Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ความตายคืออะไร ? อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
พี่ดอกแก้ว
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 07 มิ.ย. 2004
ตอบ: 118

ตอบตอบเมื่อ: 18 มิ.ย.2004, 2:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คำถามนี้เป็นคำถามที่ให้คำตอบกันง่ายๆ โดยทั่วไปบุคคลทั้งหลายก็จะพากันตอบว่า...

ความตายคือการไม่หายใจ

ความตายก็คือการดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามปกติธรรมดาไม่ได้ทุกอย่าง

คำตอบเช่นนี้ก็มิได้ผิด

แต่เป็นการถูกต้องผิวเผินเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง

แต่ในสายตาของนักศึกษาเรื่องของชีวิต

จากพระอภิธรรมปิฎกมีความเข้าใจดี

แม้คำว่า “จุติ” ซึ่งแปลว่าดับหรือตาย

ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังเข่าใจผิดไป

เพราะไปเข้าใจว่า จุติได้แก่การเกิด บางคนเอาไปตั้งชื่อร้านค้าขายของตนเองว่า “….จุติ” หรือเมื่อเห็นแสงที่เรียกกันว่าดาวตกจึงได้พากันพูดว่าเทวดาจุติ หมายความว่าเทวดาเกิดในท้องของมารดา อย่าได้ไปทักเข้า หาไม่แล้วจะเข้าไปเกิดในท้องสุนัข

ความตายก็ได้แก่ จุติหรือมรณะ มีวจนัตถว่า

วจนํ จุติ การเคลื่อนจากภพหนึ่ง (สู่ภพหนึ่ง) ชื่อว่า จุติ

มรณะ หรือ จุติ คือความตายนั้น

จำแนกออกไปเป็น ๓ ประเภท คือ...

๑. ขณิกมรณะ การดับไปของรูป- นามที่เกิดและดับไปอยู่ตลอดเวลา

๒. สมมติมรณะ คือการดับซึ่งได้แก่ความตายของคนหรือสัตว์ทั้งหลาย

๓. สมุจเฉทมรณะ ได้แก่การปรินิพพานของพระอรหันต์

ขณิกมรณะ ได้แก่การดับหรือการสลายตัวเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหมือนเดิมของบรรดารูปนามทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างกายหรือรูปอื่นใด จะเป็นจิตหรือวิญญาณ ซึ่งในวินาทีหนึ่งย่อมจะผันแปรเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ไม่มีผู้ใดที่จะมาบังคับให้มันหยุดนิ่งได้ ขณิกมรณะนี้ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องชีวิตภายหลังความตายนัก ดังนั้นจึงของดไม่บรรยายในรายละเอียดต่อไป

สมุจเฉทมรณะ เป็นการสิ้นชีวิตของพระอรหันต์ผู้ซึ่งปราศจากกิเลสแล้ว ไม่มีการเกิดมีชีวิตขึ้นมาได้อีกต่อไป เพราะหมดอำนาจของเหตุปัจจัยที่จะมาส่งเสริม

จะกล่าวเฉพาะสมมติมรณะซึ่งได้แก่ ...การดับหรือความตายของคนหรือสัตว์ทั้งหลายเท่านั้น

เรื่องของความตายนี้

ถ้าจะว่าโดยปรมัตถธรรมอันเป็นความจริง

จริงๆ แล้ว “ความตาย” นั้นไม่มี คนเกิด คนตาย สัตว์เกิดหรือสัตว์ตายก็ไม่มีเหมือนกัน

ทำไมถึงได้ว่าดังนั้น

เมื่อเราตัดต้นไม้มา นั่นก็คือเราตัด “รูป” คือต้นไม้นั้นแล้วมาทำเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เมื่อตัดออกแล้วก็สมมุติเรียกกันว่าต้นไม้ตาย

รูปซึ่งเป็นต้นไม้นั้นก็มาเปลี่ยนแปลงเป็นโต๊ะเก้าอี้ไป

เมื่อโต๊ะและเก้าอี้ซึ่งเป็นรูปผุพังลง โต๊ะเก้าอี้ก็หายไปจากสายตา มันก็กลายสภาพเป็นรูปไปอีกแบบหนึ่ง คือ “ดิน” แต่ดินเราก็เรียกว่าเป็น “รูป” เหมือนกัน

ด้วยเหตุนี้เราจะพูดว่าโต๊ะเก้าอี้ตายก็ย่อมได้เหมือนกัน

ดังนั้นต้นไม้ก็คือ รูป โต๊ะเก้าอี้ก็คือ รูป และดินก็คือ รูป

แต่รูปเหล่านี้มันไม่เหมือนกัน

เราจึงสมมุติตั้งชื่อมันว่า ต้นไม้ โต๊ะเก้าอี้ และดิน

เราตั้งชื่อมันเสียใหม่ เพื่อหวังว่าจะได้พูดกันให้รู้เรื่อง

เหมือนกับต้นไม้ตาย ความจริงต้นไม้มิได้ตาย

เราจึงสมมุติให้เป็นที่เข้าใจกัน

เหมือนกับรถยนต์ตาย ความจริงรถยนต์มิได้ตาย

แต่มันแล่นไปไม่ได้เพราะเครื่องมันเสียเท่านั้นเอง

เราก็สมมุติเพื่อจะให้รู้เรื่องว่า รถยนต์ตาย

ด้วยเหตุดังนี้เอง

รูปคือร่างกายของสัตว์ทำการงานไปตามปกติมิได้แล้ว

จิตใจหรือวิญญาณมิได้เกิดขึ้นมาได้แล้ว

เราจึงได้สมมุติพูดกันว่า คนตายหรือสัตว์ตาย

แท้ที่จริง รูปคือร่างกายของคนหรือสัตว์ที่เกิดดับเปลี่ยนแปลงไปมาในวินาทีหนึ่งตั้งมากมาย

แม้จิตใจหรือวิญญาณของคนหรือสัตว์ก็เหมือนกัน

ก็ย่อมจะเกิดดับเปลี่ยนแปลงไปมาในวินาทีหนึ่งนับไม่ไหว

ทั้งรูปและนามเกิดดับตลอดชั่วชีวิตหนึ่งนั้นนับคำนวณไม่ได้เลย มีที่แปลกอยู่ตรงที่ว่า

เมื่อชีวิตเกิดขึ้นมาใหม่ ในภพชาติใหม่นั้น

มีรูปกายแปลกออกไป

และจิตใจเมื่อไปได้สิ่งแวดล้อมใหม่เข้าแล้ว

ก็อาจจะผิดไปบ้างนิดๆ หน่อยๆ

และค่อยๆ ผิดไปทีละน้อยๆ

ตามแต่เหตุปัจจัยที่มาผันแปร

ถ้าจะว่าไปก็เปรียบเหมือนต้นไม้เมื่อก่อน

แต่เดี๋ยวนี้มาเปลี่ยนเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ไปเสียแล้ว

และต่อมาก็เป็นดินไปอีก

แม้จะได้อธิบายถึงปรมัตถธรรมว่า

ไม่มีคนตาย ไม่มีสัตว์ตายก็จริง

แต่ก็จำต้องอธิบายเรื่องความตายให้ท่านฟัง

โดยเอาคำที่สมสุติกันว่าตายออกมาใช้หาได้แล้วจะอธิบายได้อย่างไร

ขอให้ท่านทำความเข้าใจเอาไว้แต่เพียงว่าคนตาย

หรือสัตว์ตายนั้น มิได้มีจริงๆ ทั้งรูปทั้งนามก็ย่อมจะผันแปรเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย

เวลานี้มีรูปมีนามอยู่ที่นี่ เผลอไปอีกวินาทีหนึ่ง

รูปนามนี้ก็อาจจะสืบต่อไปอยู่ในท้องของมารดา

เป็นเพียงจุดเล็กๆ จุดหนึ่งของมารดาอีกคนหนึ่งเสียก็ได้

แล้วต่อไปอีกไม่นานสักเท่าใดก็เป็นไปอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะได้เกิดเป็นเปรต อสุรกาย หรือเกิดเป็นเทวดา

ว่าโดยปรมัตถ์ คนหรือสัตว์คือทั้งรูปทั้งนาม

ก็แตกดับไปแล้วก็เกิดทดแทนขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลา

ที่มีชีวิตอยู่ ...ซึ่งก็คือได้ตายไปอยู่ทุกวินาที

สมมติมรณะ คือความตายของคนหรือสัตว์ทั้งหลาย

คืออะไร ?

ถ้าจะว่าโดยย่อแล้ว ความตายของคนหรือสัตว์ทั้งหลายก็ได้แก่ ความสิ้นสุดของรูปชีวิตและความสิ้นสุดของนามชีวิตในภพชาติหนึ่ง

หรือจะพูดว่า ความตายก็คือจิต, เจตสิก และกรรมชรูปดับลงในภพชาติหนึ่ง (ในปัญจโวการภูมิ)

ประสาทตา ประสาทหู และหทัยวัตถุ เป็นต้น เป็นรูปที่เกิดมาด้วยอำนาจของกรรมแล้วมี “ชีวิตรูป” ควบคุมให้รูปเหล่านี้ดำเนินการไปได้ ชีวิตรูปมิได้เกิดขึ้นมาใหม่ในภพชาตินั้น ซึ่งก็คือหมดอำนาจลง ไม่สามารถควบคุมรูปเหล่านี้ได้อีกต่อไป

จิตกับเจตสิกเกิดขึ้นมาแต่ละครั้ง ก็ย่อมจะมี “ชีวิตนาม” ควบคุมให้จิต เจตสิก ดำเนินการงานไปได้ แต่เมื่อชีวิตนามดับลงเป็นครั้งสุดท้าย มิได้มีเกิดขึ้นมาอีกในชาตินั้นหมดเหตุ หมดปัจจัยที่จะสนับสนุนให้เกิดขึ้นมาได้ จิต เจตสิกจึงมิได้เกิดขึ้นมาอีกต่อไป

การสืบต่อเฉพาะในชาตินั้นขาดสะบั้นลง

เราจึงได้เรียกผู้นั้นว่า คนตาย หรือสัตว์ตาย

อย่างไรก็ดี ทั้งรูปและนามก็จะต้องสืบต่อไปอีกในภพชาติใหม่ตราบใดที่กิเลสตันหายังมิได้สูญหายไปจากจิตใจอย่างแน่นอน

แต่กรรมชรูปที่มีชีวิตรูปควบคุม

และนามคือจิต, เจตสิก ที่มีชีวิตนามควบคมเอาไว้ให้ดำเนินการไปได้

เหตุใด เมื่อดับลงแล้วจึงมิได้เกิดขึ้นมาอีกตามปกติ

ทำให้ความตายเกิดขึ้นมา....
 

_________________
เป็นประธานมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
DM
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2004
ตอบ: 27

ตอบตอบเมื่อ: 19 มิ.ย.2004, 1:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณครับ รู้เรื่องมากเลย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 19 มิ.ย.2004, 1:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ได้รับความรู้ดีดีอีกตามเคย ขอบคุณพี่ดอกแก้วครับ

ที่ว่าทุกสรรพสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงเกิดดับตลอดเวลา อย่างเช่นคนเรานี่ ถ้ามองผิวเผิน ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ แต่จริง มนุษย์เรา เปลี่ยนแปลงทุกขณะ ทั้งเซล์ มีการเกิดตายทุกขณะ ทั้งใจก็มีการเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอด

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พระท่านถึงว่า คนมีปัญญา จะไม่หลงยึดติดกับกาย กับใจนี้ สักว่ากาย ว่าใจ เป็นเครื่องอาศัย ดำรงภพชาติ เท่านั้น พอสิ้นจากชาตินี้ไปแล้ว ก็เปลี่ยนไปหมดไม่หลงเหลือ อะไรที่เป็นตัวเรา ในขณะนี้ เลย แม้กระทั่งชาตินี้ก็เหมือนกัน ตอนเป็นเด็ก อายุ 5 ขวบ กับตอนนี้อายุ 50 จะว่าคนเดียวกันก็ไม่ใช่
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 20 มิ.ย.2004, 12:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ ครับพี่ดอกแก้ว และนิว
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
z
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 23 ต.ค. 2007
ตอบ: 46
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ย.2007, 11:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

....การเปลี่ยนที่อยู่ใหม่+-.....
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง