Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและศาสนา : รศ.วิบูลย์ ลี้สุวรรณ
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
ตอบเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 1:13 am
ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและศาสนา
รองศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ
คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
........จากอดีตที่ผ่านมานับพันๆ ปีนั้นจะเห็นว่า
ศิลปะกับศาสนา
มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาช้านาน
เพราะศิลปะมักถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อในการเผยแพร่ศาสนาไปยังศาสนิกชน
หรือสร้างเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา
เช่น การสร้างงานจิตรกรรมเพื่ออธิบายหลักธรรม
หรือบันทึกเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับประวัติชีวิตของศาสดาหรืออธิบายคำสอนของศาสดา
การสร้างวัตถุหรือหรือรูปเคารพในศาสนาต่างๆ
ศิลปะที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนานั้นมีแทบทุกประเภท
ตั้งแต่ประเภทประติมากรรม จิตรกรรม สถาปัตยกรรมและประเภทอื่นๆ
.........จุดประสงค์หรือเป้าหมายในการสร้างศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา
ต่างไปจากการสร้างศิลปะประเภทอื่น
เพราะศิลปินผู้สร้างศิลปะ เนื่องในศาสนาหรือศาสนาศิลป์นั้น
มีเป้าหมายของเนื้อหาแน่นอนอยู่ที่การศิลปกรรมเพื่อรับใช้ศาสนา
ซึ่งสาระสำคัญของศาสนาทุกศาสนานั้น
มุ่งให้มนุษย์มีชีวิตที่ดี มีศิลธรรมประจำใจ
ดังนั้น เนื้อหาหรือเป้าหมายของศาสนศิลป์
จึงเน้นที่ ความดีและความงาม
เพื่อให้ผู้เสพได้รับความรู้สึกนึกคิดบนพื้นฐาน
ที่เป็นแนวปรัชญาของศาสนาแต่ละศาสนา
.........อย่างไรก็ตาม เมื่อศิลปินมีแนวคิดที่เป็นอิสระพ้นจากศาสนาแล้ว
จึงสร้างศิลปะเพื่อศิลปะขึ้นในยุคต่อมาก็ตาม
แต่ ! ศิลปินก็ยังดำรงแนวคิดที่มุ่งให้ศิลปะ
เป็นสื่อของความดีและความงามในจิตใจมนุษย์
มากกว่าที่จะใช้ศิลปะไปในทางเลวร้าย
จนกลัวกันว่า ศิลปะกับศาสนาเป็นสิ่งเดียวกัน หรือเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกันมาก
ดังที่
ศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี
ได้เขียนไว้ว่า
ความมุ่งหมายของศิลปะคือเกื้อกูลศีลธรรมและยกระดับจิตใจของมนุษย์
แม้ว่าการแสดงออกในบางครั้งจะใช้เรื่องอกุศลเป็นสื่อ
แต่เป็นไปเพื่อชี้ให้เห็นปัญหาและวิธีแก้ไข
เช่น ศิลปะทางกามวิสัยตามเทวสถานในอินเดียศิลปะเหล่านั้น
มีความมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ทางศีลธรรมและสังคม
เนื่องจากโรคระบาดได้ทำลายชีวิตของประชาชนไปมากมาย
จึงต้องช่วยกระตุ้นและสนับสนุนให้การกำเนิดมนุษย์
ศิลปะการแสดงออก ๒ ชนิด
ชนิดหนึ่งเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษา
อีกชนิดหนึ่งเป็นศิลปะเพื่อศิลปะ
แต่มีจุดหมายอย่างเดียวกัน เพื่อความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติ
ส่วนศาสนาก็มีจุดหมายปลายทางทางด้านจิตใจเช่นกัน
คือสอนให้คนเป็นคนดีโดยอาศัยหลักธรรม
แต่ศิลปะสอนโดยอาศัยการเรียนรู้จากการประสานกลมกลืนกันและความงาม
(ศิลปะและศีลธรรม : ธนิต อยู่โพธิ์ แปลจาก Art and Morality)
.........ดังกล่าวแล้ว จะเห็นว่าปรัชญาของศิลปะและศาสนานั้นค่อนข้างจะใกล้ชิดกันมาก
จนสิ่งทั้งสองสามารถผสานกลมกลืนกันไปได้เป็นอย่างดี
ในอดีตศิลปะหลายประเภท พัฒนามาจากศิลปะเนื่องในศาสนา
ก่อนที่จะพัฒนามาสู่ศิลปะสมัยใหม่และศิลปะร่วมสมัย
ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นทั้งในซีกโลกตะวันออกและซีกโลกตะวันตก
ไม่ว่าจะเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่ถ้ำอชันตะ (AJANTA CAVE)
ในประเทศอินเดียซึ่งเป็นจิตรกรรมเนื่องในพุทธศาสนายุคแรก
ที่อาจจะเป็นต้นแบบที่ให้อิทธิพลต่อจิตรกรรมฝาผนัง
เนื่องในพุทธศาสนาในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคต่อๆ มา
รวมทั้งจิตรกรรมฝาผนังของไทยเราด้วย
นอกจากนี้งานศิลปะเนื่องในศาสนาประเภทอื่นทั้งประติมากรรม สถาปัตยกรรม
ตลอดจนถึงภาพพิมพ์ก็มีต้นกำเนิดและพัฒนามาจากจุดประสงค์ในการพิมพ์คัมภีร์ศาสนา
ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นการพิมพ์และศิลปะภาพพิมพ์ในปัจจุบัน เช่น
ต้นกำเนิดของการพิมพ์และศิลปะศิลปะภาพพิมพ์ซีกโลกตะวันออกนั้น
น่าจะมาจากการพิมพ์คัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดของจีนที่เรียกว่า
วัชรสูตร
(the Dimon Sutra)
ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์จากแม่พิมพ์ไม้ มีตัวหนังสือและภาพประกอบ
พิมพ์ด้วยกระดาษเป็นม้วนยาว ๑๖ ฟุต กว้าง ๑ ฟุต มีตัวหนังสือบอกปีที่พิมพ์ว่า
พิมพ์เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๑๔๑๑
ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกฤษ กรุงลอนดอน
คัมภีร์ดังกล่าวอาจเป็นต้นแบบสำคัญที่ก่อให้เกิดการพิมพ์
และศิลปะภาพพิมพ์ในเกาหลีและญี่ปุ่นในยุคต่อๆ มา
ส่วนการพิมพ์และศิลปะภาพพิมพ์ในซีกโลกตะวันตกก็เชื่อว่า
ได้รับแบบอย่างไปจากจีนเช่นเดียวกับอารยะธรรมอื่นๆ ที่ไปจากจีนเป็นจำนวนมาก
การพิมพ์ในยุโรปช่วงแรกก็เป็นการพิมพ์คัมภีร์ในคริสต์ศาสนา
ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นการพิมพ์หนังสือและศิลปะภาพพิมพ์ในยุคต่อๆ มา
จนพัฒนามาเป็นศิลปะภาพพิมพ์ร่วมสมัยในปัจจุบัน
จึงเห็นได้ว่า ศิลปะที่เนื่องในศาสนาเป็นต้นกำเนิดของศิลปะหลายประเภท
ที่พัฒนามาสู่ศิลปะสมัยใหม่และศิลปะร่วมสมัย
........นอกเหนือจากผลงานศิลปะโดยตรง
ช่างและศิลปิน
ผู้สร้างศิลปะเนื่องในศาสนาก็มีบทบาทอย่างสำคัญ
ในการพัฒนาศิลปะให้ก้าวหน้าและมีคุณภาพ
เพราะช่างและศิลปินผู้สร้างงานศิลปะเนื่องในศาสนา
จะต้องมีความศรัทธาในศาสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ในจิตใจ
จึงพยายามที่จะนฤมิตผลงานของตนให้ยิ่งใหญ่
และมีคุณค่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นอกจากนี้ศิลปินและช่างประเภทนี้จะต้องมีความรู้ทั้งด้านศิลปะและศาสนา
ประกอบกันไปด้วยเพื่อให้ได้ศิลปกรรมที่ตรงตามปรัชญาของศาสนา
แต่...การที่ศิลปกรรมจะมีสัมฤทธิผลสมบูรณ์นั้น
จักต้องมีองค์ประกอบอื่นอีกมาก
ตั้งแต่ความชำนาญเชี่ยวชาญในศิลปะประเภทนั้นๆ
ความเข้าใจในหลักและปรัชญาของศาสนา
ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะต้องมีอยู่ในตัวช่างหรือศิลปินผู้สร้างศิลปะ
คุณสมบัติเช่นนี้ต่างไปจากความเป็นช่างหรือศิลปินสมัยใหม่
ที่ส่วนมากสร้างศิลปะเพื่อสนองความรู้สึกนึกคิดของตนเองเป็นหลัก
แต่ผู้สร้างศาสนศิลป์หรือพุทธศิลป์นั้น
มุ่งไปที่ผลที่จะเกิดกับผู้เสพซึ่งเป็นศาสนิกชนเป็นสำคัญ
ดังนั้น การสร้างศิลปกรรมเนื่องในศาสนาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ผู้สร้างจะต้องมีศักยภาพในตัวสูงยิ่งที่เดียว
หมายเหตุภาพ
: จิตรกรรมสีฝุ่นบนกระดาษสา
มหานครนิพพาน
ผลงานชุดธรรมศิลป์ ของศาสตราจารย์ชลูด นิ่มเสมอ
(มีต่อ)
แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 27 ก.ย. 2007, 2:15 am, ทั้งหมด 7 ครั้ง
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
ตอบเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 1:40 am
สิ่งเหล่านี้จะเห็นได้ชัดเจน ในพระพุทธปฏิมาสมัยต่างๆ ของไทย
ซึ่งประติมากรสามารถถ่ายทอดพุทธปัญญาและสารัตถธรรม
ให้หลอมรวมอยู่ในองค์พระปฏิมาได้อย่างหมดจดงดงามอย่างที่สุด
เฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธรูปสกุลช่างสุโขทัยนั้น
ถือว่าเป็นพระพุทธปฏิมาที่มีความเป็นเลิศในทุกทาง
เป็นประติมากรรมคลาสสิคของไทย ที่มีความสมบูรณ์ทุกๆ ด้าน
ตั้งแต่ กรรมวิธีในการหล่อสำริด
รูปทรงเค้าโครงที่ได้สัดส่วนงดงามมีพระพักต์รที่อิ่มเอิบ
แสดงถึงความหลุดพ้นไปจากกิเลส ตัณหาทั้งปวง
พระพุทธปฏิมาบางลีลาของสุโขทัยนั้น
เป็นพระพุทธปฏิมาที่มีความงามเป็นเลิศ
ด้วยความประสานกลมกลืนกันของเส้นรอบนอก
และปริมาตรที่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดความรู้สึกที่อิ่มเอมหลุดพ้น
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นภูมิปัญญา
และความสามารถของปะติมากรไทยในอดีตเป็นอย่างดี
.........โดยเหตุที่ การสร้างพุทธศิลป์
ช่างหรือศิลป์นั้นต้องมีความสามารถทั้งทางศิลปะและมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาด้วย
จึงทำให้ช่างและศิลปินที่สร้างสรรค์พุทธศิลป์ของไทยจำนวนไม่น้อย
เป็นพระภิกษุหรือเป็น
พระช่าง
เพราะเป็นผู้มีคุณสมบัติดังกล่าว
พระช่างนี้มีอยู่ทุกยุคทุคสมัย เช่น
ขรัวอินโข่ง
ช่างเขียนที่มีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ ๔ ผู้เขียนภาพปริศนาธรรม
ที่พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
ถือกันว่าเป็นการปฏิรูปจิตรกรรมฝาผนังตามแบบประเพณีไทยทั้งด้านรูปแบบและเนื้อหา
ทั้งนี้เพราะการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังตามโบสถ์วิหารของไทยแต่เดิม
มักเขียนพุทธประวัติและชาดกแทบทั้งสิ้น
ส่วนวิธีการเขียนก็เขียนด้วยสีแบนๆ แล้วตัดเส้นไม่มีแสงเงา
แต่ขรัวอินโข่งได้นำกรรมวิธีตามแบบอย่างของศิลปะตะวันตกมาใช้
คือภาพที่มีแสงเงาและมีระยะใกล้ไกลหรือทัศนียวิสัย
แบบมิติ (Three Dimentions) แบบตะวันตกมาใช้
วิธีการของขรัวอินโข่งได้ก่อให้เกิดจิตรกรรมสกุลช่างแบบขรัวอินโข่งขึ้นมา
โดยมีพระช่างร่วมสมัยกับขรัวอินโข่งที่สำคัญอีกองค์หนึ่งคือ
พระครูกสินสังวร เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ
กรุงเทพฯ
เป็นศิษย์ของขรัวอินโข่งมีผลงานปรากฎอยู่ที่พระอุโบสถวัดทองนพคุณ
และที่พระอุโบสถวัดโปรดเกตุเชษฐาราม จังหวัดสมุทรปราการ
นอกจากนี้ ก็มีจิตรกรหรือช่างที่เป็นภิกษุอีกหลายองค์
เช่น
พระอาจารย์แดง แห่งวัดหงษ์รัตนาราม
กรุงเทพฯ
ช่างเขียนผู้มีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้น
......ศาสนศิลป์หรือศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาทุกศาสนา
เป็นศิลปะที่มีผลโดยตรงที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตของมวลมนุษย์มาช้านาน
และศิลปกรรมเหล่านั้นเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็น ภูมิปัญญา
ความศรัทธาของมนุษย์ที่มีต่อศาสนา
และด้วยความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อศาสนานี้เอง
เป็นพลังมหัศจรรย์ที่ทำให้เกิด ศิลปกรรมที่ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
สำหรับศาสนศิลป์ในประเทศไทยนั้น
ส่วนมากเป็นศาสนศิลป์เนื่องในพุทธศาสนาหรือเป็นพุทธศิลป์เป็นส่วนใหญ่
แต่ก็มีศาสนศิลป์ในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู และอิสลามอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่มากนัก
ที่มา : คัดลอกบางตอนมาจาก
ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและศาสนา
โดย รองศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ
I am
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972
ตอบเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 3:50 pm
_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th