ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2008, 2:16 pm |
|
รับบาตรจนล้น
๔๐. แต่เดิมท่านให้พระรับบิณฑบาตเฉพาะเต็มบาตร
ปัจจุบันล้นบาตรไปอยู่ในถุงหิ้วใหญ่ พระจะอาบัติหรือไม
ถ้าเราทําให้พระอาบัติ เราจะบาปหรือไม่
พูดยากว่าเป็นอาบัติหรือไม่เป็น
ถ้าพูดถึงความควรหรือไม่ควรจะเหมาะสมกว่า
การกระทําที่ไม่สมควร ท่านปรับอาบัติ ทุกกฎ ไว้หมด
ถ้าพูดจาไม่สมควรท่านปรับอาบัติที่เรียกว่า ทุพภาสิต
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การสํารวมเป็นหน้าที่ของพระ
การทําบุญเป็นหน้าที่ของผู้ต้องการบุญ
แต่ถ้าทําจนถึงพระต้องลําบากก็ไม่ควรเหมือนกัน
นอกจากนี้ควรคํานึงถึงความสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยรวมด้วย
ทั้งผู้รับบาตรและผู้ใส่บาตร
จึงต้องสํารวมด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่ให้เกิดการสูญเสีย
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2008, 2:26 pm |
|
ถวายเงินให้พระ
๔๑. ชาวพุทธนิยมทําบุญเพื่อกุศลของตนเองโดยการถวายเงินให้พระ
คือ ดูเป็นรูปธรรมเห็นชัดกว่าการทําบุญด้วยการนั่งสมาธิ
หรือศึกษาธรรมะ ฝึกฝนธรรมะด้วยใจ ซึ่งรู้สึกยากและไม่ค่อยเห็นผลเร็ว
แต่การทําเช่นนี้ส่งผลให้พระมีปัจจัยมาก บางองค์มีเงินในบัญชีเป็นล้าน
(ขณะที่ชาวบ้านผู้ถวายเองไม่ค่อยมีเงิน)
ถาม
ก. พระมีเงินมาก ขัดกับพระพุทธเจ้าให้เลิกสะสม ดังนั้นพระไม่อาบัติหรือ
ข. ชาวบ้านที่พากันถวายจนพระไม่สามารถสํารวมใจไหว
ชาวบ้านบาปไหมคะ หรือตัดตอนกัน
คนถวาย ได้บุญ ผู้รับต้องสํารวมเอง
สํารวมไม่ได้ก็บาปไปเอง อย่างนั้นหรือเปล่าคะ
การรับเงินรับทองมีข้อห้ามในพระวินัย
ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้รับ
ในศีล ๑๐ ของสามเณรข้อที่ ๑๐ ก็ห้ามรับเงินและทอง เหมือนกัน
แต่มาถึงบัดนี้ ความจําเป็นทางสังคม
แม้ในสังคมสงฆ์เองทําให้พระจําต้องรับเงินทอง
และใช้จ่ายเงินทองด้วยตนเอง เช่น ในการเดินทาง เป็นต้น
ในงานพิธีต่างๆ ชาวบ้านก็นิยมถวายเงินแก่พระเหมือนกัน
ถือเป็นความสะดวกเพื่อให้ท่านไปใช้จ่ายในปัจจัย ๔
เป็นเรื่องน่าเห็นใจด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย
บางแห่งก็ถวายเป็น ใบปวารณาบอกจํานวนเงินไว้ด้วย
แล้วมอบไว้กับไวยาวัจกร (ลูกศิษย์หรือเจ้าหน้าที่) ไวยาวัจกรจะนําไปถวายพระ
โดยหลักการแล้ว พระสงฆ์ไม่ควรสะสมเงินไว้มากเป็นส่วนตัว
เพราะเป็นอันตรายหลายอย่าง เช่น อันตรายแก่เพศพรหมจรรย์
เป็นการชักนําคนบางพวกที่ต้องการเงินจากพระ มาคบหาสมาคม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสตรีที่หวังการสงเคราะห์จากพระผู้มีเงิน
อาจเป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ถึงปาราชิกก็ได้
นอกจากนี้ยังเป็นอันตรายจากโจรภัย ซึ่งมีข่าวให้รู้เห็นกันอยู่บ่อยๆ
ถ้านําไปฝากธนาคาร เปิดบัญชีในนามของพระภิกษุ
ถ้าจํานวนมากก็จะเป็นที่ติเตียนของชาวบ้านผู้รู้เห็น
และมีเงินน้อยกว่าพระภิกษุ หาเช้าไม่พอกินค่ำ
ยังจะต้องเจียดเงินบางส่วนมาทําบุญถวายพระอีก ตามที่ผู้ถามกล่าวแล้ว
การรู้จักประมาณ ปฏิบัติแต่พอเหมาะสมในเรื่องนี้
นับว่าเป็นสิ่งที่ดีไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป
ปฏิบัติไปตามสมควรแก่เหตุ (การณวสิกตา)
เมื่อจวนจะปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
สิกขาบทเล็กน้อย ถ้าสงฆ์เห็นพร้อมกันจะถอนเสียบ้างก็ได้
คือ มีพระพุทธานุญาตให้ทําได้
แต่พระอานนท์ไม่ได้ทูลถามว่าสิกขาบทเล็กน้อยนั้นเช่นอะไร
เมื่อทําปฐมสังคายนามีพระมหากัสสปเป็นประธาน
ได้ถามพระอานนท์ถึงเรื่องนี้ พระอานนท์ตอบว่าไม่ได้ทูลถามพระพุทธเจ้า
พระอานนท์จึงถูกปรับอาบัติทุกกฎ และที่ประชุมตกลงกันว่า จะไม่ถอนสิกขาบทใดๆ
พุทธศานาฝ่ายเถรวาทจึงคงยืนหยัดถือตามมติที่ประชุมสังคายนาครั้งที่ ๑ นั้นตลอดมา
แต่เรื่องเงินทองนี้ เมื่อภิกษุทั้งหลายพร้อมใจกันไม่ปฏิบัติตามสิกขา
บทบัญญัติก็เป็นอันถอนไปโดยพฤตินัย
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
28 มี.ค.2008, 11:28 am |
|
พระบวชนานแต่เข้าไม่ถึงธรรม
๔๒. เหตุใดพระที่บวชนานขนาดเป็นเจ้าอาวาส
จึงทําผิดศีลผิดวินัยตามข่าวหนังสือพิมพ์
การบวชนานไม่สามารถกล่อมเกลาได้เลย
อย่างนี้ชาวบ้านจะเข้าใจธรรมะลึกซึ้งได้อย่างไร
ในเมื่อแค่ฟังเทศน์แล้วก็ทํามาหากินไปด้วย
เป็นเพราะพระบางรูปไม่ใช่ทั้งหมด และก็มีจํานวนน้อย
แต่ความผิดความชั่วจะเป็นข่าวทางสื่อมวลชน
ส่วนความถูกความดีไม่ค่อยเป็นข่าว
ลองเทียบดูกับชาวบ้านก็ได้ บางคนเรียนจบปริญญาสูงๆ ก็ยังทําผิดกฎหมาย
นายแพทย์หลายคนประกอบอาชญากรรมต่อภรรยาของตน
แต่แพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังมีจริยธรรมดีอยู่พอสมควร
บุคคลทุกสาขาอาชีพมีดีมีชั่ว
พระสงฆ์ก็เป็นชุมชนกลุ่มหนึ่งของสังคม ซึ่งมีทั้งดีและชั่วเช่นเดียวกัน
ชาวบ้านที่เข้าใจธรรมะลึกซึ้งก็มีอยู่ไม่น้อย
นอกจากเข้าใจธรรมะลึกซึ้งแล้วก็ยังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นตัวอย่างที่ดีในสังคม
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์
เมื่อปฏิบัติชอบ พระองค์ก็ทรงยกย่องสรรเสริญ
มีผู้มาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ทุกคนบ่ายหน้าไปสู่นิพพานทั้งหมดหรือ
ตรัสตอบว่า เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่านั้น
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
28 มี.ค.2008, 11:32 am |
|
ทำไมไม่ขับไล่พระเกเรออกไป
๔๓. อาจารย์เคยเล่าว่า ที่วัดหนึ่งมีพระเกเรรูปหนึ่ง
ถูกพระทั้งวัดรังเกียจ มาขอให้เจ้าอาวาสขับไล่ออกไป
มิฉะนั้นพวกตนจะออกไปเอง เจ้าอาวาสบอกว่าพระดีออกไปได้ ท่านไม่ห่วง
แต่พระเกเรถ้าออกไปใครจะควบคุมดูแลสั่งสอน ท่านจึงรับพระเกเรไว้
เรื่องนี้ตอนแรกฟังดูก็เท่ดี แต่ถ้าเอามาใช้กับบริษัทคงเจ๊งแน่
หลวงพ่อเจ้าอาวาสไม่คิดว่าจะสอนพระดีหลายๆ องค์นั้นให้ดียิ่งขึ้นหรือคะ
ให้หัดเมตตามากขึ้น และให้ช่วยกันตั้งกฎเกณฑ์อะไรสักอย่าง
เพื่อให้พระเกเรปรับนิสัยขึ้นมาให้ได้แล้วอยู่ด้วยกันทั้งหมด
เรื่องทํานองนี้ท่านเล่าไว้เพื่อแสดงคุณธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในที่นี้ท่านพูดเน้นถึงความกรุณาว่า
ท่านเจ้าอาวาสเป็นผู้มีความกรุณาสูง เป็นวัดทางฝ่ายมหายาน
มีพระรูปหนึ่งขี้ขโมย พระอื่นๆ พากันไปหาเจ้าอาวาส
บอกว่าถ้าไม่ไล่พระรูปนั้นออกไปพวกเขาจะออกกันไปให้หมด
ท่านเจ้าอาวาสผู้มีความกรุณาบอกว่า
พวกคุณนั้นดีแล้วออกไปได้ ส่วนพระรูปนั้นยังไม่ดีให้อยู่กับฉันก่อน
เรื่องทํานองนี้เอามาปฏิบัติในบริษัทคงไม่ได้
อย่างที่ผู้ถามออกความเห็นมาแล้ว
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
28 มี.ค.2008, 11:35 am |
|
ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
๔๔. เราพูดกันบ่อยๆ ว่า เราสามารถปฏิบัติธรรมในชีวิตประจําวันได้
นั่นหมายถึง ธรรมะระดับจริยธรรมหรือไม่
เช่น การเมตตากัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ถือศีล ๕
ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมเห็นความวุ่นวายอันเป็นปกติของชีวิตการทํางาน
ทั้งผู้คนและความขัดแย้ง มันทําให้เราอยากปลีกตัวออกมาจากวงจรนั้น
เมื่อยังออกมาไม่ได้ จะเกิดความอึดอัด ขัดข้องในใจอย่างมาก
ว่าจะทํางานต่อหรือจะปลีกวิเวกดี
ดูจะเลือกทางใดทางเดียวมิได้ นับเป็นความทุกข์ใจ
การปฏิบัติธรรมทําได้ในชีวิตประจําวัน
แต่สิ่งแวดล้อมก็สําคัญเหมือนกัน
ถ้าไม่ได้สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม การปฏิบัติก็ทําได้ยากขึ้น
ถ้าได้สิ่งแวดล้อม ที่เป็นสัปปายะ (เหมาะสม)
เช่น ที่อยู่ และบุคคลผู้คบหา เหมาะสมแก่จริต อัธยาศัยของเรา
การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจําวันก็จะง่ายขึ้น
การปฏิบัติธรรมที่ว่านี้
ไม่ว่าจะเป็นขั้นจริยธรรม หรือระดับที่สูงกว่าจริยธรรม
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
28 มี.ค.2008, 11:37 am |
|
คิดแต่เรื่องความตาย
๔๕. คนที่เศร้าสร้อย และคิดถึงเรื่องความตายเป็นนิตย์
เป็นเพราะกรรมใด เคยฆ่าตัวตายมาบ่อยในชาติก่อนหรืออย่างไร
คิดว่าเป็นเหตุในปัจจุบันมากกว่า
เขาคงได้ประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนานานาประการ
เช่น โรคร้ายไข้เจ็บอันเรื้อรัง
สภาพในครอบครัวที่ทําให้อึดอัดขัดใจ แก้ปัญหาไม่ได้
ทําให้เป็นโรคซึมเศร้า
|
|
แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 31 มี.ค.2008, 4:37 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
28 มี.ค.2008, 11:40 am |
|
การทำแท้ง
๔๖. การทําแท้งเป็นบาปปาณาติบาต
หากทําด้วยความจําเป็น และทําบุญต่อภายหลังอย่างสม่ำเสมอ
จะผ่อนคลายบาปลงได้หรือไม่ ด้วยวิธีใด
คําถามนี้หมายถึงความจําเป็นส่วนตัว
ไม่เกี่ยวกับความจําเป็นที่สังคมมากําหนดความเห็นให้
การทําแท้งไม่ว่าในกรณีใดๆ เป็นบาปทั้งนั้น
ถ้าความจําเป็นส่วนตัว เช่น ไม่พร้อมที่จะมีลูก
หรือความจําเป็นที่สังคมกําหนด เช่น เด็กออกมาจะพิการ
กรณีแรกไม่สมควรทําอย่างยิ่ง มีทางออกที่พอหาได
เช่น ยอมรับความจริง หรือก้มหน้ารับผลแห่งกรรมไป
ส่วนในกรณีหลัง ควรให้แพทย์สั่งให้ทําเหมือนเป็นการบําบัดโรค
เพราะถ้าเด็กออกมาพิการ จะเป็นความทุกข์ที่ยืดเยื้อของเด็กไปตลอดชีวิต
แต่ถ้าเป็นการพิการที่พอแก้ไขได้ ก็ควรหาทางแก้ไข
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
28 มี.ค.2008, 11:44 am |
|
การพูดปดที่จำเป็น
๔๗. การพูดปดโดยความจําเป็น
หรือไม่พูดปดแต่พูดเลี่ยงไปเพื่อจะได้ไม่ต้องปด
ยังนับเป็นบาป ศีลขาดหรือไม่
การพูดปดนี้ ถ้าพร้อมด้วยองค์ ศีลก็ขาด
เช่น เรื่องไม่จริง, รู้อยู่ว่าเรื่องไม่จริง,
มีเจตนาในการพูด และพูดออกไปตามเจตนานั้น ศีลก็ขาด
แต่เรื่องโทษของมุสาวาทนี้ต้องพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง
มุสาวาทที่มีโทษมาก เพราะทําลายประโยชน์ของผู้อื่นมาก
เช่น เป็นพยานเท็จในศาล ทําให้ฝ่ายหนึ่งต้องเสียทรัพย์สินมากมาย
จนถึงกับล้มละลายก็มี พูดเท็จแล้วทําให้เขาแตกกัน
แค้นเคืองกันจนฆ่ากันตายก็มี อย่างนี้มีโทษมาก
แต่ถ้าพูดเท็จ เพียงเพื่อเอาชีวิตรอดเพียงเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
แม้ศีลข้อมุสาวาทจะขาดแต่ท่านไม่ปรับเป็นโทษ
ยังจะเป็นคุณเสียอีกทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น
เช่น เจ้าอาวาสท่านหนึ่งมีกรณีพิพาทกับคนข้างวัด
เขาจ้างมือปืนมายิงท่าน วันหนึ่งท่านกวาดขยะอยู่
มือปืนมาถามว่าท่านคือเจ้าอาวาสใช่ไหม ท่านบอกว่าไม่ใช่
เขาก็เดินเลยไป เขาไม่ต้องเป็นฆาตกร
ท่านก็รอดชีวิต อย่างนี้ไม่บาปและไม่มีโทษ
ส่วนการพูดเลี่ยงซึ่งอนุโลมมุสาวาทนั้น
ให้ถือเอาคุณและโทษเป็นหลักว่า ควรทําหรือไม่เพียงไร
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
28 มี.ค.2008, 11:48 am |
|
การให้ผลของกรรม
๔๘. ในเรื่องการขโมย ท่านอธิบายว่าถ้าขโมยแกะของเศรษฐี ๑ ตัว
โทษไม่หนัก เพราะเศรษฐีมีแกะ ๑๐๐ ตัว
แต่ถ้าขโมยของคนยากจนที่มีแกะตัวเดียว โทษจะหนักมาก
เมื่อเทียบกับเรื่อง หญิงสาวที่เห็นน้ำลายที่ถ่มอยู่บนพื้นแล้วกล่าวว่า
โสเภณีที่ไหน มาถ่มน้ำลายตรงนี้
ผู้หญิงคนนี้ต้องไปใช้กรรมเป็นโสเภณี ๕๐๐ ชาติ
เพราะคนที่ถ่มน้ำลายบังเอิญเป็นอรหันต์
แต่เหตุการณ์นี้ ภิกษุณีที่เป็นอรหันต์ก็ไม่ได้รับทราบ และถึงทราบก็คงไม่ถือสา
อย่างนี้นับว่าผู้ถูกกระทําไม่เดือดร้อน เหมือนเศรษฐีที่แกะหายไป ๑ ตัว
ทําไมหญิงสาวผู้ทําจึงโทษหนักหนาสาหัสนัก
เป็นเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่ใช่กฎที่คนตั้งขึ้น
กรรมย่อมให้ผลไปตามความเหมาะสม
อาจตรงกับความคิดของเราบ้าง
ไม่ตรงกับความคิดของเราบ้าง
ที่ผู้ถามอ้างถึงนั้น เป็นเรื่องของนางอัมพปาลีผู้เป็นโสเภณี
ได้ถวายสวนมะม่วงเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า ณ กรุงเวสาลี
ต่อมามีลูกชายได้บวชสําเร็จเป็นพระอรหันต์
นางอัมพปาลีเองก็บวชเป็นภิกษุณี
ได้สําเร็จเป็นพระอรหันต์เช่นเดียวกัน
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
28 มี.ค.2008, 11:51 am |
|
การทำบุญที่ดีที่สุด
๔๙. การทําบุญที่ดีที่สุดคืออะไร ทําอย่างไรคะ
การทําบุญที่ดีที่สุด คือ การอบรมตนให้เป็นคนดี
จนถึงสิ้นกิเลสตามที่กล่าวแล้วในข้อ ๑๙
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
28 มี.ค.2008, 11:54 am |
|
การทำบุญทุ่มสุดตัว
๕๐. สํานักที่ให้คําสอนผิด
เช่น บอกว่าต้องทําบุญทุ่มสุดตัว จะได้บุญมาก
แต่กลับมีคนไปเข้าสํานักมาก เป็นเพราะเหตุใด
หรือยิ่งมีคนมากเป็นพลังดูดคนอื่นๆ ตามเข้าไป
ถูกต้องแล้ว เพราะกําลังคนมากก็ดูดคนได้มาก
ถ้าเขามีศิลปะในการชักชวนด้วยก็จะได้มากขึ้น
มนุษย์เราแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตามอธิมุตคืออุปนิสัย, อัธยาศัย
เรื่องทํานองนี้มีมาตั้งแต่พุทธกาลจนถึงบัดนี้ ให้ถือเป็นเรื่องธรรมดา
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 มี.ค.2008, 3:59 pm |
|
ทำบุญอย่าติดบุญ
๕๑. ท่านสอนว่า ทําบุญอย่าติดบุญ
แต่พอไม่ได้ทําบุญ หรือทําบุญไม่ได้เต็มที่
เรารู้สึกกังวลใจ บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร
ก็ดูจะเป็นเพียงคําปลอบใจ อาจารย์จะสอนอย่างไรคะ
ในระดับสูง ท่านสอนไม่ให้ติดในผลของบุญ
แต่หมั่นทําเหตุไว้ ส่วนผลเป็นเรื่องของเหตุที่จะจัดการให้
การไม่หวังผลบุญเป็นเงื่อนไขอันหนึ่งที่ท่านว่า
ทําให้บุญที่ทํานั้นมีผลมากและมีอานิสงส์มาก (นัยทานสูตร)
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 มี.ค.2008, 4:02 pm |
|
ใส่บาตรรูปแบบใหม่
๕๒. เมื่อเห็นพระสงฆ์ท่านบิณฑบาต ถือถุงใหญ่ๆ จนหนักแล้ว
มีความคิดว่าท่านไม่ขาดแคลน จึงอยากส่งเงินไปที่วัดต่างจังหวัด
เพื่อเลี้ยงอาหารสามเณรในโรงเรียนวัด
หรือส่งเงินไปมูลนิธิต่างๆ ช่วยเหลือคนยากจนแทน
ทําอย่างนี้จะเหมือนกับเราได้ตักบาตรทุกวันไหมคะ
และจิตที่คิดไม่ตักบาตรแบบนี้ นับเป็นอกุศลจิตหรือเปล่า
ดี ไม่เป็นอกุศลจิต แต่เป็นความฉลาดรอบคอบในการทําบุญ
การส่งเงินไปบํารุงสถานศึกษาเพื่อเป็นค่าภัตตาหารภิกษุสามเณร
เท่ากับเป็นการได้ใส่บาตรทุกวันเหมือนกัน
และได้ใส่บาตรพระภิกษุสามเณรจํานวนมากด้วย ขออนุโมทนา
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 มี.ค.2008, 4:06 pm |
|
เล่นหุ้น (1)
๕๓. การซื้อหุ้นเพื่อกินเงินปันผล หรือเพื่อขายในตลาดหุ้น
นับว่าเป็นการเล่นพนันหรือไม่ ผิดศีลหรือเปล่า
ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องหุ้น เคยได้ยินแต่เขาพูดกันว่า
คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น
พิจารณาตามเงื่อนไขที่ถาม การเล่นหุ้นไม่ผิดกฎหมาย
ไม่ผิดศีลข้อใด ดูเหมือนจะเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน หมุนเงิน
ให้เงินทํางาน คล้ายฝากเงินธนาคารได้ดอกเบี้ย
แต่การเล่นหุ้นได้ผลประโยชน์สูงกว่า แต่เสี่ยงมากกว่า
เคยทราบว่านักเล่นหุ้นบางคนสูญเสียย่อยยับจนถึงฆ่าตัวตายก็มี
ถ้าจะเล่นบ้างก็ไม่ควรหวังรวยมาก
เพราะถ้าพลาดพลั้งก็จะสูญเสียมาก ขอให้ใช้วิจารณญาณให้หนัก
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 มี.ค.2008, 4:10 pm |
|
เล่นหุ้น (2)
๕๔. ถ้าเราจะซื้อหุ้นใด จะต้องดูว่ากิจการนั้นๆ เป็นบาปหรือไม่
แต่เท่าที่เคยคิดดู ดูเหมือนมันจะเบียดเบียนไปหมด
เช่น บริษัททํานิตยสาร ก็จะเป็นการทําให้เพลิดเพลิน
ดูคล้ายกรณีนักฟ้อนรําที่ว่าทําให้ผู้ดูบันเทิงเพลิดเพลิน เป็นบาป
แม้แต่ปูนซีเมนต์ไทย พอพิจารณา เขาก็สกัดภูเขา
เหมือนทําลายธรรมชาติส่วนหนึ่ง
หรือหุ้นธนาคาร เขาก็มาจากการกินดอกเบี้ย เป็นต้น
ควรจะเป็นอย่างนั้น คือไม่ซื้อหุ้นซึ่งมีกิจกรรมอันเป็นบาป
เพราะว่าหุ้นชนิดนี้ เมื่อเจริญเติบโตขึ้นก็จะยิ่งทําลายสังคมมากขึ้น
เมื่อลงรากลึกแล้วทําลายได้ยาก
เคยมีนิทาน ชาดกเล่าไว้ถึงเรื่องต้นไทรที่ขึ้นบนต้นทองกวาว
เพราะมีนกมาถ่ายมูลไว้
มีนกหงส์ตัวหนึ่ง เตือนเทพซึ่งสถิตอยู่ที่ต้นทองกวาวว่า
ให้รีบทําลายต้นไทรเสีย มิฉะนั้นเมื่อต้นไทรเติบโตขึ้น
มันจะเบียดเบียนต้นทองกวาวจนตั้งอยู่ไม่ได้
แต่เทพผู้สถิตอยู่ที่ต้นทองกวาวก็ไม่เชื่อฟัง
เห็นไปว่าต้นไทรจะเป็นประโยชน์ในภายหน้า
แต่เมื่อต้นไทรเติบโตขึ้นจริงๆ หยั่งรากลงดินได้มากแล้ว
ก็รีดรั้งต้นทองกวาวจนพังพินาศไป
เทพที่สถิตอยู่ ณ ต้นทองกวาวก็ทําอะไรไม่ได้
เพราะเทพซึ่งมาอยู่ที่ต้นไทรมีฤทธานุภาพมากกว่า
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอย่างหนึ่งในสังคมว่า
ถ้าปล่อยให้สิ่งที่เป็นอันตรายเจริญเติบโตแล้ว
สิ่งชั่วร้าย อาศัยสังคมใดเจริญเติบโตขึ้น
มันก็จะทําลายสังคมนั้นให้ย่อยยับไป จึงต้องระวังให้มาก
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 มี.ค.2008, 4:15 pm |
|
มีส่วนร่วมเท่ากับทำเอง
๕๕. อาจารย์สอนว่า การมีส่วนร่วมเท่ากับเราทําเอง
เราจะมีหลักการพิจารณาอย่างไรว่า
การกระทําของเรานั้น นับว่า เป็นส่วนร่วมหรือไม
บางเรื่องก็ตัดตอนไป ไม่ได้เป็นส่วนร่วม
เช่น ชาดกเรื่องที่ภรรยาซึ่งเป็นโสดาบัน
ไปหยิบอาวุธให้สามีที่เป็นนายพรานทุกเช้าตามหน้าที่ของภรรยา
แต่ไม่ได้มีจิตคิดว่า ขอให้สามีจงไปทําปาณาติบาต
นับว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในการที่สามีออกไปล่าสัตว์
อย่างเราให้ทานขอทาน ตัดตอนแค่เมตตาเราที่มีต่อขอทาน
ให้เงินไปแล้วจบ ไม่นับว่ามีส่วนร่วม ในการทําให้เขาเป็นขอทานต่อไป
ไม่เลิก เพราะมีคนให้ทานอยู่เรื่อยๆ หรือเปล่าคะ
การร่วมมือเท่ากับการทําเอง ตัวอย่างเช่น มีบุคคลผู้หนึ่งศึกษาธรรม
แสดงธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นประโยชน์แก่สังคม
เราทําเช่นนั้นเองไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ
เราจึงร่วมมือสนับสนุนให้บุคคลผู้นั้นทํางานนั้นต่อไป
โดยการบํารุงด้วยปัจจัย ๔ ตามกําลังของเรา และเท่าที่จําเป็น
อย่างนี้จะเรียกว่าทําเองด้วยได้หรือไม่ เพราะผู้แสดงธรรมถ้าขาดปัจจัย ๔
ซึ่งเป็นเครื่องอุดหนุนตนเสียแล้ว ย่อมจะทําไปไม่ได้
ผู้ที่ให้ปัจจัย ๔ บํารุงบุคคล เช่นนั้นเป็นต้นว่า
พระภิกษุ ถือว่าเป็นการร่วมมือเหมือนกับทําเอง
ในทางฝ่ายชั่ว เช่น ให้สถานที่แก่นักการพนันเพื่อเล่นการพนัน
ให้สุราแก่นักดื่ม ฯลฯ เหล่านี้
เป็นการส่งเสริมการพนันและการดื่มสุราซึ่งเป็นอบายมุข
เขาจะปล้นกันตัวเองไม่ได้ปล้นแต่คอยดูต้นทาง อย่างนี้ก็เป็นการร่วมมือ
เท่ากับทําเอง กฎหมาย ไม่ได้ยกเว้นบุคคลประเภทนี้
ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีอยู่ข้อหนึ่งเรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย
แปลว่าอนุโมทนาส่วนบุญที่ผู้อื่นทํา
จัดเป็นบุญอย่างหนึ่ง โดยที่ตัวไม่ต้องทําเอง แต่เท่ากับเป็นการร่วมมือ
กรณีให้เงินแก่ขอทาน ควรจะตัดตอนที่เมตตาอย่างที่ผู้ถาม
กล่าวเผื่อว่าไปถูกคนที่เขาลําบากจริงๆ ไม่ได้มาจากกลุ่มบุคคลที่หลอกลวง
เราก็จะมีความสุขใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์บ้างตามโอกาสอันควร
ในสมัยพุทธกาล พวกเศรษฐีเมืองต่างๆ มักจะตั้งโรงทาน
เพื่อคนกําพร้าและคนอนาถา เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี
ท่านโฆสกเศรษฐีแห่งเมืองโกสัมพีเป็นต้น
ไม่ปรากฏคําตําหนิติเตียน มีแต่ผู้ยกย่องสรรเสริญ
ตายแล้วไปสุคติ เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ เป็นประโยชน์แก่คนหมู่มากด้วย
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 มี.ค.2008, 4:26 pm |
|
ปล่อยเงินกู้
๕๖. การให้กู้กินดอกเบี้ย เป็นบาปไหมคะ
ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ในการเรียนธรรมะ
มีน้องคนหนึ่งกําลังลําบากด้วยหนี้สิน ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕
หนูถามว่าทําไมแพงนัก เขาตอบว่า ขนาด ๑๕ นี้ยังหากู้ยาก
จึงแนะนําให้เขายืมเงินจากอีกคนหนึ่ง
คิดดอกเบี้ยร้อยละ ๕ บาทต่อเดือน
ทําให้ก็ดีด้วยกันทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้
แม้ว่าร้อยละ ๕ จะค่อนข้างไปทางแพงเล็กน้อย
แต่ทําให้ผู้กู้เบาลงมาก มีทางหมดหนี้ได้
การออกเงินกู้กินดอกเบี้ย ถ้าไม่แพงเกินไปก็ไม่เป็นบาป
ดูเหมือนกฎหมายจะให้กินดอกได้ร้อยละ ๒ ต่อเดือน
ที่สําคัญประการหนึ่งก็คือ ให้ตั้งจิตเพื่ออนุเคราะห์เขา เหมือนกับให้เขายืม
แต่ให้ผลประโยชน์แก่เราบ้าง เพราะเราหาเงินมาได้ด้วยความยากลําบาก
ถ้านําไปฝากธนาคารก็ได้ดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน
แต่ถ้าเก็บดอกมากเกินไป เช่น ร้อยละ ๑๕-๒๐ ต่อเดือน
แม้ผู้กู้จะยอมรับเพราะความจําเป็น แต่จะไม่เป็นการกดขี่เขามากเกินไป
หรือขอให้นึกถึงมโนธรรมให้มาก ในเรื่องนี้ก็จะทําได้แต่พอดี
ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 มี.ค.2008, 4:37 pm |
|
การเผยแผ่ศาสนา
๕๗. คนส่วนใหญ่มักมองว่าพระควรอยู่เงียบๆ
สอนเทศน์ญาติโยมที่วัดก็พอ
(แต่พอพระเข้าธุดงค์เงียบๆ คนก็ยกขบวนไปกวน)
จริงๆ แล้ว ตามแต่อัธยาศัยของพระหรืออย่างไร
ว่าจะอยากออกมาทําสังคมสงเคราะห์อย่างหลวงพ่อพระพยอม
การเผยแผ่ศาสนามี ๒ ลักษณะคือ
๑. ตั้งรับ ได้แก่ การอยู่ประจําที่อยู่วัดให้ชาวบ้านมารับธรรมะไปเอง
๒. การเผยแผ่เชิงรุกคือการประกาศศาสนาด้วยการจาริกไปในที่ต่างๆ
อย่างที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับภิกษุ ๖๐ รูป
ในการให้ไปเผยแผ่ศาสนาครั้งแรก ว่าให้จาริกไปเพื่อแสดงธรรม
เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก พระองค์เองก็จะเสด็จไปเมืองราชคฤห์
มาถึงบัดนี้ การเผยแผ่เชิงรุกมีหลายแบบ
เช่น การบรรยายธรรมทางสถานีวิทยุต่างๆ ทางสถานีโทรทัศน์บ้าง
การพิมพ์หนังสือออกเผยแผ่บ้างทางอินเตอร์เน็ตบ้าง
นับว่าได้ก้าวหน้าไปมาก ส่วนการทํากิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคม
พระภิกษุก็ได้ทําอยู่หลายรูปแบบ เช่น ให้การศึกษาแก่เยาวชน
การช่วยเหลือคนยากจน เป็นต้น นับว่าเป็นเรื่องดี
เมื่อนางวิสาขาสร้างบุพพาราม
ได้ขอร้องให้พระมหาโมคคัลลานะอยู่เป็นประธานในการก่อสร้าง
ด้วยเห็นว่า พระมหาโมคคัลลานะมีฤทธิ์มาก
น่าจะใช้ฤทธิ์ของท่านเป็นประโยชน์ในการขนย้ายสัมภาระต่างๆ
พระพุทธเจ้าทรงอนุมัติ การก่อสร้างได้สําเร็จเรียบร้อยไปด้วยดีและโดยเร็ว
อย่างนี้จะเรียกว่า พระมหาโมคคัลลานะอยู่ช่วยเหลือ
กิจกรรมในการก่อสร้างได้หรือไม่
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 มี.ค.2008, 5:03 pm |
|
คาถาบังสุกุล
๕๘. ทําไมงานศพพระต้องสวดบทอนิจจา วต สังขารา
แปลว่าอะไร
อนิจจา วต สังขารา เป็นคาถาบังสุกุล พิจารณาสังขาร
ใจความว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีการเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา
เกิดขึ้นแล้วดับไป การสงบสังขารเสียได้ เป็นสุข
คําว่า สังขาร หมายได้ทั้ง ๒ อย่าง
คือ สังขารที่เป็นร่างกาย และสังขารที่เป็นนามธรรม
หมายถึง ความคิดปรุงแต่งให้เกิดบุญให้เกิดบาป
ให้เกิดกิเลส ให้เกิดคุณธรรม แล้วแต่จะปรุงไป
เช่น สังขารในขันธ์ ๕ (รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ)
ถ้าสังขารปรุงดี วิญญาณหรือจิตก็จะดี
ถ้าสังขารปรุงชั่ว วิญญาณหรือจิตก็จะชั่ว
สังขารปรุงอย่างใดมากๆ จิตก็จะเป็นอย่างนั้น
เช่น ปรุงให้เกิดโทสะเรียกว่าจิตประกอบด้วยโทสะ
ปรุงให้เกิดเมตตา เรียกว่าจิตประกอบด้วยเมตตา
สังขารเป็นเจตสิกแปลว่า เนื่องอยู่กับจิต
จึงต้องระวังเรื่องสังขารนี้ให้มาก
การสงบสังขารเสียได้เป็นสุข
หมายถึง สงบตัวปรุงแต่งให้เกิดกิเลสต่างๆ
ดับกิเลสได้มากเท่าใดสุขทางใจก็มีมากเท่านั้น
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 มี.ค.2008, 5:06 pm |
|
ผู้สูงอายุกับความตาย
๕๙. เราจะบอกกับผู้สูงอายุที่ท่านร่ำเรียนมาน้อย
มีความยึดมั่นกับชีวิตอย่างไร เมื่อท่านกลัวความตาย
และไม่อยากฟังใครพูดเรื่องความตาย
จะอยากฟังหรือไม่อยากฟังก็ต้องตาย
จะเสียดาย ชีวิตหรือไม่เสียดายก็ต้องตาย
เพราะธรรมดาชีวิตเป็นเช่นนั้น
พยายามเพื่อจะไม่ตายสักเท่าไร ก็ไม่สําเร็จสําหรับผู้เกิดมาแล้ว
แต่การได้ฟังเรื่องความตายบ่อยๆ จนคุ้นเคยกับความตาย
เป็นกันเองกับความตาย จะทําให้ไม่กล้าหรือกลัวน้อยลงเป็นเรื่องดี
|
|
|
|
|
|
|