Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
รำลึกหลวงพ่อปัญญา ที่ วัดชลประทานรังสฤษฎ์
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
วัดและศาสนสถาน
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ก้อนดิน
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 07 ก.ค. 2004
ตอบ: 623
ตอบเมื่อ: 08 พ.ย.2007, 11:17 am
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
หากพูดถึงวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งจังหวัดนนทบุรี
วัดชลประทานรังสฤษฎ์
คงเป็นวัดที่ทุกคนรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ในฐานะวัดที่ปราศจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เครื่องรางของขลัง การบอกใบ้หวย การเข้าทรงองค์เจ้า
แต่วัดแห่งนี้มุ่งเน้นในเรื่องของหลักธรรมคำสอนและการปฏิบัติตามแก่นธรรมแห่งพระพุทธศาสนา เพื่อขัดเกลาจิตใจของผู้คนให้หลุดพ้นจากกิเลสที่พอกพูน
โดยมี
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎ์
ทำหน้าที่เป็นนักรบแห่งกองทัพธรรม ขับเคลื่อนหลักธรรมคำสอนเผยแพร่สู่สาธารณชนมาเป็นเวลาช้านานแล้ว
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
หรือ
พระพรหมมังคลาจารย์ ผู้ลาลับ
ท่านถือเป็นหนึ่งในผู้มอบกายถวายชีวิตให้กับพระพุทธศาสนาอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย
โดยมีความมุ่งหมายในเกณฑ์ 2 ประการคือ ประการแรกเพื่อประกาศความจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศไว้ และประการที่สองเพื่อทำลายความเห็นผิด และการกระทำที่ผิดๆ ในหมู่พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายให้หมดไป
ทุกวันอาทิตย์พุทธศาสนิกชนจะมาทำบุญฟังเทศน์ฟังธรรมกันเป็นจำนวนมาก
ด้วย 2 หลักเกณฑ์ที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุพึงยึดถือและปฏิบัติมาโดยตลอด รวมถึงการประยุกต์ธรรมต่างๆ ให้ง่ายต่อการเข้าใจและเข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้ผู้ที่ได้ฟังธรรมของท่านได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจนกลายเป็นมหาศรัทธาของมหาชน
หนึ่งในนั้นก็คือ
ม.ล.ชูชาติ กำภู
อธิบดีกรมชลประทานในช่วงปี พ.ศ.2492-2509 หรือบิดาแห่งชลกร หลังได้ฟังการแสดงธรรมของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้เกิดความเลื่อมใสวิธีการสอนธรรมะแนวใหม่ของท่าน จากเดิมที่นั่งเทศนาบนธรรมาสน์ถือใบลาน มาเป็นการยืนพูดปาฐกถาธรรม แบบพูดปากเปล่าต่อสาธารณชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุผลร่วมสมัย ทันต่อเหตุการณ์เป็นการดึงดูดประชาชนให้หันเข้าหาธรรมะได้เป็นอย่างมาก
ผู้มาทำบุญใส่บาตรมีกันทุกเพศทุกวัย
ทั้งมากันเป็นครอบครัวหรือจะมาคู่มาเดี่ยวก็ได้
และด้วยความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาและวิธีการถ่ายทอดธรรมมะของหลวงพ่อปัญญา ม.ล.ชูชาติ และกรมชลประทานจึงได้มอบที่ดิน และสร้างวัดชลประทานรังสฤษฎ์แห่งนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502 ที่ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พร้อมได้อาราธนาหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มาเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ พ.ศ.2503 เป็นต้นมา
หากใครได้มีโอกาสเข้าไปเยือนยังวัดชลประทานฯ แห่งนี้ จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันร่มรื่นร่มเย็นทั่วทั้งบริเวณวัด ด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย หรือจะเรียกว่าวัดป่าก็คงจะได้ ด้วยพื้นที่ที่กว้างใหญ่ถึง 48 ไร่ แต่ภายในกลับมีสิ่งปลูกสร้างเพียงน้อยนิดเพียงพอต่อการใช้งานเท่านั้น โดยสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆ ที่หลวงพ่อได้สร้างไว้มีเพียง 3 สิ่งเท่านั้นคือ
โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ (สำหรับเด็กเยาวชน), โรงเรียนพุทธธรรม (สำหรับอุบาสกอุบาสิกา) และกุฏิสี่เหลี่ยม
เท่านั้น นอกนั้นเป็นบุคคลภายนอกสร้างให้ตามสมควรทั้งสิ้น
พระอุโบสถเล็กๆ ใช้สำหรับทำสังฆกรรมของสงฆ์
และหากสาธุชนท่านใดได้สังเกต ก็จะเห็นอีกว่า วัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปเพียงไม่กี่องค์ เนื่องจากหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุไม่เน้นในเรื่องของวัตถุ หากแต่เน้นให้คนเข้าถึงคำสั่งสอนและปฏิบัติตามขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากกว่า ดังป้ายธรรมมะเตือนใจป้ายหนึ่งในหลายๆ ป้ายที่ติดไว้ตามต้นไม้ทั่วบริเวณวัดว่า
คนไหว้พระเท่าใดไม่ถูกพระ
ไหว้เปะปะพระประดิษฐ์อิฐปูนปั้น
ใจกระจ่างแจ้งธรรมที่สำคัญ
พระจะพลันพบได้ในใจเรา
พระอุโบสถ
จากการยึดหลักความพอเพียงมาโดยตลอดการสร้างวัด พระอุโบสถของวัดแห่งนี้จึงเป็นเพียงอุโบสถเล็กๆ สีขาวตั้งอยู่หน้าวัด ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิเป็นพระประธาน อุโบสถแห่งนี้จะเปิดเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสังฆกรรมของสงฆ์ในวันธรรมดา และจะเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าไปกราบนมัสการพระประธานเฉพาะวันพระและวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น ส่วนหน้าอุโบสถนอกเขตพัทธสีมาด้านซ้ายและขวา มีต้นสาละลังกาและต้นเหลืองปรีดิยาธร ที่หลวงพ่อปัญญานันทะได้ปลูกไว้ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2547
เมื่อเดินเข้าไปด้านในจะพบกับลานธรรมหรือลานหินโค้งใหญ่ ร่มรื่นด้วยแมกไม้ หากใครที่เคยไปวัดสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี คงจะต้องคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะลานหินโค้งแห่งนี้ได้สร้างขึ้นเลียนแบบขึ้นมา เนื่องจากเมื่อปี พ.ศ.2480 หลวงพ่อปัญญาเคยไปจำพรรษาที่สวนโมกขพลาราม และได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับ
ท่านพุทธทาสภิกขุ และท่าน บ.ช.เขมาภิรัต
(พระราชญาณกวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร อดีตเจ้าอาวาสวัดขันเงิน ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร) เป็นสามสหายธรรมร่วมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา และหลักธรรมที่แท้จริงตามหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ต้นไม้ให้ข้อคิดมีอยู่ให้เห็นมากมายภายในวัด
ลานแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่ให้การแสดงธรรมภายในวัด เป็นแบบเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติ เช่นเดียวกับสมัยพุทธกาล เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการสร้างศาลาอาคารต่างๆ ภายในวัดจึงมีอาคารเท่าที่จำเป็นแก่ศาสนกิจเท่านั้น
ลานหินโค้งแห่งนี้ เดิมชื่อว่า ลานไผ่ หรือสวนไผ่
เนื่องจากตอนนั้นบริเวณนี้มีต้นไผ่เยอะ กระทั่งปี พ.ศ.2536 หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุได้ไปจำพรรษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้รักษาการเจ้าอาวาทแทนหลวงพ่อได้เอาต้นไผ่ออกแล้วแทนด้วยต้นไทร เนื่องจากต้นไผ่มีใบร่วงเยอะต้องเก็บกวาดบ่อย และต้นไทรก็ให้ร่มเงาที่ร่มเย็นกว่าด้วย
กุฏิสงฆ์ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติสมถะ
เมื่อหลวงพ่อกลับมาเห็นความเปลี่ยนแปลง ก็ได้ถามหาต้นไผ่ พระผู้รักษาการเจ้าอาวาสในขณะนั้นจึงตอบไปว่า หลวงพ่อไม่อยู่ ต้นไผ่เลยหนีไปเที่ยว แล้วต้นไทรก็อยากมาอยู่กับหลวงพ่อแทน หลวงพ่อได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วบอกว่าดี จะได้ร่มเย็น จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ว่า
ลานหินโค้ง
ตามลักษณะของลานนั่นเอง
ที่ ลานหินโค้ง แห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในทุกๆ วันอาทิตย์ เวลาประมาณ 07.00 น. ลานหินโค้งกว้างแห่งนี้จะเต็มไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมกันกิจกรรมทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม รายล้อมด้วยพระสงฆ์ที่นั่งรับบาตรอยู่บนอาสนะจำนวนหลายสิบรูป
บรรยากาศร่มเย็นเป็นธรรมภายในวัดชลประทานฯ
หากใครมาไม่ทันช่วงเช้าก็ไม่ต้องกังวล เพราะตั้งแต่เวลา 09.30 น. พระภิกษุสงฆ์ก็จะออกมาที่ลานหินโค้งอีกครั้งเพื่อรับบาตรฉันเพล บรรยายปาฐกถาธรรม ให้ศีลให้พร ถวายสังฆทานร่วมกัน จากนั้นพระท่านจะสวดมนต์พร้อมๆ กับพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมธรรมอย่างพร้อมเพรียง หากใครที่สวดมนต์ไม่เป็นก็มีหนังสือบทสวดให้ได้ยืมกัน ส่วนวันจันทร์-เสาร์นั้นพระสงฆ์จะออกรับบาตร ณ ลานหินโค้ง ในเวลาประมาณ 07.00 น. เพียงรอบเดียวเท่านั้น
ส่วนในบริเวณสวนป่าที่ร่มรื่นสงบใกล้ลานหินโค้ง ยังมีโต๊ะม้านั่งมากมายเพื่อเป็นสถานที่ให้ผู้ที่ต้องการศึกษาและปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งต้นไม้ให้ข้อคิด ซึ่งก็คือต้นไม้ที่ถูกปิดป้ายด้วยข้อคิดข้อธรรมต่างๆ อีกทั้งยังมีรูปปั้น ม.ล.ชูชาติ กำภู ผู้สร้างวัด และไม่ไกลกันก็มีรูปปั้นหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ให้ประชาชนได้เคารพกันด้วย
แม้จะหมดช่วงเวลาตักบาตรฟังธรรมแล้ว
ก็ยังสามารถปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิกันได้ทุกเมื่อ
นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนพุทธธรรม มีอุบาสกอุบาสิกา มาถือศีลอุโบสถปฏิบัติธรรมกันทุกวัน โดยมีพระภิกษุผลัดเปลี่ยนกันมาเทศนาแนะนำสั่งสอนเป็นประจำ อีกทั้งทางวัดได้จัดพระภิกษุคณะหนึ่งให้การศึกษาแก่เยาวชนในโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณวัดด้วย ซึ่งมีเยาวชนให้ความสนใจมากมาย อีกทั้ง ยังมีศูนย์จำหน่ายหนังสือธรรมะ รวมถึงเทปและซีดีธรรมะต่างๆ ให้ชาวพุทธได้เลือกสรรนำไปศึกษาปฏิบัติต่อไป
ณ เวลานี้ แม้หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุจะลาลับไปจากวัดชลประทาน แต่ว่าหลักธรรมคำสอน เจตนารมณ์ ความมุ่งหมาย รวมสิ่งที่นักรบแห่งกองทัพธรรมท่านนี้ปฏิบัติ ยังคงอยู่ในจิตใจของชาววัดชลประทานทุกคน รวมถึงยังคงอยู่ในจิตใจของชาวพุทธส่วนใหญ่ไปตลอดกาล
การสร้างพระคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด วิเศษที่สุด ก็คือคัมภีร์ธรรมที่อยู่ในใจของเรา เอาร่างกายเป็นตู้ใส่คัมภีร์ เอาใจเป็นที่จารึกพระคัมภีร์ จารึกไว้ในใจตลอดเวลา
ประชาชนยังคงเดินทางมาเคารพสรีระสังขารหลวงพ่อปัญญาอย่างต่อเนื่อง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 พฤศจิกายน 2550 15:47 น.
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
วัดและศาสนสถาน
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th