้รู้ว่าชีวิตของเราเกิดดับ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา หรือดังคำที่กล่าวว่า "ให้นึกถึงความตายไว้วันละครั้ง หรือให้นึกถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก"

ดังจะได้นำประสบการณ์ของข้าพเจ้า ที่ได้ทราบจากเพื่อนของข้าพเจ้า ได้เล่าให้ฟังก่อนที่เขาจะถึงแก่กรรม เพื่อนของข้าพเจ้าเขามีอายุอ่อนกว่าข้าพเจ้า ๕-๖ ปี เราสนิทสนมกัน มีบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆ กัน ไปไหนต่อไหนด้วยกัน เรามีสารทุกข์สุกดิบอะไรมักเล่าสู่กันฟัง ถ้ามีความจำเป็นอย่างใด เราจะช่วยเหลือกันตามกำลังความสามารถเสมอ เขาไปคนใจบุญสุนทาน มืออ่อนปากหวาน เขาปฏิบัติอย่างเป็นกิจนิสัยด้วยความสม่ำเสมอ มีบางคนขนานนามเขาว่า "เป็นคนปากหวานประจำท้องถิ่น" เขาเป็นผู้มีใจบุญใจกุศล ได้ทำมาแล้วเป็นจำนวนมาก เขามีรถยนต์ ๒ คัน ไม่ว่างานบุญจะมีขึ้นที่วัดใดในบริเวณใกล้ๆ เขาจะรับผู้ใจบุญไปร่วมบุญโดยไม่คิดสตุ้งสตางค์ บางครั้งถึงจะรับจ้าง จะได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร เขามีความอดทนและดูเหมือนว่าเขาไม่เคยมีปากมีเสียงทะเลาะกับผู้โดยสารเลย

ตั้งใจจะเล่าเรื่องความฝันของเพื่อนอดเสียมิได้ที่จะกล่าวถึงความดีของเขาให้ยืดยาวออกไป ท่านผู้อ่านคงต้องการที่จะทราบเรื่องความฝันของเพื่อน ได้รู้ได้พิจารณา เพราะถ้าผู้ใดได้ประสบกับตนเองแล้ว ออกจะน่ากลัวและหวาดเสียว สำหรับผู้ที่ยังไม่มั่นคงในความจริงของสังขาร หรือสัญญาของชีวิต ทุกคนมีสัญญาการเกิดการตายมาแล้วทั้งนั้น ทุกคนจะต้องเป็นไปตามสัญญาที่กำหนดไว้ ถ้าเราเกิดมาแล้วไม่ได้สร้างความดีให้กับตนเอง หรือมิได้ทำความดีให้กับสังคมเลย นับว่าน่าเสียดายชีวิต ถ้าคิดให้ละเอียดยิ่งขึ้น การที่เราได้เกิดมาเป็นคนหรือมนุษย์นั้นวิเศษที่สุดแล้ว สามารถบำเพ็ญบารมี สร้างกุศลได้เต็มที่เต็มกำลังความสามารถ ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้พบสัจธรรม จะรู้คุณค่าของชีวิตได้ดี ถ้าปล่อยให้ชีวิตล่วงเลยไปเสียเปล่าๆ มิได้สร้างความดีให้กับตนเองแล้ว นับว่าเราไม่รู้คุณค่า เราไม่รู้ความสำคัญของชีวิตที่เราได้เกิดมา บางคนมีความมืดเข้ามาครอบงำ ทำให้เห็นสิ่งที่น่ากลัว น่าหวาดเสียว น่าขยะแขยง น่าละอาย เป็นของดีเป็นของชอบใจ และมีความสุขในสิ่งนั้นๆ ด้วย

เพื่อนของข้าพเจ้าเขาทำการค้าอยู่ที่ตลาดบ้านแป้ง อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี กิจการค้าขายของเขาเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไปเป็นลำดับ เขาซื้อสินค้าขึ้นล่อง โดยเรือเมล์ระหว่างกรุงเทพฯ-สิงห์บุรี ต้องใช้เรือเมล์บรรทุกสินค้าไปตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา และเรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ผู้เขียนขอให้ชื่อว่า "สัญญาณมรณะ" เขาผู้นั้นคือคุณ กรู่ ทรัพย์ทอง เมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๗ คุณกรู่ ทรัพย์ทอง ได้เล่าเรื่องความฝันของเขาให้ฟังว่า เมื่อคืนนี้ฝันไปว่าที่ตับของเขาดำไปหมด แล้วตับนั้นก็เน่า แล้วเขาก็ตายไป เมื่อเขารู้สึกตัวตื่นขึ้น มีความเสียใจมาก และได้นึกย้อนหลังไปถึงเหตุการณ์เมื่อ ๒๔ ปีมาแล้ว

วันหนึ่งเรือสินค้าที่เขาโดยสารใช้บรรทุกสินค้าขึ้นล่องอยู่เป็นประจำได้ล่มลงในเวลากลางคืน เขากำลังนอนหลับ เมื่อรู้สึกตัวว่าเรือล่ม ได้พยายามช่วยตัวเอง และได้ตะเกียกตะกายอยู่ในเรือ เพื่อหาทางออก ในขณะนั้นเขาตั้งใจว่า ถ้าเขารอดชีวิตแล้วจะบวชให้ ๓ เดือน ทันใดนั้นเขาก็โผล่หน้าออกมาข้างเรือแลเห็นดวงจันทร์แล้วได้พยายามตะเกียกตะกายว่ายน้ำเข้าฝั่งด้วยความอ่อนเพลีย เงินทองข้าวของเสียหายไปหมด เหลือแต่เสื้อผ้าชุดที่อยู่กับตัวเท่านั้น เขานึกว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่

หลังจากนั้นเขาก็ประกอบอาชีพค้าขาย ขึ้นล่องกรุงเทพฯ อยู่เป็นประจำ การค้าขายของเขาเจริญรุ่งเรืองมาด้วยดีเป็นเวลาถึง ๒๔ ปี เขาจึงได้เกิดความฝันขึ้น เมื่อฝันขึ้นเขาก็นึกถึงอดีตกาลขึ้นมาทันที นึกถึงภาพที่เรือล่ม นึกถึงภาพที่ติดอยู่ในเรือ นึกถึงที่ได้กระเสือกกระสนออกมาจากเรือ นึกถึงจิตที่เขาตั้งไว้ว่า "รอดชีวิตแล้วจะบวช" และนึกถึงอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายจนสับสนไปหมด มีความไม่สบายใจและเจ็บที่ตับ เขาเอามือลูบๆ คลำๆ ตรงที่เจ็บนั้น แล้วพูดว่า เมื่อวันก่อนไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด พอฝันก็เจ็บตรงนี้จริงๆ เขาเอายาทาแก้เจ็บแก้ปวดทาไปตรงนั้น ลักษณะท่าทางและกิริยาของเขาตอนนี้ผิดปกติไปมาก ตามธรรมดาคุณกรู่ ทรัพย์ทอง เป็นคนพูดสนุกสนาน มีอารมณ์ขันอยู่ตลอดเวลา จะพูดจะคุยกับผู้ใดมักได้รับการสรวลเสเฮฮาเสมอ เขาเป็นคนแปลกที่มีเรื่องขำขันให้คู่สนทนาหรือกลุ่มที่สนทนาฟังอย่างสนุกสนานจริงๆ

แต่การสนทนาคราวนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง ที่เราได้สนทนากัน ความร่าเริงความสนุกสนานหายไปหมด สังเกตเขาเหงาไปมาก หน้าตาหมองคล้ำไม่สดชื่น เขาได้เล่าความฝันให้ฟังแล้วเขาก็พูดต่อไปว่า ขณะนี้อายุ ๔๘ ปีแล้ว เหตุการณ์ครั้งสำคัญของชีวิตผ่านมาถึง ๒๔ ปี ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า "เจ้ากรรมนายเวรเขามาเตือนกระมัง ถ้าให้ดีควรบวชตามที่ได้ตั้งใจไว้" คุณกรู่ ทรัพย์ทอง ก็พูดว่าจะบวชได้อย่างไรแม่ก็แก่แล้ว ลูกๆ กำลังเรียนอยู่หลายคน รถยนต์ก็มีอยู่ตั้ง ๒ คัน เมื่อบวชแล้ว ทางบ้านก็ลำบากมาก ไม่มีใครดูแลช่วยเหลือ ยิ่งกว่านั้นในเดือน ๙ หมายถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ลูกสาวจะแต่งงานไม่มีใครช่วยเหลือต้อนรับแขก ข้าพเจ้าพูดว่า งานทุกอย่างเมื่อลงมือทำแล้วก็สำเร็จจนได้ เมื่อบวชแล้วจะได้ชะยันโตให้ลูกสาวอีกด้วย คุณกรู่ ทรัพย์ทอง พูดต่อไปว่า ถ้าบวชจริงๆ รถมีอยู่ ๒ คัน ต้องขายเสียคันหนึ่ง การอุปสมบทแบบง่ายๆ เพียงมีไตร เครื่องอัฐบริขาร เครื่องไทยทาน เพียงเล็กน้อยก็อุปสมบทได้ แต่ชีวิตจริงของผู้ครองเรือนไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิดหรืออย่างที่พูด เพราะภาระอันหนักยิ่งตกอยู่กับการรับผิดชอบของเขา เราได้พูดคุยกันหลายอย่างเพื่อช่วยเหลือเขา แล้วเขาก็ลาจากไป ขณะที่เขาเล่าให้ฟังนี้มีผู้ร่วมฟังอยู่ด้วยอีก ๒ คน

วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๗ เวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. เขาไปที่บ้านข้าพเจ้า แล้วเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับเลย ทำให้คิดต่างๆ นานา โดยไม่ยอมบอกความกลุ้มใจให้แม่และภรรยาฟัง เมื่อนอนไม่หลับก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบเป็นเพื่อน สูบไปคิดไปคิดไปนึกถึงตนเอง ว่าถ้าเป็นจริงเช่นนั้น แม่ ภรรยา และ บุตร คงลำบากกันมาก ยิ่งกว่านั้นยังสั่งกำชับข้าพเจ้าและผู้ที่นั่งฟัง ไม่ให้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่และภรรยาทราบอีกด้วย สังเกตดูเขามีความเศร้าและเหงาไปถนัด แล้วใช้ยาทาตรงที่ตับอยู่เรื่อยๆ เมื่อเห็นคุณกรู่ ทรัพย์ทอง มีความทุกข์ร้อน ไม่รู้จะหาทางแก้ไขและช่วยเหลือได้อย่างใด ข้าพเจ้าจึงเกิดความคิดขึ้นมาแล้วพูดว่า ควรไปหาท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ดีกว่า เพื่อให้ท่านช่วยเหลือแนะนำแนวทาง เมื่อข้าพเจ้าพูดขึ้น คุณกรู่ ทรัพย์ทอง ก็พลอยเห็นดีด้วยคุณกรู่ ทรัพย์ทอง เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ ได้เคยขับรถยนต์ประจำให้ ท่านพระครูภาวนาวิสุทธิคุณ (พระครูภาวนาวิสุทธิ์) ไปในศาสนกิจบ่อยครั้ง และคุณกรู่ ทรัพย์ทองเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือกิจการงานวัดอัมพวันมาด้วยดี

พอเวลา ๑๙.๐๐ น. ข้าพเจ้ากับคุณกรู่ ทรัพย์ทอง ได้เตรียมตัวไปวัดอัมพวัน โดยคุณกรู่ ทรัพย์ทอง เป็นคนขับรถเอง เมื่อถึงวัดอัมพวัน ข้าพเจ้าทั้ง ๒ คน เข้าไปนมัสการท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ เฉพาะที่วัดอัมพวันนี้ เราทั้งสอง เปรียบเสมือนลูกศิษย์ของวัด เมื่อนมัสการแล้วได้พูดคุยกันเล็กๆ น้อย คุณกรู่ ทรัพย์ทอง ไม่ยอมพูดเรื่องของตนเลย ข้าพเจ้าเห็นเป็นการเสียเวลา จึงเล่าเรื่องความฝันของคุณกรู่ ทรัพย์ทองให้ท่านพระภาวนาวิสุทธิคุณฟังตั้งแต่ต้นจนจบ โดยคุณกรู่ ทรัพย์ทองไม่ยอมพูดเรื่องราวของตนเองเลย อาจจะเป็นเพราะไม่มั่นใจตนเองหรือหวาดหวั่นในเหตุการณ์อยู่ก็ได้ เขาได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ตลอดเวลา แล้วนำยาลมที่ติดตัวไป ผสมกับน้ำชาที่วัดอัมพวันดื่มหลายครั้ง เขาได้แต่นั่งร้องไห้ตลอดเวลาเห็นแล้วสลดใจ ข้าพเจ้าเล่าเรื่องแทนเพราะรู้เรื่องดีอยู่แล้ว พระภาวนาวิสุทธิคุณฟังเรื่องโดยตลอดแล้ว ท่านนั่งสงบนิ่งอยู่นาน แล้วก็พูดขึ้นว่า "กรู่ ควรจะบวช" คุณกรู่ก็พูดว่า "ผมจะบวชอย่างไร ลูกก็จะแต่งงานเดือน ๙ นี้ และภาระทางบ้านมีมากมาย" พระภาวนาวิสุทธิคุณยังพูดต่อไปว่า "ถึงบวชแล้ว ก็มีคนช่วยจนสำเร็จ กรู่เป็นคนมีพวกมาก มีงานเพื่อนฝูงช่วยกันจนได้ บวช ๓ เดือนไม่มากมายอะไร" แล้วท่านพระภาวนาวิสุทธิคุณจะช่วยไตร ๑ ไตร เราสนทนากันอยู่นาน ต่างฝ่ายต่างออกความเห็นกันไปต่างๆ กัน เพื่อให้คุณกรู่ ทรัพย์ทองสบายใจ ต่อมาคุณกรู่ ทรัพย์ทอง ตกลงใจบวชเดือน ๑๐ หลังจากที่บุตรสาวได้แต่งงานแล้ว สนทนากันอยู่จนถึงเวลา ๒๓.๐๐ น. เราทั้งสองจึงกราบลาท่านพระภาวนาวิสุทธิคุณ วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี

เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นวันเริ่มงานมงคลสมรส วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นวันประกอบพิธีมงคลสมรสบุตรสาวของคุณกรู่ ทรัพย์ทอง งานดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย หลังจากที่บุตรสาวได้ประกอบพิธีมงคลสมรสแล้ว คุณกรู่ ทรัพย์ทอง ก็ไม่ได้อุปสมบทแต่อย่างใด เพราะเรื่องทั้งหลายเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน จึงให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ หลังจากนั้นเป็นเวลาผ่านไปถึง ๑ ปีเต็มๆ ทุกคนลืมเรื่องที่คุณกรู่ ทรัพย์ทองได้เล่าถึงความฝันและสัญญาที่ได้ให้ไว้อย่างสนิท ในวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เขาขับรถยนต์พลิกคว่ำ เขาถูกรถยนต์ทับถึงแก่ความตาย ที่อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ทำให้คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต และการที่เขาต้องมาถึงแก่กรรมในครั้งนี้ มีสาเหตุมาจากการที่เขาไม่ได้อุปสมบทใช่หรือไม่ หรือว่าเขาผิดสัญญาที่ให้ไว้ หรือว่า เจ้ากรรมนายเวรมาเตือนสัญญาจึงทำให้ฝันถึงเหตุการณ์เช่นนั้น เขาเล่าความฝันของเขาให้ฟังวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๑๗

งานมงคลสมรสลูกสาวเริ่มวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ และเขาขับรถไปถึงแก่กรรมก็ วันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เมื่อคราวเรือล่มเขาอายุได้ ๒๔ ปี เขามีอายุต่อมาอีก ๒๔ ปี รวมอายุได้ ๔๘ ปี เมื่อคุณกรู่ ทรัพย์ทอง ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว จึงได้พูดถึงความฝันของเขาให้แม่และภรรยาฟัง บางคนพอรู้เรื่องก็พูดกันไปต่างๆ นาน ว่าถ้าเป็นเช่นนั้นควรบวชเสียจะได้ไม่ตาย ฝ่ายทางแม่และภรรยาก็พูดว่า "ถ้ารู้เรื่องเสียแต่ต้น ก็ให้บวชเสียแล้ว" ขอให้ผู้อ่านทุกท่านได้โปรดพิจารณาว่า "ความจริงคืออะไร"

(หนุน ทำนอง)
อดีตครูใหญ่ ร.ร.วัดกาลธนรินทร์
ต.บ้านแป้ง อ.พรหมบุรี
จ.สิงห์บุรี


คัดลอกจาก...หนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม 3

http://www.jarun.org

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ทศพล
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 10 ก.พ. 2008
ตอบ: 153
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ค.2008, 11:28 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุครับ สาธุ
 

_________________
"ธรรมทาน คือ ทานอันสูงสุด"
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"

http://www.wimutti.net
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
suvitjak
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen

ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2008, 3:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พุทโธ คนเราต้องมีสัจจะครับ
 

_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง