Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เจริญกรรมฐานอโหสิกรรมได้...จะได้ไม่มีกรรมเวรกันไปในชาติหน้า อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 12 พ.ย.2007, 2:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

คนผัดวันประกันพรุ่งนะ นอนตื่นสาย หน่ายทำกิน
ไปหมิ่นเงินน้อย ไปนั่งคอยวาสนา วาสนามาหาเองไม่ได้
ต้องทำต้องสร้างความดี ไม่สร้างไม่ได้หรอก
ความชั่วไม่ต้องสร้าง มาเอง มันชั่วอยู่ทุกวัน
จิตใจมันหลั่งไหลไปสู่ที่ชั่วทุกวันตลอดเวลากาล
ไม่ต้องสร้างนิดเดียวมันก็ไปแล้ว
จิตเลเพลาดพาด หละหลวม เหลวไหลตลอดรายการ
แต่ความดีนี่ทำยากต้องสร้างสรรหาแสวงหาความดีให้แก่ตนเอง
และก็ตัวเองมีความดีอยู่แล้ว ๑๐๐% จิตประภัสสร
แต่เราเอาความดีในตัวไปทิ้งเสีย
น่าเสียดายเอาความชั่วมาแทนที่ ความดีก็มีไม่ได้
นี่แหละสร้างความดีนี่ต้องสร้างต้องเสริม ต้องส่งในกุศลให้แก่ตน
มีจิตมั่นคง คือ สมาธิภาวนา มีปัญหาแก้ไขปัญหาได้

คนที่สร้างความชั่วนี่นะไม่ต้องมีตำราหรอก เพราะเราตามใจตัวเอง
จิตใจก็เหลวแหลก แตกไปในทางต่ำ
ยกตัวอย่างว่าจิตมันเป็นน้ำ โยมลองเทน้ำดูซิ
มันจะไหลไปที่สูงหรือที่ต่ำ จิตมันชอบต่ำ ชอบไอ้โน่น ชอบไอ้นี่
อาหารของจิต ก็คือ กิเลส ความโกรธ ความโลภ ความหลง
ความหายนะ เป็นอาหารของจิต
แต่เราต้องฝืนไม่ให้มันกินอย่างนั้น
ต้องฝืนใจอย่างมากกว่าจะได้ดี

ขอเจริญพรว่า ความขยันได้มาจากความขี้เกียจ
กว่าจะขยันได้ ขี้เกียจมาก่อน
ความสุขเราได้มาจากความทุกข์
ต้องมีความทุกข์ร้อนใจเหลือเกิน
กว่าจะพบกับความสุขที่แน่นอนเช่นดังกล่าวมาแล้ว
มันมีแต่ความทุกข์ระทบขมขื่นต้องผ่านทุกข์ก่อน
จึงจะพบความสุขที่แน่นอน
อาตมาผู้หนึ่งขี้เกียจที่สุด บัดนี้เราต้องฝืนใจ
กว่าจะขยันกว่าจะทำอะไรให้สำเร็จ
ฝืนใจจนขยัน บัดนี้จะกลับไปขี้เกียจคงไม่ได้แล้ว ไม่ได้แน่
ถ้าโยมเคยขี้เกียจแล้ว ไม่ฝืนใจ ไม่ขยัน
มันก็แค่นั้น ทำอย่างไรก็แค่นั้น ดีไม่ได้แน่นอน
เหมือนหมากรุก ๖๔ ตา เดินตาเดียวอยู่ตลอดกาลเวลา
จะดีได้อย่างไรเล่า เพราะฉะนั้น ทาน ศีล ภาวนา นี้ครบ
ทานการให้แต่ศีล ก็คือ สติกรรมฐาน
ถ้าเราเจริญสติกรรมฐาน แล้วจะพบทาน ๓ อย่าง
ถ้าได้สติสัมปชัญญะแล้วจะพบทาน ๓ อย่าง

ทานข้อ ๑ คือ ให้แล้วไม่หวังผลตอบแทน

ทานที่ ๒ คือ ธรรมทาน ให้ธรรมะเป็นทาน

พิมพ์หนังสือสวดมนต์บ้าง พิมพ์หนังสือธรรมะแจกกัน
เรียกว่า ธรรมทาน มันก็ได้ผล
ทานกรรมฐานเป็นสังฆทานแน่ เพราะจิตไม่หวังผล
ก็ต้องให้สาธารณประโยชน์ สาธารณชนทั่วไป

ทานที่ ๓ ของกรรมฐาน คือ อภัยทาน
ให้อภัยได้อภัยโทษไม่โกรธกัน เรียกว่า ทานกรรมฐาน

ถ้าโยมไม่เจริญกรรมฐานรับรองหมื่นเปอร์เซ็นต์
จะให้อภัยใครไม่ได้ ผูกพยาบาทตลอดเวลา
ถ้าท่านไม่มีกรรมฐานแล้ว ท่านจะให้อภัยทานได้ยาก
อโหสิกรรมกันได้ยาก มีแต่ผูกใจโกรธ ผูกพยาบาท ฆ่ารันฟันแทงกัน
ถึงคนนั้นจะบริจาคทาน สร้างวัดสร้างวากี่วัดก็ตาม
ก็ยังให้อภัยทานไม่ได้
ท่านต้องมีจิตสูงในกรรมฐาน ต้องมีสติปัฏฐานกำหนดจิต
รู้หนอๆ รู้อย่างไร รู้ว่า เราโกรธเขา
รู้หนอๆ อย่าโกรธเขาเลย ให้อภัยเขาเถอะ
มันด่าเรา กำหนดต่อไป ด่าเรายังโกรธก็โกรธหนอๆ
อ๋อบัดนี้ข้าพเจ้าไม่โกรธแล้ว ข้าพเจ้ามีกรรมฐาน
ข้าพเจ้าจะไม่ขอโกรธท่าน เรียกว่า อโหสิกรรม
กรรมนั้นจะไม่ต่อให้ยืดยาว เรียกว่า ตัดให้มันสั้น
เหมือนรถหมดน้ำมัน ไม่วิ่งอีกแล้ว
กรรมไม่ต่อกรรมอีกแล้ว เรียกว่า อโหสิกรรม

นี่แหละกรรมฐานจึงแก้กรรมได้ เจริญกรรมฐานอโหสิกรรมได้
จะได้ไม่มีกรรมเวรกันไปในชาติหน้า

เราจึงนิยมการที่จะลากรรมฐานขออโหสิกรรม
ขอขมาลาโทษพระรัตนตรัย มี พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
อาจจะเจตนาไม่ดี คิดไม่ดี อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เป็นบาปเป็นกรรมทั้งนั้น จึงต้องให้อภัยทาน ให้อภัยโทษ
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อโหสิกรรม จะไม่เอาเวรกรรมกันต่อไปอีก
กรรมสิ้นกันเสียที นับตั้งแต่บัดนี้ คือ การเจริญพระกรรมฐาน
ถ้าโยมไม่เจริญกรรมฐาน กรรมไม่รู้จักสิ้น จะแก้กรรมอะไรไม่ได้
จะต่อเวรต่อกรรมให้มันยืดยาวออกไป
จะไปถึงลูกหลาน ลูกหลานก็จะลำบาก
กระเสือกกระสนในอนาคต ตรงนี้สำคัญ
ถ้าโยมหญิง โยมชาย รู้ตัวว่า สร้างกรรมไว้กับใคร
ก็ขอประทานโทษโปรดอภัยเถิดนะเจ้าคะ
ขอเจริญพรว่า ภรรยาเคยว่าสามี หรือ คิดในใจว่าสามีของข้านี้ไม่ดี
เท่านี้ก็บาปนะ กระทั่งสามีไม่ได้เป็นเช่นนั้น สามีก็เช่นเดียวกัน
ไปนินทาว่า ภรรยาของเราไม่ดี เท่านี้บาปนะ
จะทำกรรมฐานไม่ได้ผลหรอก ด่าสามี มาทำกรรมฐานไม่ได้ผล
จะได้ผลต้องอโหสิกรรมเสีย อภัยทาน อภัยโทษได้ผลแน่นอน
ก็ขอเจริญพรฝากญาติโยมไว้ อย่าโกรธอย่าลงโทษกันเลย
ให้อภัยกันเถิด หนักนิดเบาหน่อยให้อภัย
บางคนมาที่วัดนี้นานแล้ว ตั้ง ๒๐ ปี จำได้ คนมันแน่น
มีงานขึ้นในวัด เขาเหยียบเท้ากัน เหยียบเท้าลงไปที่เท้าคนอื่นนะ
เขาก็รู้ตัวว่าไปเหยียบเท้าคนอื่น เขาขอโทษครับ
คนนั้นมันเมามันไม่อโหสิ ชกกันเลย ต่อยกันแหลกไปเลย
คนที่ขอขมาลาโทษก็หนีไป เห็นไหม คนไม่มีกรรมฐาน
คนที่เจริญสติได้ เขาจะให้อภัยทุกประการ นี่ขอฝากไว้

ถ้าคนขอโทษอย่าโกรธเขานะโยมนะ
มาขอโทษโปรดอภัย รับผิดแล้ว ให้อภัยเขาเถอะ
เรียกว่าอภัยทาน อภัยโทษ โกรธกันไว้ในใจทำไมเล่า
พกความโกรธไว้ในใจเหมือนไฟเผาหัวจิตหัวใจเศร้าหมอง
ทำใจร้อนรน ทนไม่ไหว กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เป็นบาป
เหมือนตกนรกทั้งเป็นเลยนะ อย่าไปมั่วสุมเช่นนั้นเลย...



คัดลอกจาก...
http://www.jarun.org

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 12 พ.ย.2007, 11:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพราะกรรมฐานช่วยชำระจิตให้ผ่องใส...อภัยทานจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

อนุโมทนาสาธุด้วยนะคะคุณ ...ลูกโป่ง สาธุ ยิ้ม สู้ สู้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 13 พ.ย.2007, 8:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"อาหารของจิต ก็คือ กิเลส ความโกรธ ความโลภ ความหลง"

สาธุจ้า.. สาธุ
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 19 มิ.ย.2012, 7:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง