Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ตกลงกรรมมีจริงๆ หรือ? อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
sassy
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2008
ตอบ: 4
ที่อยู่ (จังหวัด): Bkk., Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 5:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การที่เราใช้หัวข้อแบบนี้เพราะเราสงสัยจริงๆ ว่าที่ๆ เค้าพูดกันว่า
กรรมมีจริง กรรมติดจรวด กรรมตามสนอง น่ะ มีจริงๆ หรือ?

เรื่องของเรื่องคือแม่เรามีลูก 5 คน ลูกสาว 2 คน ลูกชาย 3 คน คนที่ 2 ของบ้านเป็นลูกชายคนโตของบ้าน บ้านเราเป็นคนจีน แต่พ่อจะรักลูกสาว แม่รักลูกชาย และแม่ก็เป็นแม่ที่รักลูกชายคนโตคนนี้มากๆ เราขอไม่เรียกเค้าว่า "พี่ชาย" เพราะเราคิดว่าเค้าไม่ใช่มานานแล้ว

เวลาลูกชายคนนี้ของแม่อยากได้อะไร ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยจนทำงาน อยากได้มือถือ แม่ซื้อให้
อยากได้รถ แม่จ่ายให้
อยากได้อะไร แม่หาให้
ทุกอย่างแม่ไม่เคยปฏิเสธ

เราไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี เพราะเรื่องมันยาวและซับซ้อนมาก เราจะพยายามพูดสั้นๆนะ จะได้ไม่เบื่อกัน

ตอนนี้คนๆนี้อายุ 35 ปี จบปริญญาตรีคนแรกของบ้านที่มหาวิทยาลัยเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง ตอนทำงานไม่เคยแบ่งเงินเดือนที่ได้มาให้แม่ แม่บอกว่ามีครั้งเดียวให้มา 3,000 บาท และก็ไม่เคยให้อีกเลย สักพักทำงานไม่นาน ติดพนัน แทงบอล เล่นสนุ๊กฯ ทุกอย่าง ขโมยเงินของบริษัท ขโมยเงินของอากู๋ น้องชายแม่ เบ็ดเสร็จเป็นสิบกว่าล้าน แล้วก็หายหัว พ่อกับแม่ต้องใช้หนี้แทน ทำให้จากครอบครัวที่มีฐานะ กลายเป็นยาจกไปในพริบตา

ปัจจุบันไม่ได้ทำงาน เกาะแม่กิน แม่เราเป็นแม่ค้าขายเนื้อหมูที่ตลาดแห่งหนึ่งแถวบ้าน แม่เลยให้ไปช่วย เชื่อมั้ย...เค้าเอาค่าแรงด้วยนะ แม่ให้วันละ 200 บาท จะกินข้าวก็ใช้แม่ไปซื้อ แม่วานให้ซื้อไรให้หน่อย ถ้าออกตังค์ไปก่อนก็จะกลับมาบ้านมาทวงคืนทุกบาททุกสตางค์ กินข้าววันละเป็นสิบๆมื้อ เช่นตื่นปุปกินปับ เสร็จหละไปนอนสัก 2 ชม. ตื่นมากินต่อ กินไปเรื่อยๆ กินแบบชนิดยิ่งกว่าตะกละอีก แม่ซื้อไรมา ไม่เคยได้แตะ คนอื่นๆในบ้านกินของเหลือจากเค้าทุกคน อย่างตอนเย็นแม่เราทำกับข้าวเสร็จสัก 5 โมงเย็น เค้าจะรีบมากินคนแรก เสร็จหละอีก 2 ชม. มากินอีกรอบ หละก็ไปอาบน้ำ เสร็จมากินต่อ หละขึ้นไปนอน ดึกๆเที่ยงคืน ลงมากินอีก เป็นอย่างนี้ตลอด ผลไม้ในตู้เย็นที่พ่อปอกให้ลูกๆทุกคนได้กิน คนอื่นๆรวมทั้งเราแทบไม่เคยได้แตะ งานบ้านก็ไม่เคยช่วย ทำอะไรไม่เคยรับผิดสักอย่าง โทษว่าคนอื่นไม่ดี เราเคยโดนเค้าทำร้ายด้วย ทั้งบีบคอ ทั้งตบหน้าจนเส้นเลือดที่ตาแตก เลือดออกจากตาเลย ตาเกือบบอด ยังมีอะไรอีกสารพัดที่เราคงเล่าไม่หมดแน่ๆ เค้าเป็นคนที่โลภมาก โมหะ โทสะ โลภะ มีหมด

ล่าสุด วันก่อนช่วงสงกานต์ที่แหละ แม่แค่เตือนเค้าเรื่องหม้อหุงข้าวแค่ว่า เวลาปิดฝาหม้อ ปิดเบาๆนะ เดี๋ยวมันพังอีก คือเค้าเป็นประเภทชอบทำลายข้าวของ ใครว่า ใครด่าไม่ด่า จะโมโห พูดหรือเตือนเฉยๆ ก็ไม่ได้ ประมาณข้านี่ใหญ่ ข้าเป็นคุณชายของบ้านนี้ ขนาดไปคุยโม้ชาวบ้านว่า ตัวเองไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้ ใช่สิ...เงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงแม่ไง

ต่อนะ...พอแม่เราเตือน เค้าก็โมโห โวยวายลั่นบ้าน หละก็โทษแม่เราต่างๆนาๆ ตะคอกใส่แม่ ด่าแม่ เค้าบอกเค้าโค-ตะ-ระ เหนื่อยกับการช่วยแม่ เงินก็ให้แค่ 200 บาท ซื้อข้าวให้กินก็ยังไม่จ่ายเค้า ซื้อข้าวให้สุนัขที่บ้านก็ยังไม่ให้เค้า เค้าขาดทุน เหนื่อยแทบขาดใจ เค้าว่างั้น แม่น้อยใจ แม่พูดกลับแล้วแม่หละ แม่แทบจะไม่ได้กินไรเลยทั้งวัน เค้าว่ากลับว่าก็ไม่กินเอง เราอยู่ในเหตุการณ์ตลอด แต่ทำอะไรไม่ได้ รวมทั้งพี่สาวเราด้วย พ่อเราก็อยู่ แต่ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้สักคน คิดหละกันว่าเรา พ่อ พี่สาว เจ็บขนาดไหน แม่ไม่เคยเชื่อ หรือ ฟังอะไรที่ เรา พ่อ พี่สาว บอกสักครั้ง จนเรา 3 คนทั้งเหนื่อยใจ ทั้งสงสาร ทั้งเจ็บใจ ทุกความรู้สึกปะดังปะเดเข้ามา แม่ร้องไห้ เค้ายังไม่สนใจ ยังนั่งกินข้าว ไม่สนใจอะไรเลย

เรากับพี่สาวบอกให้แม่ขายบ้านหลังนี้ แบ่งเงินก้อนหนึ่งให้เค้าไปที่ไหนก็ได้ไม่ต้องกลับมาอีก หละไปซื้อบ้านหลังเล็กๆอยู่กัน เดี๋ยวเรากับพี่สาวจะเลี้ยงแม่กับพ่อเอง แม่ก็ไม่เอา บอกไม่ขายอย่างเดียว เราไม่ได้อคติกับแม่ แต่แม่ไม่เคยเชื่อ หรือ เข้าใจถึงความหวังดีของเรากับพี่สาวเลยสักครั้ง เราบอกให้แม่เลิกขายของ เพราะอายุมากแล้ว สุขภาพร่างกายก็ไม่ดี ต้องออกจากบ้าน ตี3 ไปขายของทุกวัน ไม่มีวันหยุดเลย แล้วจะไม่ให้เราห่วงได้อย่างไร

ที่เราเล่าๆมาไม่ได้หวังให้ใครบอกว่า เรากับพี่สาวเป็นลูกกตัญญูหรอก แต่เราแค่สงสัยว่า ทำไมคนชั่วๆอย่างเค้าคนนี้ถึงไม่ได้รับกรรมอะไรเลยสักที จนบางทีเราแอบคิดว่า จ้างคนมาเก็บเค้าเลยดีไหม ทั้งๆที่เราไม่ได้อยากทำ แต่ตอนนี้ใจเราร้อนเป็นไฟ น้ำตาตกใน เครียดมาก พูดกับใครก็ไม่ได้ มันทรมานมากเลยนะ ที่เห็นแม่เป็นแบบนี้ แม่ไม่เคยเชื่อใครในบ้าน แม่ทั้งรักทั้งหลงทั้งเชื่อกับลูกเลวๆคนนี้คนเดียว เราไม่เข้าใจว่าทำไม

ทำไมเค้าไม่ได้รับกรรมอะไรสักที เราคิดนะคงเป็นกรรมของแม่ที่ชาติที่แล้วอาจจะทำอะไรกับเค้าไว้ แต่ชาตินี้แม่เป็นแม่ของเค้า เป็นคนที่ให้กำเนิดเค้ามา แม้เค้าจะทำร้ายร่างกายเรา พี่สาว หรือ พี่ๆอีก 2 คน มันยังไม่รู้สึกเจ็บใจที่เค้าทำกับพ่อกับแม่เลย เรารู้สึกแย่มากๆในตอนนี้ ที่ทำอะไรไม่ได้ ทั้งๆที่วางแผนคิดทุกอย่างให้กับพ่อและแม่หมดแล้ว

สงสัยใช่มั้ยว่าแล้วพี่ชายอีก 2 คนของเราหละ พี่ชายคนที่ 2 คนกลางของบ้าน แต่งงานไปอยู่ข้างนอก วันอาทิตย์ไหนว่างก็มาเยี่ยมพ่อ ส่วนพี่ชายคนที่ 3 คนที่4ของบ้าน ก็ไม่ค่อยจะอะไร ทำงานธรรมดาเพราะเรียนไม่จบ ทำงานทีก็กลับมาดึกหละ แทบจะไม่รับไม่รู้ไม่เห็นอะไรในบ้านเลย

ใครก็ได้ช่วยตอบเราทีได้มั้ยว่า ทำไมคนเลวๆคนนี้ถึงยังรอดนวลอยู่ ถึงไม่ได้รับกรรมอะไรสักที
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sittidet
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 26 ธ.ค. 2007
ตอบ: 53
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 10:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องกรรมมันเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากครับ อย่างไรผมแนะนำให้คุณทำความเข้าใจ ที่ http://www.dungtrin.com/ อ่านหัวข้อเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวนะครับ คำถามของคุณน่าจะมีคำตอบแน่นอนครับ มันเป็นลักษณะของคำถามและคำตอบจากทางบ้านครับที่สงสัยเรื่องเวรกรรมครับ ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ครับ สาธุ
 

_________________
ผู้ใดมีตนเป็นที่พึ่งนับว่าหาที่พึ่งอันหาได้ยาก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
รุ่งลลิดา สกุลงาม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 ก.ค. 2007
ตอบ: 53
ที่อยู่ (จังหวัด): 75/8 ม.3 ม.จามจุรี 2 ต.ท่ามะกา อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120

ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 11:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สิ่งที่ยุติธรรมที่สุดคือกรรม ไม่มีฉ้อราษฏร์ ไม่มีสินบน ทำสิ่งใดย่อมได้ผลสิ่งนั้น
ไม่มีลำเอียง อายหน้าแดง อายหน้าแดง อายหน้าแดง สาธุ
 

_________________
มีสติไว้
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
human
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 พ.ย. 2006
ตอบ: 41

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2008, 8:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองศึกษาเรื่อง กรรม 12 ดูนะ แล้วจะเข้าใจเรื่องกรรมมากขึ้นว่า ทำไมคนที่ทำชั่วกรรมยังไม่ตามสนอง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2008, 11:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรรมน่ะมีจริงๆครับ แต่ว่า บุญที่เค้าสร้างมานั้น ยังหนุนอยู่ครับ

รอให้หมดบุญเมื่อไหร่ แล้วอะไรๆ มันจะชัดเจนครับ

ในกรณีนี้นะครับ ถือว่าเป็นน้อง ๆ อนัตริยกรรม

อนัตริยกรรมมี 5 ข้อครับ

คือ
1 ฆ่า พ่อ
2 ฆ่าแม่
3 ฆ่า พระอรหันต์
4 ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต
5 ทำ(พระ)สงฆ์ให้แตกแยกกัน

ซึ่งในกรณีนี้นั้น อยู่ในข่าย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ถึงจะไม่ตาย แต่เป็นการฆ่าทางอ้อมครับ เป็นกรรมหนักสุดๆ แล้วครับ

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมรรคผลนิพพานเลย ชาตินี้หมดแล้วครับ

เตรียมตัวรอ ลงนรกอย่างเดียวน่ะครับ
เช่นในพระสูตร เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับพระโมคคัลลานะเถรเจ้า
ชาติหนึ่งเคยเกิดเป็นพราหมณ์ มีภรรยาที่ไม่ดี ภรรยาไม่ชอบพ่อแม่ ของพระโมคคัลลานะ ก็แกล้งสารพัด แล้วยังเป่าหูสามีให้เอาพ่อแม่ไปทิ้งเสียอีก พระโมคคัลลานะหลงเชื่อ ก็เอาพ่อแม่ขึ้นเกวียนไปในป่าเพื่อเอาไปทิ้งไว้ อ้อ พ่อแม่ท่านตาบอดน่ะครับ ครั้นแล้ว เมื่อไปถึงกลางป่า พระโมคคัลลา ทำทีมีโจรป่ามา ก็ร้องเสียงดัง และก็ทุบตีพ่อแม่ด้วย พ่อแม่ท่านได้ยิน ก็บอกให้พระโมคคัลลานะ หนีไปเสีย ตัวเองแก่แล้ว จะตายอยู่ที่นี่แทน พระโมคคัลลานะได้ยินดังนั้นก็ได้สติ ตัวเองทำผิดเสียแล้วที่หลงเชื่อเมีย ก็ได้พาพ่อแม่กลับบ้าน และได้ว่ากล่าวภรรยาของตนเองต่างๆ นานา ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ได้ดูแลพ่อแม่เป็นอย่างดี เพื่อชดเชยความผิด

แต่ที่ไหนได้ ความผิดนั้นได้เกิดขึ้นแล้วทำแล้ว แก้ไขส่วนอดีตไม่ได้แล้ว ก็ต้องรับกรรมที่ตนเองทำไว้นั่นเอง พระโมคคัลลานะตายจากชาตินั้น ก็ไปตกนรก อเวจี อยู่ 1 กัปล์ และก็เวียนว่ายตายเกิดมาจนเกิดเป็นพระโมคคัลลานะ บรรลุเป็นพระอรหันต์และเข้านิพพานก่อนเข้านิพพานได้โดนทุบตีด้วยโจรเพราะเศษของกรรมที่ทำกับทุบตีพ่อแม่ไว้ในชาตินั้น

แผ่เมตตาเยอะนะครับ กรรมจะได้เบาบางลง

สาธุ
 


แก้ไขล่าสุดโดย RARM เมื่อ 18 เม.ย.2008, 3:48 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sassy
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2008
ตอบ: 4
ที่อยู่ (จังหวัด): Bkk., Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2008, 12:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีใครให้คำตอบที่ชัดเจนกว่านี้มั้ยคะ ขอแบบภาษาชาวบ้านนะ เป็นภาษาธรรมมะ เราไม่ค่อยเข้าใจหรอก เคยไปปฏิบัติธรรมแค่ครั้งเดียวเอง นี่ยังคิดเลยว่า อยากลางานไปอีกครั้ง ทั้งๆที่เพิ่งไปมาเมื่อตอนปีใหม่ที่ผ่านมา เพราะรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเอง ใจร้อนเป็นไฟเลย

ขอบคุณทุกคำตอบที่ส่งมานะคะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Candy
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 21 ก.พ. 2008
ตอบ: 28

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2008, 6:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นผลบุญที่เขาสร้างมาจากชาติปางก่อนค่ะ เลยส่งผลให้ชาตินี้เขาสบาย แต่ถ้าเขาได้สร้างผลบุญไว้เยอะในชาตินี้เขาก็จะสบายนานหน่อย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาสร้างกรรมไว้เยอะมันก็จะมาแทนที่กันค่ะ เขาจะได้รับผลกรรมนั้น ฉะนั้น เราอย่าไปกังวลใจเลยนะคะ ว่าเมื่อไหร่เขาจะได้รับผลกรรม ให้ตั้งใจนั่งสมาธิแผ่เมตตาให้เขาเถิดค่ะ
 

_________________
หนทางสว่างด้วยแสงไฟ จิตใจสว่างด้วยแสงธรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ใบโพธิ์
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2007
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2008, 7:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กฎแห่งกรรม เป็นสิ่งที่ยุติธรรมและสมเหตุสมผลที่สุด (ในวัฏสงสารอันยาวนาน)...ขอบอก
 

_________________
ทำความดีทุกๆ วัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2008, 8:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14591&postdays=0&postorder=asc&start=15

“กรรม” ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์มีข้อสังเกตว่า

ในประเทศไทยนี้

เมื่อพูดถึงคำว่า “กรรม”

ความเข้าใจของคนทั่วไป

ก็จะเพ่งไปยังกาละส่วนอดีตเจาะจงเอาการกระทำในชาติที่ล่วงแล้ว หรือชาติก่อนๆ บ้าง

เพ่ง ไป ยังปรากฏการณ์ส่วนผล คือ นึกถึงผลที่ปรากฏในปัจจุบันของการกระทำในอดีตบ้าง

เพ่ง ไปยังแง่ที่เสียหาย เลวร้าย คือ การกระทำชั่วฝ่ายเดียวบ้าง

เพ่ง ไปยังอำนาจแสดงผลร้ายของการกระทำความชั่วในชาติก่อนบ้าง

และโดยมาก เป็นความเข้าใจตามแง่ต่างๆ เหล่านี้รวมๆกันไปทั้งหมด

ซึ่งเมื่อพิจารณาตัดสินตามหลักกรรมที่แท้จริงในพุทธธรรมแล้ว

จะเห็นได้ชัดว่า เป็นความเข้าใจที่ห่างไกลจากความหมายที่แท้จริงเป็นอันมาก
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2008, 8:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


ศึกษาเรื่องนี้ได้จากหนังสือพุทธธรรมเปิดหน้า 151 ....บทว่าด้วย กรรมในฐานะหลักธรรม

ที่เนื่องอยู่ในปฏิจจสมุปบาท


แค่เห็นชื่อปฏิจจ- ก็ยากแล้ว เพราะท่านอธิบายถึงเรื่องจิตใจหรือความดำริแต่ละขณะๆ

ลึกลงไปถึงเจตนา ฉะนั้นเมื่อพูดถึงกรรมและผลกรรม (กรรมวิบาก) จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

ที่จะเข้าใจ จึงมีคำถาม-ตอบ-และการปฏิบัติต่อเรื่องนี้ในรูปต่างๆ


การที่เราใช้หัวข้อแบบนี้เพราะเราสงสัยจริงๆ ว่าที่ๆ เค้าพูดกันว่า

กรรมมีจริง กรรมติดจรวด กรรมตามสนอง น่ะ มีจริงๆ หรือ?



ถามว่า กรรมมีจริงไหม ?

ตอบว่า มีจริง คือ การกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ

(กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม)


-ที่เค้าพูดๆ กันว่า กรรมติดจรวด (คงหมายถึงให้ผลเร็ว เหมือนจรวด)

ตอบ....กรรมและผลของกรรม (กรรมและวิบาก) ให้ผลเร็วยิ่งกว่าจรวดอีกครับ

คิดจบปุ๊บ ผลเกิดปั๊บ เดี๋ยวนั้นขณะนั้นเลย (เรายังไม่ทันเอื้อมมือไปกดปุ่มจรวดด้วยซ้ำ)


-กรรมตามสนอง..

-มันก็สนองอยู่แล้วนี่ครับ เมื่อคิดจบ ผลเกิดแก่บุคคลนั้นทันทีดังกล่าว

แม้คิดอยู่ในใจ ดี-ไม่ดี (กุศลจิต-อกุศลจิต) เล็กๆน้อยๆ ยังไม่แสดงออกทางกาย ทางวาจา

ก็ตาม ผลแห่งมโนกรรม ก็ไม่สูญเปล่า มันจะค่อยๆสั่งสมเป็นอุปนิสัยปัจจัย

เป็นบุคลิกภาพ เป็นนิสัยถาวรประจำตัวคนๆ นั้น พูดให้ชัดก็ว่า ใครคิดอย่างไร ได้อย่าง

นั้น ที่เขาเป็นอย่างนั้นๆ เพราะเขาคิดๆ และทำๆ อย่างนั้นๆ เป็นอาจิณ

เช่น บุคคลในครอบครัวคุณ sassy (ของมนุษย์ทุกคน) ทุกคนล้วนเป็นไปตามกรรม

ได้รับผลของกรรม (มโนกรรมสำคัญที่สุด เพราะเป็นต้นกำเนิดกายกรรม วจีกรรม)

ที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือ เพราะรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเอง ใจร้อนเป็นไฟเลย

(= มโนกรรม)

คุณพูดถูกว่า ใจเป็นไฟเลย กิเลสพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนไฟ 3 กอง

(ราคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ)

เมื่อคิดและเป็นอย่างว่าบ่อย ๆ ก็จะเป็นดังกล่าวแล้วนั้นตามกฎธรรมชาติ

โดยสภาวะกรรม-วิบาก มันสนองทันทีอย่างนี้

ส่วนเราต้องการจะให้เป็นอย่างอื่นจากนี้ ต้องมีปัจจัยภายนอกหรือ นิยามอื่นร่วมด้วย
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 7:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


ได้กล่าวพาดพิงถึง “เจตนา” ไว้ แต่มิได้ขยายความตามนัยพุทธศาสนา

เจตนานัยนี้ มีความหมายลึกซึ้งกว่าที่เข้าใจกันในภาษาไทย

จึงขอเสริมความเข้าใจความหมายของคำว่า เจตนา

ตามพุทธพจน์ที่ว่า "ภิกษุทั้งหลาย เจตนานั่นเอง เราเรียกว่ากรรม บุคคลจงใจแล้ว

จึงกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ" เป็นต้น

(องฺ.ฉกฺก. 22/334/463)
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 7:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


(จากพุทธธรรมหน้า 176 )

เจตนาในทางธรรม มีความหมายละเอียดอ่อนกว่าที่เข้าใจกันทั่วไปในภาษาไทย


กล่าวคือ

ในภาษาไทย มักใช้เจตนาต่อเมื่อต้องการเชื่อมโยงความคิดที่อยู่ภายใน กับการกระทำที่

แสดงออกมาในภายนอก เช่น พูดพลั้งไป ไม่ได้เจตนา หรือ เขากระทำการโดยเจตนา ฯลฯ

แต่ในทางธรรม คือ ตามหลักกรรมนี้ การกระทำการพูดที่แสดงออกภายนอกโดยจงใจก็ดี

ความคิดต่างๆ แม้เล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้น ๆ ชั่วครู่ชั่วขณะแล้วผ่านไปๆ ภายในจิตใจก็ดี

การคิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งในลักษณะใดลักษะหนึ่งก็ดี ความรู้สึกและท่าทีของจิตใจต่อสิ่งต่างๆ

ที่ได้ประสบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และที่ระลึกหรือนึกขึ้นมาในใจก็ดี ล้วนมีเจตนาประกอบ

อยู่ด้วยทั้งสิ้น

เจตนาจึงเป็นเจตน์จำนง ความจงใจ การเลือกอารมณ์ของใจ ตัวนำที่หันเหชักพาทำให้จิต

เคลื่อนไหวโน้มน้อมไปหาหรือผละไปจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือมุ่งไป

ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เป็นหัวหน้าเป็นผู้จัดการ หรือตัวเจ้ากี้เจ้าการของจิตว่า จะเอาอะไร

ไม่เอาอะไร กับเรื่องใดอย่างไร เป็นตัวการจัดแจงแต่งวิถีทางของจิต และในที่สุดก็เป็นตัวการ
ปรุงแต่งจิตนั้นให้เป็นไปต่างๆ

เมื่อเจตนาเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ก็คือกรรมเกิดขึ้นทีหนึ่ง เมื่อกรรมเกิดขึ้นแล้วก็มีผลทันที

เพราะเมื่อเจตนาเกิดขึ้น ก็คือกิจกรรมเกิดขึ้นในจิตแล้ว จิตมีการเคลื่อนไหว

หรือไหวตัวแล้ว แม้เป็นเพียงความคิดอะไรเล็กน้อย ซึ่งถึงจะไม่มีผลอะไรสำคัญ

แต่ก็ไม่ไร้ผลเสียเลย อย่างน้อยก็เป็นละอองกรรมอันละเอียดที่สั่งสม หรือ พอกเข้าไว้

เป็นเครื่องปรุงแต่งคุณสมบัติของจิตอยู่ภายใน เมื่อมากขึ้น เช่น จิตเสพความคิดนั้นบ่อยๆ

หรือความคิดนั้นรุนแรงขึ้น จนออกมาภายในอก ผลก็แรงขึ้นขยายออกมาเป็นลักษณะนิสัย

บุคลิกภาพเป็นต้น

 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 7:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


(ต่อ)

เช่น เจตนา ในทางทำร้าย ไม่ต้องพูดถึงกรรมร้ายแรงถึงขั้นจะฆ่าคน แม้แต่การทำลาย

สิ่งของเล็กๆน้อยๆเหลือเกิน ถ้าทำด้วยเจตนาทำร้าย คือประกอบโทสะจิตหรือ

มีความโกรธ

อย่างคนฉีกกระดาษด้วยความฉุนเฉียว ทั้งที่กระดาษนั้นไม่มีคุณค่าสำคัญอะไร

แต่ย่อมมีผลต่อคุณภาพจิต หาเหมือนกันไม่กับฉีกกระดาษของคนที่ทำด้วยจิตปกติ

โดยรู้ว่าจะไม่ใช้กระดาษนั้นแล้ว


เมื่อทำอะไรๆ ด้วยเจตนาอย่างนั้นบ่อยๆ ผลแห่งการสั่งสมก็จะปรากฏชัดยิ่งขึ้น และอาจขยาย

กว้างออกไปในระดับต่างๆโดยลำดับ เปรียบเหมือน ฝุ่นละออกที่ปลิวเข้ามาในห้องทีละเล็ก

ละน้อยอย่างที่มิได้สังเกตเลย ย่อมไม่มีส่วนใดที่ไร้ผลเสียเลย แต่ผลนั้นจะสำคัญแค่ไหน

นอกจากเป็นไปตามแรงและปริมาณของที่สั่งสมแล้ว ยังสัมพันธ์กับคุณภาพและการใช้งาน

ของจิตในระดับต่างๆอีกด้วย

ฝุ่นละอองปลิวลงจับท้องถนนกว่าจะทำให้รู้สึกสกปรก ก็ต้องมีปริมาณมากมาย

ฝุ่นละอองปลิวลงพื้นเรือน แม้น้อยกว่านั้น ก็รู้สึกสกปรก

ฝุ่นละอองน้อยกว่านั้น ลงจับโต๊ะเขียนหนังสือ ก็สกปรกและรบกวนงาน

น้อยกว่านั้นอีกลงจับกระจกเงาส่องหน้า ก็รู้สึกเปื้อนและกระทบการใช้งาน

ธุลีละอองนิดเดียวลงจับแว่นตา ก็รู้สึกได้และทำให้การเห็นพร่ามัวได้

อุปมาอย่างอื่น เช่น เอามีดขีดที่พื้นถนน ที่พื้นห้อง ที่กระจกแว่นตา ก็ทำนองเดียวกัน ฯลฯ


รวมความคือเจตน์จำนงคือเจตนาหรือกรรมนั้นแม้เล็กน้อย ก็มิได้ไร้ผล

อาจอ้างพุทธศาสนสุภาษิตว่า “กรรมดีหรือชั่วทุกอย่างที่คนสั่งสมไว้ ย่อมมีผล ขึ้นชื่อว่า

กรรม แม้จะนิดหน่อย ที่จะว่างเปล่าไปเลย ย่อมไม่มี” ขุ.ชา.27/2054/413

(แต่ไม่พึงสับสนกับเรื่องกรรมที่ไม่ให้ผลในระดับวิถีชีวิตภายนอก)


และว่า “กรรมไม่ว่าดีหรือชั่ว ย่อมไม่สูญเปล่าเลย” ขุ.ชา.28/864/306

-ผลทางด้านกรรมนิยามในระดับจิตใจนี้ คนจำนวนมากคอยจะมองข้าม ไม่เห็นความสำคัญ

 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 7:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


-กรรมนิยาม เป็นหนึ่งใน 5 นิยามที่คัมภีร์ทางศาสนาอธิบายไว้

จะนำความหมายของกรรมนิยามที่กล่าวถึงให้พิจารณา สั้นๆ ดังนี้


-กรรมนิยาม - กฎธรรมชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือกระบวนการก่อการกระทำ

และการให้ผลของการกระทำ

หรือ พูดให้จำเพาะลงไปอีกว่า กระบวนการแห่งเจตน์จำนงหรือความคิดปรุงแต่งสร้างสรรค์

ต่างๆ พร้อมทั้งผลที่สืบเนื่องออกไปอันสอดคล้องสมกัน เช่น ทำกรรมดี มีผลดี ทำกรรมชั่ว

มีผลชั่ว เป็นต้น


-นิยาม แปลว่า กำหนดอันแน่นอน ทำนองหรือแนวทางที่แน่นอน หรือความเป็นไป

อันมีระเบียบแน่นอน เพราะปรากฏให้เห็นว่า เมื่อมีปัจจัยอย่างนั้นๆ แล้ว ก็จะมีความเป็น

ไปอย่างนั้นๆ แน่นอน
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
WRP
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 ธ.ค. 2007
ตอบ: 15

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 8:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากให้ทำใจยอมรับให้ได้ถึงแม้จะยากค่ะ เพราะถ้าเราไม่มีกรรมร่วมกับเค้า ครอบครัวเราไม่เคยทำบางอย่างไว้กับเค้าคงไม่ต้องเกิดมาเจอ ไม่ต้องมารู้จัก ดูครอบครัวอื่นสิ คนอื่นสิไม่เห็นมี ไม่มี ไม่ได้รับความทุกข์แบบที่เราเจอเลย มีแต่ที่ดูทุกข์กว่าหรือไม่ก็สุขกว่า เป็นเพราะอะไร มันเป็นผลของกรรมที่ต้องรับไปอย่างนั้นเพียงแต่เราจำไม่ได้ว่าทำไม ทำไมเราต้องสมควรได้รับ

....ที่บอกไปไม่ได้ให้คิดว่าตัวเอง ต้อยต่ำทำชั่วใดๆ มาก่อนจนต้องรับเรื่องเลวร้ายแบบนี้ นะค่ะ แต่ให้ทราบว่ามีกรรมย่อมมีผลของกรรมแน่นอนค่ะ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว เรื่องที่คุณได้รับก็คงต้องบอกว่าได้รับช้าแล้วนะค่ะ ไม่อย่างนั้นคงจะจำได้ว่าทำไมถึงต้องได้รับผลแบบนี้..

กฎแห่งกรรมมีจริงค่ะ อย่าได้ไขว้เขวเลย

คำแนะนำ : เรื่องแม่ของคุณที่หลงลูกชายคนโต น่าจะเปลี่ยนวิธีพูดหน่อยนึงนะค่ะ ให้เค้าฟังเราบ้าง ในเมื่อเค้าหลงลูกชายมาก ก็ควรบอกถึงโทษของการที่ลูกชายทำบาปต่างๆ กับเค้า เช่นบอกว่า แม่คิดว่าลูกชายเค้าทำดีแล้วเหรอ สาทยายบาปต่างๆ ที่เค้าทำแล้วบอกว่าแม่คิดว่าคนแบบนี้ถ้าไม่มีแม่อยู่แล้วจะมีชีวิตต่อไปได้เหรอ จะหาความเจริญในชีวิตก็คงไม่มีทางพบแน่ แล้วถ้ามีสวรรค์มีนรก แม่คิดมั้ยว่าเค้าต้องไปนรก แล้วจากนั้นค่อยบอกไปว่าถ้าแม่รักเค้าจริงควรจะสั่งสอนด้วยความเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นลูกชายสุดที่รักของแม่จะกลายเป็นคนชั่วที่ไม่อาจกลับใจ ตกนรกทั้งตอนมีชีวิต และหลังจากไม่มีชีวิต แน่นอน
ตอนพูดก็ให้พูดอย่างใจเย็น แม่ไม่ฟัง ด่ากลับมาก็ต้องค่อยๆ พูดใจเย็นๆ สงสารแม่ให้มาก คิดว่าถ้าเราไม่ช่วยพูด ใครอื่นจะมีช่วยแม่เราได้

อันนี้เป็นคำแนะนำนะค่ะ อาจไม่เห็นด้วย หรือเห็นด้วยนำไปใช้ก็ได้ สาธุ ขอให้บุญใดๆ ที่ข้าพเจ้าได้ทำมาตั้งแต่ชาติแรก ส่งผลคุณประสบแต่โชคดี ส่วนจิตใจที่ร้อนรุ่ม และความทุกข์อื่นๆ ขอให้หายจากความทุกข์นั้นในทันทีด้วยเถิด
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว

บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2007
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 3:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่รู้ว่าเจ้าของกระทู้ยังอ่านอยู่หรือเปล่า ยิ้ม

เรื่องนี้ แบ่งเป็นสองเรื่องนะครับ
เรื่องแรก การทำความเข้าใจของคำว่า กรรม และ ผลของกรรม
เรื่องที่สอง ทำอย่างไรได้บ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เล่ามา


กรรม แปลง่ายๆ คือ การกระทำ (รายละเอียดที่ลึกลงไปถ้าสนใจก็ศึกษาต่อๆ ไป)
ทีนี้ การกระทำของเรา ทั้งที่ออกมาทางกาย ออกทางคำพูด แม้การรู้สึกนึกๆ คิดๆ ทางใจ
มีผลของการกระทำนั้นทั้งสิ้น เรียกว่า ผลของกรรม ภาษาวัดๆ เรียก วิบากกรรม

เจ้าของกระทู้ ตะโกนก้องเหมือนเป็นคำถาม แต่ที่จริง ต้องพูดตรงๆ ต้องยอมรับตรงๆ ว่า
ไม่สาแก่ใจที่จะให้ คนไม่ดี ได้รับผลตอบแทนอย่างสาสมสักที
จึงมีคำถามแบบนี้ออกมา ทั้งที่จริงแล้ว ด้วยใจปกติ จะทราบได้ว่า
เราหรือใคร ทำอะไรไว้ ผลสิ่งนั้นย่อมมีสิ่งตามมาแน่นอน
และอีกอย่างที่ หลายคนเขวๆ ไป คือ ชอบบอกว่า ทำดีไม่ได้ดี
แต่สิ่งที่เขาต้องการการตอบแทน ไม่ใช่ความดี จะเป็น ทรัพย์สินเงินทอง
หรือวัตถุที่มาสนองความต้องการ เสียทั้งหมด

บางทีการกระทำบางอย่าง มีการส่งผลต้องดูเหตุปัจจัยอื่นๆ อีกด้วย
ในกรณีนี้ เหตุปัจจัยดีๆ มารองรับและทำให้ผลที่จะตอบแทนเขาเนิ่นช้าออกไป

เห็นง่ายๆ คือ ความดีของแม่คุณเองรองรับเอาไว้ และที่จริงก็มีความดีของทุกคน
ในครอบครัว ที่ยอมนิ่งเฉย ยอมรับกลายๆ รองรับให้ผลเนิ่นช้าออกไป
(ที่บอกแบบนี้ไม่ใช่ลุกขึ้นมาจัดการนะครับ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่)

ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่เหตุบังเอิญ มีที่มา และเหมาะสมกับสิ่งที่เกิดขึ้น เสมอ..

.....

ขอคุยเรื่องที่สองนะครับ เรื่องแรกน่าจะได้ข้อมูลในระดับหนึ่ง
เรื่องที่สอง ทำอย่างไรได้บ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เล่ามา

สิ่งที่ทำได้ คงได้ยินมาบ่อยจนน่าเบื่อ แต่เป็นเรื่องจริง ที่บางครั้งเรามองข้ามไป
คือ ต้องแก้ไขที่ตัวเองก่อน
1. ความขุ่นข้องหมองใจ ของตัวเอง จะจัดการกับมันอย่างไร
2. คุณปฏิบัติกับแม่ของคุณ อย่างมีเงื่อนไขหรือไม่

ความขุ่นข้องหมองใจของเรา เกิดที่เรา ใครที่โดนความเร่าร้อนที่เผาเราทุกขณะ
ในขณะที่ คนไม่ดี สบายใจกับการกิน เที่ยว และการกระทำอื่นๆ

เรื่องนี้หาเอาเอง บางทีภูมิคุ้มกัน ต้องสร้างกันเอง

คุณปฏิบัติกับแม่ของคุณ อย่างมีเงื่อนไขหรือไม่
เรื่องนี้ขอให้เน้นมากๆ ว่า คุณปฏิบัติต่อแม่หรือพ่อ อย่างที่เราคาดหวังไหม
เราปฏิบัติต่อท่าน ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขไหม ไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไร
จะทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจขนาดไหน (ทั้งที่เราอาจจะคิดไปเองเกินความจริง?)

ท่านชอบแบบไหน มีความต้องการอย่างไร
เราไปคาดหวัง คาดคั้นให้ท่านเปลี่ยนตามที่เรา “ต้องการ” หรือเปล่า

ถ้าเราปฏิบัติกับท่านอย่างมีเงื่อนไขน้อยที่สุด
อย่างน้อยเราก็ช่วยแบ่งเบาความหนักใจของท่านออกไปได้ ส่วนหนึ่ง
แทนที่ท่านจะหนักใจกับพี่ชายแล้ว ยังต้องมาหนักใจกับลูกคนอื่นๆ
ที่เราไปคาดหวังให้ท่าน “ไม่หวัง” ในสิ่งที่ท่านหวังมาตลอดชีวิต

เป็นการตอกย้ำให้ท่านช้ำใจ ซ้ำลงไปอีก โดยที่เราเรียกว่า ความหวังดี

หวังว่า คงไม่ทำให้เจ้าของกระทู้ขุ่นข้องหมองใจนะครับ และ
ผมเชื่อว่า ท่านจะผ่านอุปสรรคของชีวิตนี้ จนเปลี่ยนเป็นภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
sassy
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2008
ตอบ: 4
ที่อยู่ (จังหวัด): Bkk., Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2008, 1:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่สละเวลาอันมีค่ามาบรรยาย และอธิบายให้ฟัง
เมื่อคืนนี้น้องสาวแม่ผูกคอตายอีกคน สงสัยวิบากกรรมของแม่ข้าพเจ้าจะยังไม่จบจริงๆ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sassy
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2008
ตอบ: 4
ที่อยู่ (จังหวัด): Bkk., Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2008, 1:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เท่าที่อ่านๆมะค่อยเข้าใจมากนะ
แต่หมายถึงสิ่งที่เราๆคนในครอบครัวกะทำก้อส่งผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบนี้ใช่มั้ยคะ
ที่คุณ ฬ ถามว่า ทำแบบมีเงื่อนไข? ก้อคงตอบว่าใช่
แต่เงื่อนไขที่ว่านี้ คือ มะต้องให้ หรือ ตอบแทนอะไรกลับมาให้เรา
เพราะสิ่งที่แม่ให้ข้าพเจ้า คือ การให้กำเนิด ก้อสุดแสนจะทดแทนไม่หมด
แต่เรา พี่สาว กะ พ่อ ได้พยายามพูด และ ทำทุกอย่างที่เป็นการทำให้แม่ของเราเหงถึงสิ่งที่ท่านทำอยู่ว่ากะลังส่งผลเสียให้ลูกชายของท่าน
แต่ท่านมองอีกมุม ท่านมองในมุมว่า เค้าแย่ ท่านถึงห่วง คืออธิบายแล้วคงงงไปกันใหญ่
แบบยกตัวอย่าง ถ้ามีลูกติดยา พ่อแม่ที่รักในทางที่ถูกคงจับลูกหักดิบ แต่แม่เราเปงอีกแบบคือ มะกล้าให้ลูกหักดิบ เพราะกัวลูกเจ็บ กัวลูกทรมาน ประมาณนี้เข้าใจกันไหมเอ่ย?

มะคืนแย่ไปกันใหญ่ แม่เจอศพน้องสาวตัวเองผูกคอตายคาตา แม่ยังอุ้มศพลงมา มะคืนแม่ช๊อกมากๆ เราก็รู้สึกแย่ไปด้วยเลย วันเสาร์พาแม่ไปไหว้เจ้า วันอาทิตย์พาไปไหว้พระ กลับมาตอนเยงมีเรื่องอีก ตอนนี้เรารู้เลยสภาพจิตใจแม่เราแย่ แบบ แย่มากๆ

รู้สึกถึงคำสอนของแม่ชีตอนไปปฏิบัติธรรมมาก้อคราวนี้ การมีชีวิตคือทุกข์ดีๆนี่เอง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตามรอย
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 16 เม.ย. 2008
ตอบ: 109
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2008, 2:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าหากว่าท่านไม่แน่ใจในกรรม ลองถามตัวท่านดูซิว่าท่านทำ
สิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดีแล้วได้ผลตอบแทนนั้นหรือไม่ ถ้าหากท่านมองมะออก
แสดงว่าท่านยังขาดสติสังเกตุธรรมต่างๆ (อันนี้ท่านมรรคาสอนข้าพเจ้ามา)
เช่นเวลาท่านให้ทานแล้วท่านรู้สึกอิ่มบุญสบายใจ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของ
กรรมท่านแล เจริญธรรม สาธุ
 

_________________
อย่าประมาทลืมตน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
Lokudtradham
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 14 ก.ค. 2008
ตอบ: 14

ตอบตอบเมื่อ: 14 ก.ค.2008, 3:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรรมมีจริง ครับ แล้วใครเสวยบาปเสวยกรรม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ทำไมล่ะครับ ไม่งั้นก็ไปนิพพานกันหมดแล้วครับ เราตายไปเอาจิตไปเกิดครับร่างกายก็เป็น ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามประสาของมันล่ะครับ ได้ฟังธรรมก็ หลวงปู่ตื้อ ท่านกล่าวไว้ว่า ถ้าสวดธรรมเวชสันตรในวันเดียวแล้วจะได้เห็นพุทธเจ้าองค์ต่อไป คือพระศรีอริยเมตไตร แต่ถ้าทำกรรมหนักไว้เช่น ฆ่าพ่อ แม่ ทำให้พระพุทธเจ้าให้มีพระโลหิตออก ฆ่าพระอรหันต์ ยุยงให้สงฆ์แตกแยก จะไม่มีวันได้เห็นครับ สรุปแล้วเวรกรรมมีจริง จิตไม่เคยตาย ถึงนิพพานก็บริสุทธิ์ เป็นธรรมธาตุ ครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง