Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อยากคุยกับคนที่คุยเรื่องธรรมะจริงๆ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
คนเข้าใจ
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 29 เม.ย. 2007
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 06 ธ.ค.2007, 7:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเป็นคนที่ชอบศึกษาเกี่ยวกับธรรมะ แต่ไม่ถึงขั้นแตกฉานนะคับ เพราะมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่เข้าใจจนถึงแก่นแท้ของมัน จึงอยากคุยกับคนที่คุยเรื่องธรรมะจริงๆ ที่คุยกับภาษาง่ายๆ ไม่อิงหลักวิชาการมากเกินไป ผมชอบคุยธรรมะในเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด และความเข้าใจในเรื่องที่สนใจและยังต้องการความรู้จากผู้ที่มีความรู้จากที่ต่างๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ ถึงเหตุและผล
เหตุแห่งการเกิดของสรรพสิ่ง
จริงหรือเหตุแห่งการเกิดของสรรพสิ่งคือการผสมกัน ทุกสิ่งล้วนเกิดมาจากการผสมกันจริงหรือ
และทุกล้วนเกิดจากการวิวัฒนาการจริงหรือ และทุกสิ่งล้วนไหลไม่หยุดนิ่ง
จะยินดีและขอบคุณมากครับที่ท่านคุยกับผม
e-mail ของผม num_chaiwat@yahoo.co.th
ผมจะพยายามตอบกลับทุกท่านครับ สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 07 ธ.ค.2007, 8:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดูก่อน คนเข้าใจ
เป็นคำถามที่ง่ายนิดเดียว
ขอให้ท่านจงเดินตามรอย ผู้เจริญแล้ว ด้วยพุทธธรรม
ดังเช่น พระพุทธทาส หลวงพ่อชา หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า พระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบเหล่านี้ คงถูกจริตท่าน
ขอจงเลือกอ่านเพียง พระสงฆ์รูปเดียวไปก่อน
เพื่อไม่ให้ความคิดเห็นแตกแยก

(ถ้าเห็นว่า ตนเองมีทรัพย์น้อย ก็ให้เปิดอ่านธรรมะ ฟังMP3-ธรรมะ จากที่นี่ ให้หมดเว็บ อ่านตาม ทำตาม เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับตนเอง)
เราเหมือนลูกแมวที่ร้องเรียกขอข้าว ขออาหารจากมนุษย์ แต่หารู้ไม่ว่าลูกแมวนั้นนั่งนอนทับกระสอบข้าวสาร ซึ่งเป็นอาหารของมัน เพราะมันไม่ทราบผลของข้าวสาร จึงไม่สนใจสิ่งที่นั่งทับอยู่
เปรียบเหมือนมีข้อมูลในเว็บไซด์มากมาย แต่ไม่มีใครยอมเปิดอ่าน ได้แต่ตั้งคำถาม

การเป็นผู้อ่านมาก จะได้รับประโยชน์การเป็นผู้คิดเอง สังเคราะห์เอง
(ซึ่งสิ่งที่ต้องการค้นหา มีผู้คิดค้น ทำสำเร็จแล้ว แต่ไม่มีผู้รับฟัง รับอ่าน)

เมื่อทางที่เจริญแล้ว มีให้เดิน จงเดินตามทางนั้น อย่าได้เสียเวลาสร้างใหม่

อย่าได้เสียเวลากับการหาคำตอบว่า ทำไมคนเราจึงเกิดมาได้
อย่าได้เสียเวลากับการหาคำตอบว่า ทำไมคนเราจึงป่วยได้
อย่าได้เสียเวลากับการหาคำตอบว่า ทำไมคนเราจึงตายได้

อันนั้นท่านต้องไปถาม คุณหมอ แพทย์

การพูดคุยนอกเรื่องพุทธ ทำให้เสียเวลาไปแล้ว ครึ่งชีวิต

ระหว่างนี้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ ที่อ่านธรรมะ ฟังธรรม ปฎิบัติธรรม ขอเสนอว่า
จงประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องทางเพศ
จงสำรวมวาจา ไม่พูดให้ผู้อื่นโกรธ โมโห
โจทย์ที่ควรตั้งเป็นคำถามอยู่ในใจ คือ
ทำอย่างไรหนอ เราทั้งหลายจึงจะดับกิเลสได้
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 07 ธ.ค.2007, 9:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

จริงหรือเหตุแห่งการเกิดของสรรพสิ่งคือการผสมกัน ทุกสิ่งล้วนเกิดมาจากการผสมกันจริงหรือ

และทุกล้วนเกิดจากการวิวัฒนาการจริงหรือ และทุกสิ่งล้วนไหลไม่หยุดนิ่ง


-ยกตัวอย่างสิ่งที่เป็นรูปธรรมเห็นง่ายๆ เช่น ร่างกายท่านก็ว่า เกิดจากการผสมกันของธาตุ 4

ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ

ร่างกายนี้ท่านก็ว่ามีวิวัฒนาการเรื่อยมาตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ เอาขั้นหยาบๆ จากวัยทารก

สู่วัยเด็ก เข้าวัยหนุ่มสาว จากวัยหนุ่มวัยสาวเข้าสู่วัยชรา...ตายกลับคืนสู่สภาพเดิม

-มองออกไปภายนอกที่เห็นง่ายๆ บ้าง เช่น ตึก ผนัง คอนกรีต ก็เกิดจากการเอาอิฐ

ทราย ปูน น้ำ มาผสมๆ กันเข้าตามส่วน จึงเป็นสิ่งนั้นๆ ขึ้นมา แต่สิ่งนั้นๆก็แปรเปลี่ยนไปตาม

กาลเวลาเช่นกัน

ฯลฯ

ส่วนธรรมชาติที่เป็นนามธรรมหรือจิตใจซึ่งซับซ้อนเห็นยากเข้าใจยาก ให้เป็นหน้าที่ของแต่ละ

ท่านๆ พึงค้นหาคำตอบด้วยตนเอง อายหน้าแดง
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ศราวุท
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 04 ส.ค. 2007
ตอบ: 6

ตอบตอบเมื่อ: 07 ธ.ค.2007, 8:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เจริญธรรมทุกท่าน การเกิดความสงสับเป็นสิ่งที่ดี เป็นลักษณะของผู้ที่มีปัญญา ตามที่ท่านได้กล่าวถามมา ว่าจริงหรือเหตุการเกิดของสรรพสิ่งคือการผสมกัน อันนี้ในมุมมองของข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นสิ่งที่จริงที่สุด เพราะร่างกายคนเราก็ดี สัตว์ก็ดี ล้วนเกิดจากธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ดิน น้ำ ลมไฟ เมื่อธาตุทั้ง 4 ประกอบร่วมกันแล้วก็เป็นจุดกำเนิดของขันธ์ 5 คือ รูป เวทนาสังขาร วิญญาน และสัญญา ซึ่งเป็นเหตุอันให้เกิด

ทุกสิ่งล้วนไหลไปตามกฏการเกิดขึ้น ตั้ง และดับไป ไม่มีสิ่งใดที่เป็นนิรันด์ สังเกตได้ง่ายจากการเกิด เจริญเติบโตในวัยต่างๆ จนแก่และตายไปในที่สุด
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 08 ธ.ค.2007, 8:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ศราวุท พิมพ์ว่า:

ทุกสิ่งล้วนไหลไปตามกฏการเกิดขึ้น ตั้ง และดับไป ไม่มีสิ่งใดที่เป็นนิรันด์ สังเกตได้ง่ายจากการเกิด เจริญเติบโตในวัยต่างๆ จนแก่และตายไปในที่สุด


ทุกสิ่งล้วนตั้งอยู่ในกฎไตรลักษณ์
แต่มีอยู่สิ่งหนึ่ง เท่าที่ข้าพเจ้าจำได้ สิ่งนั้น ถือเป็นสิ่งนิรันด์
นิพพาน และ ปรินิพพาน
หมายถึง จุด ตำแหน่ง ที่พ้นจากวัฏฏสงสารแล้ว พ้นบ่วงกรรมอันน้อยใหญ่แล้ว พ้นจากกฎไตรลักษณ์แล้ว

ความเป็นนิพพาน จึงเป็นนิรันด์อีกแบบหนึ่ง ซึ่งอยู่ต่างขั้วกับวัฏฏสงสาร
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
z
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 23 ต.ค. 2007
ตอบ: 46
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 08 ธ.ค.2007, 10:46 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

....จุดเริ่มต้นของวงกลม.....ไม่ได้อยู่ในเส้นรอบวง.....

....จุดสิ้นสุดของวงกลม....ก็ไม่ได้อยู่ในเส้นรอบวง....
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 09 ธ.ค.2007, 3:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นามธรรมในทางศาสนาพุทธ
โดยส่วนใหญ่ พระพุทธเจ้ามักจะเปรียบ นามธรม เสมือนเป็น รูปธรรม
เพื่อให้เราทั้งหลายได้เข้าใจต่อความหมายในนามธรรม มากขึ้น

................................................
วัฎฎสงสาร หมายถึง วงกลมแห่งความทุกข์ วนเวียนชึวิตแห่งความทุกข์
วัฎฎสงสาร หมายถึง วงกลมแห่งนามธรรม (นามธรรมนั้น คือทุกข์)
วัฎฎสงสาร ไม่ได้หมายถึง วงกลมแห่งรูปธรรม (ดังนั้น ความทุกข์ ไม่ใช่รูปธรรม)
เมื่อผู้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ว่านามธรรมนี้ คือ รูปธรรม คือ วงกลม
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว จึงอ้างเหตุแห่งรูปธรรมนั้น เช่น จุดเริ่มต้นของวงกลม ไม่มี
ผู้ฟังถือว่า เป็นผู้หลงต่อคำสอน

อย่างไรก็ตาม มนุษย์ถ้าใช้มือขีดเขียนเส้นวงกลมแล้ว เมื่อจรดปากกาลงไปเขียนเป็นรูปวงกลม หรือเกือบกลม ก็ตาม จุดแรกที่เริ่มเขียน คือจุดเริ่มต้น อย่าได้สงสัย

..............................................................
ในความหมาย วัฎฎสงสารของพระพุทธทาส
ไม่ได้หมายถึง วงเวียนทุกข์เพียงวงเดียว
แต่หมายถึง วงเวียนทุกข์หลายวง ขึ้นอยู่กับผู้นั้นสร้างกิเลสไว้ กี่วง
วงเวียนทุกข์แต่ละวง อาจเป็นวงกลมใหญ่ อาจเป็นวงกลมเล็ก ขึ้นอยู่กับดับกิเลสเร็วช้า ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของกิเลสนั้น
ดังนั้น ใน 1 ชีวิต จะมีหลายวงเวียนทุกข์ หรือ มีหลายวัฎฎสงสารของกิเลสหลายรูปแบบ
ใน 1 ชีวิต จึงเปรียบเส้นเชือก 1 เส้น ที่เรียงร้อยลูกปัดน้อยใหญ่หรือ เรียงร้อยวัฎฎสงสารน้อยใหญ่หลายๆรูปแบบ จนกว่าจะหมดเชือก (หมด 1 ชีวิต)นั้นไป
ถ้าต้องเกิดใหม่อีก ก็ต้องเกิด เชือกเส้นใหม่ วงกำไลใหม่ มาร้อยลูกปัดใหม่

การหมุนเวียนของกิเลส จึงดูเหมือนมีจุดเริ่มต้น ถ้ารู้จักเริ่มนับที่จุดใด
และการหมุนเวียนของกิเลส ไม่รู้จุดเริ่มต้น ว่าอยู่ที่ใด ถ้ามองโดยภาพรวมของจิตผู้ไม่อยากตาย(คือ อยากเกิดใหม่เรื่อย ๆ จนไม่ทราบว่า เริ่มเกิดตั้งแต่ต้น ชีวิตนั้น คือ ตัวอะไร)
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วิชชา
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 05 พ.ย. 2007
ตอบ: 31
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2007, 2:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระไตรปิฎก มาจากการทรงจำพระพุทธพจน์ของพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ควรอ้างอิง ถึง

ความเป็นเหตุผลในพระไตรปิฎกมากกว่า ที่จะเชื่อผู้ใดผู้หนึ่งเพียงผู้เดียว โดยที่ไม่ได้ศึกษาพระ-

ไตรปิฎกประกอบให้เข้าใจถ่องแท้ เพราะในยุคนี้ไม่มีพระอรหันต์ เป็นพันปีที่สาม และพระภิก-

ษุซึ่งท่านแสดงธรรมในยุคที่พระศาสนากำลังเสื่อมลงๆ นี้ เราก็เคารพท่านในฐานะที่ท่านอยู่ใน

สมณเพศที่สูง เป็นสังฆรัตนะ แต่พระธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับภิกษุบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพราะพระ-

พุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ไม่ใช่การคิดโยง ไม่ใช่การตรึกเอง แต่เป็นพระ-

ปัญญาคุณที่เกินกว่าจะเปรียบปานได้ ซึ่ง แม้แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ทรงบอกให้ผู้ใดมาเชื่อในสิ่ง

ที่พระองค์แสดง เพียงแต่ถ้าได้ฟังพระธรรม แล้วก็ให้พิจารณาสิ่งที่ได้ยินให้เกิดปัญญา คือความ

เข้าใจของตนเอง ไม่ใช่เป็นผู้ที่เชื่อง่าย เชื่อตาม ยึดถือภิกษุบุคคล โดยไม่ตรวจสอบว่าที่ท่านพูด

ไว้ แสดงธรรมไว้ ถูกหรือผิดประการใด พระธรรมไม่ใช่เรื่องคิดเอาเอง พระไตรปิฎกไม่ได้มีไว้

อ่านเล่น แล้วนำมาใช้ประกอบความเข้าใจของตนผู้เดียว แต่มีไว้เพื่อศึกษาให้เข้าใจว่าพระปัญญา

คุณของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงรู้อะไร และทรงสั่งสอนให้พุทธสาวกปฏิบัติตตามอย่างไร


ข้อความบางตอนในพระไตรปิฎก

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 309

ปราภวสูตรที่ ๖

ว่าด้วยความเสื่อม ๑๒ อย่าง

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระ-

องค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๕ อะไรเป็นทาง

ของคนเสื่อม.

คนใดลวงสมณะพราหมณ์ หรือแม้

วณิพกอื่นด้วยมุสาวาท ข้อนั้นเป็นทางของ

คนเสื่อม เพราะเหตุนั้นแล เราจงทราบชัด

ข้อนี้เถิดว่า ความเสื่อมนั้นเป็นที่ ๕.


อ่าน ใครที่กำลังเสื่อม....ที่นี่

http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=4566
 

_________________
ไม่มี
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMYahoo MessengerMSN Messenger
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2007, 8:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้อความเหล่านี้ ถือเป็นความคิดเห็นของข้าพเจ้า ดังนี้
...........................................................
ความลังเลสงสัย ตามที่ปรากฎใน สังโยชน์ 10 นั้น
ข้าพเจ้าเข้าใจว่า
อย่าได้ลังเลสงสัยในพุทธธรรม
อย่าได้ลังเลสงสัยในพระไตรปิฎก
อย่าได้ลังเลสงสัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบแล้ว
(เหล่านี้ ไม่ได้ให้สนใจวิชาการอื่นของทางโลกียะ)
จงรีบเดินตามรอยผู้เจริญเหล่านั้น
เพื่ออย่างน้อยท่านจักได้บรรลุขั้นโสดาบัน ตามคำรับรองของพระพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคำตอบครั้งสุดท้าย ต่อบุคคลคนหนึ่งที่ได้ซักถามไว้ก่อนพระองค์ปรินิพพาน
(ซึ่งบุคคลคนนั้น ได้รีบขอบวชเป็นคนสุดท้ายต่อหน้าพระพุทธเจ้า ได้รับฟังคำตอบแล้ว ก็รีบปฎิบัติธรรม หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เพื่อหวังโสดาบัน เป็นอันดับแรก แต่เข้าใจว่า บรรลุอรหันต์เช่นกัน ความหมายนี้ คือ ไม่ลังเลสงสัยแล้ว พูดอะไรก็เชื่อทั้งสิ้น ไม่กังวลแล้วต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ)
................................................................................
ความลังเลสงสัย อีกรูปแบบหนึ่ง
1.ลังเลสงสัยว่า พระธรรม จักทำให้ตนเอง เจริญแน่หรือ
2.ลังเลสงสัยว่า โลกธรรม4 ที่ดี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จักไม่ทำให้เรา เจริญแน่ หรือ
3.ลังเลสงสัยว่า อวิชชาอื่น อันจะก่อให้เกิดโลกธรรม 4 ได้ จักไม่ทำให้ตนเอง เจริญแน่ หรือ
ความลังเลสงสัยเหล่านี้แล ทำให้ผู้ปฎิบัติตามคิดมาก ว่าตนเองจักถูกหลอกให้ทำไปจนเสียเวลา
ได้หรือไม่ได้อะไรหรือไม่
โดยทางพุทธแล้ว โดยนามธรรมแล้ว นิพพานจักไม่ได้อะไรเลยทั้งสิ้น
หรืออาจเรียกว่า ได้นิพพานแล้ว แต่ไม่เข้าใจตนเองว่านั้นแลคือได้แล้ว
............................................................................
เมื่อได้อ่านความเสื่อม 12 อย่างนั้น
หรืออ่านพระไตรปิฎกบางเรื่อง บางตอน
ตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า ก็รู้สึกว่า
คนเราทั้งหลาย ถ้าไม่ทราบเรื่องเหล่านั้น แต่ได้ทำสำเร็จแล้ว หรือไม่สำเร็จเนื่องจากกิจกรรมนั้นไม่จำต้องทำเพราะยังไม่เกิดเหตุให้ทำ
ข้าพเจ้าถือว่า ผู้นั้นทำสำเร็จ หรือ สอบผ่าน

การที่พระพุทธเจ้า แจงไว้มากมายเช่นนั้น ผู้ฟังที่อยู่ในขอบข่าย จักได้นำไปปรับปรุงพฤติกรรมนั้นให้ดีขึ้น

หากแม้นท่านทั้งหลาย กังวล ระวัง ข้อปฎิบัติทุกข้อ โดยละเอียด ละออ ในเรื่องปัญหาไกลตัวแล้วนั้น ทุกเรื่องทุกหมวดตามที่ปรากฎในพระไตรปิฎก พฤติกรรมผู้นั้นจักไม่ต่างจากหุ่นยนต์ กระดิกตัวไม่ได้ ทำอะไรก็ระวังตัวกับปัญหาไกลตัวมากเกินไป
หากแม้นท่านทั้งหลาย รู้จักย่อ-ขยาย พระไตรปิฎกได้แล้วนั้น การวางตัว
เลือกปฎิบัติธรรมอะไรบ้างที่สำคัญที่สุด ที่จำเป็น ตามทางเดินของพระพุทธเจ้า ก็จักเป็นธรรมชาติของท่านเอง
ความยึดติดในพระธรรมมากจนเกินไป ไม่รู้อะไรเป็นสิ่งสำคัญควรทำก่อน ให้มากที่สุด ก็จะเป็นสังโยชน์ 10 ทั้ง มานะ อรูปราคะ รูปราคะ อุทธัจจะ
ดังนั้น ความลังเลสงสัยหมดไป แต่ก็อาจได้รับเรื่องอื่นในสังโยชน์ 10 ไปแทน
เหมือนดัง หนีเสือ ปะจรเข้ (กิเลส มันวน ละชั่ว ติดดีเกินไป นิพพานจึงยังไม่เกิด)
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2007, 9:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อีกประการหนึ่ง
เมื่ออ่านความเสื่อม 12 อย่างแล้ว
เมื่อทราบแล้วว่า
พระไตรปิฎก มาจากการทรงจำพระพุทธพจน์ของพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ควรอ้างอิง ถึง
ความเป็นเหตุผลในพระไตรปิฎกมากกว่า ที่จะเชื่อผู้ใดผู้หนึ่งเพียงผู้เดียว โดยที่ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎกประกอบให้เข้าใจถ่องแท้ เพราะในยุคนี้ไม่มีพระอรหันต์ เป็นพันปีที่สาม และพระภิกษุซึ่งท่านแสดงธรรมในยุคที่พระศาสนากำลังเสื่อมลงๆ นี้
.............................................................
นั้นไม่ได้หมายความว่า พระอรหันต์ หมดไปจากโลก
หลังจาก พระไตรปิฎก เขียนจบลง
หลังจาก ปีพศ.1000
หลังจาก ปีพศ.2000
หลังจาก ปีพศ.3000

พระโสดาบัน-พระอรหันต์ บางรูป เป็นปัจเจก สอนใครไม่ได้
พระโสดาบัน-พระอรหันต์ บางรูป ยังเป็นห่วงผู้ศรัทธา จึงได้สอนธรรม
พระโสดาบัน-พระอรหันต์ บางรูป ยังเป็นห่วงผู้ศรัทธา จึงได้บันทึกเป็นหนังสืออธิบายธรรม
พระโสดาบัน-พระอรหันต์ บางรูป ยังเป็นห่วงผู้ศรัทธา จึงได้ให้บันทึกVDO CD
เพื่ออนุรักษ์ และเผยแผ่ พุทธศาสนา ต่อไป ไม่ให้เกิดความเสื่อม เพราะการเกิด-ดับ ท่านเหล่านั้นทราบดีว่า ทำอย่างไรให้มันยังเกิดอยู่ เหมือน ทำอย่างไรไม่ให้กองไฟนั้นดับลง

พระอรหันต์ หลายรูปเห็นว่า พระไตรปิฎก เพียงพอแล้ว
คำอธิบายพระธรรม ในยุคสมัยนั้น เพียงพอแล้ว
วิธีปฎิบัติธรรม รูปแบบง่าย ๆ คงเหลือถึงปัจจุบันนี้ เพียงพอแล้ว วิธีนั้นจึงคงเหลืออยู่ให้ท่านทั้งหลายได้ปฎิบัติตาม

ผู้ศรัทธาใดเห็น ธรรมะใด มีประโยชน์ ผู้ศรัทธานั้นคงบรรลุได้ถึงโสดาบัน -พระอรหันต์
หากแม้นผู้ศรัทธาใด เห็นแต่ น้ำ ในสระแล้ว เห็นว่านั้นคือ น้ำ
ผู้ศรัทธานั้น คงไม่ได้อะไร
ผู้ศรัทธานั้น คงเชื่อแน่ว่า พระอรหันต์คงหมดไปจากโลกแล้ว หลังปี พ.ศ.2550

หากผู้ศรัทธานั้น ทราบ และ รอให้น้ำในสระนั้น เหือดแห้งลง เพราะความเสื่อมของสระ
ไม่แก้ไขให้มี น้ำ อยู่เต็มสระ (แม้นทราบว่าจะทำอย่างไรให้ น้ำเต็มสระ)
ความเสื่อมทั้งหลายนั้น ที่คาดหมายนั้น คงเกิดขึ้นแน่นอน

หากผู้ศรัทธานั้น รอให้น้ำหมดสระ แล้วรอให้พบสระน้ำใหม่ใน 5000 ปี (รอพบพระพุทธเจ้าองค์ใหม่) เชื่อว่า ผู้ศรัทธานั้นอาจได้พบหรือไม่ได้พบ สระน้ำ นั้น
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 17 ธ.ค.2007, 9:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พ่อหนุ่มคนเข้าใจ อยากคุยธรรมะจริง ๆ ทำไมไม่เปิดประตูบ้าน ออกมาคุย อยู่แต่ในรู มันจะอยากคุยธรรมะจริงๆ รึปล่าว
เอ่อ แปลกคน มันอยากคุย หรือมันอยากนอนหลับ
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
manop
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 21 ธ.ค. 2005
ตอบ: 3

ตอบตอบเมื่อ: 20 ธ.ค.2007, 11:11 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านทั้งหลายครับ
อะไรคือความจริง อะไรคือผล อะไรคือเหตุ
ความจริงคืออะไร

กว่าต้นไม้จะผลิดอกออกผล ผ่านลมฝนสักเท่าใด
ชีวิตอันหลากหลาย ย่อมขวานขวายเป็นธรรมดา

ความสุขทุกข์แท้จริง มีมาเมื่อใด
แล้วมีจริงหรืออย่างไร

น้ำ ก็คือน้ำ การที่เราเหยียบย่ำลงไปในน้ำ ทำให้เราเปียก ทำให้น้ำต้องแตกกระจายไปเช่นกัน

ทางกลับกัน ถ้าเราไม่ไปเหยียบซึ่งน้ำนั้น เราจะเปียก น้ำจะแตกกระจายหรือไม่

เช่นกัน สุขทุกข์ ไม่มีเลย ทุกอย่างเป็นอิสระแก่กัน

ฉันนั้น จงอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย แต่จงให้สิ่งที่ดีๆ ต่อกันด้วยความเปี่ยมล้นด้วยมิตรไมตรี มุทิตา อุเบกขา กรุณา และเมตตาปราณี
ปล่อยใจให้ว่างเปล่า สลัดซึ่งฐิฑิออกเสีย
 

_________________
เกิด พฤหัสบดี 20มีนาคม 2518 แรมแปดค่ำ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง