Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ดวงตาแห่งชีวิต : ท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ย.2007, 11:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ดวงตาแห่งชีวิต
ท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)

ชีวิตเป็นสิ่งล้ำค่า ร่างกายเป็นขุมข่ายของความรู้สึกตัว
เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการส่องทางอันมืดมิด


บุคคลเมื่อรู้ตัวแม้แต่ไร้อนาคต เขาก็พอเอาตัวรอดได้

ประหนึ่งหิ่งห้อยน้อยมีแสงวอมแวมที่ตัวเอง
สามารถบินเข้าสู่หุบเหวที่มืดมิดได้อย่างอิสระ
ทั้งๆ ที่ไม่อาจหยั่งรู้ที่สุดของตัวเองได้

ความรู้สึกตัวน้อยๆ นี่แหละครับ
จะเปล่งปลั่งขึ้นเมื่อโลกมืดมิด

ดังที่ยกตัวอย่างเมื่อวานว่า

ตะเกียงที่จุดตอนเที่ยงวันนั้นดูเสมือนไร้ค่า
แต่ครั้นเวลาพลบโพล้เพล้ แสงเรืองรองเริ่มปรากฏ
ทั้งๆที่ตะเกียงก็เป็นตะเกียงดวงเดิม
แสงปลั่งนั้นก็เท่าเดิมทุกประการ

ยิ่งดึกยิ่งมืด ความเปล่งปลั่งของแสงสว่างก็เรืองรองขึ้น

ฉันใดความรู้สึกตัวน้อยๆ
ที่เราเป็นอยู่นั้นจะทำกิจจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
เมื่อมันเดินทางเข้าสู่โลกมืดของผู้ตาย
แสงสว่างแห่งความรู้ตัวนี้จะเปล่งประกายขึ้น สว่างขึ้นๆ ถ้าเรามีสติ

การตายด้วยสตินั้นเป็นความตายที่ไม่ตาย
เป็นความเป็นทีเดียว
เมื่อตุ๊กตาน้ำแข็งตัวหนึ่งตกลงไปในกระแสน้ำลำธาร
มันก็ละลายอย่างรวดเร็ว

ไม่มีผู้ตายอยู่ในกระบวนตาย
แต่ผู้ตายอยู่ในความคิดของเรื่องความตาย


เรามัวแต่มีปฏิกิริยากับสิ่งนั้นสิ่งนี้
จนกระทั่งว่าเหมือนมีม่านบังตา
ลืมวินาทีสำคัญของชีวิตที่ว่า

เราต้องมีความรักต่อผู้อื่น เห็นผู้อื่นสลักสำคัญ
และโอนอ่อนผ่อนปรนกับเพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุด
เข้มงวดกับสติสัมปชัญญะของตัวเองให้มากที่สุด
สติสัมปชัญญะของเราจึงจะเรืองรองขึ้น

เพราะว่าจุดหมายปลายทางของสติสัมปชัญญะก็คือ
“ญาณปัญญา” ดวงตาแห่งชีวิตจะเกิดขึ้นในการแลเห็น


แต่ถ้าเราใช้สติของเราไปเข้มงวดกับคนอื่น ไปเพ่งเล็ง
ตาเราจะมืดบอด


สติสัมปชัญญะนั้นเมื่อผนวกกับทัศนะอันชอบธรรมแล้ว
คงจะยังประโยชน์เกื้อกูลแก่สังคมและผู้อื่นโดยปริยาย


ผู้ที่หยั่งรู้ธรรมะตั้งแต่เกิดจนตายย่อมมีลักษณะเป็นสาธารณะ
เป็นของสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ
เพราะว่าภาพลักษณ์ของตัวเองนั้นจืดจางรางเลือนไป
ยิ่งภาพลักษณ์จืดจางเท่าไร
ความเป็นสาธารณะ ความเป็นของทุกๆ ชีวิตก็จะปรากฏเด่นชัดขึ้นเท่านั้น

สาธุ สาธุ สาธุ

(ที่มา : ปกหลัง “ดวงตาแห่งชีวิต” โดย เขมานันทะ, ฉบับพิมพ์ครั้งแรก, พ.ศ. ๒๕๔๕)

สาธุ ผีเสื้อ สาธุ ผีเสื้อ สาธุ

หมายเหตุ : “ดวงตาแห่งชีวิต” เป็นผลงานอันรวบรวมจากธรรมบรรยายของ
ท่านอาจารย์เขมานันทะ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓
ณ อาศรมศานติ-ไมตรี จ.สุราษฎร์ธานี


หมายเหตุภาพ : จิตรกรรมพุทธศิลป์ “หอมกลิ่นธรรม”
สร้างสรรค์โดย อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์


ดอกไม้ รวมคำสอน “ท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=44291
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง