Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
...ดื่มเหล้าเคล้านารีเป็นผีลงนรก...(มาลาวชิโร)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 6:24 pm
ครั้งหนึ่งในสมัยที่พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ
พระองค์พร้อมด้วยพระสาวกประมาณ ๒๐,๐๐๐ รูป
ได้เสด็จมาถึงพระนครแห่งหนึ่ง ซึ่งปรากฏชื่อว่า พระนครพาราณสี ในปัจจุบัน
ชาวเมืองทั้งหลายครั้นได้เห็นพระองค์ พร้อมด้วยพระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด
ต่างก็พากันตื่นเต้นดีใจด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาก
ชักชวนกันบริจาคทรัพย์ถวายอาคันตุกทานเป็นการใหญ่
ชาวบ้านได้รวมตัวกัน ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง
เป็นเจ้าภาพภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์เป็นเวลาหลายวัน
คราวหนึ่ง ยังมีลูกชายเศรษฐี ๔ คน ซึ่งพ่อแม่ของพวกเขา
ต่างก็มีทรัพย์มากมายถึงคนละ ๔๐ โกฏิ ลูกชายของเศรษฐีทั้ง ๔ นั้น
กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น และเป็นเพื่อนรักกันมาก
เมื่อเห็นชาวบ้านพากันบริจาคทานถวายอาหารเลี้ยง
พระภิกษุสงฆ์เป็นการใหญ่เช่นนั้น แทนที่จะเกิดความเลื่อมใสร่วมใจกันทำบุญกับเขา
กลับมีใจดูหมิ่นเหยียดหยาม โดยได้คิดไปว่า
พวกคนเหล่านี้เป็นคนโง่เขลา เพราะบ้าศรัทธา ทำไปทำไมกันบุญทาน
ทำแล้วก็ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรเลย มีแต่สิ้นเปลืองทรัพย์สมบัติไปเปล่าๆ
การบูชาพระพุทธเจ้าและการรักษาศีลก็เหมือนกัน จะทำไปทำไม? คิดไปเท่าไรๆ
ก็มองไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์ เสียเวลาเปล่า
ว่าแล้วทั้ง ๔ คน ก็ปรึกษากันว่า จะจัดการกับทรัพย์สมบัติเหล่านี้อย่างไรดี
เพราะพ่อแม่ได้หาทรัพย์สมบัติไว้ให้มากมาย
ลำพังจะกินจะใช้อีกกี่สิบชาติก็คงจะไม่หมดไปง่ายๆ
เพื่อนคนหนึ่งก็เสนอขึ้นว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเราพากันไปหาซื้อสุรา
อย่างดีที่สุดเอามาดื่ม โดยมีเนื้อที่มีรสชาติดีที่สุดเป็นกับแกล้มเป็นประจำ
อย่างนี้ชีวิตของพวกเราคงมีรสชาติขึ้น ทุกคนเห็นด้วยกับเราหรือไม่?
ทุกคนต่างก็เห็นดีเห็นงามกับคำเสนอของเพื่อน และมีคนหนึ่งเสนอเพิ่มเติมว่า
นอกจากจะดื่มสุราที่มีรสดีที่สุดเท่าที่จักหาได้ในเมืองนี้แล้ว
ควรให้คนใช้หาข้าวปลาอาหาร ชนิดที่มีรสเลิศต่างๆ มาบริโภคเป็นประจำตลอดไป
ขณะที่อีกคนหนึ่งก็เสนอว่า กินเหล้าเมายาบริโภคอาหารดีๆ
ถ้าหากว่าขาดนารีสวยๆ มันจะเป็นท่าอะไร
ฉะนั้น พวกเราจะใช้เงินเป็นเครื่องล่อใจดึงดูดสตรีมาประเล้าประโลมพวกเราด้วย
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชายหนุ่มทั้ง ๔ ต่างก็ตั้งหน้าประกอบอกุศลกรรม
ทำความชั่ว เสพสุรายาเมาเป็นประจำ (ผิดศีลข้อ ๕)
นอกจากนั้นยังกล้าประพฤติผิดลูกเมียคนอื่น (ผิดศีลข้อ ๓)
คือ เมื่อเห็นสตรีสาวทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นลูกเขาเมียใคร
เมื่อตนพอใจแล้ว เป็นต้องหาอุบายเอาตัวมาเป็นเครื่องบำเรอความสุขของตนจนได้
โดยใช้เงินที่มีอยู่จำนวนมากเป็นเครื่องล่อใจ
พวกเขาพากันล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่สั่งสมไว้ให้
ไปในทางที่ชั่วช้าลามกอยู่อย่างนี้เป็นประจำ
เมื่อพวกเขาทั้ง ๔ คนตายไปแล้ว กรรมชั่วทั้งหลายที่ได้กระทำไว้
ทำให้ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสหาประมาณมิได้
ต้องถูกไฟในอเวจีมหานรกอันแรงร้าย เผาไหม้ร่างกายอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่างเว้นเลยแม้แต่วินาทีเดียว!!
อันว่าสัตว์นรกที่เสวยทุกข์โทษถูกไฟนรกในอเวจีมหานรกไหม้ร่างกาย
ก็ได้รับความแสบปวดแสบร้อนอยู่นานสิ้นเวลาพุทธันดรหนึ่งแล้วก็สิ้นกรรม
จึงพากันจุติจากอเวจีมหานรกนั้น แต่ว่าเศษกรรมชั่วที่ทำไว้ยังไม่หมดสิ้น
ดังนั้น พวกเขาจึงพากันมาเป็นสัตว์นรก ในนรก โลหกุมภี
ซึ่งมีความกว้างใหญ่ประมาณ ๖๐ โยชน์ ต้องเวียนว่ายให้ไฟไหม้
เผากายตนอยู่ในนรกโลหกุมภีอันกว้างใหญ่นั้น
ครั้นเวียนว่ายอยู่ภายในหม้อนรกเหล็กแดงโลหกุมภี สิ้นเวลานานนักหนาแล้ว
ก็พยายามกระเสือกกระสนจะว่ายขึ้นมาเบื้องบน
ให้ได้พวกเขาต้องใช้ความมานะพยายามเป็นอย่างมาก
โดยหวังที่จะว่ายขึ้นไปถึงปากหม้อนรกโลหกุมภีให้จงได้
บางครั้งพอจวนจะถึงปากหม้อก็ต้องกลับจมลงไปอีก
ทั้งนี้ก็เพราะสภาพของสัตว์นรกที่ตกลงไปในหม้อนรกเหล็กแดงใหญ่ที่ชื่อว่าโลหกุมภีนั้น
ย่อมมีสภาพเหมือนกับข้าวสารที่เขาเอาใส่แล้วต้มเคี่ยวในหม้อน้ำซึ่งกำลังเดือดพล่าน!!
มีอาการดำผุดดำว่ายโผล่ขึ้นมาแล้วก็จมลงไป และโผล่ขึ้นมา อีกแล้วก็จมลงไปอีก
เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไปเป็นนิตย์
ชายหนุ่มเจ้าสำราญทั้ง ๔ คนนี้ก็เหมือนกัน
ขณะนั้นพวกเขามีสภาพเหมือนกับเมล็ดข้าวสารที่กำลังถูกเคี่ยวอยู่ในหม้ออันเดือดพล่าน
การจะโผล่ศีรษะขึ้นมาปากหม้อ จึงเป็นความหวังอันเลือนลางเต็มที!!
แต่พวกเขาก็หาหมดความพยายามไม่อุตสาหะว่ายตะเกียกตะกายเรื่อยไป
และในที่สุดหลังจากที่ได้ใช้ความพยายามอยู่เป็นเวลาถึง ๖๐,๐๐๐ ปี (นับปีในมนุษย์โลก)
คราวหนึ่งทั้ง ๔ ซึ่งอยู่ในนรกโลหกุมภี เสวยทุกข์โทษอย่างแสนสาหัสมาเป็นเวลาช้านาน
ได้ผงกศีรษะขึ้นมาเจอหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงที่ปากหม้อพอดี ต่างคนต่างดีใจ
ใคร่จะระบายความทุกข์ให้เพื่อนฟังถึงความผิดที่ตนได้เคยกระทำไว้
แต่ทุกคนก็พูดได้เพียงคนละคำเท่านั้น ก็ต้องจมหายลงไปในหม้อนรกอีก
และดำผุดดำว่ายทนทุกขเวทนาอยู่ในหม้อเหล็กใหญ่
ที่มีน้ำเดือดพล่านในนรกนั้นอีกนานแสนนาน
.......
จากเรื่องที่เล่ามาจะเห็นว่า ลูกชายเศรษฐีทั้ง ๔ คนนั้น
แต่เดิมทีเป็นผู้มีทรัพย์สมบัติมาก แต่มีความประมาทและโง่เขลา
ทั้งๆ ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก
และเสด็จมาโปรดประชาชนยังบ้านเมืองของตน
แทนที่พวกเขาจะมีใจเลื่อมใสรีบขวนขวายประกอบการกุศลเช่นคนทั้งหลายอื่น
กลับมีน้ำใจชั่วช้าคิดดูหมิ่นในบุญ ประกอบแต่กรรมชั่วต่างๆ นานา
ครั้นตายไปจึงต้องตกนรกอเวจีและโลหกุมภี
ครั้นไปเกิดเป็นสัตว์นรกได้รับความทุกข์ทรมานหนักๆเข้าจึงได้รู้สึกสำนึกตน
แต่การที่พวกเขาเพิ่งมาสำนึกตนและได้แต่พร่ำบ่นรำพันอยู่ในนรกนั้น มันก็สายไปเสียแล้ว
ส่วนพวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่ขณะนี้ยังไม่สายเกินไปสำหรับการกลับตัวกลับใจ
อดีตที่ผ่านไปแล้วเราไม่สามารถทำอะไรได้
แต่ปัจจุบันเราสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นคนดีได้
หากเคยทำความชั่วก็จงกลับตัวกลับใจ
แล้วเร่งรีบประกอบคุณงามความดีอันเป็นบุญเป็นกุศลไว้ให้มากๆ
เพราะกุศลกรรมความดีที่เราทำไว้ในวันนี้
จะช่วยส่งผลให้เราพบแต่ความสุขไม่ว่าโลกนี้หรือโลกหน้า
แต่ถ้ายังมีจิตใจชั่ว เกิดความมัวเมาประมาท
พลาดพลั้งกระทำแต่อกุศลกรรมอยู่เนืองๆ โดยไม่นึกถึงวันตายเลย
กรรมชั่วที่ทำไว้นี้ก็จะส่งผลให้เราเจอแต่ความทุกข์ทรมานอยู่ร่ำไป
ปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่ไม่กลัวบาปกรรม
มัวแต่เพลิดเพลินกับความสุขเพียงเล็กน้อย มีกิ๊ก ดื่มเหล้าเคล้านารี
ทำผิลศีลธรรมต่างๆ นานา สิ่งเหล่านี้หากคิดพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า
มันสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองทั้งในชาตินี้ และชาติต่อไป
ฉะนั้น คนที่ดำเนินชีวิตเช่นนี้จงกลับตัวกลับใจ
และนำตัวเองออกจากขุมนรกตั้งแต่วันนี้ดีกว่า ก่อนที่จะสายเกินไป
คัดลอกจาก...ผู้จัดการออนไลน์
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 89 เม.ย. 51 โดย มาลาวชิโร)
suvitjak
บัวบาน
เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen
ตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2008, 3:22 pm
น่ากลัวจริงๆครับ
_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th