Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่า ศาสนาพุทธดีที่สุด อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83

ตอบตอบเมื่อ: 30 ม.ค. 2008, 9:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็ข้าพเจ้าเคยศึกษา อ่าน เปรียบเทียบมาหลายศาสนา ใครก็ว่าใครดีที่สุด ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านทั้งหลายเห็นว่าพุทธดีที่สุดเพราะในบัตรประชาชนท่านทั้งหลายระบุตั่งแต่เกิดว่าเป็นพุทธ

ในการตั้งกระทู้นี้ไม่มีความต้องการให้ท่านทั้งหลายเปรียบเทียบ แต่ให้ท่านที่เป็นพุทธบอกมาหน่อยว่าท่านถือพุทธเพราะอะไร(ต้องการความคิดเห็น ไม่ต้องการบทความที่ก๊อบมา)

พุทธของท่านทั้งหลายอยู่ที่ใหน (หิ้งพระ วัด เหรียญ อภินิหาร ฯลฯ)

แล้วท่านเป็นพุทธที่ดีหรือยัง

สาธุ


.........................................................
กระทู้ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน

มีเพื่อนมาชวนให้เปลี่ยนศาสนา...จะดีไหม?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6088

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 30 ม.ค. 2008, 11:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คำสอนของพุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่น คือ คำสอนของศาสนาอื่นนั้นเป็นคำสั่งสำเร็จรูปที่ศาสนิกจะต้องทำตามให้เทพเจ้าพึงพอใจสถานเดียว ใครไม่ทำตามจะถูกลงโทษจากเทพเจ้าเบื้องบนโดยการให้ตกนรกไปตลอดกาล

แต่คำสอนของพุทธศาสนาเป็นเพียงการนำกฎความจริงของธรรมชาติมาบอกเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้สร้างกฏหรือผู้บังคับผู้คนให้ต้องทำตามกฏ พระองค์เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่พยายามสั่งสม/บำเพ็ญบารมีมาแล้วเป็นล้านๆ ชาติ จนได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้แจ้งในกฏเกณฑ์ทั้งปวงของธรรมชาติว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีอะไรเป็นสาเหตุ ดังปรากฏหลังฐานให้ศึกษาในจูฬกัมมวิภังคสูตร และทรงรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะหลุดพ้นไปจากกฎเกณฑ์ทั้งปวงของธรรมชาติได้

ศาสนาพุทธมิใช่ว่าปฏิเสธเรื่อง “เทพเจ้า” แต่ไม่ให้ความสำคัญและไม่ใส่ใจที่จะไปพึ่งพายึดถือ เพราะพระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า การได้เป็นเทพหรือการไปเกิดอยู่ในวิมานในสวรรค์แล้วยังมิใช่สุขแท้สุขถาวรที่ไม่ต้องกลับมาเป็นทุกข์อีก คือ แม้จะได้เกิดเป็นเทวดา...ไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ตกนรกบ้าง ขึ้นสวรรค์บ้าง ถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็มีโอกาสที่จะตกนรกสูง เพราะคนที่เกิดมาแล้วไม่ทำบาปเลยไม่มี

ศาสนาพุทธมุ่งศึกษาแต่ในประเด็นว่าทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นไปจากกฏเกณฑ์ทั้งปวงได้ ไม่ต้องยอมสยบอยู่กับอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ทรงค้นพบวิธีการนั้น นั่นก็คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่สามารถปฏิบัติให้เห็นผลได้จริงในชาติปัจจุบัน ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ด้วยตนเองในชาตินี้ ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน ซึ่งมีพระอริยเจ้าในพุทธศาสนาสามารถพิสูจน์ทราบจนเห็นประจักษ์แล้วนำออกเผยแผ่สืบทอดต่อๆ กันมาทุกยุคทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน

ดูต่อ ที่ : http://www.tlcthai.com/club/list_topic.php?club=buddhism&club_id=1278&table_id=1&cate_id=788
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ชัย
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 26
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด

ตอบตอบเมื่อ: 30 ม.ค. 2008, 12:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็ข้าพเจ้าเคยศึกษา อ่าน เปรียบเทียบมาหลายศาสนา ใครก็ว่าใครดีที่สุด ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านทั้งหลายเห็นว่าพุทธดีที่สุดเพราะในบัตรประชาชนท่านทั้งหลายระบุตั่งแต่เกิดว่าเป็นพุทธ

ในการตั้งกระทู้นี้ไม่มีความต้องการให้ท่านทั้งหลายเปรียบเทียบ แต่ให้ท่านที่เป็นพุทธบอกมาหน่อยว่าท่านถือพุทธเพราะอะไร(ต้องการความคิดเห็น ไม่ต้องการบทความที่ก๊อบมา)

พุทธของท่านทั้งหลายอยู่ที่ใหน (หิ้งพระ วัด เหรียญ อภินิหาร ฯลฯ)

แล้วท่านเป็นพุทธที่ดีหรือยัง

สาธุ

สาธุ สาธุ ขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบพระองค์นั้น

เบื้องต้น ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวก่อน
คำถามหรือกระทู้นี้มีความล่อแหลมมากไปหน่อย มากไปต่อการทำให้เกิดการโต้แย้ง โต้เถียงกัน และอาจนำไปสู่การถูกล๊อคกระทู้ได้

ท่ามกลาง ขอแสดงความคิดเห็นต่อข้อความในกระทู้ ทั้งนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น เพราะผู้ตอบก็ยังไม่สำเร็จมรรคผลใดๆ ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นให้มากความได้ ทั้งนี้ขออโหสิกรรมต่อพระพุทธศาสนาในข้อความที่บิดเบือนหรือไม่ถูกต้อง
ข้อแรก ท่านถือพุทธเพราะอะไร
ขอตอบว่า ถือเพราะบรรพบุรุษดั้งเดิมได้นับถือสืบต่อกันมา
ถือเพราะเป็นศาสนาประจำชาติ
ถือเพราะในหลวงพระองค์ท่านทรงเป็นพุทธมามกะนำพสกนิกรไทยนับถือ
ถือเพราะหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์เป็นวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้
ถือเพราะเมื่อเราปฏิบัติธรรมแล้วเป็นจริงตามคำสอนนั้นได้

ข้อ 2 พุทธของท่านทั้งหลายอยู่ที่ใหน
ขอตอบว่า อยู่ที่การปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ บนพื้นฐานของความศรัทธาต่อองค์ศาสดาและพระศาสนา ทั้งนี้มีใจเป็นประธาน

ข้อ 3 แล้วท่านเป็นพุทธที่ดีหรือยัง
ขอตอบว่า การเป็นพุทธบริษัทที่ดีนั้น คือ
1. ศรัทธาในพระพุทธองค์
2. เชื่อโดยสนิทใจไม่มีข้อสงสัยตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
3. ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ด้วยความสนิทใจไม่สั่นคลอน
4. ไม่นอกใจไปนับถือลัทธิหรือศาสนาอื่นโดยเด็ดขาด

ที่สุด ขออนุโมทนา
 

_________________
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83

ตอบตอบเมื่อ: 30 ม.ค. 2008, 1:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้าเป็นผู้ด้อยปัญญาธรรม แต่คำถามนี้ไม่ล่อแหลม เป็นเพียงคำถามเพื่อหาความเป็นพุทธที่แท้จริง คำตอบที่ควรได้รับคือ ตัวของท่านเอง ต่อพุทธศาสนา ไม่ควรนำเอาคำตอบของผู้อื่นที่เขียนไว้ ที่อ่านเจอ มาตอบกระทู้ ควรเอามาจากความเป็นท่านเอง ในความเป็นพุทธ(จากใจท่านเอง)

ท่าน ชัย กรุณาตอบข้อ 3 ใหม่ด้วยจ้า
คำตอบ มีแค่ ท่านดี กับ ท่านไม่ดี ในความเป็นพุทธพอหรือยัง(จะอธิบายต่อก็ได้) ไม่ได้ถามว่า ที่ดีคืออะไร

สาธุ

ส่วนท่าน มอนตาซาวิ ไม่เห็นกรุณาแสดงความคิดเห็นเลย (ตามประเด็นที่ตั้งไว้นะท่าน)

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
z
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 23 ต.ค. 2007
ตอบ: 46
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 30 ม.ค. 2008, 8:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

....เรียนรู้....................?

....จึงเข้าใจ.................?

.....จึงยอมรับ...............?

.....แล้วก็เลิกสนใจ.........?
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ratchadapa
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 30 ม.ค. 2008, 8:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พุทธของท่านทั้งหลายอยู่ที่ใหน (หิ้งพระ วัด เหรียญ อภินิหาร ฯลฯ)

แล้วท่านเป็นพุทธที่ดีหรือยัง


พุทธของดิฉันอยู่ที่สามารถรู้และเข้าใจโลกตามที่เป็นจริง
หิ้งพระและพระพุทธรูป มีไว้ระลึกถึงองค์พระศาสดา และคำสอนของพระองค์
วัดคือแหล่งความรู้ เป็นที่สร้างประโยชน์ไว้ให้พระศาสนา
เหรียญและอภินิหารไม่สำคัญอะไร มีจริงก็ไม่หวังพึ่ง ไม่อ้อนวอนขอ ทำเหตุให้ตรงผลก็ตามมา หากไม่สำเร็จก็ช่างมัน ไม่ทุรนทุราย ยิ้ม

เป็นพุทธที่ดีหรือยัง อันนี้คงจะพอวัดได้จากไตรสิกขา ศีล สมาธ ปัญญา ก็ค่อยพัฒนาไป ศีลก็พอรักษาได้ซัก 90 - 95 % สมาธิยังเรียกว่าระดับอนุบาล ปัญญาไม่อยากวัด คิดว่ามากก็จะกลายเป็นประมาทไป ถ้าคิดว่าน้อยไว้ก่อนจะได้เพิ่มความเพียร

ถ้าวัดด้วยพละ 5 ปฏิญาณได้เลยว่ามี อจลศรัทธา ไม่หวั่นไหวถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ นอกนั้น วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ยังต้องพัฒนาต่อไป
 

_________________
พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 30 ม.ค. 2008, 8:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ประโยชน์ของการปฏิบัติวิปัสสนาที่พบเห็นจากประสบการณ์ตรง

ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีมากมายยากที่จะอธิบายให้เห็นจริงได้ จนกว่าผู้นั้นได้ลงมือปฏิบัติจนได้เห็นผลจริงด้วยตนเอง แต่พอกล่าวเป็นตัวอย่างได้ดังนี้

๑. ทำให้บรรลุโสดาบันได้ภายใน ๓-๔เดือน (..เท่านั้น)

โสดาบัน แปลว่า เข้าถึงกระแสที่จะไหลไปสู่ความไม่เกิดอีกภายใน ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง(1) (เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว) เป็นมรรคขั้นต้นของมรรคทั้ง ๔ ( โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค) ที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา เป็นเป้าหมายสำคัญที่สัตว์ทั้งมวล ผู้รักสุขเกลียดทุกข์และต้องการ สุขแท้สุขถาวร ควร/ต้องไปให้ถึงให้ได้ภายในชาตินี้ ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้วิปัสสนาญาณเกิดไปตามลำดับจนครบ ๑๖ ขั้น ก็จะสำเร็จเป็นพระโสดาบันโดยสมบูรณ์(2)

๒. เมื่อบรรลุโสดาบันแล้ว ถ้าหากต้องการมีฤทธิ์ มีเดช ก็สามารถฝึกสมถกรรมฐานต่อได้เลย จะสำเร็จได้ในระยะเวลาไม่นาน ในขณะที่การปฏิบัติสมถล้วนๆ ต้องใช้เวลาปฏิบัติกันถึง ๒-๓ปี หรือนานกว่านั้น จึงจะได้ผล

๓. เมื่อปฏิบัติวิปัสสนาถึงสังขารุเปกขาญาณ (ญาณที่ ๑๑) จนแก่กล้าแล้ว ทำให้โรคบางอย่างหายได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ต่อมไทรอย โรคเกี่ยวกับลม เส้นเอ็นและกระดูก (..นี้เป็นตัวอย่างจริงที่พบเห็นจากผู้ร่วมปฏิบัติ เป็นต้น

๔. ถ้ามีเหตุให้ปฏิบัติไม่สำเร็จ ไปติดอยู่เพียงแค่ญาณ ๑๑ ก็ไม่เสียเวลาเปล่า เพราะจะเกิดปัญญาญาณ ที่จะใช้ในการแก้ปัญหาทุกอย่างในโลกได้ ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาทางโลกหรือทางธรรม โดยเฉพาะปัญหาครอบครัวระหว่างสามี ภรรยา ลูก หลาน ญาติพี่น้อง (คิดค้นวิธีเอายานไวกิ้งลงบนดาวอังคารได้ ก็ด้วยการนั่งสมาธินี่แหละ)

๕. ล้างอาถรรพ์ มนต์ดำได้ ไม่ว่าจะถูกของ หรือโดนยาพิษ ยาสั่งมา เมื่อปฏิบัติจนถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว อาถรรพ์จะหายไปจนเกลี้ยง ( เรื่องนี้ขอท้าให้พิสูจน์)



วิธีปฏิบัติวิปัสสนาจากประสบการณ์ตรง

๑) เดินจงกรม เดินกลับไปกลับมา ก้มหน้าเล็กน้อย ส่งจิตกำหนดดูอาการของเท้าแต่ละจังหวะที่เคลื่อนไป อย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง รับรู้ถึงความรู้สึกของเท้าที่ค่อยๆยกขึ้น ค่อย ๆ ย่างลง และความรู้สึกสัมผัสที่ฝ่าเท้า(อ่อน แข็ง เย็น ร้อน ฯลฯ) ส่งจิตดูอาการแต่ละอาการอย่างจรด แนบสนิทอยู่กับอาการนั้น ไม่วอกแวก จนรู้สึกได้ถึงอาการที่เปลี่ยนไป ดับไปของสภาวนั้น ๆ เช่น ขณะย่างเท้า ก็รู้สึกถึงอาการลอยไปเบา ๆ ของเท้า พอเหยียบลงอาการลอย ๆ เบา ๆ เมื่อ ๒-๓ วินาทีก่อนก็ดับไป มีอาการตึงๆแข็งเข้าแทนที่ พอยกเท้าขึ้นอาการตึงๆแข็งๆด็ดับไป กลับมีอาการลอยเบาๆ โล่งๆเข้าแทนที่ เป็นต้น ยิ่งเคลื่อนไหวช้าๆ ยิ่งเห็นอาการชัด และในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น

หากมีความคิดเกิดขึ้นให้หยุดเดินก่อน แล้วส่งจิตไปดูอาการคิด พร้อมกับบริกรรมในใจว่า “คิดหนอๆๆๆ” จนกว่าความคิดจะเลือนหายไป จึงกลับไปกำหนดเดินต่อ อย่ามองซ้ายมองขวา พยายามให้ใจอยู่กับเท้าที่ค่อยๆเคลื่อนไปเท่านั้น ถ้าเผลอหรือหลุดกำหนดให้เอาใหม่ เผลอเริ่มใหม่ ๆๆๆ ไม่ต้องหงุดหงิด การปฏิบัติเช่นนี้ เรียกว่า “เดินจงกรม” ต้องเดิน ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย

๒) นั่งสมาธิ นั่งตัวตรง แต่ไม่ต้องตรงมาก ให้พอเหมาะสมกับสรีระของตนเอง นั่งสงบนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนอวัยวะส่วนใดทั้งสิ้น จนสังเกตได้ว่าอวัยวะที่ยังไหวอยู่มีแต่ท้องเท่านั้น ให้ส่งจิตไปดูอาการไหวๆนั้นอย่างต่อเนื่อง แค่ดูเฉยๆ อย่าไปบังคับท้อง ปล่อยให้ท้องไหวไปเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ นั่งกำหนดดูอย่างติดต่อ ต่อเนื่อง ไม่หลุด ไม่เผลอ ถ้ามีเผลอสติบ้างก็ไม่ต้องหงุดหงิด เผลอ..เอาใหม่ ๆ จนเห็นอาการพอง อาการยุบค่อยๆชัดขึ้น ขณะเห็นท้องพองกำหนดในใจว่า “พองหนอ” ขณะเห็นท้องยุบกำหนดในใจว่า “ยุบหนอ” บางครั้งท้องนิ่งพอง-ยุบไม่ปรากฏก็ให้กำหนดรู้อาการท้องนิ่งนั่น “รู้หนอๆๆ” หรือ “นิ่งหนอๆๆ” บางครั้งพอง-ยุบเร็วแรงจนกำหนดไม่ทัน ก็ให้กำหนดรู้อาการนั้น “รู้หนอๆๆ”

ถ้าขณะนั่งกำหนดอยู่มีความคิดเข้ามาให้หยุดกำหนดพองยุบไว้ก่อน ส่งจิตไปดูอาการคิด พร้อมกับบริกรรมในใจว่า “คิดหนอๆๆ” แรงๆ เร็วๆ โดยไม่ต้องสนใจว่าคิดเรื่องอะไร พออาการคิดจางไปแล้ว หรือหายไปโดยฉับพลัน ให้กำหนดดูอาการที่หายไป “รู้หนอๆๆ” แล้วรีบกลับไปกำหนดพอง-ยุบต่อทันที อย่าปล่อยให้จิตว่างจากการกำหนดเด็ดขาด

ขณะที่กำหนดอยู่นั้น ถ้าเกิดอาการปวดขา หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งขึ้นมา ให้ทิ้งพอง-ยุบไปเลย แล้วส่งจิตไปดูอาการปวดนั้น บริกรรมในใจว่า “ปวดหนอๆๆ” พยายามกำหนดดูอย่างติดต่อ ต่อเนื่อง แต่อย่าเอาจิตเข้าไปเป็นทุกข์กับอาการปวดนั้น ภายใน ๕ หรือ ๑๐ วันแรกให้กำหนดดูอาการปวดอย่างเดียว ไม่ต้องสนใจอารมณ์อื่นมากนัก จนกว่าอาการปวดจะหาย หรือลดลง วันแรกๆ อาการปวดจะไม่รุนแรงมากนัก นั่งได้ ๑ ชั่วโมงแบบสบายๆ พอเรามีสมาธิมากขึ้น มีญาณปัญญามากขึ้น อาการปวดจะค่อยๆรุนแรงขึ้น จนทนแทบไม่ไหว จากที่เคยนั่งได้ ๑ ชั่วโมง พอวันที่ ๕-๖ เป็นต้นไป นั่ง ๑๐ หรือ ๒๐ นาทีก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว ให้พยายามนั่งกำหนดต่อไปจนกว่าจะครบชั่วโมง (เพื่อจะได้เป็นกำลังใจในการกำหนดบัลลังก์ต่อๆไป) ยิ่งปวดมากก็ยิ่งกำหนดถี่ๆเร็วๆ แรงๆ นั่นแสดงว่าสมาธิของเราก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ภายใน๑๐-๒๐ วันเวทนาก็จะหายขาดไปเอง หรืออาจจะมีอยู่บ้างเล็กน้อยช่วงท้ายบัลลังก์ ถึงต้อนนี้วิปัสสนาญาณของคุณก้าวเข้าสู่ขั้นที่ ๔ แล้ว ขั้นต่อไป ไม่ควร/ห้ามปฏิบัติด้วยตนเอง(อย่างเด็ดขาด) ต้องมีพระอาจารย์คอยควบคุมอย่างใกล้ชิด มิฉะนั้นแล้วจะเกิดผลเสียมากว่าผลดี ..ขอเตือน.. ที่อธิบายมานี้เป็นเพียงหลักปฏิบัติเบื้องต้น มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่จะต้องเรียนรู้ ผู้ต้องการปฏิบัติให้เห็นมรรคเห็นผล พึงแสวงหาสำนักปฏิบัติที่เห็นว่าเหมาะสมกับตนเอาเองเถิด..
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83

ตอบตอบเมื่อ: 31 ม.ค. 2008, 4:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่าน รัดชดาพา ตามกิเลสบอกให้รู้ของข้าพเจ้า ท่านจะเป็นพูทธที่มีทางสิ้นสุดภาระกิจได้ จริงๆ
ส่วนท่านอื่นที่ตอบมา กิเลศข้าพเจ้า ไม่ค่อยเข้าใจ ตอบมาทำไม ไม่ได้ถามสักหน่อย(คิดในใจ คงอีกนานกว่าจะสิ้นสุด)

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 31 ม.ค. 2008, 4:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รู้สึกมีโทสะ นิด ๆ นะนี่ ...เพราะถูกตัดสินโดยใครก็ไม่รู้
..แต่ เอ๊ะ..ก่อนหน้านี้ จิตก็ไม่มีโทสะ ...และบัดนี้ โทสะที่เกิดขึ้นก็ได้ดับไปแล้ว

เอ๋อ..สภาวะอนิจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอย่างนี้นี่เอง ...นี่ถ้ายังมัวยึดมั่นอยู่ว่า ใครกันนะมาดูถูกเราได้เพียงเพียงนี้.. ๑ นาทีผ่านไป โทสะ ก็คงยังไม่ดับ แต่..เพราะรู้เท่าทันอาการของโทสะที่เกิดขึ้น ตามดูอาการของโทสะนั้นอย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง จนเห็นสภาวดับไปอย่างชัดเจน คลายความยึดมั่นด้วยอำนาจอุปาทาน ในโทสะนั้น ...จนเกิดปราโมทย์ยินดีว่า สภาวะอนิจัง ทุกขัง อนัตตา ที่แท้จริงเป็นอย่างนี้นี่เอง..

ตอบอย่างนี้..พอจะเป็นพุทธที่มีทางสิ้นภาระ ได้มั๊ยครับ..คุณสี บุญมา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ชัย
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 26
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด

ตอบตอบเมื่อ: 01 ก.พ.2008, 4:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ ท่านสี บุญมา
อ้างถึง.........
ข้าพเจ้าเป็นผู้ด้อยปัญญาธรรม แต่คำถามนี้ไม่ล่อแหลม เป็นเพียงคำถามเพื่อหาความเป็นพุทธที่แท้จริง คำตอบที่ควรได้รับคือ ตัวของท่านเอง ต่อพุทธศาสนา ไม่ควรนำเอาคำตอบของผู้อื่นที่เขียนไว้ ที่อ่านเจอ มาตอบกระทู้ ควรเอามาจากความเป็นท่านเอง ในความเป็นพุทธ(จากใจท่านเอง)

ท่าน ชัย กรุณาตอบข้อ 3 ใหม่ด้วยจ้า
คำตอบ มีแค่ ท่านดี กับ ท่านไม่ดี ในความเป็นพุทธพอหรือยัง(จะอธิบายต่อก็ได้) ไม่ได้ถามว่า ที่ดีคืออะไร

ตอบ กระผมเกิดยุคกึ่งพุทธภูมิ ยังไม่สำเร็จมรรคผลขั้นใด ฉะนั้นถ้าผมตอบคำถามท่านด้วยสำนวนอันสละสลวยของกระผม แต่ผิดหลักพระธรรมวินัยอันพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว แล้วนายชัยก็ไม่พ้นนรกภูมิเป็นแน่ ก็ขอย้ำคำเดิม พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ถ้าปฏิบัติได้ประเสริฐ แน่นอน คือ ทำดี เว้นชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส

สำหรับกระผมแห่งห้อยน้อยไร้แสงแห่งธรรม ความพยายามปฏิบัติเพื่อเป็นพุทธที่แท้จริง ณ ขณะนี้ ก็เพียงนำคำสอนของพระราชวุฒาจารย์(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ มาปฏิบัติเท่านั้น คือ

จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัยสาเหตุแห่งทุกข์
ผลของการส่งจิตออกนอกคือทุกข์
จิตเห็นจิตเป็นมรรค
ผลคือนิโรธ

ก็เลยพยายามดูจิตของตนเอง ไม่คิดไปภายนอก ถ้าคิดขึ้นมาระลึกได้ก็พยายามดึงกลับ

ส่วนท่าน มอนตาซาวิ ต่อข้อที่คุณาสี บุญมา ตอบว่า
ไม่เห็นกรุณาแสดงความคิดเห็นเลย (ตามประเด็นที่ตั้งไว้นะท่าน)

แล้วคุณ มอนตาซาวี ก็
รู้สึกมีโทสะ นิด ๆ นะนี่ ...เพราะถูกตัดสินโดยใครก็ไม่รู้
..แต่ เอ๊ะ..ก่อนหน้านี้ จิตก็ไม่มีโทสะ ...และบัดนี้ โทสะที่เกิดขึ้นก็ได้ดับไปแล้ว

คุณมอนตาซาวี พยายามฝึกจิตหรือหัดจิตหัดใจได้ดีมากครับ สิ่งใดที่มากระทบ ดีก็ช่าง เลวก็ช่าง ให้ถือว่าเป็นสิ่งที่มากระทบจากภายนอก ถ้าเรารับไว้หรือถือไว้ก็หนักเรา ให้พยายามทำจิตใจพิจารณา เหมือนหนึ่งมีคนโยนลูกบอลใส่กำแพง กำแพงไม่รับมันก็สะท้อนกลับไปหาผู้โยน

เพราะฉะนั้น ทั้งสองฝ่ายพยายามรักษาจิตของตนเองให้มั่นคง ไม่ส่งออกนอกร่างกาย คุณจะได้รู้ว่าพุทธะโดยแท้เป็นเช่นไร

สำหรับคุณสี บุญมา อีกครั้ง ผมไม่อาจตอบหรืออธิบายให้คุณเข้าใจได้ ขอประทานโทษมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ นักปราชญ์ท่านกล่าวไว้ว่า

อันว่าบุญบุญนั่นบ่อมีไผปันแจก มันบ่อแตกออกได้คือไม่ผ่ากลาง คือจั่งเฮากินเข่าเฮากันเฮากะอิ่ม มันบ่อไปอิ่มท่องของเพิ่นนั่นพูบ่อกิน(เป็นภาษาอีสานคิดว่าคงอ่านออกแปลได้นะครับ)

อันว่าบุญนั้นไม่ใช่ของปันแจก ไม่แตกออกได้เหมือนไม้ผ่าตรงกลาง เปรียบเหมือนเรากินข้าว เรากินเราอิ่ม ไม่ใช่อิ่มท้องของท่านที่ไม่กิน

และศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ ฉะนั้นเราปฏิบัติเองเรารู้เอง และเมื่อปฏิบัติได้เมื่อไหร่คุณจะไม่มีความสงสัย และไม่ต้องถามใครอีก

ขอขอบคุณและขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ขอความสุขความเจริญ เจริญยิ่งทั้งทางโลกและทางธรรมตลอดไปจนถึงมรรคผลแห่งนิพพาน

ชัย สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ratchadapa
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 01 ก.พ.2008, 7:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สี บุญมา พิมพ์ว่า:
ท่าน รัดชดาพา ตามกิเลสบอกให้รู้ของข้าพเจ้า ท่านจะเป็นพูทธที่มีทางสิ้นสุดภาระกิจได้ จริงๆ
ส่วนท่านอื่นที่ตอบมา กิเลศข้าพเจ้า ไม่ค่อยเข้าใจ ตอบมาทำไม ไม่ได้ถามสักหน่อย(คิดในใจ คงอีกนานกว่าจะสิ้นสุด)

สาธุ

สาธุ

ขอบพระคุณคุณสี บุญมา ดิฉันไม่เกรงใครจะหมั่นไส้ ขอบอกว่าอ่านแล้วดีใจแว๊บขึ้นมา (ไม่มากนัก) ว่าเออหนอมีคนเห็นว่าเราเข้าเส้นทางเข้าบ้างแล้ว
พูดตามตรงดิฉันไม่มีปัญญามากพอจะไปจดจำพระสูตร พระอภิธรรมมากๆ อย่างท่านอื่นๆหรอก ไม่อยากแนะนำอะไรที่เราไม่รู้จริง กลัวว่าไปทำให้ใครโง่ตามเราจะเป็นอกุศลกรรม

ทุกวันนี้ใช้ชีวิตเหมือนปุถุชนทั่วไป ทำงาน พักผ่อน ว่างก็ไปวัดบ้าง ไปหาคนฉลาดกว่าเรา แต่พยายามรักษาจิตให้คงสภาพดีไว้เรื่อยๆ เปิดเน็ตดูคนที่มีความรู้มากมาสอนเราบ้าง จะได้รู้อะไรมากขึ้น

ดิฉันสังเกตดูคุณสี ก็รู้สึกว่าจะไม่ชอบอะไรยาวๆ บางอย่างดิฉันก็เห็นเหมือนคุณนะว่า สรรหาคำพูดสวยๆแต่เนื้อหาเท่าเดิมก็กลายเป็นรุงรัง

แต่บางอย่างจำเป็นต้องขยายความให้คนมีความรู้มากขึ้น ก็ต้องจำเป็นให้ยาว แล้วแต่เรื่องไปค่ะ
 

_________________
พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กนิษฐา
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 20 ม.ค. 2008
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.พ.2008, 12:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต้องถามคุณสีก่อนว่าต้องการอะไรในคำตอบ เปิดกระทู้เพื่อดูใจตัวเองหรือเพื่อดูใจผู้อื่น คงต้องบอกว่าทุกศาสนาดีเหมือนกันเพราะสอนให้ทุกคนเป็นคนดี แต่ศาสนาพุทธสอนให้ดูแลใจ คำตอบคงบอกได้อยู่แล้วว่าถ้าดูใจแล้วใจสว่าง สะอาด และสงบนั้นก็คงทำให้เชื่อได้ว่าเราเป็นชาวพุทธเพราะอะไร ขออนุโมทนากับความคิดที่ทำให้ผู้อื่นได้หยุดคิดพิจารณาเป็นกระทู้ที่ทำให้รู้เท่าทันกิเลสเลยทีเดียว แลบลิ้น
 

_________________
อภัยเพื่อสบายใจ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัว
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 28 ต.ค. 2007
ตอบ: 33

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2008, 8:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ศาสนาที่ดีคือ ศาสนาที่สอนให้คนทำดี ละเว้นความชั่ว เพราะเป็นการสร้างสันติสุข และไม่ทำลายใคร นี่เป็นหัวใจของศาสนาพุทธ เราจึงเลือกนับถือศาสนานี้
 

_________________
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทางแห่งความสำเร็จ ขยัน อดทน ไม่ประมาท มีน้ำใจ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
เพียงทราย
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2007
ตอบ: 4

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2008, 12:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้ม

เมื่อก่อนวัยเด็ก นับถือศาสนาพุทธ ตามใบเกิด

ปัจจุบันเมื่อได้รู้จักศาสนาพุทธ นับถือศาสนาพุทธด้วยความศรัทธาและความเชื่อ

ในเรื่องการหลุดพ้นจากวัฎจักรสงสารหรือการดำเนินชีวิต ที่สงบสุขและเรียบง่าย

และความเป็นพุทธ ก็อยู่ภายในจิตใจที่เป็นไม่ได้เป็นเพียงคำพิมพ์หรือการเขียน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2008, 2:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบพระคุณทุกท่านที่กรุณาแสดงความคิด สาธุ

ท่าน กนิษฐา วัตถุประสงค์ของกระทู้ ไม่เกี่ยวกับข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าดูได้แค่ใจตน ไม่ต้องการดูใจผู้อื่น วัตถุประสงค์นี้เพียง ให้ท่านๆเองแหละ ทบทวนดูซิว่า เป็นพุทธแบบใหน วัตถุประสงค์มีเพียงข้อเดียว คือให้ท่านดูท่านเอง ส่วนจะแสดงความคิดเห็นหรือไม่นั้น แล้วแต่จะกรุณา

สาธุ


ตอบท่าน มอนตาซาวี ถ้านั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ท่านก็บรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งแล้วละ

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ชัย
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 26
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2008, 4:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
เพียงแวะเข้ามาทักทายกับทุกท่านนะครับ ยังมีความคิดเห็นจากหลายๆ ท่าน ก็นานาจิตตัง นะครับ ขอแนะนำเพียงว่าอย่าพยายามปล่อยจิตของเราให้ไปนอกกายนานนัก พยายามดึงกลับมา มีสติระลึกรู้อยู่ในกาย หรือลมเข้าออกให้มาก ทำอะไรก็ตามให้มีสติระลึกรู้ พฤติของจิตตามคำสอนของพระราชวุฒาจารย์จะเกิดขึ้น เมื่อนั้นท่านจะได้ทราบถึงเอกคตาจิต รวมลงสู่สมาธิ ท่านทำท่านจะรู้เอง

ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
ชัย
 

_________________
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2008, 7:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฟังคุณ สี บุญมาแล้ว รู้สึกปลื่ม นิด ๆ นะนี่ ...เพราะ ได้คำชมคำโต
..แต่ เอ๊ะ..ก่อนหน้านี้ จิตก็ไม่ได้ฟูถึงเพียงนี้ ...และบัดนี้ อาการฟูของจิตก็ดับลงมากแล้ว (แต่ยังดับไม่สนิท)

เอ๋อ..สภาวะอนิจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอย่างนี้นี่เอง ...นี่ถ้ายังมัวยึดมั่นอยู่ว่า โอ้ น่าปลื่มใจจัง เขาชมเราถึงเพียงนี้เชียวหรือ..
.. ๑ นาทีผ่านไป อาการหลงปราบปลื่ม ก็คงยังไม่ดับ ยังไม่อาจส่งใจไปคิดนึกสิ่งมีสาระอื่น ๆ ต่อได้...(เพราะมั่วหลงยึดติดอยู่ในอาการปลื้มนั้น) แต่..เพราะรู้เท่าทันอาการของจิตนั้นที่เกิดขึ้น ตามดูอาการนั้นอย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง จนเห็นสภาวค่อย ๆ จางไป คลายไปของอาการเปลื่มนั้น คลายความยึดมั่นด้วยอำนาจอุปาทาน ในปีตินั้น ...จนเกิดปราโมทย์ยินดีว่า สภาวะอนิจัง ทุกขัง อนัตตา ที่แท้จริงเป็นอย่างนี้นี่เอง..

ตอบอย่างนี้..จะว่างัย..ครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2008, 12:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่าน มอนตาซาวิ ข้าพเจ้าว่าท่านเข้าใจหลักปฏิบัติแบบพุทธดีมากแล้วทีเดียว
ถ้าละได้ทุกอย่าง แม้แต่ความสุขที่เกิดจากการละทุกข์ ละได้แม้นิพพาน ท่านก็เป็นอรหันต์

อาการของท่านนั้นท่านเข้าใจตัวท่านเองแล้วว่ามีสภาวะเป็นอย่างไร เมื่อเข้าใจแล้วท่านก็ลดมันได้ เพิ่มมันได้ตามแต่ใจท่าน ที่สุดแล้วแม้ท่านเกิดปราโมทย์ ท่านก็รู้ว่าเกิด ท่านก็ลดมันซะ เพราะถ้าข้าพเจ้าว่ากล่าวท่านแรงๆ ปราโมทย์ของท่านก็จะไม่เกิด มันเป็นอย่างนี้แหละ มันไม่เที่ยง ไม่จริงหรอก

ข้าพเจ้าหวังด้วยจริงใจว่าท่านจะปฏิบัติได้ ปฏิบัติดีตามความเป็นสาวก ของพระผู้เหนือโลกพระองค์นั้น ธรรมจะไปใหนเสียละ

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.พ.2008, 8:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอแจมด้วยคน นั่งอ่านแล้วก็กำลังยิ้มไปด้วย

อิอิ ไม่กล้าบอกหรอกค่ะว่าตัวเองดี เพราะถ้าบอกว่าตัวเองดีเมื่อไหร่ โอ้โห .... แหมๆๆๆๆ ไอ้เจ้าอัตตานี่ มันช่างทำงานได้เร็วจัง คำว่า " ดี " นั้น อะไรที่เรียกว่าดี เอาตรงไหนมาวัดว่า ไอ้นั่นดี ไอ้นี่ไม่ดี ( อิอิ มันก็แค่ความคิดของตัวเราเองอ่ะนะ ไอ้ที่เราคิดว่าดี คนอื่นๆ เขาอาจจะไม่ได้คิดแบบเราก็ได้น่ะ ) แล้วต้องดีขนาดไหน จึงจะจัดกลุ่ม เข้ากับคำว่า " ดี "
เราเองก็ยังเป็นคนธรรมดาๆนี่แหละ ยังมีความขี้เกียจบ้าง ขยันบ้าง ตามอารมณ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่อยู่แนบสนิทในจิตเลย แงะยังไงก็แงะไม่ออกแล้วตอนนี้ เอาเป็นว่าไม่เคยคิดเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น ในทุกๆ เรื่อง เท่าที่สติ สัมปชัญญะ จะรู้เท่าทันได้ ว่างๆ ก็แวะเข้ามาทักทายที่space นี้ได้ค่ะ ยินดีต้อนรับทุกท่าน

http://cid-3bbff7e5594790ce.spaces.live.com/
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ประเด็จ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 ส.ค. 2007
ตอบ: 12
ที่อยู่ (จังหวัด): เพชรบูรณ์

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.พ.2008, 1:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพราะอยู่กับศาสนาพุทธถูกปลูกฝังมาแต่เด็ก
เพราะผู้ใหญ่พาไปวัดไปทำบุญก็ทำไปตามประสาเด็ก
เพราะเป็นหน้าที่ๆ เราต้องสืบต่อตามบรรพบุรุษของเรา

และเริ่มลงมือปฏิบัติเพราะอาจารย์ชักชวน
และอยากรู้ว่ามีจริงมั้ยเรื่องที่ต่างคนต่างได้รู้ได้เห็นมา
และเพราะไม่เชื่อคำพูดใครง่ายๆ จนกว่าจะพบกับตัวเอง

และที่นับถือเพราะผมมีบุญที่ได้มาพบพระพุทธศาสนาและประเทศไทย
และมีพระมหากษัตริย์ที่ประเสริฐ สาธุ สาธุ สาธุ ปรบมือ ปรบมือ ปรบมือ
 

_________________
ง่ายอยู่ที่ปาก ยากอยู่ที่ทำ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messengerหมายเลข ICQ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง