Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ความดีเปรียบเหมือนแสงไฟ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
poivang
บัวตูม
เข้าร่วม: 18 มิ.ย. 2005
ตอบ: 224
ตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2007, 3:20 pm
ความดีเปรียบเหมือนแสงไฟ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
ความดีหรือบุญกุศลเปรียบเหมือนแสงไฟ ผู้ทำบุญทำกุศลอยู่สม่ำเสมอเพียงพอแม้จะเหมือนไม่ได้รับผลของความดี และบางครั้งก็เหมือนทำดีไม่ได้ดี ทำดีได้ชั่วเสียด้วยซ้ำ เช่นนี้ก็เหมือนจุดไฟท่ามกลางแสงสว่างยามกลางวันย่อมไม่ได้ประโยชน์จากแสงสว่างนั้น
แต่ถ้าตกค่ำมีความมืดมาบดบัง แสงสว่างนั้นย่อมปรากฏและขจัดความมืดให้สิ้นไปสามารถมองเห็นอะไรๆ ได้ เห็นอันตรายที่มีอยู่ในความมืดได้จึงย่อมสามารถเลี่ยงภัยหลีกพ้นอันตรายเสียได้ ส่วนผู้ไม่มีแสงสว่างอยู่กับตน เปรียบเหมือนไม่มีเทียนจุดอยู่ เมื่อไปถึงที่มืดคือที่คับขันยามกลางคืนมีความมืดมิดย่อมไม่อาจเห็นอันตรายได้ในที่มืด ไม่อาจหลีกพ้นอันตรายได้
ผู้ทำความดีเหมือนผู้มีแสงสว่างอยู่กับตัว ไปถึงที่มืดหรือที่คับขันย่อมสามารถดำรงตนอยู่ได้ด้วยดี พอสมควรกับความดีที่ทำอยู่ ตรงกันข้ามกับผู้ที่ไม่ทำความดีซึ่งเหมือนกับผู้ที่ไม่มีแสงสว่างอยู่กับตัว ขณะอยู่ในที่สว่างอยู่ในความสว่างก็ไม่เดือดร้อน แต่เมื่อใดตกไปอยู่ในที่มืดคือที่คับขันย่อมไม่สามารถดำรงตนอยู่ได้โดยสวัสดี ภัยอันตรายมาถึงก็ไม่รู้ไม่เห็นไม่อาจหลีกพ้น คนทำดีไว้เสมอกับคนไม่ทำความดีไว้แตกต่างกันเช่นนี้ประการหนึ่ง
การทำความดีต้องไม่มีพอต้องทำให้ยิ่งขึ้นอยู่เสมอ เพราะไม่มีใครอาจประมาณได้ว่าจะตกไปในที่มืดขนาดไหนอย่างไร ต้องการแสงสว่างจัดเพียงไรถ้าไม่ตกไปในที่มืดมิดนักมีแสงสว่างมากไว้ก่อนก็ไม่ขาดทุนไม่เสียหาย แต่ถ้าต้องตกเข้าไปในที่มืดมิดมากๆ แต่มีแสงสว่างน้อยก็จะไม่เพียงพอที่จะเห็นอะไรได้ชัดถนัดตา การมีแสงสว่างมากจะช่วยให้รอดพ้นจากการสะดุดหกล้มลงเหวลงคู หรือตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายจนถึงความตาย อานุภาพของความดีหรือบุญกุศลนั้นเป็นอัศจรรย์จริง เชื่อไว้ดีกว่าไม่เชื่อ
ทำความดีอย่างสบายๆ อย่างมีอุเบกขา คือทำใจวางเฉยไม่หวังผลอะไรทั้งสิ้น การตั้งความหวังในผลของการทำดีเป็นธรรมดาของสามัญชนทั่วไปซึ่งก็ไม่ผิด แต่จะถูกต้องหากว่าไม่ตั้งความหวังเลย เมื่อรู้ว่าเป็นความดีก็ทำเต็มความสามารถของสติปัญญา ไม่ทำให้เดือดร้อนเกินความสามารถ ไม่มุ่งหวังให้ฟุ้งซ่าน ไม่ผิดหวังให้เศร้าเสียใจ การทำใจเช่นนี้ไม่ง่ายแต่ก็เป็นสิ่งที่ทำได้
การทำดีหรือทำบุญกุศลที่จะส่งผลสูงสุดต้องเป็นการทำด้วยใจที่ว่างจากกิเลส คือว่างจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ส่วนความผูกพันในผลที่จะได้รับจากความโลภและความหลงไม่อาจให้ผลสูงสุดได้ แม้ให้ผลตามความจริงที่ว่าทำดีจักได้ดี แต่ถ้าเป็นความดีที่ระคนไปด้วยความโลภและความหลงก็ย่อมจะได้ผลไม่ดีเท่าที่ควรเพราะมีความโลภและความหลงมาบั่นทอนผลนั้นเสีย
การทำความดีไม่ได้ดีไม่มีอยู่ในความจริง มีอยู่แต่ในความเข้าใจผิดของคนทั้งหลายเท่านั้น ทำดีแล้วต้องได้ดีแน่นอนเสมอไป ที่มีเหตุการณ์ต่างๆ นานาปรากฏขึ้นเหมือนทำดีไม่ได้ดีนั้น เป็นเพียงปรากฏการณ์ของความสลับซับซ้อนแห่งการให้ผลของกรรมเท่านั้น เพราะกรรมนั้นไม่ได้ให้ผลทันตาทันใจเสมอไป
แต่ถ้าเป็นเรื่องภายในใจนั้นกรรมให้ผลทันทีที่ทำแน่นอน เพียงแต่ว่าผู้ทำไม่ได้สังเกตด้วยความประณีตเพียงพอจึงไม่รู้ไม่เห็น ขอให้สังเกตในใจตนให้ดีแล้วจะเห็นทันทีที่ทำกรรมดีผลจะปรากฏขึ้นในใจทันทีทีเดียว
ทำกรรมดีแล้วใจไม่ร้อนเพราะไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะได้รับผลไม่ดีต่างๆ เหมือนทำกรรมชั่ว ความไม่ต้องหวาดวิตกว่าจะได้รับผลไม่ดีนั่นแหละเป็นความเย็นเป็นความสงบใจ เรียกว่าเป็นผลดีที่เกิดจากการทำความดี ซึ่งตรงข้ามกับการทำความชั่วที่จะต้องคอยหวั่นวิตกถึงผลกรรมที่ทำให้ไม่สบายใจ
การยกมือไหว้พระด้วยใจที่เคารพศรัทธาในพระรัตนตรัยสูงสุดเพียงเท่านี้ได้ผลดีแก่จิตใจยิ่งกว่า ยกมือไหว้พระพร้อมกับอธิษฐานขอพรให้สมปรารถนาในสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือบริจาคเงินสร้างวัดวาอารามด้วยใจที่มุ่งมั่นให้เป็นการบูชาคุณพระรัตนตรัยเพียงเท่านี้ก็ได้ผลดีแก่จิตใจยิ่งกว่าปรารถนาสิ่งตอบแทน
ทุกวันเรามีโอกาสทำความดีด้วยกันทุกคน ดังนั้นจึงขอให้พยายามตั้งสติให้ดีใช้ปัญญาใคร่ครวญอย่าทำดีด้วยความโลภด้วยความหลง ให้ทำความดีด้วยใจที่สะอาดบริสุทธิ์จริงเถิด
วิธีตรวจใจตนเองว่าทำความดีด้วยใจที่ปราศจากเครื่องเศร้าหมองคือกิเลส โลภ โกรธ หลง หรือไม่ ยกตัวอย่าง คือให้ดูว่าเมื่อทำความดีนั้นเราเร่าร้อนใจที่จะแย่งใครทำหรือเปล่า กีดกันใครเขาหรือไม่ เป็นต้น เช่นแย่งกันใส่บาตรในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ได้แก่วันออกพรรษา เป็นต้น ซึ่งมีคนมาทำบุญกันมากมาย เราแย่งกันเบียดเสียดเพื่อที่จะใส่บาตรหรือไม่ เมื่อเบียดแย่งเข้าไปใส่บาตรพระไม่ได้ก็อาจเกิดความโกรธขึ้นได้
หรือกีดกันขวางทางการทำบุญใส่บาตรของผู้อื่นอยู่หรือไม่ เพราะกลัวเขาบังหน้าเรา จะทำให้ทำบุญใส่บาตรไม่ได้ เป็นต้น หรือฟุ้งซ่านวุ่นวายใจในผลของการทำบุญว่าจะให้ผลได้ทันใจหรือไม่ หรือต้องการทำบุญทั้งๆ ที่ไม่สามารถจะทำได้แล้วก็น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนา หรือโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทอุปสรรคหรือเปล่า จะทำบุญแล้วเกิดอุปสรรคขวางกั้นก็เกิดความโกรธ หรือ ขณะทำบุญปรารถนาสิ่งนั้นสิ่งนี้ตอบแทนหรือไม่ เช่นนี้เป็นต้น
ถ้าเป็นคำตอบปฏิเสธทั้งหมดก็นับว่าดี เป็นการทำดีอย่างมีกิเลสห่างไกลจิตใจพอสมควรแล้ว และถ้าพิจารณาตนเองเห็นความสว่างไสวสบายใจเย็นใจในการทำความดีใดๆ ก็นับว่ามีกิเลสห่างไกลใจในขณะนั้นอย่างน่ายินดียิ่ง จะเป็นเหตุเป็นผลอันจะเกิดจากกรรมดีนั้นบริสุทธิ์สะอาดและสูงส่งจริง
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
ตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2007, 11:52 pm
การทำความดีต้องไม่มีพอต้องทำให้ยิ่งขึ้นอยู่เสมอ
เพราะไม่มีใครอาจประมาณได้ว่าจะตกไปในที่มืดขนาดไหนอย่างไร
การทำดีหรือทำบุญกุศลที่จะส่งผลสูงสุด
ต้องเป็นการทำด้วยใจที่ว่างจากกิเลส
คือว่างจากความโลภ ความโกรธ ความหลง
อนุโมทนาสาธุด้วยนะคะ คุณ poivang
I am
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972
ตอบเมื่อ: 08 พ.ย.2007, 7:14 am
"ผู้ทำความดีเหมือนผู้มีแสงสว่างอยู่กับตัว ไปถึงที่มืดหรือที่คับขันย่อมสามารถดำรงตนอยู่ได้ด้วยดี"
สาธุจ้า..
หมั่นมาบ่อยๆ นะครับ..
_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2007, 11:41 am
การทำความดีต้องไม่มีพอต้องทำให้ยิ่งขึ้นอยู่เสมอ
เพราะไม่มีใครอาจประมาณได้ว่าจะตกไปในที่มืดขนาดไหนอย่างไร
ต้องการแสงสว่างจัดเพียงไร
ถ้าไม่ตกไปในที่มืดมิดนักมีแสงสว่างมากไว้ก่อน ก็ไม่ขาดทุนไม่เสียหาย
แต่ถ้าต้องตกเข้าไปในที่มืดมิดมากๆ แต่มีแสงสว่างน้อย
ก็จะไม่เพียงพอที่จะเห็นอะไรได้ชัดถนัดตา
การมีแสงสว่างมากจะช่วยให้รอดพ้นจากการสะดุดหกล้มลงเหวลงคู
หรือตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายจนถึงความตาย
อานุภาพของความดีหรือบุญกุศลนั้นเป็นอัศจรรย์จริง เชื่อไว้ดีกว่าไม่เชื่อ
สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...คุณ poivang
ธรรมะสวัสดีวันพระค่ะ...คุณ poivang คุณ I am คุณกุหลาบสีชา และญาติธรรมทุกท่าน
เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ
poivang
บัวตูม
เข้าร่วม: 18 มิ.ย. 2005
ตอบ: 224
ตอบเมื่อ: 13 พ.ย.2007, 9:09 am
สวัสดีค่ะคุณกุหลาบสีชา คุณI am และคุณลูกโป่ง เชื่อว่าคุณทั้งสามคนมีแสงไฟประจำตนกันอยู่แล้ว ขอให้ไฟในตัวของคุณทั้งสามและคนทั่วๆไปมีความสว่างมากยิ่งขึ้นๆไปนะคะ
สุขในธรรมค่ะ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th